แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว - 15 สมิง โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ



อ้าอุไรพธูพบูพิบูลย์ เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ  เจริญภาส


ตูสวิงสวายเพราะสายสวาดิ์ ระทวยบ่ปลดระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก


แสนจะเสียวจะส้านณวารวิโยค จะข้ามห้วงบ่ล่วงอโฆ ก็อกกรม


ใคร่เสน่หะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิทร์จะชิดจะชม ณเชิงรัก


เชิญสมรสุมาลย์สมานสมัค ประสานประสงค์ประจง ประจวบใจ ประจักษ์




ผมค่อย ๆ พับกระดาษที่มีลายมือหวัดแกมบรรจงแล้วอมยิ้ม พลางถามมันไปเบา ๆ ว่า


"มึงจีบกูหรอ?" 


"เปล่า" มันตอบอย่างว่องไว แต่หน้าแดง คนแปลกประหลาดอย่างนี้ก็มีด้วย

สารบัญ

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-1 ทีโมนกับพุมบ้า,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-2 เจ้าชายน้อย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-3 จุดเริ่มต้นความสนิท,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-4 ลูกไม้หล่นไกลต้น,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-5 ตัวโวยวาย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-6 สิบปี,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-7 เปลี่ยน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-8 ห่าง,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-9 ใจเอ๋ยใจ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-10 วันธรรมดา,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-11 อยู่ด้วยกัน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-12 หมอดอย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-13 หมอดอยใจดี,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-14 พระเอก,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-15 สมิง,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-16 จอมวางแผน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-17 Supporter,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-18 พ่อค้าออนไลน์,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-19 เกลียมัว,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-20 ป๊อปอาย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-21 โอลีฟ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-22 Change ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-23 Twin Flame

เนื้อหา

15 สมิง

โดย  Chavaroj




วันนี้ลูกของนังข้าวหอม ซึ่งผมตั้งชื่อมันว่าสโนว์บอล เพราะตัวของมันขาวจั๊วะเหมือนแม่มันไม่มีผิด แต่ความซนของมันก็ผิดแผกจากแม่ของมันที่แสนสงบเสงี่ยมเรียบร้อยแล้วก็แสนรู้


"น้องเป็นหมาเด็กน่ะครับ ก็ซนเป็นธรรมดา หมอแนะนำให้หาอะไรให้เขาเคี้ยวเช่นพวกหูวัวอบแห้งก็ได้ น้องคงคันฟันน่ะ ก็ฟันกำลังขึ้นเนอะ" ผมที่ค่อนข้างจะเห่อหลาน ปรึกษากับพี่หมอดอย หมอใจดีที่รักสัตว์มาก ๆ


เจ้าสโนว์บอลนั้นซน ทะเล้น เสียงดังตลอดเวลา เวลาดูดนมก็ชอบกัดนมแม่ของมันจนนังข้าวหอมสะดุ้งแล้วก็ทิ้งลูกไม่ยอมให้ลูกดูดนมต่อ


"สองเดือนก็หย่านมได้แล้วครับ ให้น้องกินอาหารหมาเด็กได้เลย หมาเล็กก็ดีไปอย่างนะครับ กินไม่ค่อยเปลือง สุขภาพก็แข็งแรงกว่าหมาใหญ่ด้วย อย่างเมื่อตอนสาย ๆ มีคนพาน้องหมาโกลเด้นมา น้องแก่แล้ว กระดูกสะโพกเสื่อม เดินไม่ได้ ไปไหนมาไหนก็ต้องกระถดตัวไป น่าสงสารมาก ๆ เลย" พี่หมอดอยพูดแล้วก็ทำหน้าเศร้า ผมก็เลยพลอยสงสารหมาพิการไปด้วยถึงจะไม่ได้เห็นมันก็เถอะ 


จริง ๆ นังข้าวหอมนี่ ผมก็ไม่ได้เลี้ยงมันตั้งแต่เกิดหรอก พอดีพี่แอนนา ผู้จัดการส่วนตัวของผม แกเกิดไม่ค่อยจะมีเวลา แล้วก็เห็นว่าผมเหงา ๆ แกก็เลยให้ข้าวหอมมาให้ผมเลี้ยงเล่นแก้เบื่อ แต่ถ้าผมติดถ่ายละคร ก็เอาข้าวหอมฝากไว้ที่พี่แอนนาสลับกันไปสลับกันมา 


แต่ตอนนี้พี่แอนนาแกไม่ได้เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้ผมอีกแล้ว เพราะแกได้สามีเป็นคนเยอรมัน แล้วก็อพยพไปตามแบบฉบับรักข้ามขอบฟ้า พอไม่มีคนให้รับฝาก ยามเมื่อไปถ่ายละคร ผมก็หอบหิ้วข้าวหอมไปกองด้วย ข้าวหอมมันเป็นเด็กดีไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่เสียงดัง ถ้าผมทำงานก็สามารถล่ามไว้ตรงไหนใกล้ ๆ มันก็จะนอนอยู่อย่างนั้น หรือไม่อย่างนั้นถ้าใครเห็นมันส่ายตูดดุ๊กดิ๊กก็เอามันไปเล่นเช่นพวกช่างแต่งหน้า ช่างทำผม ผมก็เลยไม่ค่อยห่วงมันเท่าไร


แต่สุดท้ายก็มีพี่ช่างผมคนหนึ่งแกเดินมาหาผมพูดเสียงอ่อย ๆ ว่าลูกชายของแก ซึ่งเป็นหมาชิวาวาเหมือนกันได้เสียเป็นเมียผัวกับนังข้าวหอมเสียแล้ว เรียกว่าเผลอแป๊บเดียวเท่านั้น แต่ผมก็ไม่ได้โกรธขึ้งอะไร อันที่จริงก็ดี จะได้มีหลานกับเขา แต่ที่ห่วงก็เพราะกลัวว่าข้าวหอมซึ่งแก่แสนแก่ มันจะเป็นอันตรายเพราะตั้งท้องตอนแก่หรือเปล่าก็เท่านั้น 


"อย่าลืมถ้าครบสามเดือน เอาน้องมาฉีดวัคซีนด้วยนะครับ" พี่หมอดอยบอกผมและวันนี้แหละ ที่ต้องเอาไอ้ตัวเล็กไปหาพี่หมอดอยสักที


วันนี้ผมไม่มีคิวถ่ายละคร จะว่าไป ตั้งแต่ละครเรื่องที่แล้วปิดกล้องไป ผมก็เกือบจะว่าง และดูทีท่าต่อไปในอนาคต ผมก็น่าจะว่างคล้าย ๆ อย่างนี้แหละ


ประการแรก เพราะละครเดี๋ยวนี้มันไม่ค่อยมีคนดู คนเขาหันไปดูละคร ดูหนังจากเน็ตฟลิกซ์กันหมดแล้ว แม้แต่ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ผมเล่นเองผมยังไม่ดูเลย


พอไม่ค่อยมีคนดูละคร สิ่งที่ตามมาก็คือไม่ค่อยมีสปอนเซอร์ ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ มันกระทบกันทั้งระบบ ไม่ใช่แค่ละครแนวจักร ๆ วงศ์ ๆ แม้แต่ละครหลังข่าวทั่วไปก็ได้รับผลกระทบเหมือนกัน เราจึงเห็น ๆ กันอยู่ว่า เดี๋ยวนี้ช่องใหญ่ ๆ เอาละครเก่ามาฉายซ้ำ ไม่ใช่แค่วงการบันเทิงไทย แม้แต่วงการบันเทิงเกาหลี ก็ได้รับผลกระทบเหมือนกัน


ประการที่สองก็คือเรื่องของอายุ ปีนี้ผมอายุยี่สิบเจ็ดเข้าไปแล้ว นับตอนผมเข้ามาในวงการตอนอายุสิบแปด ปีหน้าผมก็จะอยู่ในวงการบันเทิงครบสิบปี สำหรับอาชีพอื่น ๆ ประสบการณ์เป็นสิ่งดี แต่สำหรับวงการบันเทิง ความเยาว์วัย ความสดใหม่ เป็นสิ่งที่คนดูต้องการอยู่เสมอ แม้ว่าอายุยี่สิบเจ็ด จะยังถือว่าไม่มาก แต่ผมคิดว่าถ้าได้ละครเรื่องหน้าผมคงรับบทพ่อของพระเอก หรือไม่ก็ได้รับเชิญเช่นเป็นพระอินทร์แน่ ๆ  ยิ่งตอนนี้ทางค่ายได้ดาราใหม่เป็นเด็กหนุ่มอายุสิบกว่า ๆ เหมือนกับผมตอนเข้าวงการใหม่ ๆ ไม่มีผิด


ผมทำใจมาประมาณหนึ่ง อาศัยว่าความสนิทสนม ความคุ้นเคย กับผู้จัด ประกอบกับผมค่อนข้างเป็นคนมีวินัย ไม่เรื่องมาก เขาจะให้ผมเล่นอะไร ผมก็ทำให้ได้หมด เพราะถือว่าเป็นสปีริต ของนักแสดง ซึ่งหลาย ๆ คนมองว่ามันน่าตลก แต่ผมคิดเสมอว่า ที่ผมมีกินมีใช้จนทุกวันนี้ ก็เพราะการเล่นละครพื้นบ้านแบบนี้นี่แหละ คนเราอย่าไปตัดสินคนอื่นจากสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบเห็นทีจะไม่เข้าท่าเท่าไร แล้วมันก็เป็นอาชีพที่ทำให้ผมมีกินมีใช้ด้วย ผมไม่คิดดูถูกอาชีพตัวเองแน่ ๆ 


ประการที่สามผมคิดว่าผมเริ่มอิ่ม กับการแสดงละครแล้วด้วย เกือบสิบปีเต็ม ๆ ซึ่งดารารุ่นเก่า ๆ ก็เริ่มล้มหายตายจาก บางคนไม่มีงาน บางคนก็ผันตัวไปทำงานอย่างอื่น แต่ผมก็ยังคิดไม่ออก ไม่มีหนทางเลยว่าจะไปทำอะไร แต่ผมกำลังพยายามคิด และพี่ดอยคือไอดอลของผม


"หมอรักสัตว์น่ะครับ ชอบที่ได้เล่นได้เห็นสัตว์น่ารัก ๆ แล้วก็สงสารตอนที่มันไม่สบาย พอรักษาจนพวกมันสุขภาพดี ก็จะดีใจแล้วก็มีความสุขมาก ๆ เขาว่ากันว่า ใครที่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก ก็จะเหมือนคนที่ไม่ต้องทำงานอีกเลย เพราะเราได้ทำสิ่งที่เรารักแบบนั้น แถมยังมีคนเอาเงินมาให้เราอีก" 


ผมก็เลยคิดว่าความคิดของพี่ดอยมันเจ๋งชะมัด




ชีวิตของผมที่ท่าวุ้งสมัยเด็ก ๆ ก็คือชาวบ้านแสนธรรมดา ๆ นี่แหละ ลพบุรีไม่ไกลจากกรุงเทพฯ แต่ก็ไม่ใกล้ แต่ผมก็ไม่ได้คิดเดือดร้อนอะไรเลย 


ผมอยู่กับยาย โดยบ้านของเราเป็นห้องแถวเล็ก ๆ ที่ตลาด ยายซึ่งกระฉับกระเฉง และทำอาหารและขนมอร่อยที่สุดในตลาดท่าวุ้งละมั้ง ยายคุยอวดตัวเองไว้อย่างนั้น โดยมีผมนี่ล่ะเป็นลูกมือ 


ยายเป็นคนรสมือดี ทำอาหารไทย ๆ ได้เก่งฉกาจ โดยมีผมนี่ล่ะเป็นคนช่วยทำทุก ๆ อย่างเท่าที่ยายจะสั่ง จนกับข้าวบางอย่าง ผมก็ทำได้รสมือเหมือนยายไม่มีผิดเพี้ยน


เราสองยายหลานจะตื่นกันตั้งแต่ตีสาม เพื่อจัดแจงเตรียมของ จนราว ๆ เจ็ดโมงเช้าหม้อข้าวแกงของยายก็จะเตรียมพร้อมบนโต๊ะ หม้อแขกหม้อโต ๆ ห้าหกใบ เต็มไปด้วยกับข้าวสารพัดชนิด และลูกค้าซึ่งล้วนแต่เป็นเจ้าประจำ ก็จะมาอุดหนุนไปจนถึงช่วงสาย ๆ กับข้าวของยายก็จะขายหมดไม่มีเหลือหลอ


แต่ยามเย็น ๆ ยายก็จะทำกับข้าวอีกแค่สองสามหม้อเอาไว้ขาย เพราะไม่มีผมช่วย กับขนมซึ่งแล้วแต่ว่ายายคิดอยากจะทำ  โดยพื้น ๆ ก็มักจะเป็นขนมกล้วย ขนมมันสำปะหลัง ขนมเปียกปูน สลับกันไป เพราะมันทำง่าย ๆ ผมเองก็ยังทำได้ช่วยยายทำตั้งแต่ประถม


ตามประสาดารายุคนี้ หนึ่งในเครื่องมือโฆษณาตัวเองก็คือ โซเชียลมีเดีย ซึ่งส่วนมาก ผมก็มักจะโพสต์รูปของข้าวหอม รูปอาหารที่ผมลองทำ รูปของผมในกองละคร และที่แซงทางโค้งตอนนี้ก็คือคลิปของสโนว์บอล ที่เล่นดุ๊กดิ๊ก ๆ ให้แฟนคลับกดไลค์


มันก็ง่ายดีเหมือนกันที่ตอนนี้สปอนเซอร์ มาในรูปแบบของการรีวิวสินค้า และใช่แล้วผมนึกสนุกขึ้นมา ก็เลยอยากจะลองทำคลิปทำอาหารแบบจริง ๆ จัง ๆ ดูสักคลิปหนึ่ง และนั่นก็คือตอนนี้ มันเกิดขึ้นเพราะผมนึกถึงคำของพี่ดอย ที่ให้ทำในสิ่งที่ชอบ ผมชอบทำอาหาร ก็ควรจะทำอาหารให้คนอื่นดู น่าจะสนุกดีเหมือนกัน


สองปีก่อนผมไปเป็นแขกรับเชิญให้กับราชการของ เชฟมะขามป้อม ซึ่งเธอก็เก่งกาจในการทำอาหารแบบสุด ๆ ผมจำได้ว่าเมนูที่ผมไปร่วมรายการคือ เมนูแกงเผ็ดเป็ดย่าง ซึ่งเชฟมะขามป้อมเอ่ยปากชมว่าผมนั้นคล่องเหมือนคนทำอาหารบ่อย


"ผมก็เคยทำบ่อยจริง ๆ น่ะครับสมัยก่อนช่วยยายทำกับข้าวขาย ยายของผมขายข้าวแกง" ผมบอกกับเขาอย่างซื่อ ๆ ผมไม่อยากสร้างภาพ เพราะอะไรที่มันปลอม วันหนึ่งถ้าความจริงมันเปิดเผย ชื่อเสียงที่สะสมมาเป็นป่นปี้แน่นอน ผมก็เลยเลือกจะพูดตรง ๆ อีกอย่างผมโกหกไม่เก่ง และขี้เกียจจำด้วยว่าโกหกอะไร ผมไม่ได้สนใจว่าใครจะดูถูกว่าผมจนมาก่อนหรอกนะ


นึกได้อย่างนี้ผมก็เลยออกไปตลาดตั้งแต่เช้าซื้อวัตถุดิบทั้งของสดต่าง ๆ โชคดีที่ผมนำเงินที่เก็บสะสมจากการทำงานมา ซื้อบ้านเล็ก ๆ แถวอ่อนนุช พี่ผู้กำกับที่สนิทกันแกขายให้ผมราคาไม่แพง เข้าซอยไม่ลึกมาก บ้านหลังเล็กกะทัดรัด มีบริเวณให้ข้าวหอมกับลูกวิ่งเล่นได้ แกให้เหตุผลว่า แกเริ่มแก่ขี้เกียจดูแลขี้เกียจทำความสะอาด ขี้เกียจเดินขึ้นบันได เลยไปซื้อคอนโดที่ติดกับรถไฟฟ้า จะได้เดินทางสะดวก ผมไม่ตัดสินใจนาน รับปากซื้อต่อแกและผมก็รักบ้านหลังนี้มาก ๆ 


ที่ตรงนี้ดี อยู่ในตัวเมืองแต่ก็ค่อนข้างสงบ เพราะเป็นซอยตัน ไม่ไกลจากตลาด และห้างสรรพสินค้า ผมชอบมาเลือกซื้อของสดที่ตลาดเอาไปทำกับข้าวบ่อย ๆ จนแม่ค้าจำผมได้และไม่กรี๊ดกร๊าดเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เพราะมาบ่อยเหลือเกิน


เอาล่ะ ของครบแล้ว ผมก็ต้องจัดเตรียมให้มันดูเข้าทีสักหน่อย ครัวเล็ก ๆ ขนาดกะทัดรัด ผมรีโนเวทใหม่จนสะอาดเช้งวับ ลงทุนซื้อเครื่องครัวและอุปกรณ์ที่ทันสมัยซะด้วยเลยหมดไปหลายบาทเหมือนกัน แต่เอาเถอะ สมัยก่อนผมถ่ายละคร หามรุ่งหามค่ำ ถ้าจะขอให้รางวัลตัวเองบ้างก็ขอให้เป็นห้องครัวสวย ๆ อย่างที่ผมเคยอยากได้ก็แล้วกัน


จัดแจงนำเครื่องเคราต่าง ๆ จัดใส่จานเล็กจานน้อยให้สวย ดูประดิษฐ์นิด ๆ และลองทบทวนว่าจะต้องทำอะไรก่อนหลัง และจะต้องพูดอะไรบ้าง คราวนี้ก็เอาโทรศัพท์มาตั้ง ติดตั้งไฟสำหรับไลฟ์สักหน่อย จากนั้นก็เริ่มกันเลย


"สวัสดีครับ วันนี้สมิงจะมาทำกับข้าวให้คุณ ๆ ทานกัน เมนูวันนี้ของสมิงก็คือ เมนูแกงเผ็ดเป็ดย่างนะครับ ไม่รู้ว่าคุณ ๆ ชอบกินกันหรือเปล่า แต่สมิงชอบกินที่สุด รู้ไหมครับทำไมแกงเผ็ดเป็ดย่าง เขาถึงใส่สับปะรดลงไปด้วย นั่นก็เพราะสมัยก่อนเป็ดย่างจะตัวเล็ก ๆ และเนื้อค่อนข้างเหนียว การที่เราต้มโดยใส่สับปะรดลงไปด้วย จะทำให้เนื้อเป็ดนุ่มขึ้นนั่นเองนะครับ" 


เอาล่ะเปิดเรื่องได้ค่อนข้างดี ผมอัดวิดีโอไว้ ไอ้การตัดต่อง่าย ๆ นี่ผมก็เคยลองให้พี่แผนกตัดต่อเขาสอน ก็เลยทำได้สบายมาก ผมจำความรู้จากเชฟมะขามป้อมที่เคยสอนเมนูนี้ให้ผม จะเรียกว่าขโมยเทคนิคของแกมาก็เห็นจะไม่ผิด


"เริ่มจากผมจะแกงในกระทะนะครับ เพราะจะประหยัดเวลา และสะดวก เริ่มจากเคี่ยวกะทิให้แตกมันนะครับ สมิงใช้หัวกะทิ แหมยังไม่มีสปอนเซอร์เลย ถ้ากะทิกล่องจะสนับสนุน ก็ยินดีนะครับ" ผมหยอดเผื่อสปอนเซอร์เห็น คล้าย ๆ พระเอกลิเกอ้อนแม่ยก 


"เคี่ยวหัวกะทิจนแตกมันเลยนะครับ ไม่ต้องใส่น้ำมันอื่น ๆ แถมน้ำมันจากหัวกะทินี่มีประโยชน์ ไม่เป็นทรานซ์แฟตด้วยนะครับ เคี่ยวให้แตกมันออกมาเลย พูดขนาดนี้แล้ว ถ้ากะทิสักยี่ห้อไม่สนับสนุน ก็ใจแข็งเกินไปแล้ว"


"เคี่ยวกะทิต้องหมั่นคนนะครับ ไม่อย่างนั้นจะไหม้และขม ใช้ไฟอ่อน ๆ เลยนะครับ ส่วนเครื่องแกงนั้นก็มีตะไคร้ หอมแดงเท่ากันกับตะไคร้ กระเทียมไทยใช้แค่ครึ่งเดียวของหัวหอมกับตะไคร้นะครับ ผิวมะกรูดสักหนึ่งช้อนก็พอ ข่าไม่ต้องปอกเปลือกนะครับหั่นเห็นแว่นบาง ๆ และพริกซึ่งจะให้สีแดงสวย ถ้ากลัวเผ็ดก็เราะเมล็ดพริกออกมานะครับ แล้วก็ถ้าอยากให้เผ็ดจัดสักหน่อยก็เพิ่มพริกขี้หนู กะปิ พริกไทยป่น ตัวสุดท้ายก็คือลูกผักชีกับลูกยี่หร่าคั่วเอามาป่นนะครับ" ผมหันไปแนะนำเครื่องปรุงซึ่งผ่านการตวง และวางเป็นระเบียบอยู่ในจาน ยกมาให้กล้องดู โดยอีกมือก็หมั่นคนกะทิไปด้วย


"ทีนี้ก็นำเครื่องทั้งหมดใส่ลงไปในโถ โดยเทน้ำกะทิลงไปด้วยสักครึ่งหนึ่งนะครับ แล้วสมิงก็จะใช้เบลนเดอร์หรือเครื่องปั่นมืออันนี้ง่ายดีนะครับ สะดวก แต่ถ้าบ้านไหนมีครกก็ใช้ครกตำก็ได้ แต่สมิงว่าใช้วิธีนี้มันสะดวกแล้วก็ง่ายดี" ผมอธิบายขั้นตอนถัดไป 


"ถึงตอนนี้กะทิของสมิงก็แตกมันพอดีนะครับ สมิงก็จะใช้เครื่องแกงที่บดแล้ว เทลงในกระทะ อ้อ เครื่องแกงพวกนี้มันจะมีรสปร่าของสมุนไพรนะ ดังนั้นตัวที่จะทำให้ความปร่าลดลง นั่นก็คือน้ำตาลปี๊บนั่นเองนะครับ ใครจะใช้น้ำตาลโตนด หรือน้ำตาลมะพร้าวก็ได้ สังเกตนะครับว่าน้ำมันตรงขอบจะเป็นสีใส ๆ เหมือนตอนแตกมัน ซึ่งแสดงว่าเครื่องแกงของเรายังไม่สุกนะครับ" พูดแล้วผมก็ขยับกล้องอีกตัวที่ตั้งตรงเหนือกระทะเพื่อให้เห็นภาพของแกงตอนกำลังทำ


ถึงตอนนี้ผมก็ขอหยุดคลิปไว้ก่อน แล้วก็ขอดื่มน้ำเย็น ๆ สักรอบ พอหายคอแห้งก็จัดการถ่ายคลิปต่อ และเตรียมเครื่องปรุงสำหรับการอธิบายในขั้นตอนต่อไป


"สำหรับเป็ดย่าง สมิงก็จะหั่นเป็นชิ้น ๆ ถ้าอยากกินให้อร่อยสมิงชอบหั่นชิ้นโต ๆ เลยนะครับ" ผมจัดการปั่นเป็ดย่างหนึ่งตัวจนหมด ซึ่งในคลิปจริง ๆ มันกินเวลาก็เลยหยุดคลิปไว้ก่อน พอหั่นเป็ดหมด ก็จัดแจงเช็ดพวกน้ำเป็ดที่กระเด็นเลอะออกมานอกเขียง คลิปสวย ๆ ต้องดูสะอาดสะอ้านด้วย


"จากนั้นสมิงก็จะหั่นสับปะรดนะครับ อ้อเขียงที่ใช้หั่นเนื้อสัตว์ กับเขียงที่ใช้หั่นผักผลไม้ สมิงจะแยกกันนะครับ ส่วนสับปะรด สมิงซื้อจากร้านรถเข็นธรรมดานี่เองจะได้ประหยัดเวลาไม่ต้องปอกเอง เลือกที่มันสีขาว ๆ หน่อยนะครับ เวลาเคี่ยวแล้วจะได้ไม่เปื่อย สมิงหั่นชิ้นไม่โตนักนะครับ เผื่อเวลาเรากิน จะได้ตักเคี้ยวได้ง่าย ๆ เลย" หั่นสับปะรดเสร็จก็หยุดคลิปอีกรอบ เอ...จะทำคลิปมันก็ไม่ง่ายเหมือนกันแฮะ ผมแอบบ่นในใจ แต่มาครึ่งทางแล้วยังไงก็ต้องทำต่อละวะไอ้สมิงเอ๊ยก็มึงหาเรื่องเองนี่หว่า


"เมื่อเครื่องปรุงเริ่มสุกนะครับเราจะเห็นไขมันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างนี้ และเมื่อเครื่องแกงสุก ผมก็จะเติมกะทิที่เหลือลงไป เพราะเราจะทำแกง เพิ่มไฟแรงเพื่อให้น้ำแกงเดือด จากนั้นก็เทเนื้อเป็ดย่าง สับปะรด ใบมะกรูด ลดไฟลงเป็นไฟอ่อน เพื่อเคี่ยวให้นุ่มทีละน้อยนะครับ" เอาล่ะพอถึงขั้นตอนการเคี่ยวผมก็หยุดคลิป และปล่อยให้ความร้อนทำหน้าที่ของมันต่อไป พร้อมกับเตรียมเครื่องปรุงที่เหลือต่อ


เสียเวลาอยู่พักใหญ่เพื่อเคี่ยวเป็ด คราวนี้ก็ถึงขั้นตอนสุดท้าย


"ถึงขั้นตอนการปรุงรสนะครับ สมิงจะใส่น้ำปลาเพียงเล็กน้อยและใส่ตอนแกงเดือด ๆ นะครับจะได้ไม่มีกลิ่นคาว คนให้เข้ากันแล้วลองชิม เอาล่ะรสได้ที่ละแต่สมิงขอเค็มอีกนิด สมิงเพิ่มเกลือนะครับ อีกนิดนึง แล้วทีนี้ก็ใส่พวก มะเขือพวง มะเขือเทศลูกเล็ก บางคนก็ใส่องุ่นแต่อย่าใส่ไซมัสแคทเชียวนา ไม่ใส่ไม่ว่ากันแต่ขอให้เป็นผลไม้ติดเปรี้ยวนิด ๆ  ใบโหระพา ให้สีเขียวนะครับ สีส้มจากพริกเหลือง สีแดงจากมะเขือเทศ แกงของเราก็จะมีสีสันน่ากิน จากนั้นก็รอจนผักสลด เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้วนะครับ" 


เอาล่ะเป็นอันว่าเสร็จสักที ผมหันมาล้างจานชามที่ใส่พวกเครื่องปรุงใช้แล้วให้สะอาด เช็ดโต๊ะให้เรียบร้อย แล้วก็ควานหาจานชามสวย ๆ ที่ผมชอบซื้อสะสมไว้ ผมคงได้รับสายเลือดของยาย ที่ชอบซื้อจามชามสะสมไว้เยอะที่สุด แต่ไม่ใช่ชามสวย ๆ หรอกนะ ชามพลาสติกเมลามีนธรรมดา ๆ แต่ตอนนี้ผมชอบซื้อจานชามสวย ๆ เผื่อเอาไว้ถ่ายรีวิวของกินและขนม ก็พอดีเอามาได้ใช้ก็อีตอนนี้นี่แหละ


จัดแจงเทเจ้าแกงเผ็ดเป็ดย่างใส่ชามให้เรียบร้อย แกงเผ็ดสีส้มอมแดง ถูกจัดใส่ชามเคลือบอย่างดีสีน้ำเงินสด ให้คู่สีที่ตรงข้ามกัน ผมเคยถามพี่แผนกอาร์ตแล้วแกเคยสอนเรื่องวรรณะคู่สีตรงกันข้ามจะทำให้ภาพดูสวยและมีมิติ แต่ดูมันยังโล้น ๆ ผมก็เลยเดินออกไปนอกบ้าน เด็ดยอดของต้นโมกที่มีดอกติดมาด้วยสักสองสามช่อ วางเคียงอยู่ข้าง ๆ ชาม ตักข้าวสวยที่หุงจนเป็นตัวใส่ชามชุดสีเดียวกัน เลือกช้อนทองเหลืองให้สีมันตัดกับชาม แล้วก็ถ่ายขั้นตอนสุดท้ายก็คือคลิปที่ผมนั่งกินมันอย่างเอร็ดอร่อย โดยไม่ลืมถ่ายภาพนิ่งเสียก่อน เพื่อเอาไว้ทำหน้าปกคลิป และโพสต์รูปลงโซเชียลต่าง ๆ


เอาล่ะเรียบร้อยแล้ว หลังจากผมล้างครัวจนสะอาด ตักแกงเผ็ดเป็ดย่างใส่กล่องอาหาร เพื่อเอาไปฝากพี่ดอยกับพี่ผู้หญิงใจดีอีกคนที่คลินิก บ้านของผมอยู่ฝั่งตรงข้ามกับคลินิกนี่เอง ผมเรียกเจ้าสโนว์บอลแล้วจับมันใส่ตะกร้า อีกมือผมก็ถือถุงผ้าที่บรรจุแกงเผ็ดเป็ดย่างฝีมือของผม แล้วผมก็ค่อย ๆ เดินเพื่อพาเจ้าตัวเล็กไปฉีดวัคซีน


"สวัสดีครับ พาน้องมาฉีดวัคซีน" ผมยิ้มทักทาย และยกตะกร้าให้พี่ผู้หญิงท่าทางใจดีตรงเคาน์เตอร์ได้ดู


"โอ้โห โตไวจังนะคะ แหมแข็งแรงดูร่าเริงเชียว" พี่เขาเอ่ยปากชมในขณะที่เจ้าสโนว์บอลเห่าไม่ยอมหยุด แถมแทะกรงเสียด้วย มันคงอยากออกมาวิ่งข้างนอกมากกว่าจนผมต้องดู


"อ้าวคุณสมิง ได้ยินเสียงแล้วหมอจำได้ พาน้องมาฉีดวัคซีนหรอครับ?" พี่หมอดอยยื่นหน้าออกมาจากห้องตรวจ ผมเห็นหน้าเขาแล้วมันเขินแปลก ๆ แฮะ


"ผมทำแกงเผ็ดเป็ดย่างมาเผื่อด้วยครับ เอามาสองกล่องเลยให้พี่หมอกับพี่คนสวย" ผมพูดพร้อมกับยื่นถุงผ้าให้พี่ผู้หญิงที่ทำหน้าตื่นเต้น


"โอ๊ย เกรงใจจัง แต่ขอบคุณมาก ๆ เลยนะครับ" พี่หมอดอยพูดอย่างเกรงอกเกรงใจ แล้วรับตะกร้าที่ใส่ไอ้ตัวแสบไปถือแทน จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องตรวจ พอดีว่าไม่มีใครเลยผมไม่ต้องต่อคิวใครทั้งนั้น


"ไหนดูซิเรา แข็งแรงดีใช่ไหม?" พี่หมอดอย หยิบลูกหมาตัวจิ๋วออกมาอย่างทะนุถนอม แหกปากของมัน จับโน่นจับนี่ จนสุดท้าย ก็ฉีดวัคซีนให้มันจนมันร้องเอ๋ง ๆ เสียงดังไปสามบ้านแปดบ้าน


"โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะลูก พี่หมอฉีดเข็มนิดเดียวเองไม่เจ็บหรอก เอ้าเพี้ยง ๆๆๆ" เขาพูดแล้วก็เป่าไปที่ตัวของไอ้หมาตัวเล็ก เหมือนต้องมนต์ไอ้หมาตัวแสบหยุดแหกปากทันที  เขายังไม่คืนมันให้ผม แต่กลับอุ้มไว้ในอก ดูหน้าเขาเหมือนตกหลุมรักไอ้สโนว์บอล ไม่สิ ผมว่าเขาคงตกหลุมรักสัตว์ทุกตัวในโลก ตอนนี้เหมือนลืมผมไปเลยด้วยซ้ำ


"คืนนี้พี่หมอจะไปหาอะไรกินที่ไหนอีกหรือเปล่าครับ?" ผมอดจะชวนเขาคุยไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าเขาคุยสนุก และแววตาเวลาที่พี่ดอยฟังผมเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ คือเรื่องที่เขาสนใจจริง ๆ 


จริง ๆ หลังจากที่ผมพาข้าวหอมมาทำคลอด บางครั้งผมทำอาหารซึ่งมักจะทำเหลือเฟือ เอาไปเผื่อคนที่กองถ่าย แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยมีงาน ผมทำอาหารผมไม่รู้จะเอาไปให้ใคร ผมก็เอามาให้พี่ดอยตอนเย็น ๆ เพราะลูกค้าของเขาน้อย แล้วเราก็มักจะได้คุยกันนาน ๆ เสมอ ๆ ผมก็เลยพอจะรู้ว่าถ้าเขาเลิกงาน เขาก็จะปั่นจักรยานไปหาของกิน ถ้าวันไหนผมเอาของกินมาให้เขา เขาก็ไม่ออกไปไหน


"มีของกินแล้วก็ไม่ต้องเหนื่อยออกไปข้างนอกละ" เขาพูดติดตลก แต่ผมรู้สึกว่าผมชักอยากทำอะไรให้เขากินบ่อย ๆ เสียแล้ว ไม่ใช่แค่คำชมที่เขาเอ่ยชมสำหรับอาหารครั้งก่อน และความตื่นเต้นที่ผมทำอาหารจานใหม่มาให้เขา แต่ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนสำคัญ  แต่มันสำคัญแบบไม่ใช่ดารากับแฟนคลับ แต่ผมก็ยังไม่รู้ความรู้สึกนี้มากเท่าไรว่ามันคืออะไรกัน เอาเป็นว่าผมรู้สึกดีก็แล้วกัน


"ผมลองทำแล้วถ่ายคลิปตามที่พี่ดอยแนะนำด้วย เดี๋ยวกลับไปผมจะค่อย ๆ ตัดต่อ คิดว่าไม่น่ายาก" ผมเล่าเรื่องที่ผมทำให้เขาฟัง หลังจากที่เคยบ่นว่าช่วงนี้งานของผมกำลังถึงช่วงขาลง


"เยี่ยมเลย เอาจริง ๆ นะผมว่าคุณสมิงทำอาหารขายก็ยังได้เลย ตั้งแต่ที่ผมลองชิมมา มันอร่อยมาก ๆ แม้แต่เพื่อนของผม ที่เคยเล่าว่ามันกินยากน่ะ มันเคยลองชิมมันยังชมเลยว่าฝีมือคุณสมิงอร่อยเหมือนเชฟมิชลิน" เขาพูดไปเรื่อยหรือเปล่าผมก็ไม่รู้หรอก แต่มันทำเอาผมยิ้มจนตาปิด


"พี่หมออยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าล่ะครับ คือผมก็ยังไม่นึกออกว่า จะทำเมนูอะไรคราวหน้า มีคนช่วยคิดก็ดีเหมือนกัน" ผมพูดไปเพื่อจะดูปฏิกิริยาของเขา


"หมอก็เป็นคนกินง่ายอ่ะเนอะ นึกไม่ออกเหมือนกัน เมื่อวานก็ขี่จักรยานไปกินข้าวมันไก่มา ก็อร่อยดี" 


"ผมก็ทำเป็นนะข้าวมันไก่น่ะ แต่รับรองว่าอร่อยกว่าที่พี่หมอกินที่ร้านแน่นอน แต่น่าจะเป็นมะรืนหรือมะเรื่องนะครับ เดี๋ยวผมโทรบอกพี่หมอดีกว่าถ้าจะเอามาฝาก" 


"จริงหรอ ขอบคุณนะครับ ดีใจจัง"


"ดีใจจัง ดีใจจัง ดีใจจัง" ตายละวา คำว่าดีใจจังของเขาทำเอาหัวใจของผมมันพองโตอะไรได้อย่างนี้กันเนี่ย 


จะดีกว่านี้ถ้าไม่บังเอิญมีคนพาแมวมาทำการรักษาอะไรสักอย่างพี่หมอเลยต้องขอกลับเข้าไปทำงาน ทำหน้าม่อย


"คราวหลังมาตอนเช้า ๆ สิครับ ตอนร้านเปิดน่ะไม่ค่อยมีคนหรอก จะได้คุยกันนาน ๆ อ้อ จะให้คุณสมิงเลี้ยงข้าวอย่างเดียวรู้สึกเอาเปรียบเกินไป คราวหน้าทำแล้วเอามากินด้วยกันดีกว่า ผมจะได้ซื้ออย่างอื่นมาเพิ่มด้วย โอเคไหมครับพาเจ้าสโนว์บอลกับข้าวหอมมาด้วยนะ" พี่หมอพูดจนหัวใจของผมกลับมาฟูอีกครั้ง


ผมเดินกลับบ้านโดยขากลับผมไม่เอาสโนว์บอลใส่ตะกร้า แต่เลือกจะอุ้มมันไว้ในอก มันก็เห่าบ๊อกแบ๊ก และดิ้นของมันตามประสาหมาเด็กซน ๆ 


"นี่สโนว์บอล เอ็งชอบพี่หมอดอยป่ะ พี่หมอใจดีแล้วก็น่ารักดีเนอะ" ผมถามมันเบา ๆ แล้วก็จุ๊บหัวเหม่งทรงแอปเปิลของมัน แต่มันไม่ได้ใส่จำคำพูดของผม และผมก็รู้สึกว่าเหมือนผมพูดกับตัวเองมากกว่าแฮะ