แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาวแฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
อ้าอุไรพธูพบูพิบูลย์ เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ เจริญภาส
ตูสวิงสวายเพราะสายสวาดิ์ ระทวยบ่ปลดระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก
แสนจะเสียวจะส้านณวารวิโยค จะข้ามห้วงบ่ล่วงอโฆ ก็อกกรม
ใคร่เสน่หะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิทร์จะชิดจะชม ณเชิงรัก
เชิญสมรสุมาลย์สมานสมัค ประสานประสงค์ประจง ประจวบใจ ประจักษ์
ผมค่อย ๆ พับกระดาษที่มีลายมือหวัดแกมบรรจงแล้วอมยิ้ม พลางถามมันไปเบา ๆ ว่า
"มึงจีบกูหรอ?"
"เปล่า" มันตอบอย่างว่องไว แต่หน้าแดง คนแปลกประหลาดอย่างนี้ก็มีด้วย
โดย Chavaroj
"มึง ๆ ลงมารับกูไว ๆ อีหอย...กูหิวค่ะ" เสียงกรอกมาตามสายโทรศัพท์ และผมก็ตอบรับอย่างแสนรำคาญนิด ๆ ส่วนเท้าของผมก็รีบสอยเพื่อลงลิฟต์ไปรับอีตัวดีที่เสด็จมาถึงคอนโดของผมภายในเวลาไม่เกินสิบนาทีหลังจากผมส่งรูปแกงเผ็ดเป็ดย่างไปให้มันดู
"สีสันน่ากิน ท่าทางใช้ได้ กลิ่นถูกต้อง" รวีโรจน์เอ่ยปากชมเปาะ ราวกับผู้ตัดสินในรายการแข่งทำอาหาร น่าตบนัก!! ส่วนผมรีบตักข้าวใส่จาน เคียงข้าง ๆ กันด้วยไข่เจียวที่ทำเองระหว่างรอมันขับมอเตอร์ไซค์มาหา เท่านี้ก็เห็นจะพอเพราะพระเอกของเราคือแกงเผ็ดชามใหญ่ ๆ ตรงหน้านี้ มีไข่เจียวแกล้มก็เท่านั้นก็เห็นจะพอไม่ต้องมีอะไรอื่นอีกแล้ว
"อื้อฮืออร่อย... กูละไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพระเอกของมึงจะมีสีมือขนาดนี้นะ นอกจากพ่อกู กูก็ต้องยกให้พ่อสมิง เสด็จพี่ของมึงนี่แหละว่าฝีมือดี" รวีเอ่ยปากชมไปเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ ไป
จะด่าเพื่อนก็ไม่ถนัด อีรวีนั้นเป็นคนมีกรรม แดกยากแดกเย็น พอเจอของอร่อย ก็จะกินเอา ๆ และถ้าไม่มีอะไรให้มันกินได้สักอย่าง รวีมันก็จะเดินไปซื้อแค่นมรสช็อกโกแลตสักกล่องมากินพร้อมทำหน้าเซ็ง ๆ อย่างน่าสงสารคล้าย ๆ หมาหงอยในสมัยเรียน
"สมิงเขาเล่าว่าตอนเด็ก ๆ ก่อนที่จะเป็นดาราน่ะ เขาเคยช่วยยายขายข้าวราดแกงที่ตลาด ขนมเขาก็ทำเป็นนะ" ผมเล่าเรื่องที่เคยคุยกับสมิงให้รวีมันฟัง
"มิน่าล่ะ แต่จับพลัดจับผลูยังไง จากขายข้าวแกงถึงได้มาเป็นดาราวะ อย่าบอกนะว่าเหมือนดาราสมัยก่อนที่ไต่เต้าจากคนจนแสนจน จนสุดท้ายได้เป็นดาราน่ะ หรือเหมือนพวกนักร้องที่กว่าจะได้ร้องเพลง ก็ต้องไปเป็นหางเครื่อง อะไรแบบนั้น มันเก่าไปหรือเปล่าวะ?" รวีตั้งข้อสงสัย
"มันก็ใกล้ ๆ จะอย่างนั้นแหละ คือสมิงเขาเล่าว่า ช่วงนั้นน่ะมันปิดเทอมหรือยังไงนี่แหละ แล้วกองละครเขาไปถ่ายละครที่ลพบุรี แล้วพวกสวัสดิการที่กองเขาไปเดินซื้อของในตลาด เห็นสมิงก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ในร้านข้าวแกง ดูหน่วยก้านเห็นว่าเข้าที เขาก็เลยไปจีบให้เป็นดาราในสังกัด"
"น่ากลัวอยู่นะ โดนหลอกล่ะแย่เลย คนสมัยนี้ยิ่งร้าย ๆ อยู่"
"จริงด้วยมึง แต่สุดท้ายสมิงเขาก็ยอมมาทำงาน แรก ๆ ทำจากตัวประกอบไปก่อน แต่เข้าตากรรมการ เรื่องที่สองเลยได้เป็นพระเอก เขาเล่าว่าเล่นไปแข็งอย่างกับหิน โดนคนด่าเสียไม่มี แต่อาศัยโชคดีว่าหล่อ ก็เลยพยายามพัฒนาฝีมือจนเป็นดาราเต็มตัวในตอนนี้"
"แหมรู้ดีนะยะ" รวีพูดแล้วอมยิ้ม ค้อนให้ผมหนึ่งวง
"ก็เขาเล่าให้ฟังมาอย่างนี้เนอะ เท็จจริงอยู่กับผู้เล่า มึงก็รู้รวีว่ากูเคยดูทีวี เคยดูละครกับเขาที่ไหน วัน ๆ กูก็ดูแต่สารคดีสัตว์โลก เหมือนผัวมึงที่วัน ๆ อ่านแต่หนังสือแหละ" ผมค้อนมันกลับบ้าง
"แหมพูดแล้วก็คิดถึงไอ้อ้วนเลย แต่พรุ่งนี้มันก็กลับแล้วล่ะ กูนะ ถ้าไม่ติดว่ามันเกี่ยวพันกับความเจริญก้าวหน้าทางอาชีพการงานของมันนะ กูไม่ให้มันไปร๊อก ไม่รู้ว่าพอห่างสายตากู จะเข้าข่าย แมวไม่อยู่หนูระเริงหรือเปล่า แต่โชคดี คนที่ไปด้วยกูรู้จัก กูก็เลยให้เขาคอยเป็นสายสืบกรีนแมมบ้าให้น่ะ"
"บ้าน่า...สินมันไม่ซุกซนหรอกน่า ถ้ามันเจ้าชู้มันก็คงมีคนอื่นไปนานแล้วล่ะ" ผมพูดปลอบใจ
"มันชอบของแปลกไง" รวีพูด แล้วคงคิดได้ว่าพูดแล้วเหมือนด่าตัวเอง มันก็เลยกัดริมฝีปาก หันมาซักผมแทน
"ว่าแต่เรื่องผัวกูนี่พอแค่นี้ พูดเรื่องเสด็จพี่มึงต่อ คือตกลงมันยังไง พัฒนาการมันก้าวหน้าไปถึงขั้นไหนแล้ววะ ควรให้กูได้เจอเขาสักแมชนะ จะได้ประเมินว่าเป็นคุณค่าที่คุณคู่ควรหรือเปล่า"
"กูว่ากูสิไม่คู่ควรกับเขา เขาเป็นดาราเลยนะมึง แม่ยกเอย แฟนคลับเอย เต็มบ้านเต็มเมือง แล้วดูหนังหน้ากูสิบ้าน ๆ แบบนี้" ผมออกตัว
"แหม ก็ไม่ขนาดนั้นมั๊ย มึงก็เอ่อ หน้าตาไปวัดไปวาได้น่า แล้วถ้าเขาชอบคนที่หน้าตา มึงอย่าลืมนะว่าเขาอยู่ในวงการบันเทิง คนรอบ ๆ ตัวเขาน่ะ มีแต่คนหน้าตาดี ๆ ทั้งนั้น ถ้าเขาชอบคนที่หน้าตาจริง ๆ ป่านนี้มีเมียไปสองสามคนแล้วมั้ง แต่ที่กูปรึกษาพี่แห้ว คนที่บริษัทกู เขาว่าเขาเป็นแฟนคลับอีตาสมิงอะไรนี่ พี่แห้วเล่าว่า เสด็จพี่ของมึง ไม่เคยมีข่าวอื้อฉาวอะไรเลยสักนิดเดียว เหมือนคนพร้อมจะบวช ว่างมะไหร่ก็เข้าวัดไปปฏิบัติธรรมด้วยนา" รวีรายงาน คนมันมีน้ำใจ ช่วยหาข้อมูล จะไปว่ารวีเป็นคนชอบเสือกเรื่องชาวบ้านก็ไม่เต็มปากนัก
"แต่แหม มึง...เขาเป็นดารา แต่เราน่ะมันคนเดินดิน เหมือนอยู่คนละโลก อยู่ดาวคนละดวงเลยนะ เขาจะชอบกูจริงหรอ แล้วอีกอย่าง ถึงชอบกันจริง มึงคิดว่ามันจะยั่งยืนหรือเปล่า" ผมพูดสิ่งที่กังวลออกไป ใจจริงผมก็รู้สึกถูกชะตากับเขามาก ๆ นะ เขามาพูดมาคุยด้วย มันทำให้ผมใจเต้นแรงทุกที อาศัยเป็นคนเก็บอาการเก่ง และที่สำคัญอาศัยหมาแมวคอยปิดบังความประหม่าเลยต้องทำเป็นเล่นหมาเล่นแมวยามเมื่อต้องคุยกับเขา สารภาพตรง ๆ ว่าเจอกันหลาย ๆ ครั้งผมไม่กล้ามองหน้าเขาตรง ๆ เลยสักที แค่เห็นเขายิ้ม เห็นฟันขาว ๆ ผมก็จะเป็นลมเสียให้ได้แล้ว
"แต่กูว่าเขาคิดอะไรกับมึงแน่ ไอ้มาหาบ่อย ๆ ทำอะไรมาให้กินแบบนี้ คนไม่คิดอะไรเขาไม่ทำกันหรอก" รวีฟันธง ท่าทางคืนนี้มันจะมานอนค้างที่ห้องผมแน่ ๆ เพราะมาในชุดนอนเลย
"เออ เดี๋ยวค่อยคุยกันต่อขอล้างจานก่อน ตกลงมึงนอนค้างห้องกูใช่ไหม?"
"เออสิ เราต้องวางแผนเผด็จศึกเสด็จพี่สมิงของมึงให้ได้ค่ะ" รวีมันพูดแล้วก็ถือวิสาสะเข้าไปนอนเค้เก้ในห้องนอนของผมเลย ส่วนผมขอล้างจานแปรงฟันและทาครีมก่อนนอนเสียก่อน แล้วจึงเข้าไปนอนในห้องนอน โดยแน่ล่ะรวีมันนอนที่พื้น ส่วนผมนอนบนเตียงเพราะผมไม่ชอบนอนเตียงใหญ่ ๆ รวีเองถ้าผัวมันไม่อยู่มันก็มานอนค้างที่ห้องผมเสมอ ๆ อยู่แล้ว
"รวีอย่าขี้เกียจไปแปรงฟันก่อนไป เดี๋ยวฟันผุ" ผมไล่มันอยู่ทีสองที จนมันบ่นกระปอดกระแปดแล้วเดินไปแปรงฟัน แต่ด้วยความไวแสง แป๊บเดียวมันก็กลับมาทิ้งตัวนอน
ผลการพูดคุย ผมบอกรวีไปว่า มะรืนมะเรื่อง สมิงเขาจะทำข้าวมันไก่มาให้ผมกิน ผมก็ตอบรับเขาไปแล้วและเขาสัญญาว่าจะเอามาให้ในตอนเช้า
"ไม่เข้าถ้ำเสือจะได้ลูกเสือได้ยังไง กูว่ามึงบุกไปบ้านเขาเลยดีกว่า บ้านเขาอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ไม่ใช่เหรอ?" รวีเสนอความเห็น
"ไม่ดีมั้ง จู่ ๆ จะไปบ้านคนอื่น เดี๋ยวเขาจะว่าเราเสียมารยาท" ผมค้านออกไป
"อรั๊ย เสียเสออะไร เสด็จพี่มึงรู้ว่ามึงจะไปบ้านเขา ขี้คร้านพ่อจะดีใจเสียด้วยซ้ำ เชื่อกูสิ การไปมาหาสู่กัน มันก็แสดงถึงความสัมพันธ์ที่มันก้าวหน้า ยิ่งเขาบอกจะทำข้าวมันไก่ให้มึงกิน มึงก็สมอ้างไปเลย .......เอ่อ ก็บอกให้เขาสอนมึงซะเลยสิ ไม่ให้น่าเกลียดมึงก็ซื้อพวกวัตถุดิบไปด้วยซะเลย ดีทั้งสองฝ่าย จริงมั๊ย?"
"เออว่ะ เข้าที มึงนี่มันหัวแหลม" ผมเอ่ยปากชม
"หัวแหลมเขาเอาไว้ใช้กับลิงไม่ใช่เหรอไอ้หมอดอยหมึง" รวีพูดอย่างพื้นเสีย ส่วนผมหัวเราะกิ๊ก เพราะรวีมันมีจุดอ่อนที่กะโหลกศีรษะ ยิ่งตอนเด็ก ๆ รวีมันตัวเล็ก ๆ ผอม ๆ หัวโต ๆ พวกเราเลยชอบล้อเรื่องหัวกบาลของมัน
"อ้อ แล้วถ้าให้ดีนะ กูรู้ละ เราต้องทำให้เหตุการณ์มันเหมือนบังเอิญ เช้าวันเสาร์น่ะ ปกติกูกับไอ้อ้วนชอบไปซื้อกับข้าวที่ตลาดข้างพาราไดซ์ กูก็จะสมอ้างว่ากูซื้อของไปฝากมึง แล้วมึงก็บอกให้กูเอาไปส่งมึงที่บ้านของเขา อีตาสมิงจะยังไง ในฐานะเจ้าของบ้าน เขาก็ต้องชวนกูกินข้าวที่บ้านของอี คราวนี้ จะมีอีกสี่ตา คอยช่วยพินิจอีตานี่ ดีมั๊ย แต่กูว่าดีนะ ฮิฮิ"
"กูว่าเพราะมึงอยากกินข้าวมันไก่ฝีมือเขากับอยากจะเสือกเรื่องบ้านของเขามากกว่า มึงบอกเองว่าให้กูเป็นกูซื้อเครื่อง เดี๋ยวทำเสร็จแล้ว กูห่อเอามาฝากมึงที่บ้านก็ได้ เกรงใจเขาน่า" ผมค้านเพราะรู้สึกว่ามันชักจะเลยเถิด แต่รวีมันก็ยังเห็นว่าความคิดของมันดีที่สุด เถียงกันไปเถียงกันมา จนไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน
เช้าวันรุ่งขึ้นผมเบื่อที่สุดที่ต้องปลุกรวีให้มันตื่น พวกเราทุกคนรู้ว่ารวีนอนขี้เซา แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะขี้เซาเหมือนตายอย่างนี้ ขนาดรวีมันตั้งนาฬิกาปลุกส่วนตัวแล้วด้วยนะ เพราะมันต้องกลับไปที่คอนโดของมันเพื่ออาบน้ำแต่งตัวแล้วจึงไปทำงาน ดีแค่ไหนที่ออฟฟิศของรวีอยู่ห่างไปแค่ห้านาที
ส่วนผมพออาบน้ำแต่งตัวหลังจากวิ่งออกกำลังตอนเช้าแล้ว นึกถึงแผนการของรวีโรจน์ ขงเบ้งกลับชาติมาเกิด ก็เลยต้องทำตามแผนสักหน่อย ผมจัดแจงส่งข้อความไปหาสมิง เอ่ยปากชมว่าแกงเผ็ดเป็ดย่างฝีมือเขาอร่อยมาก ๆ แม้แต่รวีโรจน์คนที่กินยากที่สุดในโลก ก็มากินด้วยเมื่อคืนยังชมเปาะ
และเพียงสามวินาทีหลังจากข้อความขึ้นว่าถูกอ่านแล้ว เขาก็โทรศัพท์มาหาผมทันที
"เอ่อมีอะไรหรือเปล่าครับ?" ผมถามเขาเมื่อเขาโทรมา มือและเสียงของผมสั่นนิด ๆ
"ผมขี้เกียจพิมพ์น่ะ เลยคิดว่าโทรคุยดีกว่า พี่หมอสะดวกคุยใช่ไหมครับ ผมจะถามด้วยว่ากินแล้วต้องแก้ไขอะไรอีกหรือเปล่า?"
"สะดวกครับ..สะดวก เอ่อ ไม่มีอะไรให้ปรับหรอกครับอร่อยจะตายไป ...คุณสมิง ตกลงพรุ่งนี้เช้า คุณสมิงจะทำข้าวมันไก่ใช่ไหมครับ?"
"ครับ พี่หมอไม่สะดวกหรือครับ?" เขาถามด้วยน้ำเสียงผิดหวัง
"ไม่ใช่ ๆ คืออย่างนี้ ผมเกรงใจคุณสมิงน่ะ ทำอะไรให้ผมกินตั้งเยอะแยะแล้ว อีกอย่างผมอยากลองฝึกทำด้วย ถ้ายังไง ผมไปซื้อเครื่องปรุงแล้ว ผมเอาไปให้คุณสมิงสอนได้ไหมครับ?" นี่ยังดีว่าซักซ้อมบทพูดแล้วนะ เลยพูดได้ไม่ติดขัด แต่สารภาพตรง ๆ ว่าตอนพูดผมใช้มือกำขากางเกงตัวเองจนแน่นเลยทีเดียว
"อ๋อ... ไม่ต้องเกรงใจเลย ผมซื้อเองก็ได้ ผมกลัวพี่หมอซื้อแล้วได้ของไม่ตรงตามสเปค เอาอย่างนี้ดีกว่า พรุ่งนี้เราไปซื้อของที่ตลาดด้วยกันดีไหมครับ ไปตอนเช้า ๆ ตลาดอ่อนนุชแค่นี้เอง"
"เอ่อก็ได้ครับ......"
ผมพูดคุยนัดแนะกับเขา บทมันจะลงล็อก ก็ง่ายดายราวกับเรื่องที่รวีมันคาดการณ์ไว้เสียอย่างนั้น สมแล้วที่พวกเราเรียกมันว่า ขงเบ้งกลับชาติมาเกิด
ผมขับรถคันเล็กไปรับเขาที่บ้าน เห็นบ้านของเขาเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ ดูกะทัดรัด รั้วบ้านเป็นต้นโมกสูงเสมอเอว มีต้นไม้ร่มครึ้มเป็นฉากหลัง
"บ้านคุณสมิงน่ารักจัง" ผมเอ่ยปากชมอย่างจริงใจ
"เหมือนบ้านในฝันเลยไหมครับ ผมซื้อต่อพี่ผู้กำกับเขามา เห็นครั้งแรกผมก็ตกหลุมรักเลย และพี่เขาก็ขายให้ผมราคาถูกมาก บ้านก็ทำมาอย่างดี ผมแทบไม่ต้องทำอะไรเลย ปลูกต้นไม้เพิ่มกับทำครัวใหม่แค่นั้นเอง" เขาพูดแล้วก็ยิ้มเห็นฟันขาว ส่วนผมต้องโฟกัสสายตากับเส้นทาง เราคุยกันเรื่องของเจ้าสโนว์บอล และยายข้าวหอม เพราะไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องอะไรกันนอกจากนี้ แต่ผมชอบฟังเสียงพูดของเขานะ เขาพูดไม่ช้าไม่เร็ว แต่น้ำเสียงเพราะเหมือนคนพากย์โขน คือมีจังหวะจะโคนและมีพลัง ฟังได้ไม่เบื่อ
เราเดินในตลาด ซื้อของสดของแห้ง ผมซื้อไก่สดไปตั้งสองตัว ก็แน่ล่ะ เดี๋ยวทั้งรวีทั้งศศิน ผมต้องเอาไปฝากมันทั้งคู่ กะว่าให้มันสองคนกินหนึ่งตัวเต็ม ๆ ไปเลย
พอขับรถมาจอดที่หน้าบ้าน ช่วยกันสองคนยกของที่ซื้อมาจนเต็มสองแขน เสียงเจ้าสโนว์บอล กับข้าวหอม เห่าอย่างดีใจเมื่อเห็นว่าเจ้าของกลับมาแล้ว ผมค่อย ๆ ย่างเท้ามาตามทางซึ่งโรยกรวดสีขาว จนเข้าไปถึงในบ้านซึ่งเล็กกะทัดรัด อดจะมองไปรอบ ๆ เพื่อสำรวจในบ้านของเขาเสียไม่ได้
ต้องยอมรับว่าในบ้านของเขา ไม่ได้มีเฟอร์นิเจอร์แพง ๆ อะไรเลยสักชิ้น แต่บ้านดูสะอาดสะอ้าน สบายตา ด้านหนึ่งเยื้องกับห้องรับแขก มีชั้นซึ่งตั้งพระพุทธรูป และรูปเคารพ มีแจกันซึ่งประดับดอกไม้ เลยเข้าไปมีโต๊ะกินข้าวขนาดกลาง และครัวที่ค่อนข้างจะอลังการ
"บ้านคุณสมิงน่ารักจัง แต่ครัวทันสมัยแล้วก็สวยด้วย" ผมเอ่ยปากชมอย่างจริงใจ พร้อมกับยื่นวัตถุดิบให้เขาเอาไปวางบนโต๊ะ มองไปที่บานหน้าต่างซึ่งแขวนผ้าม่านสีขาวโปร่งแบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าผ้าตาพริกไทย เฟอร์นิเจอร์สีครีม และข้าวของเครื่องใช้ในบ้านส่วนใหญ่จะเป็นสีขาวครีมเกือบทั้งหมด
"ผมชอบทำครัวน่ะ เลยทำให้มันดี ๆ ไปเลย เคยไปออกรายการทำอาหาร แล้วผมชอบที่เขามีทั้งเตาอบ เตาปิ้ง เลยติดต่อให้เขามาทำให้เสียเลย" พระเอกคุยอวด
"มาครับ เรามาเริ่มทำกันเลย เดี๋ยวรีบทำรีบกิน พี่หมอจะได้รีบกลับไปทำงาน" เขาตั้งท่า พับแขนเสื้อให้ทะมัดทะแมง แล้วก็เดินมาพับแขนเสื้อให้ผมด้วย ผมเขินจะตายอยู่แล้ว ตายละวา สงสัยแผนที่รวีมันวางไว้ให้มีตัวมันอยู่ด้วยน่าจะเข้าที ถ้าอยู่กันสองต่อสองแบบนี้ผมเห็นทีต้องทำอะไรเปิ่น ๆ แน่ ๆ
"สวมผ้ากันเปื้อนด้วยครับ" เขาพูดแค่นั้นยังไม่พอ ยังคล้องผ้ากันเปื้อนให้ผม แล้วก็เดินไปด้านหลัง ผูกมันให้กระชับ แล้วก็ผูกของตัวเอง
"เดี๋ยวผมหั่นไก่ก่อน จะให้พี่หมอทำอะไรดีหนอ อ้อ...ผมว่าพี่หมอหั่นผัก ก่อนดีกว่า เดี๋ยวเราเตรียมน้ำซุปก่อน หั่นฟักเขียวเป็นไหมครับ" เขาถามและผมก็ยิ้มแห้ง ๆ เกิดมาก็เคยแต่ซื้อเขากิน จะไปทำเป็นได้ยังไง ครั้งสุดท้ายที่ใช้เตาไมโครเวฟที่ห้องเพื่อทำอาหารก็คือต้มมาม่าซึ่งมันเกิดเมื่อสามเดือนที่แล้วโน่น
"ปอกเปลือกด้วยมีดปอกนะครับ แล้วก็หั่นแบบนี้นะครับ" เขาสาธิตวิธีทำ ส่วนผมก็พยักหน้าหงึกหงัก ๆ จนเมื่อเขาปล่อยมือ ผมก็ทำด้วยท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ สมิงมองผมแล้วก็อมยิ้ม ส่วนผมเม้มปากด้วยความพยายาม กว่าจะปอกฟักเขียวจนหมด หั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วก็ควักไส้ ผมก็เหงื่อแตกเหงื่อแตนราวกับไปออกรบ
"เหงื่อออกแล้วครับ เดี๋ยวผมเปิดพัดลมให้ดีกว่า" เขาว่าเดินไปเปิดพัดลม แล้วก็ไม่ลืมจะหยิบผ้ามาซับเหงื่อให้ผม ตายโหงแล้ว เขาซับเหงื่อให้ผมไอ้ผมก็เผลอไปจ้องหน้าเขาตรง ๆ คิ้วเข้ม ๆ ที่เข้มจัดตากลมโตนั่นอีก ไหนจะจมูกโด่งเหมือนคนทำศัลยกรรมจากหมอที่เกาหลีที่สุด แต่ไอ้สิ่งที่ร้ายกาจที่สุดก็คือ เขาคลี่ยิ้มแล้ว แล้วผมก็เผลอมองเห็นรอยยิ้มของเขาห่างจากผมประมาณแค่สิบเซนติเมตร ตายแล้ว ดอยจะเป็นลม พ่อจ๋าแม่จ๋า โอ๊ย ยายจ๋า ช่วยดอยด้วย
"พี่หมอหน้าแดงหมดแล้ว เดี๋ยวผมไปเร่งพัดลมให้อีกหน่อยดีกว่า" เขาพูดกลั้วเสียงหัวเราะ และหันหลังไปเพิ่มความแรงของพัดลม ส่วนผมต้องพยายามสูดหายใจลึก ๆ เพื่อตั้งสติ หัวใจเอ๊ย จะหยุดเต้นเสียเฉย ๆ กูก็ไม่แปลกใจนะ
เอาล่ะ ไอ้เรื่องยากที่สุดของผมมันผ่านพ้นไปแล้ว คราวนี้พ่อครัวสมิง ให้ผมทำหน้าที่ล้างผักง่าย ๆ แตงกวา ต้นหอม ผักชี ขิง ล้างให้สะอาด แล้วก็ใส่ตะกร้าพักไว้
"ทำน้ำแกงก่อนนะครับ เราก็เอาไก่นี่แหละลงไปต้มทั้งตัวเลย แต่ผมอยากจะให้มันมากหน่อยทำน้ำสต๊อกไปด้วยซะเลย ผมก็เลยซื้อโครงไก่เพิ่มมาด้วย ใช้ไฟกลาง ใส่โครงไก่ลงไปก่อน แล้วก็เติมเกลือลงไปเล็กน้อย ใส่สามเกลอ เอารากผักชีที่เหลือนั่นล่ะครับโยนลงไปเลย แล้วก็กระเทียมก็ใส่ไปทั้งหัวได้เลย พริกไทยผมว่าใส่เป็นเม็ด ๆ ไปเลย พริกไทยดำใส่แล้วมันหอมดี คราวนี้เดี๋ยวพี่หมอคอยดูตอนน้ำมันเดือดนะครับ ถ้ามีฟองก็ค่อย ๆ ช้อนฟองทิ้งนะ" เขาสอนและท้ายสุดยื่นทัพพีมาให้ผมถือ ยืนดูผมค่อย ๆ ช้อนฟองที่กำลังลอยปุด ๆ ออกไปทิ้ง
"ตรงน้ำมันนี่ก็ทิ้งไปได้ครับ จับทัพพีดี ๆ ครับเดี๋ยวมันลวกมือ" พูดแล้วก็ไม่พูดเปล่า พ่อเอามือมาจับมือของผมแล้วช้อนออกเบา ๆ ด้วย คราวนี้มือจับมือ ดอยแทบจะเป็นลมอีกแล้วจ้ายายจ๋า
เดชะบุญที่เขาทิ้งจากหม้อน้ำซุปไปเตรียมน้ำมันไก่ ปากเขาก็อธิบายอะไรไปไม่รู้แหละ แต่ผมก็ทำหน้างึก ๆ งัก ๆ สารภาพตรง ๆ ว่าเข้าหูซ้ายออกหูขวา จำอะไรไม่ได้สักอย่างหนึ่งเลย
คุ้น ๆ ว่าเจียวน้ำมันจากไก่แล้วก็เอาไปใส่ข้าวที่กำลังหุง ก็เขาพูดไปทำไป ส่วนผมก็ชะโงกดู จับโน่นจับนี่ยื่นให้เขาตามที่เขาจะสั่ง จนสุดท้ายก็เหลือแค่รอเวลา
"พี่หมอท่าจะร้อน ผมก็ลืมไปถนัดเลย เดี๋ยวผมไปเอาน้ำเย็น ๆ ให้ รอแป๊บนึงนะครับ" เขาพูดและเดินไปหยิบแก้วส่วนผมตอนนี้ รับบทสายลับ พิมพ์ไปหารวีว่ากำลังทำข้าวมันไก่อยู่
"โอเครับสายด้วย" รวีพิมพ์กลับมาในเวลาอันรวดเร็ว และสามวินาทีหลังจากนั้นโทรศัพท์ของผมก็ดัง ผมทำทีเป็นรับโทรศัพท์ไม่สะดวก เลยต้องเปิดลำโพงให้เจ้าของบ้านได้ยิน
"ฮาโหลมึงอยู่บ้านใช่ป่ะ กูกับสินกำลังจะกลับบ้าน จะไปกินข้าวเช้ากับมึง กูซื้อของกินมาเพียบเลย สินมันเพิ่งกลับมาจากฝรั่งเศส บ่นคิดถึงมึงสุด ๆ" รวีพูดเสียงใสเหมือนกับเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องแต่ง
"เอ่อ กูไม่ได้อยู่ห้อง กูมาข้างนอก มาเรียนทำข้าวมันไก่ คุณสมิงที่กูเคยเล่าให้มึงฟังน่ะ เขาสอนกูทำข้าวมันไก่ นี่กูจะเอาไปฝากมึงด้วยไง" ผมละอยากหยิกตัวเอง ทีแรกก็ตั้งใจไม่อยากให้รวีมันมาวุ่นวายที่นี่ แต่ไหงพูดตามบทที่รวีมันวางไว้เสียอย่างนั้น
ครั้นหันไปมองสมิง ที่ถือแก้วน้ำที่มีน้ำแข็งอยู่ในมือ เจ้าตัวก็ยิ้มให้ผมอีกแล้ว
"ให้มาที่บ้านผมก็ได้ มากินข้าวด้วยกันก็ได้ครับ ทำตั้งเยอะแยะ" เขาพูดแบบนั้นรวีมันก็ได้ยิน แต่อีนี่มันร้าย
"โอ๊ยตายน่าเกลียด เกรงใจ เอาอย่างนี้กูแค่เอาของไปให้มึงกินกับเอาของฝากของสินไปให้มึงก็พอ พอดีเดี๋ยวสาย ๆ กูกับสินจะไปหาคุณย่าน่ะ เนี่ยกูจะถึงคอนโดมึงละ ตอนนี้มึงอยู่ไหนนะ" รวีพูดและผมไม่ก็ยิ้มแห้ง ๆ
"อยู่ซอยXXXครับเข้ามากลางซอยเลย บ้านที่มีรั้วเป็นต้นไม้มีบ้านเดียวครับ เข้ามาอยู่ขวามือ" สมิงพูดกับรวี และอึดใจเดียว รวีมันก็ขี่มอเตอร์ไซค์มาพร้อมกับสินที่นั่งซ้อนท้ายข้างหลัง
"สวัสดีครับ นี่น่ะเหรอคุณสมิง โหย ตัวจริงหล่อกว่าในทีวีอีกนะ พี่ชื่อรวีเพื่อนอีหมอดอยมัน ส่วนนี่ศศินผัวพี่เอง" รวีแนะนำตัวเสร็จสรรพ แล้วก็เดินเข้ามาถึงในบ้านของสมิงทำราวกับรู้จักเขามานานส่วนผม อยากจะเป็นลม
"พี่แค่เอาของมาให้ แหมทำอะไรทำไมมันหอมอย่างนี้เนี่ย" รวีชักจะเกินเลย เดินย่อง ๆ ไปจนถึงครัว ชะโงกไปดูไก่ต้มที่กำลังเดือดปุด ๆ
"อยู่กินด้วยกันก็ได้ครับ กินหลาย ๆ คนสนุกดี" สมิงพูดและยิ้มแห้ง ๆ
"เกรงใจ/เกรงใจ" รวีกับศศินพูดพร้อมกัน แต่น้ำเสียงของศศินดูออกว่าเกรงใจจริง ๆ ส่วนรวีนั้นหน้าของมันดูก็รู้ว่าตอแหล
ท้ายที่สุด เชฟสมิงก็จัดแจงจัดข้าวมันไก่ใส่ชามอย่างเรียบร้อย ไก่ถูกสับเป็นชิ้น ๆ อย่างสวยงาม ร้อนฉ่าจนมีควันฉุยออกมา รวมถึงข้าวมันที่ถูกคดใส่ถ้วย แล้วก็โปะมาบนจาน มีควันหอมฉุยลอยเอื่อยเช่นกัน ข้าง ๆ มีถ้วยน้ำซุปให้ซดคล่องคอ ฟักชิ้นโต ๆ ถูกต้มจนเปื่อยนุ่ม มีผักชีกับต้นหอมซอย ลอยเท้งเต้งเป็นฝา และโรยพริกไทยอีกชั้นหนึ่ง
"น่ากินที่สุดในโลกเนอะมึง" รวีโวยวาย และหันหน้ามาหาผมเพื่อขอความเห็น
"คุณสมิงเขาทำอร่อยอยู่แล้วน่า" ผมพูดแล้วก็หันไปยิ้มให้เชฟสมิงซึ่งตอนนี้ยิ้มฟันข้าวใส่ผมอีกแล้ว แต่รอบนี้ผมหลบสายตาทัน รอดตัวไปหนึ่งหน
รวีกินไปคุยไป มองโน่นมองนี่ ซักถามสมิงเสียจนผมอยากยืนมือไปแอบหยิกต้นขามันตั้งหลายที ถามอะไรแบบนี้ แต่สมิงกลับชอบใจ ตอบไปหัวเราะไป ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาแค่อาหารหนึ่งมื้อจะทำให้เราสี่คนเป็นเหมือนคนสนิท ที่รู้จักกันมานานนับปี แผนแรกของรวีสำเร็จไปด้วยดี ส่วนผมได้แต่พยายามแอบกลั้นยิ้ม แล้วก็แอบชำเลืองมองสมิงเป็นระยะ ๆ ยังดีว่ามีกรอบแว่นที่ช่วยพรางสายตาของผม ไม่อย่างนั้นผมแย่แน่ ๆ ส่วนอีตัววางแผน ก็ยักคิ้วให้ผมราวกับตัวเองเป็นผู้ชนะ