แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาวแฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
อ้าอุไรพธูพบูพิบูลย์ เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ เจริญภาส
ตูสวิงสวายเพราะสายสวาดิ์ ระทวยบ่ปลดระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก
แสนจะเสียวจะส้านณวารวิโยค จะข้ามห้วงบ่ล่วงอโฆ ก็อกกรม
ใคร่เสน่หะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิทร์จะชิดจะชม ณเชิงรัก
เชิญสมรสุมาลย์สมานสมัค ประสานประสงค์ประจง ประจวบใจ ประจักษ์
ผมค่อย ๆ พับกระดาษที่มีลายมือหวัดแกมบรรจงแล้วอมยิ้ม พลางถามมันไปเบา ๆ ว่า
"มึงจีบกูหรอ?"
"เปล่า" มันตอบอย่างว่องไว แต่หน้าแดง คนแปลกประหลาดอย่างนี้ก็มีด้วย
โดย Chavaroj
ผมว่าผมเป็นคนโชคดีที่สุดในโลกคนหนึ่ง ที่มีทุกวันนี้ได้ ก็เพราะมีคนที่รักผมมากมาย จะเรียกเขาว่าพ่อยกแม่ยก แฟนคลับ หรือซัพพอร์ตเตอร์ อะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ
เพียงแต่กลุ่มแฟนคลับของผมจะเป็นอีกกลุ่มเฉพาะกลุ่มหนึ่ง ไม่เหมือนดาราวัยรุ่นทั้งหลาย แต่แฟน ๆ ของผมถ้าไม่เป็นเด็ก ๆ เล็ก ๆ ไปเลย ก็เป็นคุณลุงคุณป้าเรื่อยไปจนถึงคุณตาคุณยาย ที่ยามเช้า ๆ ก็จะเปิดละครพื้นบ้านดูก่อนดูรายการอื่น ๆ
ดาราวัยรุ่น เขาได้ของขวัญจากแฟนคลับ เป็นของแบรนด์เนม กระเป๋ารองเท้า เสื้อผ้าแพง ๆ หรือเป็นเงินทองข้าวของ แต่ของขวัญจากแฟนคลับของผม ส่วนใหญ่จะเป็นของที่ทำให้ผมได้แต่อมยิ้ม เพราะแม้ว่าจะไม่ได้มีราคาค่างวด แต่มันเปี่ยมไปด้วยน้ำจิตน้ำใจ ปลาร้าหมักเองใส่ไหใบเล็ก ๆ หีบห่อมาอย่างมิดชิด แต่ก็ยังแอบมีกลิ่นซึมออกมาจนได้ แต่ตอนรับพัสดุ พนักงานส่งของ มองหน้าผมแปลก ๆ และผมว่าเขาแอบหัวเราะเยาะผมซะด้วย
แต่ที่ร้ายคือเคยมีคนส่งปลาแดดเดียวมาให้ แล้วจะโทษแฟนคลับก็ไม่ได้ พอดีช่วงนั้นมันเป็นหน้าฝน คงเกิดความผิดพลาดทางเทคนิค พัสดุของผมมีกลิ่นเหม็นเน่าราวกับหนูตาย ก็เคยมีมาแล้ว พี่พนักงานส่งของบอกว่าแตกตื่นกันทั้งโกดังเลยทีเดียว
หรือถ้าไปเดินที่ไหน ไม่ว่าจะตลาดหรือห้างดัง ๆ ก็จะมีคนมายิ้ม มาถ่ายรูป ลูบหัวลูบหลังให้ศีลให้พร หรือถ้าเป็นเด็ก ๆ ก็จะขอให้ผมอุ้มก็มีอยู่เป็นประจำ
สิ่งเหล่านี้ ความรักเหล่านี้ ผมซาบซึ้งกับความรักความเมตตาที่มีให้ผมมาเสมอ นั่นเลยทำให้การตัดสินใจเฟดตัวออกจากวงการของผมยืดเยื้อมาจนถึงตอนนี้จะเลิกงานในวงการบันเทิงเสียเลย พอไปเดินตลาด ลุง ๆ ป้า ๆ ก็ถามว่าเมื่อไรจะมีละครที่ผมเล่นสักที ผมก็ได้แต่ยิ้ม ๆ ให้ไม่กล้าตอบว่าผมอยากจะเลิกเต็มที่แล้ว
"ผมขอพักสักครึ่งปีนะครับป๋า" ผมไปอ้อนกับผู้มีพระคุณ ที่ในวงการทุก ๆ คนเรียกท่านว่าป๋า เพราะท่านเป็นผู้จัดละครรายแรก ๆ ที่ทำละครป้อนช่องโทรทัศน์ โดยปัจจุบันลูก ๆ ของท่านเป็นคนรับหน้าที่สร้างหนังต่อจากท่าน แต่ละคนก็สร้างหนังกันไปคนละแนว แต่น้าศักดิ์ลูกชายคนโตจากแม่ใหญ่นั้นมีผมเป็นพระเอกคู่บุญ เพราะแนวถนัดของแกคือหนังจักร ๆ วงศ์ ๆ
"คนเรามันถึงจุดอิ่มตัวกันได้นะไอ้สมิงเอ๊ย" ป๋าพูดกับผมอย่างคนเข้าใจโลก ก็ท่านผ่านการปั้นดารามานับสิบ เรียกว่าครึ่งวงการละครพื้นบ้านก็มาจากฝีมือของท่าน
และก็ได้ป๋าอีกเหมือนกันที่คอยเคี่ยวเข็ญ พร่ำสอน พร่ำด่า ไม่ให้ผมเป็นคน "เหลิง" ยามเมื่อมีชื่อเสียง หรือไม่ "สลด" ยามเมื่อชื่อเสียงของผมมันตกต่ำลง หรือมีคนใหม่ ๆ ที่ดังกว่ามาแทนที่
"ของมันเป็นธรรมดาลูก แต่ช่วงที่น้ำขึ้นก็ให้รีบตัก อย่าเห่อเหิม อย่าฟุ่มเฟือย อย่าไปหลงกับกิเลส ผู้หญิงเอยความรักเอย ถ้าไม่คิดจะรักกันจริง ๆ ก็อย่าเพ่อไปมีเลยลูก หรือถ้าจะมีจริง ๆ ก็ไปหาคนนอกวงการ อยู่วงการเดียวกัน ก็รู้ไส้รู้พุงกันหมดอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดอะไรมากเนอะ" ป๋าพูดแล้วก็ตบไหล่ผมเบา ๆ
"ครับป๋า" ผมรับคำ และยิ้มกว้างให้แก วันนี้บ้านของป๋าดูเงียบ ๆ ไม่ครึกครื้นเหมือนทุกที เห็นเพียงแม่ดา ภรรยาคนที่สองของแกที่เดินเข้าเดินออกอยู่หลังบ้าน ป๋าแกมีเมียตั้งห้าคน แต่แปลกว่าอยู่ด้วยกันไม่มีปัญหาอะไร
"มันจะไม่มีได้ยังไงล่ะวะ คนเดียวป๋าก็ปวดหัวจะแย่ แต่ป๋ามันแพ้คนสวยไง ก็เลยได้แม่ดาเขามา อีทีนี้กับเมียใหญ่กับเมียรองตีกันชิบหาย โบราณเขาเลย บอกว่าเมียสองต้องห้าม เมียสามแสนสำราญ เขาให้มีเมียคนที่สามคราวนี้ก็ดีขึ้นมาหน่อย ป๋าเลยได้ใจมีคนที่สี่ แต่แม่หนูเล็กคนสุดท้องคนนี้เขามาชอบป๋าเองนา ป๋าไม่ได้ไปจีบเขาก่อนเลยนา" ป๋าแกพูดอย่างอารมณ์ดี ไอ้เรื่องรัก ๆ ของแกชอบเอามาเล่าให้ผมฟังนัก สนุกเหมือนละครเหมือนกัน เพราะมันเต็มไปด้วย ความโรแมนติก ความตก และบางเรื่องก็บู๊เหมือนหนังแอคชั่น ระเบิดภูเขาเผากระท่อม
"อย่าเพ่อมีเมียเลยวะไอ้สมิง เดี๋ยวจะปวดหัวเหมือนป๋า" แกพูดทุกทีที่เจอผม ก็เพราะอย่างนี้หรือเปล่า ผมอายุยี่สิบเจ็ดปีเข้าไปแล้ว แฟนเฟินก็ยังไม่เคยมีกับเขาสักคน เคยมีเหมือนกันที่แอบเล็ง ๆ ดาราน้องใหม่ที่เพิ่งมาแสดงเป็นครั้งแรก แต่เล่นละครด้วยกันสามวันลายก็ออก ปรากฏว่าแฟนของเธอมาทะเลาะกันที่กองถ่าย และไม่ใช่แค่ผู้ชายคนเดียว แต่เป็นผู้ชายสองคนและทอมหนึ่งคน น่าเวียนหัวดีชะมัด ดาราสาวคนนั้นก็เลยได้เล่นละครแค่สองเรื่อง แล้วก็ออกจากวงการไปเลยเพราะก่อเรื่องไว้เยอะแยะ
"ผมทำข้าวมันไก่มาฝากป๋ากับแม่ ๆ ครับ พอดีนึกสนุก" ผมบอกและหยิบกล่องใบใหญ่ ๆ ที่แยกเนื้อไก่ที่สับเป็นชิ้น ๆ กับข้าวมันที่แยกไว้อีกกล่อง ส่วนน้ำแกงต้มฟักนั้นผมใส่ถุงพลาสติกใบโต ๆ และมีถ้วยใส่น้ำจิ้มแยกต่างหากอีกหนึ่งใบ มีขิงซอยกับพริกซอยใส่ถุงแยกไว้อีกต่างหาก
"เออ นึกอยากกินฝีมือเอ็งพอดี ไม่ได้ถ่ายละคร ก็ไม่ได้กินฝีมือเอ็งเลยเว๊ยสมิงโว๊ย" ป๋าพูดอย่างอารมณ์ดี แล้วก็ตะโกนเรียกคนหลังบ้านให้หยิบจานชามมาให้แก
"กินด้วยกันสิ"
"ผมกินมาเรียบร้อยแล้วครับ ทำตอนเช้า ตอนสายเอาไปถวายเพลวัดแถวบ้าน แล้วก็กะว่าเอามาให้ป๋ากินเป็นมื้อเที่ยง" ผมตอบแกและจัดแจงตักข้าวตักเนื้อไก่แน่น ๆ ใส่จานพร้อมกับเรียงแตงกวาให้ดูน่ากิน
"เอ้อ ยังชอบเอาโน่นเอานี่ไปให้คนโน้นคนนี้กินเหมือนเดิมนะ" ป๋าพูดเหมือนกล่าวชมแต่ผมก็ได้แค่ยิ้มรับ
ระหว่างป๋ากินข้าวมันไก่ไป ผมก็ลอบมองไปยังบริเวณรอบ ๆ บ้านของแก ที่เป็นบ้านกึ่งไม้กึ่งปูน แม้จะเก่าคร่ำอยู่สักหน่อยแต่ก็อบอุ่น ตามผนังถ่ายรูปหนัง รูปดาราติดเต็มไปทั้งแถบ แน่นอนว่ามีรูปของผมอยู่บนนั้นด้วย
"เห็นแล้วก็คิดถึงความหลัง" ผมได้แต่คิดในใจจนเผลอพูดออกมาเบา ๆ พร้อมกับให้ป๋าและเมียของแกนั่งกินข้าวกันไปพลาง ๆ ส่วนผมก็เดินดูรูปต่าง ๆ จนไปสะดุดกับละครเรื่องแรกที่ผมแสดง เรื่องสี่ยอดกุมาร เรื่องนั้นผมยังรับบทพระรอง เพราะต้องใช้ตัวเอกถึงสี่คน จริง ๆ เรื่องนี้มันสร้างมาจากนิทานพื้นบ้านเรื่องจำปาสี่ต้น แต่ไหงกลายเป็นสี่ยอดกุมาร ตรี คทา จักร สังข์ ไปได้ ผมซึ่งเด็กที่สุดตอนนั้น เป็นสังข์
นึกถึงตอนนั้นแล้วก็ยังตลก ๆ ผมเพิ่งอายุสิบแปด ยังเด็กมาก ๆ เรียกว่าเปิ่นจนใคร ๆ ก็พากันแกล้ง แต่ในกองถ่ายของป๋า ทุกคนรักกันเหมือนพี่น้อง ผมที่เด็กสุดก็เลยได้รับความเอ็นดูโดนแกล้งเยอะหน่อย
"ไอ้สมิงยังไม่มีบทเอ็ง ไปช่วยแม่ดาครัวผัดข้าวหน่อยไป๊" น้าศักดิ์บอกผม และผมก็เดินเร็ว ๆ ไปช่วยเขาทำครัวจริง ๆ เสียด้วย จนสักพักหนึ่งนั่นแหละ น้าศักดิ์แกด่าไปขำไป เพราะความซื่อของผม
"ข้าล้อเอ็งเล่นไอ้สมิงเอ๊ย ไปยุ่งกับแม่ดาครัวเขาทำไม๊เอ็งเป็นดารานาโว้ย" น้าศักดิ์บ่นแล้วก็ลากคอผมให้ไปเตรียมตัวเข้าฉาก ใครจะไปรู้กันเล่า ก็ผมคิดว่า น้าศักดิ์แกรู้ว่าผมเคยอยู่ช่วยยายขายข้าวแกง ก็คงอยากให้ผมไปช่วยทำอาหารน่ะสิ
จากเด็กบ้านนอกจากท่าวุ้ง ญาติพี่น้องอะไรก็ไม่มีกับเขา ผมก็เลยมาอาศัยอยู่ที่บ้านป๋านี่แหละ บ้านของแกดู ๆ ไปก็คล้าย ๆ กับโรงเรียนประจำอยู่เหมือนกัน มีดาราใหม่ ๆ อย่างผมสองสามคน ซึ่งป๋าว่า อยู่ให้เห็นในสายตาจะได้ไม่เสียเด็ก แกว่ากลัวเอาลูกเขามาเสียผู้เสียคน และมีดาราสาว ๆ เหมือนกันแต่จะถูกให้อยู่แต่บนเรือนใหญ่ ห้ามหนุ่ม ๆ แก่ ๆ ที่ไหนไปวุ่นวายทั้งนั้น แต่ความรักเหมือนโคถึก ในที่สุดก็มีดาราสาวตั้งท้องกับดาราชายในสังกัดจนได้
ป๋าต้องวุ่นวาย จัดงานผูกข้อไม้ข้อมือ จัดงานแต่งงานเล็ก ๆ ให้ และอนาคตการเป็นดาราของคนทั้งสองก็ดับสิ้นลงไปพร้อม ๆ กัน
"สมิงเอ๊ย ดูเอาไว้นะลูก อารมณ์ชั่ววูบแท้ ๆ" แม่ดาบ่นพลางถอนใจกับผม กับเมียทั้งห้าคนของป๋า แม่ดาแกดูจะรักเอ็นดูผมมากกว่าใคร อาจจะเป็นคนลพบุรีด้วยกัน ถึงจะเป็นคนละอำเภอก็เถอะ คนที่มาเจอผมตอนอยู่ที่ร้านขายข้าวราดแกงกับยายก็คือแม่ดานี่แหละ เพราะแม่ดาแกมีหน้าที่ทำกับข้าวสวัสดิการให้กองถ่าย คล้าย ๆ จะเป็นเรือล่มในหนองทองจะไปไหน
มีทั้งป๋า ทั้งแม่ ๆ ทั้งน้า ๆ พี่ ๆ คอยดูแลอบรม ผมก็เลยอยู่ในวงการโดยแทบจะไม่มีข่าวเสียหายเลยสักนิด เพราะผมไม่อยากให้ป๋าและทุกคนเสียใจและผิดหวัง แกอุตส่าห์บอกว่า แกปั้นผมนั้นจากดินสู่ดาว
ใช้เวลาเล่นละครสี่ปี พอจะมีเงินเก็บและพี่อู๊ด ลูกชายคนเล็กของป๋าที่เกิดกับแม่ดา ก็ขายบ้านของแกให้กับผม
"ซื้อบ้านซื้อช่อง มีที่มีทางไว้สมิงเอ๊ย เชื่อป๋า มีบ้านของตัวเองได้แล้ว จะได้รับยายของเอ็งมาอยู่ด้วย" ป๋าบอกและผมก็ออกจะหวั่นใจนิด ๆ เพราะเงินหลายแสนที่ผมทำงานมาตลอดชีวิตเลยเชียวนะ เพราะก่อนหน้านั้นผมก็ซื้อรถต่อมาจากน้าศักดิ์มาแล้วคันหนึ่ง
แต่พอได้มาเป็นบ้านของผมเข้าจริง ๆ ผมก็โคตรภูมิใจ ด้วยวัยในตอนนั้นแค่ ยี่สิบสอง สามารถซื้อบ้านเป็นของตัวเอง ใครจะไม่ดีใจ แต่จะให้ยายมาอยู่ด้วยแกก็ไม่มา แกว่ามาอยู่กรุงเทพฯ แกอัดใจเพราะไม่รู้จักใคร แล้วก็ไม่มีงานไม่มีการให้แกทำ แกยอมตายเสียดีกว่า กลายเป็นอย่างนั้นไป ผมก็เลยไปอยู่บ้านของผมบ้าง แต่ถ้าจะมีช่วงหยุด ก็จะกลับไปลพบุรีไปอยู่เป็นเพื่อนยาย
ตอนอายุยี่สิบสอง เรียกว่ามีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว คราวนี้ผมก็เก็บเงินเก็บทอง เพราะเริ่มจะรู้สึกว่า ดีกว่าเอาไปเสียด้วยเรื่องอื่น ๆ แต่พอมีเงินประมาณนี้ ผมก็ชักจะรู้สึกว่า ผมอยากจะเผื่อแผ่สิ่งที่ผมมีไปให้คนอื่น ๆ ด้วยแม้จะเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เถอะ
จากแรก ๆ ผมก็ซื้อขนม ซื้อผลไม้ หรือเหมารถไอติม เลี้ยงทีมงาน ทีมช่างไฟช่างกล้อง เรียกว่าเหมาทั้งรถ ใครใคร่จะกินเท่าไรก็กิน เพราะผมมองพวกเขาว่าเป็นญาติพี่น้องด้วยกันทั้งนั้น
หรือถ้านึกสนุกผมก็จะทำกับข้าวหม้อใหญ่ ๆ เอาไปฝากทุกคนที่กองละคร ใครได้กินก็เอ่ยปากชม ไม่รู้ละว่าอร่อยจริง ๆ หรือชมตามมารยาท แต่มันก็หมดเกลี้ยงทุกที คราวนี้ผมก็ชักจะได้ใจ ทำบ่อยขึ้นจนชักจะรู้สึกชอบทำอาหารขึ้นมา ยิ่งพอได้ไปออกรายการทำอาหาร เชฟมะขามป้อมคนเก่ง ที่ไปให้ผมทำอาหารยาก ๆ คราวนี้ถ้าว่าง ๆ ผมก็ลงคอร์สให้แกสอนจริง ๆ จัง ๆ เลยทีเดียว
เดินดูรูปแล้วก็เดินไปเรื่อย ๆ จนไปถึงหน้าเรือนที่ผมเคยอยู่ ประตูปิดสนิท แต่ไม่ได้ใส่กลอนด้านนอก แต่ผมผลักมันก็ถูกล็อกอยู่ แสดงว่ามีคนอยู่ ใครกันหนอจะมาอยู่ห้องนี้แทนผม
"ไอ้สมิง มาหาป๋าเรอะ?" เสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากที่ไกล ๆ ผมกันไปหาต้นเสียงยิ้มกว้างและยกมือไหว้แก
"หวัดดีครับพี่อู๊ด" ผมยกมือไหว้ผู้ชายผมยาว มีผ้าโพกหัว หนวดเคราเฟิ้ม ใส่เสื้อผ้าเหมือนผู้คนยุคฮิปปี้ ป๋ากับพี่ ๆ ของแกด่าแกทุกวันว่าแต่งตัวบ้า ๆ บอ ๆ แต่แกว่ามันเป็นสไตล์
"เออป๋าบอกเอ็งมาหา ไม่เดินไปเรียกพี่วะ" พี่อู๊ดพูดพร้อมกับกอดไหล่ผม แล้วก็พาผมเดินไปหน้าบ้าน
"ผมทำข้าวมันไก่มาฝากป๋ากับพี่ด้วยรับรองอร่อยเหมือนเดิม" ผมคุยอวด
"เออข้าเชื่อว่าเอ็งมันมีฝีมือ ว่าแต่เมื่อไหร่เอ็งจะกลับมาเล่นละครล่ะวะ เฮียศักดิ์บ่นไอ้พระเอกใหม่ชิบหาย แม่งยังไม่ทันจะดังชักจะออกลายแล้วโว้ย" พี่อู๊ดกระซิบกระซาบ
"โธ่พี่ให้ผมกลับไปเล่นผมก็เป็นพ่อพระเอกแล้ว ให้ดาราใหม่ ๆ เขาเล่นกันไปเถอะพี่ มีดาราใหม่ตั้งเยอะแยะ" ผมพูดแบ่งรับแบ่งสู้
"ไอ้สมิงเอ๊ย เดี๋ยวนี้ละครจักร ๆ วงศ์ ๆ มันก็ไม่ค่อยจะมีใครดูแล้วโว้ย คนเขาหันไปดูซีรีส์เกาหลีกันหมดแล้ว...เห้อ" แกพูดพร้อมกับถอนหายใจ
พี่อู๊ดนั่งกินข้าวมันไก่พร้อมกับป๋าและแม่ ๆ แล้วก็บ่นเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ผมฟัง ผมก็ได้แต่ยิ้ม ๆ แล้วสุดท้ายก็ช่วยแม่ดายกจานที่กินเสร็จแล้วไปล้างในครัว ได้ช่วยทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนได้กลับมาเป็นไอ้สมิงเมื่อตอนอายุสิบแปดสิบเก้าคนนั้นไม่เปลี่ยนไปเลย
"พี่อู๊ดผมมีเรื่องปรึกษาน่ะพี่" ผมกระซิบกระซาบหลังจากป๋าที่กินข้าวอิ่มแล้วแกก็ขอตัวไปเอนหลัง
"เออมีอะไรว่ามา" พี่อู๊ดแกว่าแล้วก็ขยับตัวยกขาไปนั่งบนแคร่ตัวประจำที่ป๋าชอบเอกเขนก
"ผมเพิ่งถ่ายคลิปทำอาหาร ลองตัดต่อเองแบบง่าย ๆ ผมก็เลยจะลองเอามาให้พี่ดูว่าพอได้ไหม ผมอยากจะลองทำช่องยูทูปน่ะพี่" ผมพูดแล้วก็ยื่นโทรศัพท์ไปให้แก พี่อู๊ดแกดูแกก็ส่งเสียงอือ ออ ๆ อยู่ในลำคอ
"เออก็ถือว่าใช้ได้สำหรับคนทำครั้งแรกนะ เอาอย่างนี้พี่ว่าง ๆ พอดี เดี๋ยวเอ็งส่งไฟล์มาให้พี่ พี่ไปทำให้มันกลมกว่านี้อีกนิด เพิ่มซาวเอฟเฟกอีกหน่อย แล้วพี่จะส่งกลับไปให้เอ็งโหลดลง งานนี้ฟรีโว้ย ถ้าดีแล้วเอ็งทำอีก ทำมาแต่ฟุต แล้วพี่ตัดต่อให้ งานนี้ราคามิตรภาพ" พี่อู๊ดแกพูดไปหัวเราะไปส่วนผมก็ยิ้มอย่างยินดี เพราะพี่อู๊ดที่แต่งตัวคล้าย ๆ คนบ้า ๆ บอนี่ จะดูถูกแกไม่ได้นะ แกเคยไปทำงานที่ฮอลิวู้ดกับกองถ่ายหนังใหญ่ ๆ ระดับโลกมาแล้ว
ไอ้ผมมันก็เคยแต่แสดง ไม่เคยตัดต่ออย่างจริงจัง ขนาดหลายเดือนที่หยุดพักงาน ผมก็ลองพยายามศึกษาโลกออนไลน์ว่าเขาทำอะไรกันบ้าง ซึ่งก็ได้แต่แอบกังขาว่าผมจะทำอย่างเขาได้หรือเปล่า
นั่งเล่นอยู่กับป๋าจนถึงเย็น ช่วยแม่ ๆ ทำกับข้าวกินกับแกอีกหนึ่งมื้อผมถึงได้กลับบ้าน ข้าวหอมกับเจ้าสโนว์บอลดีอกดีใจเต็มที่เมื่อเห็นผมกลับมา มองดูในที่ให้อาหารอัตโนมัติ ก็เห็นว่าหมดไปครึ่งหนึ่ง ผมก็เลยอุ้มสองแม่ลูกขึ้นมากอด พอเดินเข้ามาในบ้าน และหมาสองตัวได้รับการกอดและฟัด พวกมันเลียหน้าผมจนสาแก่ใจแล้ว ผมก็ปล่อยพวกมันลงเดินที่พื้น ข้าวหอมเลือกจะนั่งที่พรมข้าง ๆ ผม ส่วนสโนว์บอล เล่นกับตุ๊กตาอย่างสนุกสนาน
ผมนึกถึงคำแนะนำของพี่รวี จึงหยิบโทรศัพท์มาถ่ายคลิปของลูกหมาแสนซน แล้วก็โพสต์ลงโซเชียล ไม่ได้เสียเวลากลับไปดูว่ามียอดไลค์เท่าไร ผมเหนื่อยชะมัดเพราะพูดมาเกือบทั้งวัน แต่ผมก็มีวินัยพอที่จะออกกำลังกายก่อนที่จะเข้านอน เพราะความเคยชิน
"ออกกำลังกายให้ร่างกายมันฟิตอยู่เสมอ อย่าปล่อยตัว เป็นดาราน่ะ แฟน ๆ เขาก็อยากเห็นดาราของเขาดูดีอยู่เสมอ" เสียงแม่ดาที่สั่งสอนดังก้องในหัว ถึงจะคิดไม่ได้อยากเป็นดาราแล้ว แต่ไอ้การออกกำลังกายทุก ๆ วันเท่าที่จะทำได้มันกลับติดเป็นนิสัย
จนราว ๆ สักสามทุ่ม ผมก็อาบน้ำเตรียมตัวจะเข้านอน แต่ยังหัวค่ำเกินไป ผมก็เลยเปิดโทรทัศน์ ทั้ง ๆ ที่ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะดูอะไรหรอก นาน ๆ ถึงจะเหลือบตามาดูว่าละครภาคค่ำช่องอื่น ๆ เขาไปไหนกันบ้างแล้ว ซึ่งไม่ได้อคติ แต่ผมว่ามันน่าเบื่อจริง ๆ เสียด้วยแฮะ
แต่จริง ๆ ตอนนี้ผมโฟกัสอยู่ที่แท็บเล็ตซึ่งเปิดบรรดาโซเชียลมีเดีย มีอยู่หลาย ๆ แอคเคาน์ที่ผมเลือกติดตาม และกำลังพยายามคิดว่าถ้าผมจะทำคอนเท้นต์เหมือนเขาบ้างก็น่าจะเข้าที ก้าวแรกของผมเริ่มขึ้นแล้ว และไม่ทันไร เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมรีบปิดโทรทัศน์ และรีบรับสายโดยเร็วพลัน
พี่อู๊ดโทรศัพท์กลับมา และบอกข้อดีข้อเสีย คลิปที่ผมตัด พร้อมกันนั้นก็เสนอแนะให้ผมเพิ่มเติมสิ่งไหนบ้าง และพร้อมกันนั้นก็ส่งไฟล์ให้ผมรีบอัปโหลดลงโซเชียลมีเดียโดยทันที
ผมตื่นเต้นกับคลิป "แกงเผ็ดเป็ดย่าง" ของผมชะมัด ยิ่งพอต่อกับโทรทัศน์ เห็นภาพตัวเองชัด ๆ ดูความกระชับที่พี่อู๊ดตัดต่อให้ ดีอย่างที่มืออาชีพระดับฮอลลีวูดทำ ผมได้แต่ดูไปยิ้มไป นึกขึ้นมาได้ผมก็เลยส่งคลิปไปให้พี่ดอย พี่รวีและพี่ศศินได้ดูและช่วยกันวิจารณ์
"พรุ่งนี้ค่อยดูนะ ดูตอนนี้กลัวหิวว่ะ" พี่รวีส่งข้อความกลับมา ส่วนพี่ดอย บอกขอเวลาดูสักครู่แล้วก็ส่งข้อความตอบกลับมาว่าดีมาก ๆ ดูเป็นมืออาชีพ
แค่การกินข้าวมื้อเดียว ผมได้พี่ ๆ ที่นิสัยดีและน่ารักมาก ๆ มาอีกสองคน พี่รวีกับพี่ศศิน ซึ่งผมเห็นว่าเป็นคู่รักที่ตลกและน่ารักมาก แม้ว่าทั้งสองคนจะด่ากันแรง ๆ ก็ตาม
"มันเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่อนุบาลน่ะ" พี่ดอยอธิบาย
อาหารมื้อแรกที่ทำให้ผมรู้จักกับคนทั้งสามคนดีขึ้น พี่รวีซึ่งทำงานบริษัท แผนกประชาสัมพันธ์และการตลาด ส่วนพี่ศศินเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่ที่ผมออกจะทึ่งสักหน่อยคือผมกับพี่ศศินชอบเพลงลูกทุ่งเหมือนกัน โดยเฉพาะสองพ่อลูก สมบัติเจริญ พี่ศศินยังว่าไว้ถ้ามาบ้านของผมอีกจะชวนผมร้องคาราโอเกะ ให้หนำใจ
"ผมอยากทำคลิปทำอาหาร เห็นยูทูปเบอร์คนอื่นเขาทำกัน ได้สปอนเซอร์ด้วย" ผมพูดความตั้งใจให้พี่รวีซึ่งทำงานด้านการตลาดได้ฟัง
"ก็ดีนะ คุณสมิงก็มีชื่อเสียงเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ก็ไม่อยาก แต่ช่วงแรก ๆ อดทนหน่อย ระหว่างนี้ทำอะไรก็ให้มันเกิดกระแส จำไว้อย่างหนึ่ง อย่าให้คนรู้สึกได้ว่าเราหายไป ทำอะไรก็ถ่ายรูป ถ่ายคลิปไว้ ถึงจะอิ่มตัวกับวงการบันเทิง แต่เรามีของดีอยู่แล้วจะทิ้งไปเลยก็เสียของ มันไม่ใช่ของที่จะมีมาได้ทุกคน" พี่รวีพูดเตือน และผมก็จะพยายามปรับตัวทำตาม โดยคิดเสียว่า ถ้าผมถ่ายรูปถ่ายคลิปลงโซเชียล อย่างน้อยเวลาพี่ดอยเห็นก็จะได้รู้สึกว่าผมอยู่ใกล้ ๆ กันบ้างแหละ
เมื่อเช้าที่เราสองคนไปตลาดเพื่อซื้อของมาทำอาหารด้วยกัน ถึงพี่ดอยจะอายุมากกว่า แต่เขาก็ตัวนิดเดียว แล้วก็ท่าทางเด๋อด๋านิด ๆ กับหน้าตาซื่อ ๆ ทำให้ผมรู้สึกว่าคนเรามันจะน่ารักอะไรกันได้ขนาดนั้น ยิ่งตอนผมแกล้งมองหน้า แกล้งอยู่ใกล้ ๆ กับเขา ผมว่าตัวเขาเหมือนจะระเบิด
ผมไม่ได้ชอบคนที่หน้าตา ชีวิตในวงการบันเทิงสอนผมว่า คนหน้าตาดีไม่ได้หมายความว่าจะมีนิสัยดีก็ได้ เห็นมานักต่อนัก ยิ่งอยู่ในวงการที่มีแต่คนหน้าตาดี ใครจะไปนึกว่ามีทั้งความอิจฉาริษยา ใส่ความ ฉ้อโกง สารพัดคน เพราะมาจากร้อยพ่อพันแม่
"ทำคลิปทำอาหารก็ดีนะ คนไทยยังไงก็ชอบกินอยู่แล้ว ให้ถูกกับตัวตนของเรา พี่ว่าทำพวกอาหารไทย ๆ ท่าจะเหมาะ" พี่ศศิน เสนอความเห็นเพิ่มเติมในวงสนทนา
"ผมก็ชอบทำอาหารไทย ๆ แหละครับ ก็อยู่กับยาย ก็ทำอาหารไทย ๆ แกงส้ม แกงเขียวหวาน แกงเผ็ด ต้มส้ม ต้มยำ พวกอาหารฝรั่งเสียอีกผมทำไม่ค่อยเป็น" ผมตอบกลับและอดจะคิดว่า คนดูเขาจะอยากดูการทำอาหารพื้น ๆ หรือไม่
"ในฐานะคนที่ทำอาหารไม่เป็นเลย เป็นแต่ซื้อกินเอา ขอสารภาพว่าอยากดู" พี่ดอยพูดบ้าง ผมนี่ใจฟูขึ้นมาเลย
"แต่มันต้องมีคอนเท้นต์สักหน่อยว่ะ แบบถึงจะอาหารพื้น ๆ อาหารไทย ๆ แต่มันต้องมีเรื่องราว" พี่รวีครีเอทีฟจำเป็นเสนอ
"ทำอาหารไทยตามกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานสิ มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง" พี่ศศินพูดเสริม ตามด้วยกาพย์กลอนจนผมชักนึกสนุก
ดังนั้นผมจึงต้องขอตัวทำการบ้านสักหน่อย ไอ้มัสมั่นน่ะผมเคยทำกับยาย แต่ทำด้วยไก่แบบธรรมดา ๆ อย่ากระนั้นเลยผมก็เลยเปิดยูทูบ เปิดกูเกิ้ลเสิร์ชและจดตำราต่าง ๆ ยิ่งพี่ศศินแนะนำ ให้อ่านหนังสือ "แม่ครัวหัวป่าก์" ของท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ซึ่งโชคดีหน่อย มีให้อ่านฟรีในเพจห้องสมุด ซึ่งอ่านแล้วก็เปิดโลกอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน จนผมรู้สึกว่าน่าจะมีข้อมูลเอามาพูดตอนกำลังทำอาหารไปด้วยเยอะขึ้นตั้งมากมาย
จนราว ๆ สี่ทุ่มกว่า ๆ พี่ดอยก็โทรศัพท์กลับมาหาผม ผมนี่รับโทรศัพท์ด้วยมือไม้สั่นเลยทีเดียว
"ดูคลิปเต็ม ๆ แล้วครับ ดีจัง ดีมาก ๆ เลย มืออาชีพเลยนะเนี่ย ดูคุณสมิงทำแล้วรู้สึกว่าอาหารไทยมันทำไม่ยาก แล้วก็น่ากินมาก ๆ ด้วย" พี่ดอยเอ่ยปากชม และเราก็ชวนกันคุยเรื่องอื่น ๆ อีกนิดหน่อย เช่นเรื่องเจ้าสโนว์บอล เรื่องประวัติชีวิตของผม เรื่องตลก ๆ สมัยถ่ายละคร ส่วนเรื่องพี่ดอย แกบอกว่าแกไม่รู้ว่าจะเล่าอะไร เพราะชีวิตที่ผ่านมาก็มีแต่เรียน พอเรียนจบก็ทำงาน แล้วก็ทำงาน ไม่สนุกผาดโผนเหมือนผม
"แต่เอาล่ะ พี่จะเป็นซัพพอร์ตเตอร์ให้คุณสมิงนะ เดี๋ยวจะบอกให้พี่หุนเปิดคลิปที่โทรทัศน์ในคลินิกเยอะ ๆ เลย ถือว่าช่วยโปรโมท" พี่ดอยพูดจนผมต้องเอาหัวซุกหมอนและบิดตัวไปมา เพราะเขินชะมัด
"ถ้าอย่างนั้น วันเสาร์หน้ามาทำอาหารกันอีกสิครับ ชวนพี่รวีกับพี่ศศินมาด้วย ผมจะทำแกงมัสมั่นดีไหมจะได้ถ่ายคลิปไปด้วยเลย" ผมถามพี่ดอย พร้อมกับเล่าให้เขาฟังว่าผมกำลังดูสูตรมัสมั่นเจ้าอร่อย ๆ หลาย ๆ ที่
"คุณสมิงทำแล้วเดี๋ยวพี่จะคอยเป็นคนชิมเอง" พี่ดอยบอกจนเราวางสายกันไป
จะดีแค่ไหนนะถ้าเขาจะคอยชิมอาหารฝีมือของผมไปทั้งชีวิต แต่ผมไม่กล้าถามเขาตรง ๆ น่ะสิ คุณซัพพอร์ตเตอร์เบอร์หนึ่งของผม