แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว - 18 พ่อค้าออนไลน์ โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ



อ้าอุไรพธูพบูพิบูลย์ เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ  เจริญภาส


ตูสวิงสวายเพราะสายสวาดิ์ ระทวยบ่ปลดระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก


แสนจะเสียวจะส้านณวารวิโยค จะข้ามห้วงบ่ล่วงอโฆ ก็อกกรม


ใคร่เสน่หะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิทร์จะชิดจะชม ณเชิงรัก


เชิญสมรสุมาลย์สมานสมัค ประสานประสงค์ประจง ประจวบใจ ประจักษ์




ผมค่อย ๆ พับกระดาษที่มีลายมือหวัดแกมบรรจงแล้วอมยิ้ม พลางถามมันไปเบา ๆ ว่า


"มึงจีบกูหรอ?" 


"เปล่า" มันตอบอย่างว่องไว แต่หน้าแดง คนแปลกประหลาดอย่างนี้ก็มีด้วย

สารบัญ

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-1 ทีโมนกับพุมบ้า,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-2 เจ้าชายน้อย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-3 จุดเริ่มต้นความสนิท,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-4 ลูกไม้หล่นไกลต้น,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-5 ตัวโวยวาย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-6 สิบปี,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-7 เปลี่ยน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-8 ห่าง,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-9 ใจเอ๋ยใจ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-10 วันธรรมดา,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-11 อยู่ด้วยกัน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-12 หมอดอย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-13 หมอดอยใจดี,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-14 พระเอก,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-15 สมิง,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-16 จอมวางแผน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-17 Supporter,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-18 พ่อค้าออนไลน์,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-19 เกลียมัว,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-20 ป๊อปอาย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-21 โอลีฟ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-22 Change ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-23 Twin Flame

เนื้อหา

18 พ่อค้าออนไลน์

โดย  Chavaroj




"เอาล่ะสองทุ่มแล้ว" ผมพูดกับตัวเองอย่างแสนยินดี เดินไปปิดสวิตช์ไฟฟ้าในร้านจนหมด พร้อมทั้งล็อกประตูหน้าคลินิก จริง ๆ ควรจะปิดคลินิกได้ตั้งแต่ทุ่มตรงแล้ว แต่พอดีมีเคสน้องแมวมากะทันหัน โชคดีไปที่รักษาทันท่วงที 


จัดแจงเดินไปตรงลานจอดรถ ด้านในสุดเป็นโซนจอดรถมอเตอร์ไซค์และจักรยาน ผมก็เหวี่ยงขาขึ้นคร่อมจักรยานคันเก่ง ไปมันทั้งชุดแบบนี้แหละ ขี้เกียจเปลี่ยนให้ยุ่งยาก


จริง ๆ จะเดินไปก็ได้แต่หัวใจมันเรียกร้องให้ไปถึงจุดหมายให้ไวที่สุด นอกจากอาหารแสนอร่อยที่รออยู่ข้างหน้า สิ่งที่สำคัญก็คือคนทำให้นั่นอีกคน ผมเพิ่งมารู้สึกถึงความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกที่เราอยากอยู่ใกล้ ๆ ใครสักคน อยากเห็นหน้าสักแวบหนึ่ง อยากได้ยินเสียงสักนิดหนึ่ง ได้คิดถึงสักหน่อยหนึ่ง แค่นี้มันก็ทำให้อารมณ์ดีได้ทั้งวัน


จุดหมายอยู่ไกลเพียงแค่ข้ามฝั่งถนน เข้าซอยไปอีกราว ๆ ห้าสิบกว่าเมตร บ้านหลังเล็ก ๆ ชั้นเดียวสีขาว กั้นด้วยรั้วเตี้ย ๆ เป็นพุ่มจากการปลูกต้นโมก ซึ่งมักจะออกดอกอยู่ชั่วนาตาปี ผ่านไปทีไรก็หอมจนอยากจะยืนอยู่ตรงนั้นนาน ๆ 


มองลอดรั้วเข้าไปสักหน่อย ก็จะเห็นแสงไฟสว่างสีส้มจาง ๆ เล็ดลอดออกมาจากบานหน้าต่างซึ่งมีกระจกกั้นและผ้าม่านโปร่งสีขาว นี่มันบ้านในฝันชัด ๆ 


ผมขี่จักรยานโดยถือวิสาสะเข้าไปจนถึงในบ้านเลยเพราะประตูบ้านเตี้ย ๆ ก็เปิดแง้มทิ้งไว้ ค่อย ๆ เปิดประตูหน้าบ้าน แค่ย่างเท้าเข้าไป ก็ได้กลิ่นหอม ๆ ลอยฟุ้งออกมาต้อนรับ กลิ่นของอาหารแสนอร่อย


"มาแล้วหรอครับ มา ๆ ผมอุ่นไว้เสร็จพอดี ไปล้างมือก่อน" เขาผู้เป็นเจ้าของบ้านส่งเสียงออกมาโดยที่ยังไม่เห็นผมด้วยซ้ำ แต่ที่รู้ว่าผมมาถึง ก็คงจะเป็นเพราะเสียงของเจ้าหมาสองตัวแม่ลูกที่มันเห่าต้อนรับ แล้ววิ่งล้อมหน้าล้อมหลังผมนั่นเอง


"หอมจัง" ผมหันไปบอกเขา เมื่อเขายื่นหน้าออกมามอง เอาล่ะสิ ไอ้ยิ้มแบบนั้นมันทำให้ผมหัวใจแทบจะละลายอีกแล้ว ใจเอ๋ย ใจของไอ้ดอย มึงอ่อนแออะไรขนาดนั้น 


และเมื่อเราทั้งสองคนพร้อมแล้ว ผมก็ถูกดันหลังจนตัวของผมชิดกับโต๊ะกินอาหาร เก้าอี้ไม้มีพนักหลังเตี้ย ๆ แต่ดูแข็งแรงถูกเลื่อนออก และผมก็ค่อย ๆ ทิ้งตัวลงนั่งช้า ๆ ส่วนเขาก็เดินไปอีกหน่อยทิ้งตัวลงนั่งตรงเก้าอี้ข้าง ๆ กัน บนโต๊ะอาหารเรียงรายไปด้วยจานอาหารซึ่งประดับอย่างสวยงาม และปลายโต๊ะมีแจกันที่อัดแน่นไปด้วยกิ่งไม้ใบไม้ ที่ตัดมาจากต้นไม้ในบ้านแน่นไปหมด


"วันนี้เหนื่อยไหมครับ?" ผมชิงเป็นฝ่ายถาม ก็เขาทำกับข้าวเสียตั้งมากมาย ผมแสนจะเกรงใจ


"ก็เหนื่อยครับ แต่สนุกดี เอ้านี้ ผมทำปลาตะเพียนต้มเค็ม อย่างที่พี่ดอยบ่นอยากกินวันก่อนด้วยนา เคี่ยวมาตั้งแต่สาย ๆ รับรองว่า กินได้ยันก้าง แต่ผมว่าตรงเกล็ดมันอย่าไปกินเลย มา...รอแป๊บนึงเดี๋ยวผมแกะให้" เขาพูดพร้อมกับตักเจ้าเกล็ดปลาที่พองขึ้นเพราะความร้อน พอมันโดนช้อนครูดเบา ๆ เกล็ดปลาทั้งแผงก็หลุดออก เผยให้เห็นเนื้อปลาขาวจ๋อง


เขาตักเนื้อปลาแน่น ๆ ออกมาชิ้นโต แค่นั้นยังไม่พอ ก้างแข็งที่ยื่นออกมาเขาก็ยังเขี่ยออกให้ผมอีก เนื้อตรงช่วงท้องปลาพอถูกตักออก ก็เห็นไข่ปลาตะเพียนแน่น ๆ เป็นสีชมพูอมส้มท่าทางน่ากิน เขาก็ไม่วายจะตักไข่ปลาให้ผมอีก


"ไข่ปลาอร่อยนะพี่ดอย" สมิงพูดพร้อมกับราดน้ำแกงลงบนไข่ปลากับเนื้อปลาขาวฟู ซึ่งเมื่อมันถูกน้ำแกงต้มเค็ม  รสเปรี้ยวอมหวาน ก็ซึบซาบโอชาแห่งน้ำแกงรสอร่อยนั้น จนเมื่อผมกล่าวขอบคุณ พร้อมกับตักเนื้อปลา ไข่ปลา และข้าวสวยเม็ดร่วนเข้าปาก ผมก็ตาโต พยักหน้าหงึก ๆ เป็นภาษาใบ้บอกเขาว่า มันอร่อยสุดยอดไปเลย


"ทำขายยังได้เลยนะ" ผมกล่าวหลังจากกลืนข้าวคำนั้นลงคอ 


"ก็น่าสนใจนะครับแต่ทำให้พี่ดอยลองชิมก่อน มันทำยาก ใช้เวลานาน ช่วงนี้มันวุ่นดีแต่สนุกสุด ๆ ถ้าไม่ได้เจอพี่รวีผมก็คงไม่ได้เริ่มงานใหม่สนุกแบบนี้" สมิงพูดพร้อมกับรอยยิ้ม 


"รวีมันต่างหากที่ต้องขอบคุณ คุณสมิงน่ะ เอาเป็นว่าต่างคนต่างก็ช่วยกัน เออเกือบลืมแป๊บนึงนะ ลืมอวดมันล่ะ มันเห็นแล้วต้องอิจฉาผมแน่ ๆ เลย" พูดปุ๊บผมก็หยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปปั๊บ ถ่ายกับข้าวตรงหน้าทีละอย่าง ๆ ที่ทำอย่างตั้งใจ และจัดใส่จานอย่างบรรจง คล้าย ๆ ร้านอาหารในภัตตาคารเลยเชียวล่ะ ปลาตะเพียนต้มเค็มนั้นนอนอยู่ในชามทรงรีรูปไข่สีเขียวไข่นกกาเหว่า ส่วนผัดผักรวมกับเต้าหู้อ่อน ก็ใส่มาในจานสีขาว แครอทสีส้ม บล็อกเคอรี่สีเขียวเข้ม ถั่วแขกสีเขียวอ่อน และผักกวางตุ้งถูกผัดและจัดเรียงสลับสีสวยเหมือนภาพวาด


แนมข้าง ๆ ด้วยไข่เจียวซึ่งมีต้นหอมซอยบาง ๆ ตัวไข่เจียวทอดอย่างดีกรอบจนเนื้อเป็นสีทองอมน้ำตาล ข้าง ๆ มีถ้วยใบน้อยใส่ซอสพริกศรีราชาให้จิ้มแกล้มกัน ไข่เจียวหอม ๆ จิ้มกับน้ำซอสพริกศรีราชาเปรี้ยวนำหวานตาม ช่วยตัดเลี่ยนและส่งให้กลิ่นหอมของไข่เจียวหอมยิ่งขึ้นไปอีก ครั้นลองตักลงไปในเนื้อไข่เจียว ก็มีเนื้อปูแอบซ่อนอยู่ด้วย ถ้าอีรวีไม่กรี๊ดสลบ ผมยอมให้เหยียบหน้าไปเลย


จบท้ายด้วยของหวาน มันต้มขิงแบบธรรมดา ๆ นี่แหละ สมิงบอกว่าเขาใช้มันญี่ปุ่นสองสีคือสีเหลืองและสีส้ม หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ หวานเจื้อย ไม่หวานโดด หอมกลิ่นขิงแก่ที่ถูกเคี่ยวจนสรรพคุณเผ็ดร้อนกระจายอยู่ในน้ำทุกหยด เหมาะกับช่วงอากาศเริ่มเย็น ๆ เป็นอย่างดี


สาเหตุที่เราสองคนมากินข้าวด้วยกันวันนี้ ก็เพื่อฉลองให้กับสมิงนั่นเอง ถึงแม้ช่วงหลัง ๆ ผมกับสมิงจะสนิทกันมากขึ้น ขนาดไปมาหาสู่กันเรื่อย ๆ ใคร ๆ ก็ดูออกว่าผมชอบเขา และเขาก็ชอบผม แต่เราก็ยังไม่ได้พูดคุยกันให้มันจริงจัง อย่างที่เรียก ๆ กันว่าดู ๆ กันอยู่ 


เราสองคนพูดคุยกันมากขึ้นไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว เรื่องความชอบ ความไม่ชอบของตัวเอง เพื่อจะได้เรียนรู้กัน บ่อยครั้งที่เราสองคนปรับทุกข์กัน และพูดคุยกันได้นาน ๆ จนเหมือนเวลามันหยุดหมุน รู้ตัวอีกที เวลาที่เรานั่งคุยกันก็ผ่านไปสองสามชั่วโมง และความทุกข์ที่แบกมาก็คลี่คลายไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ 


"ผมไม่อยากเล่นละครแล้ว ผมเหนื่อย" เขาเคยปรับทุกข์ เมื่อผมแกล้งถามเขาว่าเมื่อไรจะมีละครของเขาอีกสักเรื่อง


"ทำไมล่ะครับ?" แน่ล่ะผมก็ต้องถาม เพราะชีวิตของผมกับละครนั้นมันห่างไกลกันเหลือเกิน และผมก็ได้รู้จากปากของเขานี่เองว่า กว่าจะเป็นละครสักเรื่องมันเหนื่อยมากจริง ๆ ยิ่งเป็นละครจักร ๆ วงศ์ ๆ ถ้าถ่ายในสตูดิโอก็ดีไป แต่มันก็มีฉากต้องเข้าป่าเข้าดง แล้วตาผู้กำกับก็ชอบภาพสวย ๆ จะป่าเขารกเรื้อ น้ำตก ถ้ำ สมิงไปมาหมดแล้ว 


ไอ้ของพวกนี้มันไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ แน่ ๆ บางครั้งอยากได้โลเคชั่นสวย ๆ ก็ต้องนั่งรถกันตั้งสี่ห้าชั่วโมง และการถ่ายทำ ก็ต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน บางครั้งถ่ายเช้าวันนี้ไปเสร็จเอาเช้าวันรุ่งขึ้น  


จะกินจะนอน ก็แสนลำบาก เพราะโรงแรมในยุคนั้นก็ไม่ได้ทันสมัย ยิ่งต่างจังหวัดไกล ๆ ด้วยล่ะก็ ขอแค่มีที่ซุกหัวนอนก็ดีถมไป


"ผมเคยไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง น้ำออกมาเป็นสีส้ม ๆ แอร์ก็ไม่เย็น ผ้าปูที่นอนก็เก่าแสนเก่า ผมไม่ได้เรื่องมากนะ แต่มันแย่จริง ๆ เหมาะจะเป็นโลเคชั่นทำเรื่อง โรงแรมผีมากกว่า แล้วก็มีผีจริง ๆ ด้วย แต่ผมไม่ได้โดนหลอกนะ คนอื่นโดนน่ะ โชคดีไปนอนค้างแค่คืนเดียว เช้ามาเช็กเอ้าท์กันแทนไม่ทัน ผมโชคดีได้พระเครื่องที่ยายให้ไว้ช่วยคุ้มครองน่ะ" สมิงเล่า พร้อมกับชูพระเครื่องเก่า ๆ องค์เล็ก ๆ ที่ใส่กรอบธรรมดา ๆ ให้ผมดู เป็นพระปางสมาธิทั่ว ๆ ไป 


สมิงเป็นคนธรรมะ ธรรมโมพอสมควร เขาว่าทุกวันพระเขามีภารกิจต้องไปถวายสังฆทาน แล้วยิ่งวันสำคัญทางศาสนา พ่อพระเอกต้องไปเวียนเทียนด้วยไม่มีขาด ส่วนผม ทำงานจนลืมวันไปเลยแทบไม่ได้ใส่ใจ


"ผมโตมากับยาย ยายก็ชอบไหว้พระ ชอบเข้าวัด ชอบทำบุญ ผมก็เลยติดนิสัยจากยายมาด้วย ยายว่าถ้าทำบุญทำถวายสังฆทาน เราจะได้อาศัยอานิสงส์ ทำให้บรรพบุรุษ ให้ตา ให้พ่อกับแม่ผม ได้กินอาหารอร่อย ๆ ได้มีเสื้อผ้าดี ๆ พ่อกับแม่ผมตายตั้งแต่เล็กน่ะ เรามีกันสองคนยายหลาน ยายก็เก่งนะเลี้ยงผมได้จนโต ถึงจะด่าเก่งไปหน่อยก็เถอะ เสียดาย พอผมพอจะลืมตาอ้าปากได้ยายก็มาด่วนเสียไปซะก่อน ไม่อย่างนั้นผมจะไม่ซื้อบ้านหลังนี้หรอกนะครับ ผมจะซื้อตึกแถวซักที่แล้วให้ยายขายของ" เขาพูดไปยิ้มไป แต่แปลกคราวนี้รอยยิ้มของเขามันเศร้าชะมัด


"เราทำดีที่สุดแล้ว และพี่ก็เชื่อว่า ทั้งพ่อแม่ แล้วก็ยายจะต้องภูมิใจในตัวคุณนะ" ผมให้กำลังใจ ดึงมือของเขามาจับไว้จนแน่น รู้สึกได้ถึงความอุ่นในมือและอาการสั่นน้อย ๆ 


สมิงเล่าว่าเขาบังเอิญได้มาเป็นดาราตอนอายุสิบแปดสิบเก้า เรื่องแรกเล่นเป็นตัวประกอบก่อน แต่ด้วยแววดี นิสัยดีมีน้ำใจใครทำอะไรในกองถ่าย เขาช่วยได้ก็ช่วยไปหมด ช่วยยกช่วยเก็บ ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นดาราอะไรกับเขา


จนเรื่องที่สองนั่นแหละ ถึงได้เป็นพระเอกกับเขาเต็มตัว แล้วก็ยาวจนถึงปีที่แล้วซึ่งเขาบอกว่าเขาอิ่มตัวกับงานนี้และที่สำคัญ อายุของการเล่นละครเป็นพระเอกสำหรับเขามันหมดลงแล้ว


"หนังฝรั่ง หนังเกาหลี พระเอกสี่สิบกว่า ๆ ยังเล่นเป็นพระเอกนางเอกกันอยู่เลย" ผมเถียงขาดใจ


"นั่นมันหนังฝรั่งคร้าบ ของไทยเรามันอย่างนั้นไม่ได้หรอก อีกอย่าง คลื่นลูกใหม่ก็ต้องมาแทนคลื่นลูกเก่า วงการบันเทิงมันไม่ได้กว้างอย่างที่ใคร ๆ คิด แล้วยิ่งเป็นละครจักร ๆ วงศ์ ๆ ก็ยิ่งแคบลงไปอีก" เขาอธิบาย


และนั่นก็คือสาเหตุที่ผมกับสมิงกินเลี้ยงกันสองคนในวันนี้นี่เอง ตอนนี้เรียกได้ว่าสมิง ไม่ได้ยึดอาชีพเป็นดาราอีกแล้ว เขาเป็นอดีตดารา แต่ปัจจุบันเป็น พ่อค้าออนไลน์ เต็มตัว และทำได้ดีมาก ๆ เสียด้วย


เรื่องก็ไม่ถึงกับบังเอิญ มันเกิดขึ้นจากการที่ผม รวีกับศศิน มากินข้าวที่บ้านของอดีตพระเอกด้วยกัน เรานัดแนะกันว่าทุกวันเสาร์ จะมาทำอะไรกินกันที่นี่เพราะมันสะดวก รวีนั้นมันเป็นตัวตั้งตัวตี มันอธิบายว่าจะได้มากินอาหารอร่อย ๆ แต่ผมกับศศินรู้ดีว่ามันหาเรื่องมากินเหล้ามากกว่า


รวีมารบกวนสมิงบ่อย ๆ ก็อดจะเอาของมาฝากตามประสาคนใจกว้างไม่ได้ของที่บริษัทมันขายนั่นแหละ และไอ้ผลิตภัณฑ์ ดอกเตอร์โจ ก็ทำมาขายตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ผมก็ได้ใช้กับมันด้วย ประมาณว่ามันเอามาให้รีวิว มารีเสริ์ชอะไรของมันไปตามเรื่อง อะไรดีดอยก็ว่าดี อะไรไม่ดีดอยก็ด่า ซึ่งมันก็เอาไปปรับกับสินค้าจริง ๆ จนขายดิบขายดี ทำยอดขายได้เห็นว่าเดือนนึง ๆ เป็นร้อย ๆ ล้าน


"พี่รวี ยาสีฟันของพี่มันดีจริง ๆ ใช้นิดเดียวแล้วปากก็หอม ทีแรกผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันใช้แค่เมล็ดถั่วเขียวมันจะไปพออะไร แต่พอใช้แล้วมันดีจริง ๆ" สมิงเอ่ยปากชม ยาสีฟันหลอดกระจิ๋วหลิวที่รวีมันอวดว่าทำมาจากสมุนไพรร้อยแปดชนิด ใช้แล้วฟันไม่ผุ ปากไม่เหม็น แต่แก้อาการปากหมาของรวีไม่ได้


"แหมสมิง ของดีก็ต้องบอกต่อ ทำคลิปรีวิวสั้น ๆ สิ ลงต๊อกต๊อกก็ได้ เออจะให้ดีนะ ทำรีวิวแล้วก็ติดตะกร้าไปเลย แฟนคลับมาดูก็จะได้ซื้อตาม แค่เนี๊ยะก็ได้ค่าคอมมิชชั่นแล้วง่ายจะตายไป" รวีอธิบายซึ่งสมิงก็ทำหน้างง ๆ จนรวีต้องอธิบายอย่างละเอียด พร้อมกับรับเอาโทรศัพท์ของสมิงไปจัดการติดตะกร้าสินค้าอะไรของมันจนได้


"ไม่ต้องทำให้มันยุ่งยาก ทำเหมือนอัดคลิปคุยกับเพื่อน ๆ น่ะ ให้มันดูจริงไม่ต้องประดิษฐ์ แบบนั้นน่ะคนชอบ จะทำให้เซ็กซี่นิด ๆ เช่นแปรงฟันตอนเช้าก็ถอดเสื้อ ทำหัวยุ่งนิด ๆ แล้วก็แปรงฟัน เสร็จแล้วก็ยิ้มโชว์ฟันขาว ๆ พี่ล่ะสงสัยทำไมสมิงไม่ได้เป็นพรีเซนเตอร์ยาสีฟันกันนะ" รวีมันมือยุ่งกับโทรศัพท์ของสมิงไปปากก็บ่นไป วิญญาณคนทำโฆษณาของรวีมันทำให้รวีคิดภาพเป็นหนังโฆษณาอยู่แน่ ๆ อธิบายซะเห็นภาพขนาดนั้น


จนในวันถัดมาคลิปต๊อกต๊อกที่สมิงหัวยุ่ง คาดที่คาดผมเป็นตุ๊กตาหมาตาเหล่ โดยเจ้าตัวทำท่างัวเงียนิด ๆ เดินไปแปรงฟัน แล้วก็ยิ้มฟันขาว พูดอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ว่าใช้ยาสีฟันสูตรผีบอกของรวีแล้วปากสะอาดลมปากหอมสดชื่นอะไรประมาณนี้ แล้วก็มีตะกร้าให้กดซื้อ คลิปถูกปล่อยเพียงสองชั่วโมง ยอดขายในตะกร้าก็ปาเข้าไปพันกว่าหลอด รวีรีบโทรมารายงานผม แล้วก็โทรไปรายงานสมิง


นั่นมันก้าวแรกเท่านั้น คราวนี้สมิงก็ชักจะสนุกใหญ่จนถึงขั้นบุกไปหารวีถึงออฟฟิศ เพื่อรับสินค้าและฟังบรรยายสรรพคุณสินค้าทุกตัว แล้วเลือดพ่อค้าก็ทำให้เขาทำคลิปวันละคลิปสองคลิปเพื่อขายของ ซึ่งมันก็ขายดิบขายดี


จนถึงช่วงวันพิเศษของเดือนซึ่งจะจัดประมาณเดือนละครั้งสองครั้งเช่น สิบเอ็ดสิบเอ็ด หรือปลายเดือนเงินเดือนออก ที่สมิงต้องไปนั่งไลฟ์สดที่บริษัทของรวีเพื่อไลฟ์ขายสินค้า ซึ่งมีโปรโมชั่น ลดแลกแจกแถม นั่งไลฟ์ขายของสองชั่วโมง สมิงทำยอดขายได้เป็นล้าน ๆ จนพี่ตี๋กับพี่โจเจ้าของบริษัท จ่ายค่าตัวพอ ๆ กับสมิงเล่นละครหนึ่งเรื่องเลยทีเดียว


"ผมน่ะมันได้เลือดพ่อค้าแม่ค้ามาจากยายไงครับ ยิ่งของที่ผมขายผมได้ลองใช้แล้ว และผมก็รู้สึกว่ามันใช้ดีจริง ๆ ผมจะได้พูดเต็มปากเต็มคำว่าเป็นของที่ผมใช้เอง อย่างนี้สบายมาก" สมิงบอกเคล็ดลับว่าทำไมเจ้าตัวถึงขายเก่ง ซึ่งผมก็เห็นว่าเจ้าตัวเก่งไม่เบาเลย ให้ผมขายของให้ใคร ทุกคนส่ายหน้าทุกที ของอย่างนี้มันคงเป็นพรสวรรค์เหมือนกัน


นอกจากงานรีวิวสินค้า งานขายสินค้าออนไลน์ สมิงก็ยังทำคลิปทำอาหารซึ่งจะมีสปอนเซอร์ เป็นพวกเครื่องปรุงอาหารบ้าง วัตถุดิบต่าง ๆ บ้าง มาเป็นสปอนเซอร์ ไม่มีขาด จนสมิงแอบบ่นว่าท่าทางจะทำไม่ทัน เพราะงานชักจะเข้าเยอะเหลือเกิน


สมิงเป็นคนพูดจาฉาดฉาน ออกเสียงชัดเจน บุคลิกเข้าถึงง่าย และดูจะอ้อนเก่ง แบบที่คนเขาเรียกว่าอ้อนแม่ยก แถมทักษะการทำอาหารของสมิงก็เข้าขั้นคนทำอาหารเป็น และรสชาติดีจริง ๆ เสียด้วย ผมนึกขำคลิปแรกที่สมิงทำ และเจ้าตัวไม่ว่าจะหยิบจะจับอะไร ก็อ้อนขอให้สปอนเซอร์เข้า


น้ำปลา กะทิ น้ำตาล หม้อ เตาแก๊ส พ่อหยิบพ่อจับอะไรได้พ่อก็ขายของได้ทั้งนั้นเอากับเขาสิ ผมอดจะดีใจกับเขาไม่ได้จริง ๆ เพราะตอนแรกที่เขามาปรึกษาผมว่าเมื่อเขาจะออกจากวงการบันเทิง เจ้าตัวเหมือนคนหลงทาง ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อไป จะอยู่ต่อก็อยู่ไม่ได้และไม่มีความสุข จะไปต่อก็ไม่รู้ว่าไปทางไหน เหมือนเรือที่แล่นอยู่กลางทะเล จะไปไหนก็สุดแต่ลมกับคลื่นจะพัดพาไป


แต่มาวันนี้ดูสิ เขารู้ว่าเขาทำอะไรได้ และทำได้ดีเสียด้วย ดูเขาจะมีความสุขในทุก ๆ งานที่เขาทำ ซึ่งเขาเคยบอกว่าเขาชอบชีวิตตอนนี้ และมีผมเป็นไอดอล ยังไงกันหว่า


"ก็ผมเคยถามพี่ดอยว่าทำไมพี่ดอยดูมีความสุขทุกวัน พี่ดอยตอบผมว่าพี่รักสัตว์ พอทำงานก็ได้ทำงานกับพวกสัตว์น่ารัก ๆ พี่ก็เลยมีความสุข ผมก็ชอบค้าขายอย่างนี้ ชอบทำอาหารอย่างนี้ผมก็เลยโคตรมีความสุขเลย" เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้ม และยกมือมาเท้าคางจ้องหน้าผม เอ...ไอ้บอกว่ามีความสุขแล้วจ้องหน้าผมนี่ มันหมายถึงเห็นหน้าผมแล้วมีความสุขด้วยหรือเปล่านะ แต่สำหรับผม ความสุขของผมก็คือการได้เห็นเขายิ้มอยู่ใกล้ ๆ เหมือนกัน


"รวีมันนินทาว่าสมิงน่ะรวยใหญ่แล้ว จะเอาเงินไปทำอะไรเยอะแยะ" ผมอดจะแซวไม่ได้ ก็ถ้าสมิงได้เงินเยอะแยะตามที่รวีมันนินทาให้ผมฟัง แต่เขากลับไม่ใช่คนที่ดูจะเห่อเหิมหรือทำตัว "รวย" เลยสักนิด แต่สมิงก็ไม่ได้เป็นคนปอน ๆ หรือขี้งกนะ คนขี้งกไม่ทำนิสัยแบ่งปันอะไร ๆ ให้คนอื่นอย่างนี้ ทำกับข้าวก็ทำเผื่อผมเผื่อรวีและศศิน เผื่อพี่หุน แล้วยังเอาไปทำบุญอีกบ่อย ๆ 


"ผมยังไม่รวยหรอกครับ แต่ผมตั้งใจเก็บเงิน ผมยังมีความฝันเล็ก ๆ อีกนิดหน่อยที่อยากทำให้สำเร็จ ถ้าเป็นไปตามแผนที่ผมวางไว้ ปีหน้าก็น่าจะเริ่มก้าวแรก แต่ตอนนี้ผมทำเท่าที่ทำได้ไปก่อน"


"ฝันอะไรหรอ บอกบ้างได้ไหม?" ผมถามพร้อมกับตักมันต้มขิงแสนอร่อยมาเคี้ยวเพราะมันเป็นชิ้นสุดท้าย


"ผมยังไม่กล้าพูด กลัวพี่ดอยหัวเราะเยาะ แต่มันเกี่ยวกับพี่ดอยด้วยนิดหน่อย เอาไว้ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังกว่านี้อีกสักนิด ผมจะเล่าให้ฟังนะครับ" เขาพูดพร้อมกับอมยิ้มเจ้าเล่ห์




ผ่านเวลาไปหนึ่งปี ความฝันของสมิงก็เป็นจริง และผมก็อดจะปลาบปลื้มใจที่ในความฝันของสมิงมีผมอยู่ในนั้นด้วยจริง ๆ 


พื้นที่ปากซอยบ้านของสมิง เป็นตึกแถวรกร้าง แต่มาบัดนี้ มันถูกทุบจนได้พื้นที่สวย ๆ มาแปลงหนึ่ง สมิงซื้อมันด้วยเงินที่มี เงินที่เขาตั้งใจหามาอย่างยากลำบาก 


"ผมจะเปิดเพ็ทคาเฟ่ แล้วที่ข้าง ๆ จะเปิดคลินิกรักษาสัตว์ด้วย" เขาเฉลยและยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผมอีกแล้ว 


"เอ๊าจะมาเปิดแข่งกันเรอะ?" ผมแกล้งยั่ว แต่ก็พยายามกลั้นยิ้ม ก็ผมรู้ว่าเขาตั้งใจเปิดมันให้ผม และเราจะได้อยู่ด้วยกันสักที


"ผมถือว่าเป็นสินสอดให้พี่ดอย ไว้ผมไปขอพ่อกับแม่พี่ดอยอีกที แต่ผมให้พี่ดอยหมดเนื้อหมดตัวแล้ว ผมไม่เหลือใครแล้วมีแค่พี่ดอยคนเดียว เงินผมก็ไม่เหลือเพราะทำร้านไปหมดแล้วด้วยล่ะ พี่ดอยเลี้ยงผมสักคนนึกว่าช่วยลูกนกลูกกาได้ไหมครับ" พูดแล้ว อดีตพระเอกก็กอดผม ส่วนผมก็ได้แต่ยืนหน้าแดง ร้อนวาบตั้งแต่หัวจรดเท้าและรู้สึกตัวเบาโหวงเหมือนจะเป็นลม


ใช้เวลาอยู่หลายเดือนกว่าโครงการเพ็ทคาเฟ่ ซึ่งเป็นอาหารบุฟเฟ่ต์ที่อนุญาตให้ลูกค้าพาสัตว์เลี้ยงเข้ามาในร้านได้ แต่จะแบ่งโซน น้องหมาและน้องแมวให้พอเป็นสัดส่วน มีอาหารและขนมของสัตว์เลี้ยงขายด้วย แบบเป็นจาน ๆ เหมือนของคนกินเลยเชียวละ ส่วนด้านหนึ่งของอาคารเรือนยาวคล้ายห้องแถว ก็เป็นคลินิกรักษาสัตว์ของผม ซึ่งผมอยู่บ้างไม่อยู่บ้าง เพราะจ้างให้รุ่นน้องมาอยู่ประจำ ส่วนผมก็ไป ๆ มา ๆ 


แต่ถ้าจะถามว่าผมไม่ทำงานผมไปอยู่ไหนน่ะเหรอ ผมก็อยู่เข้าไปในซอยข้างในนี่แหละ อยู่บ้านของผมกับสมิง เบื่อหน้ากันเมื่อไร หรือเขายุ่ง ๆ เพราะต้องทำคลิปทำอาหาร หรือคลิปรีวิวสินค้า ผมก็เดินมาปากซอยทำงานที่คลินิก ถ้าเขาทำอาหารให้ผมกินเสร็จ เขาก็โทรมาตามให้ผมกลับไปกินข้าวที่บ้าน บ้านที่ห่างจากที่ทำงานแค่ห้าสิบเมตร 


ห้องที่คอนโดนั้นผมก็ยกเลิกสัญญาไป ก็ในเมื่อเรามีผัวเป็นของตัวเอง จะไปทนทู่ซี้เดินไปเดินมาทำไม รวีเจ้ากี้เจ้าการเรื่องนี้จนผมต้องด่ามัน และอยากหาเพื่อนนินทาผัว ซึ่งถือเป็นเรื่องสนุกที่เราสองคนมักจะทำด้วยกัน


"มึงกูมีความลับของสมิงจะเล่าให้ฟังอยากฟังมั๊ย?" ผมกระซิบกระซาบกับรวี เพราะเย็นวันนี้เรามีนัดมากินข้าวด้วยกันที่บ้านของผม  เราสองตัวช่วยกันนินทาผัว ส่วนบรรดาผัวก็วุ่นวายอยู่ในครัว เสียงตะหลิวกระทบกับกระทะดังเปรื่องปร่าง กลิ่นหอมของอาหารลอยฟุ้ง รวีนั่งจิบเบียร์แสนสบายใจและทำท่าอยากรู้เต็มที่


"สมิงน่ะ ชื่อจริงไม่ได้ชื่อพยัคฆ์ หรอกนะ ชื่อจริงแบบจริง ๆ เขาเลยน่ะ ชื่อในบัตรประชาชนเขาชื่อ ประหยัดว่ะ" ผมกระซิบกระซาบนินทาผัว และรวีก็หัวเราะกิ๊กและร้องกรี๊ด ๆ ใช้มือทุบตุ๊กตาหมาไปอย่างได้อารมณ์


"อีรวีผีเข้าหรือไง นี่มีแต่หมอนะ ไม่มีหมอผี" เสียงของแขกที่เราเฝ้ารอดังมาจากหน้าบ้าน ผมหันไปมองหน้าบ้าน เห็นหน้ากวนประสาทใส่แว่นกลม ทำหน้าเบื่อโลกโผล่เข้ามา 


"อีผี กูนึกว่ามึงจะลืมเพื่อนลืมฝูงไปแล้ว นี่ถ้ากูไม่โทรไปขออนุญาตเมียมึง มึงก็มาหาพวกกูไม่ได้แน่ ๆ ใช่มั๊ย?" รวีเริ่มด่า


"ก็ประมาณนั้น แต่จะให้ดี กูก็เลยพาเขามาด้วยเลยตัดปัญหา โน่นเดินมาแล้ว แล้วมึงห้ามเมาแล้วเผากูต่อหน้าเมียกูนะไม่อย่างนั้นกูถีบมึงแน่" ไอ้เพื่อนตัวดีบ่นเหมือนหมีกินผึ้งพร้อมกับเดินมาทิ้งตัวแทรกกลางระหว่างผมกับรวี


"ไปไป๊" รวีเอ่ยปากไล่ และเสียงโวยวายของพวกเราก็ทำให้สมิงและศศินพากันเดินออกมาจากครัว จากนั้นก็มีแต่การพูดคุยและด่าทอ กว่าจะหมดคืนนี้ไปผมกับสมิงแทบจะเอาน้ำสาดไล่ไอ้พวกแขกที่สาบานว่าจะไม่ชวนมันมาบ้านของผมอีกแล้ว