แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาวแฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
อ้าอุไรพธูพบูพิบูลย์ เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ เจริญภาส
ตูสวิงสวายเพราะสายสวาดิ์ ระทวยบ่ปลดระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก
แสนจะเสียวจะส้านณวารวิโยค จะข้ามห้วงบ่ล่วงอโฆ ก็อกกรม
ใคร่เสน่หะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิทร์จะชิดจะชม ณเชิงรัก
เชิญสมรสุมาลย์สมานสมัค ประสานประสงค์ประจง ประจวบใจ ประจักษ์
ผมค่อย ๆ พับกระดาษที่มีลายมือหวัดแกมบรรจงแล้วอมยิ้ม พลางถามมันไปเบา ๆ ว่า
"มึงจีบกูหรอ?"
"เปล่า" มันตอบอย่างว่องไว แต่หน้าแดง คนแปลกประหลาดอย่างนี้ก็มีด้วย
โดย Chavaroj
จากคลิปวิดีโอที่ทำอาหารเพียงสองเทป เทปแรกเป็นแกงเผ็ดเป็ดย่าง และคลิปที่สองนั่นก็คือแกงเขียวหวานไก่ใส่ยอดมะพร้าว ในที่สุด ผมก็มีสปอนเซอร์กับเขาจนได้ ไม่เสียแรงที่พูดตั้งหลายรอบว่าใช้กะทิที่ซื้อมาจากตลาดแล้วไม่ค่อยสะดวกเท่าไร ถ้าได้ใช้กะทิกล่องก็น่าจะเข้าที แล้วสปอนเซอร์กะทิกล่องชื่อดังก็เข้าจนได้
คลิปที่สามของผมเนื่องจากปรึกษากับพี่รวีกับพี่ศศิน ผู้รุ่มรวยทางเลือกกิน กับผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาและหนังสือ แนะนำให้ผมลองทำแกงมัสมั่นไก่ แน่ล่ะ มันออกมาด้วยดีจนสปอนเซอร์โทรมาบอกพออกพอใจและจ้างผมยาว ๆ ถึงหกเทป ทำเดือนละเทป นอกเหนือจากเงินที่ได้มันก็คือความภูมิอกภูมิใจ เพราะเหมือนวิถีทางสายใหม่ที่ผมเลือกมันน่าจะพอเลี้ยงชีวิตของผมได้
ยิ่งไปกว่านั้น วันหนึ่งในแต่ละอาทิตย์ซึ่งส่วนมากจะเป็นเย็นวันศุกร์หรือเย็นวันเสาร์ พี่รวีกับพี่ศศิน ก็จะมาปาร์ตี้ที่บ้านของผม ทำให้บ้านเล็ก ๆ ของผมไม่เงียบเหงาเหมือนเมื่อก่อน และคนที่ตามมาหลังสุดก็คือพี่ดอย เพราะกว่าจะปิดคลินิกก็ทุ่มกว่า ๆ เกือบสองทุ่ม อาหารส่วนใหญ่ก็จะถูกคิดเมนูจากพี่รวี เพราะเหตุผลคือเป็นคนกินยาก ซึ่งผมก็ไม่ติดอะไรเพราะสนุกดี มีคนคิดโจทย์ให้ก็ไม่น่าเบื่อไปอีกแบบ
ระหว่างที่นั่งรอพี่ดอย พี่รวีก็นั่งซดน้ำเก๊กฮวยมีฟองไปพลาง ๆ ปกติพี่รวีก็จะเป็นคนพูดเก่งอยู่แล้ว พอเจอฤทธิ์ของน้ำเก๊กฮวย คราวนี้ก็ยิ่งพูดเยอะขึ้นไปใหญ่ ผมอดแปลกใจว่าทำไมพี่ศศินไม่ห้ามพี่รวีกินกันนะ
"ห้ามได้ที่ไหนกันเล่า ยิ่งห้ามยิ่งยุ มันก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยมหาลัยแล้ว แดกได้แดกไป ตับแข็งแล้วคงเลิกไปเอง" อย่างนี้ก็มีด้วย
แต่พอผมพูดเรื่องนี้กับพี่ดอย เรื่องที่พี่ศศินไม่ห้ามพี่รวีกินเหล้ายาปลาปิ้งเลย ดูเหมือนจะอยากให้กินด้วยซ้ำ
"อีรวีเวลามันเมาแล้วมันขี้อ้อน อีกอย่าง เพื่อน ๆ ในกลุ่มพี่น่ะ เป็นโรคเกลียมัว มันห้ามอะไรกันไม่ได้หรอกโดยเฉพาะไอ้ป๊อบ"
"???"
"งงอะไรคุณสมิง" พี่ดอยถามแล้วก็หัวเราะขำเพราะผมคงทำหน้าพิกล
"ก็ไอ้เกลียมัวนี่มันอะไรครับ แล้วหมอป๊อบนี่ใครหรอ?" ผมถามไปสองคำถาม
"อ่อ...คำตอบแรก เกลียมัว มันก็เป็นโรคชนิดหนึ่ง มักจะเกิดกับผู้ชายดี ๆ หลังจากที่มีเมียเป็นตัวเป็นตนแล้ว ยิ่งวันอาการของโรคก็ยิ่งจะหนักขึ้น จะไม่กล้ากลับบ้านดึก จะไม่กล้าทำตัวไม่ดี สิ้นเดือนมาก็ยกเงินเดือนให้เมียหมดเลย เมียอยากได้อยากกินอะไรก็ตามใจทุกอย่าง เขาเรียกโรคเกลียมัว" พี่ดอยตอบหน้าตายส่วนผมก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้า เพราะมันฟังดูทะแม่ง ๆ ชอบกล
"ส่วนไอ้ป๊อบน่ะมันก็เป็นหนึ่งในก๊วนคนประหลาด สมัยเรียนเตรียมน่ะ ก๊วนเพื่อนของพี่น่ะมีด้วยกันเจ็ดคน ไอ้ป๊อบเป็นคนแรกเลยที่มีเมีย แถมเมียมันน่ะแก่กว่ามันตั้งรอบ มันนี่ขึ้นชื่อที่สุดเรื่องกลัวเมีย แล้วมันก็สารเลวที่สุด ก็คิดดูสิ อายุสิบหกมันก็มีเมียแล้วอ่ะ" พี่ดอยพูดแล้วก็ขำกับตัวเอง พลางหยิบโทรศัพท์ออกเปิดรูปก๊วนเพื่อนของแกให้ผมดู แน่ละมีรูปพี่รวีกับพี่ศศิน มีพี่ดอย และผู้ชายอีกสี่คนยกเว้นพี่รวีคนเดียว นอกนั้นทุกคนใส่แว่นหนา ๆ เหมือนกันหมด ดูเหมือนแต่งคอร์สเพลย์เป็นแก๊งค์เด็กเนิร์ด
"ไว้มันว่างก็มาแหละไอ้ป๊อบน่ะ มันเป็นหมอฟันคนเดียวในกลุ่มของเรา ที่พวกเราทุกคนฟันสวยนี่ก็ฝีมือไอ้ป๊อบนี่แหละ มันขู่ไว้ว่าถ้าใครในกลุ่มพวกเราฟันผุมันจะกระทืบให้ไส้แตก โทษฐานมีเพื่อนเป็นหมอฟันแล้วยังเสือกฟันผุ"
"อ้าวแล้วพี่ดอยล่ะ" ผมย้อนถามกลับ
"พี่ก็เป็นหน่วยดูแลหมาในปากของพวกมันอีกทีไงแต่ละคนบ้า ๆ บอ ๆ ปากหมาที่สุด" พี่ดอยของผมก็ดูจะเป็นคนปากร้ายอยู่ไม่เบา ก็น่าเห็นใจ ถ้าปากไม่ไว เป็นเพื่อนกับพี่รวีกับพี่ศศินคงโดนด่าจนเฉาแน่ ๆ
พี่รวีนั้นช่วยผมได้มาก ๆ ในเรื่องการค้าการขาย ผมที่อยู่ในกะลาของการเป็นดารา หลังจากพักการแสดง กินบุญเก่าไปวัน ๆ ก็นึกอยากทำธุรกิจของตัวเองแต่ก็ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไร ยังมองไม่เห็นทางเลยสักนิด อยากจะเป็นพรีเซนเตอร์กับเขาก็ไม่ได้มีใครจ้าง ทั้ง ๆ ที่ใคร ๆ ก็ชมว่าฟันของผมสวยมาก ๆ
"ไม่มีใครจ้างก็แต่งตั้งตัวเองไปเลยสิ" พี่รวีว่า แล้วก็สอนให้ผมทำคลิปสั้น ๆ พร้อมกับติดตะกร้า ใครจะไปเชื่อว่าแค่นี้ก็ได้เงินแล้ว ยิ่งทำก็ยิ่งได้ จนสินค้าในบริษัทที่พี่รวีผลิต ผมก็เอามารีวิวจนเกือบหมดทุกตัว จะทำทุกตัวก็ไม่ไหวอย่างน้ำยาล้างจุดซ่อนเร้นของผู้หญิง อันนี้ผมคิดไม่ออกว่าจะพรีเซนต์ยังไง แต่ร่ำ ๆ ว่าจะทำน้ำยาล้างจุดซ่อนเร้นของผู้ชาย ผมว่างานนี้ก็น่าจะทำคลิปให้วาบหวิวเซ็กซี่นิด ๆ ก็น่าจะเข้าที
จนในวันหนึ่ง ผมก็ชวนพี่ตี๋กับพี่โจ เจ้าของบริษัทที่พี่รวีไปทำงานด้วยมากินข้าวที่บ้านของผมด้วยซะเลย พี่รวีว่าเป็นคนตลกแล้ว แต่พี่ตี๋กับพี่โจนั้นตลกไปยิ่งกว่า แถมพอฟังประวัติชีวิตของทั้งสองคนก็ออกจะอมยิ้มเสียไม่ได้ เพราะทั้งสองคนก็รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนประถมเหมือนกัน เพียงแต่ตรงกันข้ามกับพี่รวีคือทั้งสองคนเกลียดขี้หน้ากันที่สุดในตอนเด็ก ๆ แต่ไฉนกามเทพถึงผลักให้ทั้งสองรักกันได้ก็ไม่รู้ แต่ผมว่าเป็นคู่ที่ลงตัวและถึงจะด่ากันเก่งแต่ก็รู้ว่ารักกันมาก
ยิ่งมารู้ทีหลังว่าที่จริงแล้ว พี่โจกับพี่ศศิน เป็นพี่น้องคนละแม่ ก็เลยค่อยคลายสงสัยว่าทำไมสองคนนี้หน้าตาคล้าย ๆ กันแต่ดูไม่ได้สนิทกันมากเท่าไร
และหลังจากที่ชวนพี่ตี๋และพี่โจมากินข้าวที่บ้าน ผมก็ได้รับงานเพิ่มคือ เดือนละสองครั้งผมจะต้องไปไลฟ์ขายผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะได้เงินตามยอดขายอีกเหมือนกัน ค่าตัวอีกต่างหาก ผมก็เลยเชียร์ขายสุดหัวจิตหัวใจไปเลย
ทางด้านพี่ศศิน ผมกลับรู้สึกว่าผมสนิทกับเขามากกว่าพี่รวี แม้ว่าพี่รวีจะคุยเก่งกว่า อาจเพราะชอบอะไรเก่า ๆ เหมือนกัน และยิ่งคุยจนรู้จักชีวิตตอนเด็ก ๆ พี่ศศินโตมากับคุณย่าส่วนผมโตมากับยาย เลยน่าจะเป็นเพราะเหตุนี้กระมัง เพราะเราโตมากับคนแก่
พี่โจนั้นผมออกจะทึ่งที่อายุอานามเพียงเท่านี้ก็เป็นเจ้าของธุรกิจระดับร้อยล้าน ใกล้จะพันล้านเต็มที่ แกเล่าว่าแกเริ่มมาจับธุรกิจของตัวเองเอาตอนเริ่มจะสามสิบ โดยแรงผลักดันก็คือพี่ตี๋
"พี่กับไอ้ตี๋เคยทำงานบริษัทเดียวกัน พี่สงสารมัน ก็เลยคิดว่าเบื่อการเมืองในที่ทำงาน เบื่อคนอิจฉา ทำกันสองคนผัวเมียนี่แหละ ไม่ต้องไปแข่งกับใคร เราสองคนขยันทั้งคู่ ขยันอย่างนี้คงไม่ถึงกับเจ๊ไม่ถึงกับอดตาย แต่มันก็ขายดี เพราะดวงด้วยมั้ง" พี่โจเปิดใจเล่า แต่พี่ตี๋ว่าที่ของบริษัทขายดีเพราะพี่โจมีเซนต์เรื่องค้าขาย และสินค้าของดอกเตอร์โจ ก็พยายามทำให้มีคุณภาพดีที่สุดในกลุ่มสินค้าเดียวกันในตลาด ถึงราคาจะสูงกว่าคู่แข่งนิดหน่อย แต่คุณภาพดีเป็นที่น่าเชื่อถือ และยังมีโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมอยู่เรื่อย ๆ
"ผมก็พยายามจะตั้งตัวเหมือนกันครับพี่โจ" ผมเปิดใจเล่าความในใจของตัวเองบ้าง ไอ้งานรีวิวสินค้า มันก็สนุกแต่ผมอยากทำอะไรให้มันเป็นชิ้นเป็นอันมากกว่านี้อีกสักหน่อย
ไม่ผิดหวังเลยที่ผมได้ปรึกษากับพี่ ๆ ที่ผ่านประสบการณ์มาตั้งเยอะ เพราะในที่สุดผมก็ได้ประมวลสิ่งที่รัก ที่ถนัด สิ่งที่ชอบ และสิ่งที่อยากทำจนเห็นภาพชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น พี่โจกับพี่ตี๋ก็ช่วยผมได้มาก เพราะตึกแถวกึ่งร้างที่ปากซอยบ้านของผมนั้น ผมอยากจะซื้อมันและปรับปรุงใหม่ สร้างเป็นร้านอย่างที่ใจผมเห็นภาพมาตั้งแต่เด็ก
ผมโตมากับยาย ตึกแถวเก่า ๆ ที่ท่าวุ้ง คือภาพจำ ถึงมันจะเก่าและไม่ได้สวยงาม แต่มันก็อบอุ่น ภาพของเช้ามาหม้อแกงใบโต ๆ จะถูกวางเรียงราย ควันฉุยลอยช้า ๆ ส่งกลิ่นอาหารอร่อยน่ากินไปปลุกให้ชาวบ้านออกมาทยอยกันซื้อเพื่อเป็นอาหารสำหรับตัวเองและลูกหลาน แม้ว่าจะต้องตื่นมาช่วยยายตั้งแต่เช้ามืด แล้วค่อยไปเรียนต่อ แต่ผมก็สนุกและมีความสุข
และถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะได้นำความสุขนั้นกลับมาอีกครั้ง แต่ในเมื่อสถานที่เปลี่ยน ผมก็อยากจะทำให้ความฝันของผมมันสวยงามสะอาดตากว่าภาพจำเดิม ๆ อีกครั้ง เงินเก็บที่เหลือของผม ผมนำไปซื้อที่ดินตรงนั้น ได้อาศัยพี่ตี๋ซึ่งเป็นคนเก่าคนแก่ ได้สืบเสาะจนเจอตัวเจ้าของตัวจริง พูดคุยกันอยู่เป็นนานสองนาน จึงได้ทำการซื้อที่ดินนั้นจนได้ในที่สุด
"พี่ดอย ผมอยากจะทำที่ตรงนี้ให้มันสวย ในฝันของผม ผมจะทำห้องแถวสักสองชั้นทำเป็นร้านอาหาร ในใจที่คิดผมอยากจะได้เป็น บุฟเฟ่ต์ขนมจีน พื้นที่ด้านหน้าจะเป็นที่จอดรถ แล้วอีกด้านหนึ่งผมก็จะเว้นห้องตรงมุมไว้ให้พี่ดอยมาเปิดคลินิกรักษาสัตว์ที่นี่ด้วย พี่ดอยว่าดีไหมครับ"
ผมชวนพี่ดอยซึ่งหลังจากมากินข้าวเย็นที่บ้านของผม ออกมาเดินดูพื้นที่ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นห้องแถว ตอนนี้มันถูกทุบทำลายจนกลายเป็นที่ดินเรียบ ๆ มองมาจากถนนอ่อนนุช ก็ดูเด่นไม่เบา จัดว่าเป็นทำเลทองขึ้นมาทันที
"ดีจริง พี่ว่าเป็นความคิดที่ดีนะ คุณสมิงทำอาหารเก่ง อร่อยทุกเมนู รับรองว่าต้องขายดีแน่ ๆ เออไหน ๆ จะมีคลินิกรักษาสัตว์อยู่ใกล้ ๆ ทำเป็นเพ็ทคาเฟ่ต์ไปด้วยเลยสิ คือพาสัตว์เลี้ยงเข้าไปในร้านได้ แล้วก็น่าจะมีเมนูสำหรับน้องหมาน้องแมวขายไปด้วยซะเลย ว่าแต่อย่าคิดค่าเช่าแพงมากนะ" พี่ดอยพูดตอนท้าย แล้วก็หัวเราะแห้ง ๆ
"อ้าวพี่ดอยพูดดักคอเสียแล้ว ผมกะจะคิดค่าเช่าสักเดือนละสองแสน"
"โอ๊ยแพงไม่ไหวหรอก" พี่ดอยพูดแล้วก็ทำท่าจะโวยวาย จนผมคว้ามือของแกมากุมไว้ แล้วเราก็เดินไปตรงพื้นที่ซึ่งผมวางแปลนจะปลูกอาคารสองชั้นตามจินตนาการ
"ผมล้อเล่นครับ นี่ตรงมุมนี้เลย ตรงนี้ผมอยากให้เป็นร้านของพี่ดอย เพราะตรงนี้มันเด่นสะดุดตาที่สุด" ผมชี้มือชี้ไม้ วาดเป็นอาณาเขต พี่ดอยยิ้มและผมมองที่ใบหน้าเขา เห็นดวงตาเป็นประกาย วิบวับ
"ถ้าคลินิกเสร็จแล้วย้ายมาตรงนี้ จะให้ดี ผมว่าพี่ดอยก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านกับผมด้วยเลยดีไหม จะได้ไม่ต้องเสียค่าเช่าประหยัดไปด้วยสองต่อ มาอยู่กับผมดีนะครับ มีข้าวให้กินสามมื้อเลยจะทำให้อร่อยทุก ๆ มื้อเลยด้วย" ผมพูดไปจูงมือพี่ดอยเดินกลับบ้านไปด้วย
"อ้าวพี่ดอยทำไมเงียบล่ะ ถ้าไม่ปฏิเสธผมถือว่าตอบรับนะ"
"เห้ย...ขี้ตู่ ใครไปตอบตกลงคุณตอนไหน" พี่ดอยโวยวาย แต่ไม่รู้แหละ จากมือที่จับกันเมื่อกี้เขาสะบัดมือออกและผมก็มือไวพอที่จะเปลี่ยนเป็นโอบเอวของเขาแทน
"ผมชอบพี่ดอย แล้วพี่ดอยไม่ชอบผมกลับบ้างเหรอ?" พูดไปก็เขินไป พี่ดอยได้ยินแต่ก้มหน้ามองพื้นอย่างเดียวเลย ขนาดฟ้ามืดแล้วแต่ผมก็ยังรู้ว่าพี่ดอยหน้าแดง
"พี่ดอย เราคบกันเถอะนะ...นะครับ เกิดมาเป็นตัวผมก็ไม่เคยชอบใครเลยสักที มีพี่ดอยเป็นคนแรกที่ผมชอบ และผมก็สัญญาว่าจะเป็นคนสุดท้าย คบกับผมเถอะนะ" ไอ้สมิงน่ะมันคนซื่อ ชอบก็บอกว่าชอบ ขอคบตรง ๆ อย่างนี้แหละ จะทำอาหารอร่อย ๆ ให้กินทุกวัน ๆ ไม่เห็นใจกันก็ให้มันรู้ไป
"เอ่อ ก็ได้ครับ ถ้าเราจะคบกัน พี่ไม่อยากเอาเปรียบคุณ ไอ้ตรงนั้นเอาอย่างนี้ได้ไหม ให้พี่เป็นหุ้นส่วน ช่วยออกเงินกันคนละครึ่ง" พี่ดอยพูดจนผมแสนเอ็นดู กระชับกอดเอวของเขาให้เข้ามาแนบกับตัวของผมอีกสักหน่อย คนอย่างนี้สินะ ที่เหมาะจะเอามาเป็นคู่ชีวิต
"จะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละครับ ผมกะจะฝากชีวิตไว้กับพี่ดอยอยู่แล้ว ไอ้ที่ทำมาทั้งหมด ก็อยากให้ความมั่นคงกับพี่ดอย อยากสร้างครอบครัวของเราเอง แม้จะเป็นครอบครัวเล็ก ๆ ก็เถอะ"
หนึ่งอาทิตย์หลังจากที่ผมกับพี่ดอยคบกัน พี่ดอยก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านของผม จะว่าไป เรารู้จักกันไปมาหาสู่ คบหาและเรียนรู้กันหนึ่งปีเต็ม ๆ ทีเดียว แม้ว่าพอมาอยู่ด้วยกันอย่างจริงจัง แต่ก็มีเรื่องที่เราต้องเรียนรู้ในตัวตนของกันและกันอีกตั้งหลายเรื่อง ดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ด้วยความรักที่มีให้กัน มันก็เลยทำให้ทุกเรื่องไม่ยากเกินไป ผมก็มีข้อเสีย พี่ดอยก็มีเหมือนกัน แต่ผมเลือกจะมองข้อดีมากกว่า และข้อเสียของเราสองคนมันก็ไม่ได้ใหญ่โตเกินกว่าจะมองข้ามมันไปเสียบ้าง
ในที่สุดร้านอาหารอย่างใจหวังของผมก็สำเร็จ ตัวผมเองไม่ได้ลงไปที่ร้านเป็นหลัก แต่ผมได้ชวนแม่ดามาเป็นหุ้นส่วน เพราะท่านก็บ่นว่าเมื่อละครน้อยลง ท่านก็ว่าง ๆ ครั้นจะอยู่บ้านเฉย ๆ ก็เบื่อ ผมก็เลยชวนท่านมาเป็นแม่ครัวหลักที่ร้านเสียเลย แม่ดาน่ะทำอาหารอร่อยอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นพี่โจก็เตือนว่า ต้องทำบัญชีให้รัดกุม เงินทองมันไม่เข้าใครออกใคร
เมนูหลักที่ร้านของผมคือบุฟเฟ่ต์ขนมจีน มีเส้นขนมจีนซึ่งรับมาจากเจ้าประจำที่เส้นอร่อยนุ่มเหนียวกำลังดี เส้นเล็ก ๆ ไม่ใหญ่มาก เมื่อจ่ายเงินค่าเส้นแล้วใครใคร่จะตักน้ำอะไรราดก็เชิญตามสบาย จะเป็นแกงเขียวหวาน น้ำพริก น้ำยา แกงไตปลา ก็ตามชอบใจ แต่ถ้าอยากกินซาวน้ำ ก็มีสับปะรด กุ้งแห้ง ขิงอ่อนซอย ราดด้วยกะทิแจงลอน ซึ่งทำจากเนื้อปลากรายต้มกับน้ำกะทิหวานมัน
เครื่องที่ใช้กินกับขนมจีน ก็คือผักสดชนิดต่าง ๆ ซึ่งจะจัดเรียงเป็นชุด ๆ หมดอะไรก็เติมได้ รวมไปถึงไข่เป็ดต้ม และทอดมันปลากราย ซึ่งกินกับขนมจีนเข้ากันที่สุด
ร้านขนมจีนของผมนั้นกิจการเป็นไปด้วยดี เพราะอร่อยและสะอาด ราคาอาจจะสูงไปนิด ถ้าเทียบกับที่ขายตามตลาด แต่ก็เพราะใช้ของดี วัตถุดิบดี ๆ ยุคนี้ข้าวของแพงไปทุกอย่าง แต่คนซื้อก็เข้าใจ จะกินทั้งทีก็ขอกินให้ดีและอร่อยไปเลย ดีกว่ากินถูก ๆ แต่ไม่อร่อย อย่างที่พี่รวีเคยค่อนขอดว่าเปลืองปาก
ผ่านระยะเวลาปีที่สอง ทุก ๆ อย่างเริ่มลงตัว ร้านของผมก็ขายได้เรื่อย ๆ โดยผมพยายามดัดแปลงให้มีอาหารให้หลากหลายมากขึ้น งานหลักอีกอย่างของผมก็คือการรีวิวขายสินค้า และรายการทำอาหารลงยูทูป ซึ่งได้สปอนเซอร์หลักหลายตัว จนต้องทำคลิปทุกอาทิตย์เลยทีเดียว
เพื่อน ๆ ของพี่ดอย ซึ่งแต่ละคนก็เป็นคนแปลก ๆ หมุนเวียนมาพบปะกันตามแต่โอกาสสมควร นอกจากพี่รวีและพี่ศศิน ผมก็ได้รู้จักหมอไปป์ และหมอเบียร์ สองคู่หูที่ดูแล้วผมว่าเหมือนคู่แฝดเพราะหน้าตาคล้ายกันมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่ทั้งคู่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวพันอะไรทางสายเลือดกันเลยสักนิด
"มันสองตัวเป็นร่างโคลนจากมนุษย์ต่างดาวเหมือนเรื่องกาเหว่าที่บางเพลงไง" พี่ดอยเคยนินทา และผมก็เข้าใจในภายหลังว่าทำไมพี่ดอยถึงพูดอย่างนั้น ก็หมอสองคนนี่คลั่งไคล้เรื่องลี้ลับ เรื่องมนุษย์ต่างดาวและเอามาพูดเล่าได้เป็นชั่วโมง ๆ
รายต่อมาคือหมอป๊อบ ซึ่งพี่ดอยเล่าว่า พี่หมอป๊อบนั้นแยกจากเพื่อน ๆ ไปเรียนหมอฟัน โดยมีเมียของแกเป็นไอดอล แถมพี่หมอป๊อบนั้นยังมีเมียตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยมสี่
"อะไรนะพี่ มัธยมสี่ก็น่าจะอายุสิบห้าสิบหกเองนะ ไม่เร็วไปหรอครับ" ผมพูดไปหัวเราะไป นึกภาพตัวเองตอนอายุสิบห้า ยังไถหัวขาวสามด้านอยู่เลย
"พี่พูดจริง ๆ ก็มันเล่าให้ฟังทุกวันว่าเมียมันดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ มันเข้าหาเขาน่ะ ใช้มารยาหลอกล่อเขา แล้วแฟนมันนะแก่กว่ามันตั้งสิบห้าปี เข้าทำนองเด็กมันยั่วน่ะ" พี่ดอยนินทา และวันที่พี่หมอป๊อบมาเยี่ยมพวกเราที่ร้าน ผมก็ออกจะมองเขาอย่างแปลก ๆ
วันนั้นเป็นวันนัดรวมตัวกันของพวกก๊วนคุณหมอ ขาดแค่คนเดียวเพราะเปิดคลินิกเสริมความงาม พี่รวี พี่ศศิน นั้นไม่ได้เป็นหมอกับเขา แต่พี่ดอยเล่าว่า สมัยเรียนทั้งสองคนนี่คือท๊อปของห้อง แต่เพราะไม่ชอบสายอาชีพนี้ก็เท่านั้น ไม่อย่างนั้นคงเป็นหมอทั้งเจ็ดคน
เมียของพี่ป๊อบ ซึ่งอายุราว ๆ สี่สิบกว่า ๆ แต่ดูยังหน้าเด็กอยู่มาก มองเผิน ๆ เหมือนคนอายุราว ๆ สักสามสิบปลาย ๆ เท่านั้นเอง ซึ่งแกเป็นทันตแพทย์เหมือนกัน ซึ่งฉายาที่พวกพี่ดอยเรียกแกลับหลังคือ พี่โอลีฟ
"ไอ้ป๊อบมันเป็นหมอฟันได้ก็เพราะอาศัยบารมีเมีย" พี่รวีซึ่งชักหน้าแดง ๆ จากน้ำหมักพูดล้อ
"อ่ะแน่นอน ภาษาอังกฤษกูก็ได้ที่รักนี่แหละช่วยติว ไม่อย่างนั้นกูจะเก่งขนาดนี้เรอะ" พี่ป๊อบตอบพร้อมกับจ้วงท็อฟฟี่เค้กเข้าปากเคี้ยวหยับ ๆ
ผมเห็นพวกก๊วนเพื่อนพี่ดอยแล้วก็ออกจะแปลกใจ พี่ดอยเป็นสัตวแพทย์ แต่ชอบกินเนื้อวัวมากที่สุด ซึ่งพี่รวีก็ชอบกินเนื้อวัวเหมือนกัน ทั้งสองคนเลยสนิทกันด้วยเหตุนี้
ส่วนพี่หมอไปป์กับพี่หมอเบียร์ เป็นหมอแต่ชอบพวกของทอด ๆ มัน ๆ อย่างเช่นหมูกรอบ หมูกระทะ แต่เจ้าตัวออกตัวว่าไม่กินเครื่องในเด็ดขาด
แต่พี่ป๊อบกับพี่โอลีฟเมียของแกซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหมอฟัน แต่กลับชอบกินของหวานมากที่สุด
แต่ละคนดูแล้วช่างย้อนแย้ง และไม่ว่าจะอะไร ผมว่าคนเราที่คบกันมาเป็นสิบ ๆ ปี จนถึงวันนี้ก๊วนเจ็ดประหลาดตามที่พี่รวีเคยเรียก ก็ยังสนิทสนมกลมเกลียวไปมาหาสู่กันอยู่ มองดูแล้วก็น่าชื่นชม
"ในบรรดาพวกเรา ไอ้ป๊อบกลัวเมียมากที่สุด เรียกว่าถ้ามันกำลังอาละวาดอะไรนะ ถ้าเมียมันเรียก "ป๊อบ" เสียงเย็น ๆ ทีเดียวมันกลับบ้านทันที จากที่เป็นเสืออยู่มะกี้ ลายหายกลายเป็นหมาไปเลย" พี่หมอไปป์เล่าบ้าง
"อ๊ะ มึงมันไม่มีเมียมึงไม่รู้หรอก มีเมียเท่ากับมีแม่ และการเคารพเมียทำให้ชีวิตเจริญโว้ย ไม่เชื่อมึงถามไอ้สิน กับไอ้สมิงได้" อ้าวไหงมาซัดที่ผม
"หรือไหมวะสมิง?" พี่เบียร์หันมาถามผม ผมซึ่งอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ และหันไปมองหน้าพี่ดอยที่กำลังอมยิ้ม
"ผมว่าก็จริงครับ พี่ดอยตัวเท่านี้ แต่ถ้าผมเผลอทำให้พี่ดอยโกรธ โอ้โห ไม่พูดดีกว่า" ผมพูดแล้วก็อ้อนพี่ดอย ด้วยการขยับตัวไปนั่งชิด ๆ แล้วโอบเอวแน่น ๆ
"สามคนนี้ใครกลัวเมียที่สุด" นั่นไง พี่รวีเริ่มกวนน้ำให้ขุ่นอีกแล้ว สรุปสุดท้าย เอาเป็นว่า พวกเราทุกคนกลัวเมียเสมอ ๆ กัน และผมก็นึกแปลกใจ ที่ยิ่งวันยิ่งรักผมก็ยิ่งเกรงใจพี่ดอย พี่ดอยน่ะหลังจากอยู่ด้วยกันแล้วผมถึงได้รู้ว่าพี่ดอยเป็นคนขี้หึง และถึงแม้ผมจะไม่ได้เป็นดาราอีกแล้ว แต่ก็ยังมีแฟนคลับเก่าแก่ ตามมาให้กำลังใจอยู่เรื่อย ๆ ผมต้องพยายามวางตัว ไม่น้อยไม่มากเกินไป พอเห็นพี่ดอยตาเขียวใส่ ผมนี่เข่าอ่อนอยากทรุดไปกองอยู่กับพื้น
ก็เรื่องอะไรกันเล่า บ้านก็บ้านผม แต่ถ้าเกิดเรื่องทีไร ผมต้องหนีมานอนกับไอ้สโนว์บอลที่โซฟา มันไม่ใช่ที่แท้ ๆ ผมละเข็ดเสียแล้ว เลยเลือกป้องกัน ไม่พยายามที่จะไปวุ่นวายที่หน้าร้าน อยู่ทำคลิปมันที่บ้านนี่แหละ จะได้ไม่ต้องมีแฟนคลับมาคอยวุ่นวาย
เดือนละหนโดยประมาณ ก๊วนเพื่อนของพี่ดอยมักจะมารวมตัวกันเพื่อนัดกินข้าว มาได้มากน้อยก็แล้วแต่โอกาสสนุกที่สุดถ้าจะมากันเยอะ ๆ พี่ป๊อบชอบพาเมียมาด้วย ซึ่งเมียของแกแม้จะแก่กว่าพวกเรามาก ๆ แต่ก็เข้ากันได้ดี
เพื่อน ๆ แต่ละคนของพี่ดอยแปลก ๆ ทั้งนั้น จนพี่ไปป์บอกว่าแต่ละคนเหมือนมนุษย์ต่างดาว แต่ผมว่า ถึงจะมาจากดาวคนละดวงแต่ก็อยู่ในกาแลกซี่เดียวกัน และที่สำคัญ ผมว่าพี่ดอยคือดาวนำโชคของผม เพราะถ้าไม่มีพี่ดอย ผมก็คงไม่ได้เป็นผมที่แสนโชคดีอย่างทุกวันนี้
"การกลัวเมียเป็นเครื่องนำพาความเจริญมาสู่ตน" พี่ศศินแปล หลังจากพูดภาษิตภาษาบาลีอะไรสักอย่างฟังไม่ออก แต่พวกผมก็พยักหน้าเห็นด้วยหงึกหงัก กลัวเมียกลัวเมออะไรกัน แค่เกรงใจ ไม่อยากให้เขาเสียใจแค่นั้นแหละ