แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว - 20 ป๊อปอาย โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ



อ้าอุไรพธูพบูพิบูลย์ เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ  เจริญภาส


ตูสวิงสวายเพราะสายสวาดิ์ ระทวยบ่ปลดระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก


แสนจะเสียวจะส้านณวารวิโยค จะข้ามห้วงบ่ล่วงอโฆ ก็อกกรม


ใคร่เสน่หะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิทร์จะชิดจะชม ณเชิงรัก


เชิญสมรสุมาลย์สมานสมัค ประสานประสงค์ประจง ประจวบใจ ประจักษ์




ผมค่อย ๆ พับกระดาษที่มีลายมือหวัดแกมบรรจงแล้วอมยิ้ม พลางถามมันไปเบา ๆ ว่า


"มึงจีบกูหรอ?" 


"เปล่า" มันตอบอย่างว่องไว แต่หน้าแดง คนแปลกประหลาดอย่างนี้ก็มีด้วย

สารบัญ

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-1 ทีโมนกับพุมบ้า,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-2 เจ้าชายน้อย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-3 จุดเริ่มต้นความสนิท,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-4 ลูกไม้หล่นไกลต้น,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-5 ตัวโวยวาย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-6 สิบปี,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-7 เปลี่ยน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-8 ห่าง,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-9 ใจเอ๋ยใจ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-10 วันธรรมดา,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-11 อยู่ด้วยกัน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-12 หมอดอย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-13 หมอดอยใจดี,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-14 พระเอก,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-15 สมิง,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-16 จอมวางแผน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-17 Supporter,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-18 พ่อค้าออนไลน์,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-19 เกลียมัว,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-20 ป๊อปอาย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-21 โอลีฟ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-22 Change ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-23 Twin Flame

เนื้อหา

20 ป๊อปอาย

โดย  Chavaroj




"ทำไมรถมันติดอย่างนี้วะ?" ผมบ่นไปขับรถไป เพราะต้องผ่านห้างสรรพสินค้าชื่อดังซึ่งตั้งต้นคริสต์มาสต์ต้นยักษ์ให้คนไทยได้ถ่ายรูปกันเป็นที่สนุกสนาน ๆ ทั้ง ๆ ที่เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ไม่มีหิมะกับเขาสักนิด ในขณะที่คนนั่งข้าง ๆ ก็นั่งฮำเพลงจากคลื่นวิทยุสีเขียว ซึ่งเปิดแต่เพลงไม่มีดีเจจัดรายการ สลับกับข่าวและโฆษณาเล็ก ๆ น้อย ๆ เพลงที่เปิดก็มักจะเป็นเพลงเก่า ๆ สมัยเก้าศูนย์ ฟังคุ้นหูบ้างไม่คุ้นหูบ้าง เพราะผมอายุน้อยกว่าเมียแค่สิบห้าปีพอดิบพอดี เรียกว่าตอนเขาเป็นหนุ่มผมเพิ่งเกิดลืมตาดูโลก


"ยูขับรถดี ๆ ไม่ต้องรีบหรอก เดี๋ยวเลยแยกหน้าก็รถไม่ติดแล้ว" ทูนหัวทูลเกล้าฯ ของผมพูดแบบปลง ๆ 


"คร้าบแม่" ผมตอบลากเสียงยาวประชดนิด ๆ หน่อย ๆ ถึงไม่ประชด หน้าของผมมันก็งอเป็นนิจศีลอยู่แล้วนี่หว่า ทำยังไงได้


จนในที่สุดเราก็ถึงจุดหมาย ร้านเสด็จพี่ขนมจีนบุฟเฟ่ต์ ซึ่งปิดแล้วตั้งแต่หกโมงเย็น แต่ในเมื่อเราเป็นแขกพิเศษ ตัวร้านจึงเปิดไฟสว่างไสว แถมมีแสงไฟกะพริบวิบวับจากต้นคริสต์มาสต์ ดูน่าสนุกน่าครื้นเครงไม่ใช่น้อย งานนี้เจ้าของงานท่าทางทุ่มทุนสร้าง


และทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในร้าน กลิ่นอบอวลของสุกี้หม้อไฟหอมหวน ก็ทำเอาผมต้องสูดจมูกฟุตฟิต


"มาแล้วเหรอไอ้ป๊อบ หวัดดีพี่โอ้ รถติดล่ะสิ" เสียงบ่นของเมียเจ้าของร้าน ไอ้หมอหมาเพียงคนเดียวในกลุ่มเราทักขึ้น ส่วนคนอื่น ๆ กำลังจ้วงเอา ๆ กับอาหารตรงหน้า มองสารรูปแต่ละคน ก็อดจะขำไม่ได้ นี่พวกมึงเป็นคนมีหน้าที่การงานดี ๆ ทั้งนั้นแต่ดูแต่ละคนแต่งตัวอย่างกับคนบ้า


ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ ในเมื่องานนี้เรามีธีมคล้าย ๆ แฟนซีกลาย ๆ ให้ทุกคนแต่งเพื่อความสนุก พวกเรานัดแนะกันมาในธีม หนังหรือละครในดวงใจ


โน่นเลยไอ้คู่รักที่เฟรนด์โซนเกือบจะทำให้ไม่ได้ลงเอยกัน อีรวีกับไอ้ศศิน อีรีวซึ่งหน้าแดง ได้คว้าไมค์ร้องเพลง All I want for christmas is you ของมารายน์ แครี่ และเต้นอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยมีไอ้สินผัวร่างยักษ์ของมันนั่งมองแล้วก็อมยิ้มอย่างคนหลงเมีย


บนหัวอีรวี ใส่หมวกรูปตัวพังพอนในไลอ้อนคิง ส่วนไอ้สิน ใส่หมวกพุมบ้าจากเรื่องเดียวกัน เหมาะสมกันแท้ ๆ พังพอนกับหมูป่า


ถัดมาก็คือเชฟซึ่งยืนจัดแจงทำอาหารแสนอร่อยให้พวกเราได้กิน นี่ดูเป็นผู้เป็นคนกับเขาหน่อย เพราะแต่งตัวธรรมดา ๆ เพียงแต่ใส่ที่คาดผมเป็นหูหมา และไอ้ดอยใส่ที่คาดผมเป็นหูแมว ซึ่งคอยหยิบโน่นเติมนี่แน่สิ ก็ที่นี่มันร้านของพวกมึงนี่หว่า


ที่นั่งเม้าและเถียงกันไปทะเลาะกันมา คือไอ้ไปป์กับไอ้เบียร์ คนที่มองไกล ๆ จากคนไม่รู้จักจะนึกว่ามันเป็นคู่แฝดกันเพราะหน้าตาท่าทาง การแต่งเนื้อแต่งตัว เหมือนกันอย่างกับแกะ แม่งแต่งตัวอะไรของมันวะ ใส่เสื้อวอล์มสีมัน ๆ เลื่อม ๆ 


"มึงแต่งเป็นอะไรอ่ะ มึงสองตัวอ่ะ" ผมชี้ไปที่มันสองคน ซึ่งแดกกันไปด่ากันไป


"เป็นลูกเรือสตาร์เทรค กูเป็นมิสเตอร์สป๊อค" ไอ้ไปป์พูดอย่างภูมิใจ 


"เออไอ้เปรต เหมือนจริง ๆ ซะด้วย" ผมกล่าวชม อย่างไม่ค่อยจริงใจ แม่งเล่นง่าย เอาเสื้อวอล์มรัด ๆ สีเทา ๆ มาใส่ หวีผมแม่งให้เป็นหน้าม้า แค่นี้แม่งก็เหมือนราวกับหลุดมาจากหนังสตาร์เทรคอย่างกับแกะ


"มึงจะทุ่มทุนอะไรขนาดนั้นวะไอ้ป๊อป ล่อชุดกะลาสีเลยเรอะ" ไอ้เบียร์ทักผมบ้าง


"ก็พวกมึงมันไม่ใจ ไหนบอกว่าแต่งแฟนซี กูนี่ต้องไปขอยืมชุดกะลาสีเขามาเลย" ผมบ่น ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ซึ่งมันจัดไว้ให้ จนพี่โอ้เมียของผมนั่งข้าง ๆ ผมก็เลยต้องลุกไปหยิบจานชามช้อนมาสองชุด พร้อมตักน้ำจิ้มมาวางประเคนให้ภรรยาที่เคารพ ชำเลืองมองดูหมูหมากาไก่ที่สุกแล้ว ตักใส่ชามให้พี่โอ้ อย่างผัวที่ดี ผัวที่อยู่ในโอวาท ประเคนอาหารให้เมียอิ่มหนำสำราญ ไม่มีบกพร่อง


รำคาญเสียงเพลงโหยหวนจากอีรวีเต็มที สาธุจบสักที แต่เพลงต่อไปก็ไม่ใช่ว่าจะดีไปกว่ากันเท่าไร ผัวอีรวีกับพ่ออดีตพระเอกละครพื้นบ้าน  ขึ้นไปร้องเพลงคู่ด้วยกัน เพลงมนต์รักลูกทุ่ง กูจะบ้า ช่างไม่เกี่ยวข้องกับเทศกาลเลยสักนิดเดียว แต่เอาเถอะ ถือว่ายังดีกว่าอีรวีแหกปากมะกี้


"ป๊อปอายเพื่อนร๊าก ชนเหล้ากับน้องร๊าวีหน่อย" อีรวีเมาเรื้อนจนน่าถีบ


"ไม่กิน เดี๋ยวกูต้องขับรถกลับมึงลืมหรือไง ไปชวนพี่โอ้โน่น" ผมโบ้ย และอีรวีก็ไปชวนพี่โอ้ชนไวน์จนได้


"พี่โอ้อย่าดื่มเยอะ" ผมกระซิบกระซาบเตือนส่วนเจ้าตัวดูท่าจะไม่ค่อยสนใจผมเท่าไร เพราะหลังจากอีรวีโดนผัวมันกลับไปนั่งดี ๆ พี่โอ้ของผม ก็ทิ้งโต๊ะ หันไปเล่นกับลูกหมาชิวาวาสีขาวชื่อดัง ซึ่งแม่งตอแหลเก่ง ประจบประแจงทำคลอเคลีย 


ลูกหมาสีขาวตัวกะเปี๊ยกดัดจริตมีผ้าพันคอสีแดง แล้วแม่งก็รู้จักประจบ โดยเฉพาะกับเมียกูเนี่ย วุ่นวายด้วยจริง ๆ อย่าให้พ่อเผลอเดินเหยียบก็แล้วกัน ตัวแม่งกะจิ๋วเดียว เหยียบทีเดียวไส้แตกตายห่า ไม่เอาหมามึงไปเก็บดี ๆ วะ กูไม่ได้รักสัตว์นาโว้ย


เสียดายว่าเพื่อนเรามาไม่ครบ แต่ด้วยอาชีพการงานก็ว่ากันไม่ได้ เวลาล่วงเลยจนเกือบจะเที่ยงคืน ของขวัญที่พวกเรานัดแนะเอามาเพื่อจับฉลาก ตั้งกองกันอยู่บนโต๊ะ เขียนเบอร์ติดไว้เรียบร้อย 


"ปีนี้มีจับฉลากด้วยนะ ของขวัญมาในคอนเสป งองู งบไม่เกินสามร้อยบาท ห้ามเกิน จับเอาสนุก ๆ" อีรวีตัวต้นคิดเป็นคนโทรศัพท์มาแจ้งกับผม นี่มึงคิดว่ากูมีเวลาว่างเหมือนมึงหรือไงอีผี แต่กูก็จัดให้จ้า 


"พี่โอ้ ที่งานเขามีแลกของขวัญด้วยแหละ คอนเสป งองู ป๊อปไม่รู้เอาอะไรดี งบสามร้อย" ผมบ่นกับเมีย


"หรอ ๆ น่าสนุก แต่ห้ามบอกกันนะ เก็บไว้เป็นความลับ ตื่นเต้น ๆ" เมียกูก็พลอยปัญญาอ่อนไปกับอีรวีด้วย


พวกเราจับฉลากแล้วก็ให้แกะดูของขวัญกันเลยว่าได้อะไร ผมล่ะโชคดี๊โชคดี ได้งาขาวงาดำมาเป็นกิโล ๆ แดกจนปีหน้าคงจะหมด ส่วนพี่โอ้ได้ตัวต่อสามมิติ เป็นรูปงูก็น่ารักดี กูอยากรู้ความคิดอีคนซื้องามาจับของขวัญ พ่ออยากจะต่อยสักหมัด


พวกเราเฮฮาจนเกือบ ๆ ตีหนึ่ง ถึงได้แยกย้ายกันกลับบ้านกลับช่อง ผมล่ะอิ่มชะมัด ส่วนพี่โอ้ เมาเรื้อนไปแล้ว ถึงบ้านผมต้องเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้อีก ยังดีว่าเข้าเวรกันช่วงเย็น ๆ เพราะลาไว้แล้วทั้งสองคน


เราสองคนเป็นทันตแพทย์อยู่โรงพยาบาลเดียวกันและคนที่ลากผมเข้ามาเส้นทางนี้ก็คือเมียของผมนี่แหละ เรียกว่าเห็นแล้วรักเลย ทั้งคนและอาชีพ


การพบเจอกันของผมกับพี่โอ้ เกิดขึ้นตอนผมอายุสิบกว่าขวบเท่านั้นเอง เรียกว่าตอนนั้นยังไม่รู้จักรักแร๊กอะไรทั้งนั้น บ้านเกิดของผมอยู่จุกเสม็ดที่ ชลบุรี ผมเป็นลูกทหารเรือ เป็นหลานทหารเรือ และดูเหมือนโคตรเหง้าของผมก็เป็นทหารเรือไปหมด ก็มันดงทหารเรือนี่นะ


แม้จะเป็นทหารเรือยศต๊อกต๋อย แต่พ่อก็ลูกดกมีลูกตั้งสี่คนพี่สาวคนโตของผมเกิดก่อนผมแปดปี พอมามีผมเป็นลูกชายคนกลาง สี่ปีต่อมา แม่ก็มีน้องสาวฝาแฝดอีก เรียกว่าลูกดกจนคนทั้งขำทั้งสงสาร


โชคดีว่าบ้านผมเรียนเก่งกันทั้งบ้าน ก็เลยได้ทุนเรียนฟรีครั้นพอจะขึ้นมัธยมต้น พ่อปรึกษากับแม่ และบอกผมว่าอยากส่งผมให้เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ เพราะผมดูจะมีแววดี ก็ตั้งแต่เด็ก ผมก็เรียนได้ที่หนึ่งได้เกรดสี่มาตลอด ทุกวิชาแม้แต่วิชาพละ ก็ผมมันลูกทะเล โตมาในค่ายทหาร เพื่อน ๆ ก็ลูกทหารด้วยกันทั้งนั้น แต่ละคนก็ทโมนไพร ผมก็เลยชอบเล่นกีฬาด้วย


ยิ่งวันหยุดล่ะก็ จากจุกเสม็ดเราก็จะขี่จักรยานไปเล่นน้ำกันที่หาดนางรำ ซึ่งน้ำใสแจ๋วเป็นตาตั๊กแตน แม้จะมีตำนานผี ๆ สาง ๆ ตามประสาสถานที่ท่องเที่ยวแล้วยิ่งมีชื่อนางรงนางรำ ก็คงจะมีตำนานผีอะไรสักอย่าง แต่ตราบใดที่เราเล่นน้ำกันตอนพระอาทิตย์ยังฉายแสงแดงแจ๋ ผีเผอน่ะไอ้ป๊อปก็ไม่กลัวทั้งนั้นแหละ ยิ่งไปกับเพื่อน ๆ เป็นพรวน เล่นน้ำทะเล เล่นวิ่งไล่จับกันในดงต้นสน สนุกจะตาย ผีนางรำเรอะไม่ได้แดกกูหรอก เสียใจกูไม่ได้กลัวผีจ้า 


"ไปเรียนกรุงเทพฯ เถอะลูก อยู่อย่างนี้เห็นทีจะเสียผู้เสียคน หรืออย่างมากก็เป็นแค่หมวดเหมือนพ่อ" แม่ของผมบ่นทำหน้าละห้อย


"เรามีญาติอยู่กรุงเทพฯ ด้วยหรอแม่ ญาติเรามีแต่คนที่ชลบุรีไม่ใช่เหรอ?" ผมถามแม่กลับ 


"ไปอยู่กับนายเก่าพ่อ ท่านเป็นนายพลอยู่ที่กรุงเทพฯ โน่น ท่านรักพ่ออย่างกับลูกกับหลาน เอ่ยปากขอมึงไปอยู่เป็นเพื่อนเองเห็นว่าหน่วยก้านมึงดี ไปอยู่บ้านท่านก็อย่ามือห่างตีนห่าง เห็นอะไรก็เก็บงำช่วยท่านได้ก็ต้องช่วยนะลูก ท่านออกค่าเรียนค่ากินค่าอยู่ให้ทั้งนั้น เรียกว่าขอเอ็งไปเป็นลูกเลยแหละ" แม่บอกแต่ผมในตอนนั้นกลับไม่ยักกลัวแฮะ 


ผมซึ่งเป็นลูกคนกลาง อาจจะได้นิสัย Wednesday Child มาก็ได้มั้งเลยมีหัวขบถนิด ๆ แถมไม่กลัวใคร แล้วยิ่งลุงเจือกับครอบครัวผมก็รู้จักกันมาตั้งแต่ผมเกิด ไปก็ไปสิวะ ยิ่งป้าบุ๋ม เมียลุงเจือยิ่งใจดี แล้วก็ทำกับข้าวอร่อย มาเที่ยวชลบุรีทีไร ทำกับข้าว กับซื้อขนมมาฝากพวกผมพี่น้องตั้งมากมาย


ครั้นถึงเวลาไปอยู่กับลุงเจือจริง ๆ ผมก็อดจะใจหายไม่ได้ จะร้องไห้มันก็ร้องไห้ไม่ออก ลุงเจือท่านเป็นนายพลตรี และติดค้างตำแหน่งแหง่กอยู่อย่างนี้ แต่ท่านก็ไม่ได้อนาทรร้อนใจ ท่านว่าได้มะไหร่ก็เมื่อนั้น ส่วนป้าบุ๋มท่านเป็นครู แล้วผมก็เลยได้ไปเรียนที่โรงเรียนที่ป้าบุ๋มสอนนั่นแหละ


"อยู่นี่ก็ทำตัวตามสบายนะลูก คิดซะว่าเป็นบ้านของตัวเอง ลุงกับป้าก็ไม่มีลูก คิดเอาว่าป๊อบเป็นลูกป้าแต่ดันไปเกิดผิดที่ ป้าน่ะเห็นเราตั้งแต่แรกเกิดก็หลงรักเสียแล้ว" ป้าบุ๋มพูดกับผมอย่างใจดี และจัดให้ผมมีห้องนอนส่วนตัวที่บ้านพักของท่านเสียด้วย สารภาพตรง ๆ ตอนแรกผมคิดว่าแกสองคนจะเอาผมมาเลี้ยงอย่างคนใช้ด้วยซ้ำไป ไป ๆ มา ๆ แกเลี้ยงผมเหมือนลูกเหมือนหลานจริง ๆ เสียด้วย และผมก็จะไม่ทำให้ทั้งสองคนผิดหวัง ผมจึงต้องต้องเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน และช่วยงานบ้านของท่านโดยไม่ต้องให้ใครเอ่ยปากไหว้วานเลย


พอขึ้นมัธยมต้นย้ายมาเรียนเมืองกรุง ความลำพองเรื่องการเรียนของผมมันก็ต้องสลดลงเป็นอันมาก ที่หนึ่งจากภูธร พอมาอยู่กับคนเก่งมาก ๆ เข้า ผมก็อยู่แค่ลำดับกลาง ๆ เท่านั้น พอนำความข้อนี้ไปบ่นกับป้าบุ๋ม แกก็สนับสนุนให้ผมไปเรียนพิเศษเสริม


นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ผมกับไอ้ตัวประหลาดอีกหกตัวได้พบกัน จะว่าไปพออยู่ด้วยกันครบเจ็ดตัว ผมก็ออกจะแปลก ๆ  กว่าเขาหน่อย อันดับแรกก็คือสีผิว 


พวกเด็กกรุงเทพฯ วัน ๆ อยู่แต่ในตึก อยู่แต่ในห้อง มันก็เลยตัวขาวจั๊วะ ไอ้ผมที่เล่นน้ำทะเลกลางแดด ตัวก็เลยดำอย่างกะเหนี่ยง ส่วนสูงแม้จะสูง ๆ ต่ำ ๆ ต่างกัน อีรวีกับอีดอย ตัวเท่าลูกหมาเหมือนกัน ไอ้สินตัวอ้วนใหญ่อย่างกะหมีขั้วโลก ส่วนไอ้แฝดต่างดาวสองตัวนั้นผอม ๆ สูง ๆ 


ผมมาใส่แว่นเอาก็อีช่วงนี้แหละ เลยพอเข้าพวกกับเขาบ้าง ก็ผมกลัวตามพวกมันไม่ทัน จากที่เคยเล่นกีฬาก็เลยต้องเพลา ๆ ลงและเมื่อกลับถึงบ้านก็ต้องอ่านหนังสือทบทวนให้เข้าใจ อันเป็นกิจวัตรของเด็กเมืองกรุง ถามใครในกลุ่มเพื่อนเจ็ดตัวประหลาด มันก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น 


แต่โชคดีอยู่หน่อย บ้านพักของผมอยู่ติดกับกรมทหาร มีสนามกีฬา ยามเมื่อผมอ่านหนังสือจนเวียนหัว ผมก็หยิบรองเท้าผ้าใบคู่เก่าเอามาสวม แล้วก็วิ่งรอบสนามสักสี่ซ้าห้ารอบ ได้ออกกำลังกาย ได้แก้เครียดด้วย


ฝันของพ่อแม่ของลุงเจือกับป้าบุ๋ม ท่านก็คงอยากให้ผมเรียนต่อเตรียมทหารนั่นแหละ ไม่บอกก็รู้ และผมก็ยังไม่เห็นว่าผมจะไปทำอาชีพอื่นนอกจากเป็นทหารได้เลย ก็โตมาก็เห็นแต่คนใส่ชุดกะลาสี แม้แต่เสื้อผ้าที่ใส่ตอนอยู่บ้าน ผมก็ใส่เสื้อของพวกทหารนั่นแหละ เพราะมีเยอะแยะถูกด้วย ซักก็ง่าย ผมไม่มีหรอกไอ้เสื้อตัวแพง ๆ อย่างคนอื่นเขา ถ้าไปเรียนพิเศษ ผมก็ใส่ไอ้เสื้อทับด้านในของทหาร กับกางเกงยีนขายาวธรรมดา ๆ 


จนขึ้นมัธยมสอง ความมุ่งมั่นของผมก็เปลี่ยนไป มันมาพร้อมกับคนคนหนึ่ง  พี่โอ้ หรือพี่มาริโอ้ เป็นหลานชายของป้าบุ๋ม พี่โอ้ตอนเด็ก ๆ แกก็เรียนและเติบโตอยู่ที่เมืองไทยนี่แหละ จนขึ้นมัธยมปลายพี่โอ้ก็ย้ายสัำมะโนครัวไปอยู่อิตาลีกับพ่อแม่ของแก พ่อแกเป็นฝรั่งอิตาลี ไปจนเกือบลืมภาษาไทย แต่ไหงวันดีคืนดี พี่โอ้ก็กลับมาเมืองไทย แล้วก็มาอยู่กับป้าบุ๋มซะด้วย


"อยู่ด้วยกันหลาย ๆ คนจะได้อบอุ่น" ป้าบุ๋มแกพูดอย่างใจดี และพี่โอ้ก็ได้ห้องนอนชั้นบนไปครอง ผมยังอยู่ห้องเล็กข้างล่างเหมือนเดิม แต่ผมก็ไม่ได้อิจฉาหรือรู้สึกโดนแย่งความรักแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเลย ผมกลับรู้สึกดีที่ได้มีพี่ชายอีกหนึ่งคน


พี่โอ้ตัวผอม ๆ สูง ๆ จมูกโด่งตาโต ผมเป็นสีน้ำตาลอ่อน ๆ ตามประสาลูกครึ่ง เวลาพูดจะติดสำเนียงต่างชาตินิด ๆ แต่เหนือกว่าอะไรก็คือตอนพี่โอ้ยิ้ม ฟันของเขาจะเรียงตัวสวยเป็นที่สุด ผมอิจฉาก็อีตรงนี้


"เราเคยคิดอยากจะจัดฟันไหมเล่า มีเขี้ยวมันก็ดูดีแหละ แต่ถ้าดูแลไม่ดี มันก็จะผุง่ายนะ" พี่โอ้คุยกับผมตอนนั้นยังติดสำเนียงแปร่ง ๆ อยู่เลย 


"ไหนมาดูฟันหน่อย" พี่โอ้ว่า และลากผมไปนอนหนุนตัก ให้ผมอ้าปาก และหยิบไฟฉายมาส่อง แหย่ไม้เข้าปากผมไปมา บิดหน้าไปซ้ายไปขวา 


"ต้องจัดฟัน แล้วก็ถอนฟันคุดด้วย" พี่โอ้ตอบและผมก็ชักจะหน้าเสีย


"ขนาดนั้นเลยหรือพี่" ผมถามเสียงจ๋อย ๆ 


"อืม ฟันคุดก็ต้องเอาออกสิ" พี่โอ้เกริ่นแล้วก็อธิบายให้ผมฟังถึงเหตุผล เอาวะ ทำก็ทำวะ ไหน ๆ ก็ทำฟรีอยู่แล้ว


พี่โอ้ทำงานที่โรงพยาบาลซึ่งลุงเจือฝากให้ ไม่ใช่เรื่องของเส้นสายแต่อย่างใด ก็บุคลากรทางการแพทย์มันไม่เคยพอเพียงกับประชากรอยู่แล้ว พี่โอ้ไม่ทำคลินิกนอกเวลาซะด้วย แกว่าแค่ทำฟันทั้งวันก็เหนื่อยแล้ว 


"ไอจะติวภาษาให้" พี่โอ้ว่าและช่วยติววิชาให้ผมตอนเลิกเรียน และจะให้ดี พี่โอ้ก็จะพูดกับผมเป็นภาษาอังกฤษ ทำให้โวแคบผมดีขึ้นแบบก้าวกระโดด คนไทยเราเก่งเรื่องท่องศัพท์ ท่องไวยากรณ์แต่พอเจอฝรั่งเข้ามาถามทางเป็นได้วิ่งหนีหางจุกตูด


การสื่อสารมันต้องเน้นให้เรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ จนวันหนึ่งผมเล่าให้พี่โอ้ฟังว่าผมฝันและในฝันผมก็พูดภาษาอังกฤษ พูดปร๋อซะด้วย


"เก่งมาก กู๊ดบอย" พี่โอ้กล่าวชมพร้อมกับลูบหัวของผม เอาล่ะสิ หัวใจไอ้ป๊อปมันฟู เกิดมาเรียนเก่งก็โดนชมมาบ้างแต่มันเก่งจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาของพ่อกับแม่เสียแล้ว พอเจอพี่โอ้มาชมแล้วก็ทำท่าดีใจ ผมก็เลยรู้สึกว่าหัวใจมันเต้นแปลก ๆ 


"พี่โอ้ไม่มีเกิลเฟรนด์เหรอ?" ผมเคยหยอดถาม ก็คุณหมอหล่อขนาดนี้ ได้ข่าวว่าที่วอร์ด พวกพยาบาลเอาขนมมาฝากทุกวี่ทุกวัน และมันก็อยู่ตรงหน้าให้ผมเคี้ยวหยับ ๆ อยู่นี่ไง


"โน" พี่โอ้ตอบ และไม่อธิบายอะไรต่อ น้ำเสียงเข้ม ๆ หันมาดุ และเขาก็สั่งให้ผมอ่านหนังสือเรียนต่อ อ่านเป็นภาษาอังกฤษ สำเนียงต้องเป๊ะ แล้วก็ต้องแปลให้พี่โอ้ฟังซะด้วย 


นอกจากพี่โอ้จะใจดีแล้ว อีกอย่างที่ผมโคตรชอบพี่โอ้เลยก็คือ อาหารอิตาเลียนแบบบ้าน ๆ ฝีมือของพี่โอ้ 


"ไม่มีเส้นพาสต้า เอามาม่าไปก่อนก็แล้วกัน" พี่โอ้บอกและเราสองคนก็ลงมาวุ่นวายที่ครัวตอนสี่ทุ่มครึ่ง เพราะท่องตำราไปท้องร้องไป 


"ใส่ผักเยอะ ๆ ด้วยนะพี่โอ้ ผมชอบกินผัก" ผมยืนวุ่นวายอยู่ในครัวช่วยหยิบโน่นหยิบนี่


"ทำไมยูถึงชอบกินผักล่ะ?" พี่โอ้หันมาถาม อมยิ้มนิด ๆ และมองผมอย่างเอ็นดู


"ก็ตอนเด็ก ๆ น่ะสิพี่โอ้ พ่อน่ะชวนผมดูการ์ตูนเรื่องป๊อปอาย แล้วก็บอกว่าที่ตั้งชื่อว่าป๊อปก็เพราะอยากให้เก่งเหมือนป๊อปอาย แล้วก็บอกให้ผมกินผักเก่ง ๆ จะได้แข็งแรงแบบนั้น คราวนี้ผมก็เลยบ้ากินผักไปเลย" ผมอธิบายจนพี่โอ้หัวเราะ เพราะผมทำท่าเบ่งกล้ามประกอบการเล่าไปด้วย


"ส่วนไอไม่ค่อยชอบกิน ไอชอบทำมากกว่า" พี่โอ้ว่า และเราสองคนก็นั่งกินพาสต้าใส่ผักเยอะแยะ ใส่ชีส เรียกว่าไม่รู้จะเรียกว่าชื่อเมนูอะไรดีแต่มันอร่อยที่สุดในโลก


ไอ้นั่นมันอาหารกันตาย ไม่ได้ตั้งใจทำ ทำเพราะหิวอย่างกระทันหัน แต่ถ้าวันหยุด พี่โอ้ก็ชอบไปซูเปอร์มาเก็ต แล้วก็จะทำอาหารแปลก ๆ ให้พวกเรากินอย่างเช่น แคนโนลี  รีซอตโต้ หรือแม้แต่อบขนมปัง ปาเน็ตโทน พี่โอ้ก็แสดงฝีมือมาแล้ว ส่วนพิซซ่าน่ะไม่ต้องพูดถึง แกลงทุนซื้อเตาอบ ซื้อแป้งมาทำเป็นพิซซ่าแบบจริงจังเลยทีเดียว 


ลุงเจือกับป้าบุ๋มก็กินเป็นพิธีนิด ๆ หน่อย ๆ แถมแอบมากระซิบกระซาบนินทาว่าเหม็นเนย ส่วนใหญ่ก็เลยมีแค่ผมกับพี่โอ้กินกันแค่สองคน แต่พี่โอ้เป็นคนกินน้อย ในสิบส่วนพี่โอ้กินสามส่วนที่เหลือเสร็จผม ก็แล้วอย่างนี้ไอ้ป๊อปก็ต้องวิ่งออกกำลังกายทุกคืนไม่อย่างนั้นมันจุกอกตายแน่ ๆ


ไม่รู้ว่าเพราะกินอาหารอิตาลีบ่อย ๆ หรือเพราะมาอยู่กรุงเทพฯ ไม่ได้ไปตากแดดตากลมเหมือนตอนอยู่จุกเสม็ด ผมก็เลยตัวขาวขึ้น ๆ จนพ่อกับแม่ที่มาเยี่ยมถึงกับออกปากว่าชักจะเหมือนเด็กเมืองกรุงเข้าไปทุกที


"ปิดเทอมนี้กลับบ้านหรือเปล่าล่ะเรา" แม่ถาม ขณะที่แกะพวกของทะเลแห้งที่ซื้อมาฝากค่อย ๆ เอาออกมาจากถุง


"คงไม่กลับหรอกแม่ ตอนนี้เรียนหนัก หนักมาก ๆ ป๊อปอ่านหนังสือถึงเที่ยงคืนตีหนึ่งทุกวันเลย ป๊อปจะเป็นหมอแหละ แต่ต้องสอบเข้าเตรียมให้ได้ก่อน ดูจากคะแนนเก็บป๊อปคิดว่าน่าจะเข้าได้" ผมกระซิบกระซาบกับแม่ ซึ่งแม่ก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้าเป็นเชิงไม่เห็นด้วยนิดหน่อย


"ไหวหรือลูก?" แม่ถาม แต่คราวนี้ถามด้วยความเป็นห่วงแทนมากกว่า


"ไหวสิแม่ ป๊อปมีติวเตอร์ดี" ผมพูดกับแม่พร้อมกับยิ้มจนเห็นฟันซึ่งถูกเหล็กระโยงระยางจนเต็มไปหมด 


"ดีแล้วลูก ทำอะไรได้ดีก็ทำไปเลย แม่ภูมิใจในตัวหนู" แม่พูดแล้วก็ดึงผมไปกอด ผมก็ได้แต่ยิ้มกว้าง เขินนิด ๆ แต่หัวใจมันฟู ๆ ดีเหลือเกิน 


"ตอนแม่กอดป๊อปดีใจจัง แต่มันเขินด้วยล่ะ" ผมเอาความรู้สึกไปปรึกษาพี่ป๊อปตอนกลางคืน


"เขินทำไม ที่บ้านไอ ใคร ๆ ก็กอดกัน" พี่โอ้แก้


"คนไทยเราไม่ค่อยกอดกันน่ะสิ ยิ่งผู้หญิงผู้ชายด้วย ถึงจะเป็นแม่เป็นลูกกันก็เถอะ" ผมบ่น 


"อ้าวแล้วที่ไอกอดแล้วก็คิสยูล่ะ?" พี่โอ้ถามแล้วก็อมยิ้มเหมือนแกล้งผม


"แรก ๆ ป๊อปก็เขินแหละแต่ตอนนี้ชินแล้ว" ผมตอบกลับไป และพยายามหลบสายตาของเขา ก็จะไม่ชอบได้ยังไงเล่า ก็ยิ่งวันผมก็ยิ่งชอบ ยิ่งวันผมก็ยิ่งรักพี่โอ้มากขึ้นทุกที ๆ เวลาอยู่ด้วยกัน ผมทั้งอบอุ่น ปลอดภัย และโคตรจะมีความสุข 




อาหารแทบจะเกลี้ยงแล้ว เหลือแก้วที่มีไวน์คลอก้นแก้วกันครหา อีรวีกับพี่โอ้ ขึ้นไปดูโอ้เพลงด้วยกัน ในเพลง When you believe ซึ่งแม่หมีกับแม่หวีร้องด้วยกัน แน่นอนว่าเพลงที่คนเมาร้องย่อมไม่เพราะเท่าไร แต่ผมก็นั่งอมยิ้ม และมองพี่โอ้ที่สวมเสื้อแขนยาวสีแดง กางเกงขายาวรัดรูปสีดำ ตอนพี่โอ้ใส่เสื้อตัวนี้ เขาก็คงคิดว่าธีมคริสต์มาสก็คงจะเป็นสีแดง ๆ เขียว ๆ สินะ สมคงลืมไป มากับกะลาสีป๊อปอายแบบนี้ พี่โอ้ก็คือ โอลีฟของผมอยู่นั่นเอง


แต่พี่โอ้เถียงว่าแกแต่งตัวเป็นรูดอฟ เพราะมีอะไรกลม ๆ แดง ๆ ติดที่ปลายจมูก กับที่คาดผมซึ่งมีเขากวางเล็ก ๆ งอกออกมาสองอันตรงโคนมีกระดิ่งสีทองเล็ก ๆ อีกด้วย เอ๊า รูดอฟก็รูดอฟ ผมมันคนตามใจเมีย


"ลาแบบไทย ๆ ก็ได้พี่โอ้ ไม่ต้องกอดไม่ต้องไปหอมแก้มไอ้พวกเปรตพวกนั้นหรอก" ผมยืนเท้ากะเอวมองพี่โอ้ที่กางแขนทำท่าจะโผไปกอดไอ้เพื่อนเปรตของผม


"ทำเป็นหึงไอ้เปรตนี่กูเพื่อนมึงนะ" แน่ะเสียงใครสักคนด่าผมกลับ และไม่ทันแล้ว เมียกูหอมแก้มคนโน้นคนนี้มั่วเปรอะไปหมด รวมถึงผมก็โดนหอมแก้มไปสามรอบแล้ว 


"ซานุ๊กซานุก เพื่อนยูน่ารักทู้กโคน" พี่โอ้พูดแล้วก็ทิ้งตัวลงบนรถ ภาวนาอย่าให้มาเห็นคุณหมอมารีโอ้ตอนเมาเลยเชียว ได้มีเลิกนับถือกัน แต่ก็ว่าไม่ได้นะ ถ้าไม่เมา ก็ไม่ได้เป็นเมียกูสิ 


ผมขับรถกลับบ้านอย่างใจเย็น เปิดเพลงจากเพลลิสต์ธีมคริสต์มาส ไล่ตั้งแต่  White christmas  We wish you a merry christmas และพี่โอ้ก็คงเริ่มสร่างเมาเพราะ จนสามารถร้องเพลงคลอมาตลอดทาง


จนเพลงสุดฮิต บำนาญของแม่หมีเพราะฮิตเอาช่วงนี้ของทุก ๆ ปีมาหลายสิบปีแล้ว All I want for christmas is you ดังอีกครั้ง พี่โอ้ก็ขยับตัวขึ้นมานั่ง พิงหัวมาที่บ่าของผม และตั้งใจร้องเพลงนี้จนเมื่อเพลงนี้จบพี่โอ้ก็กระซิบบอกผมว่า ยูเป็นมายคริสต์มาสต์ของไอนะ


"พี่ก็เป็นมายคริสต์มาสต์ของผมเหมือนกันครับ" ผมหันไปจุ๊บหน้าผากที่ชักจะเลยเถิดของพี่โอ้ไปสี่แสน อีกไม่กี่ปีคงครบล้าน แต่จะหัวล้าน จะลงพุง ผมก็ยังจะรักเขาตลอดไป เราจะเป็นป๊อปอายกับโอลีฟไปเรื่อย ๆ นะพี่โอ้นะ