แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว - 21 โอลีฟ โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ



อ้าอุไรพธูพบูพิบูลย์ เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ  เจริญภาส


ตูสวิงสวายเพราะสายสวาดิ์ ระทวยบ่ปลดระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก


แสนจะเสียวจะส้านณวารวิโยค จะข้ามห้วงบ่ล่วงอโฆ ก็อกกรม


ใคร่เสน่หะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิทร์จะชิดจะชม ณเชิงรัก


เชิญสมรสุมาลย์สมานสมัค ประสานประสงค์ประจง ประจวบใจ ประจักษ์




ผมค่อย ๆ พับกระดาษที่มีลายมือหวัดแกมบรรจงแล้วอมยิ้ม พลางถามมันไปเบา ๆ ว่า


"มึงจีบกูหรอ?" 


"เปล่า" มันตอบอย่างว่องไว แต่หน้าแดง คนแปลกประหลาดอย่างนี้ก็มีด้วย

สารบัญ

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-1 ทีโมนกับพุมบ้า,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-2 เจ้าชายน้อย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-3 จุดเริ่มต้นความสนิท,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-4 ลูกไม้หล่นไกลต้น,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-5 ตัวโวยวาย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-6 สิบปี,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-7 เปลี่ยน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-8 ห่าง,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-9 ใจเอ๋ยใจ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-10 วันธรรมดา,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-11 อยู่ด้วยกัน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-12 หมอดอย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-13 หมอดอยใจดี,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-14 พระเอก,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-15 สมิง,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-16 จอมวางแผน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-17 Supporter,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-18 พ่อค้าออนไลน์,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-19 เกลียมัว,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-20 ป๊อปอาย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-21 โอลีฟ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-22 Change ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-23 Twin Flame

เนื้อหา

21 โอลีฟ

โดย  Chavaroj




อาบน้ำเสร็จไอก็ต้องรีบแต่งตัว ไม่ลืมที่จะสวมชุดชั้นในสีแดง เพราะเป็นประเพณีของอิตาลีให้ใส่ชุดชั้นในสีแดงต้อนรับปีใหม่ เพราะเชื่อกันว่าจะทำให้โชคดี


"พี่โอ้ ให้ป๊อปใส่ไอ้ตัวนี้จริง ๆ หรอ?" เสียงของป๊อบถามทำหน้าไม่ค่อยมั่นใจเพราะปกติเจ้าตัวมีแต่ชุดชั้นในสีดำเนื่องจากเป็นคนชอบออกกำลังกายอยู่บ่อย ๆ แม้แต่ชุดชั้นในสีขาวเขายังไม่มีสักตัวเลย นี่ปรากฏว่ามีกางเกงชั้นในแบรนด์ดังสีแดงเพลิงที่ไอซื้อมาให้เตรียมให้เขา


"ใช่แล้ว ใส่สีแดงแล้วจะโชคดีนะ" ไอหันไปตอบและมัววุ่นวายอยู่กับการหวีผม 


ถ้าย่างเข้าปีนี้ ไอก็จะอายุสี่สิบหกเข้าไปแล้ว เข้าสู่ชายวัยกลางคน ในขณะที่ป๊อปอายุจะย่างเข้าสามสิบเอ็ด เราห่างกันสิบห้าปี ในขณะที่เขายังดูหนุ่มแน่น แต่ไอรู้สึกว่าตัวเองแก่ลงถนัดใจ ยิ่งพอผมบางลง ยามหวีผมก็ต้องพยายามเอาผมตรงข้างขมับมาแปะตรงหัวล้านจนเขาเรียกว่าทรงบาร์โค้ด


ผมที่เคยดกและมีลอนหยักศกน้อย ๆ สีน้ำตาลเข้ม มาบัดนี้มันหายไปเสียครึ่งนึง ผมด้านหน้าหายไปครึ่งศรีษะ เข้าสู่ภาวะคนผมน้อย และหัวเถิก นี่ยังไม่นับผมขาวที่นับวันก็มากขึ้นทุกทีจากแรก ๆ ที่มันขึ้นตรงแค่ขมับ แต่มาตอนนี้มันขึ้นกระจายไปทั้งศีรษะ ทำให้ไอต้องมีภาระย้อมผมทุก ๆ สองอาทิตย์ เพื่อความดูดี


บ่นเรื่องเส้นผมแล้วก็มาถึงเรื่องผิวหน้า ผิวที่เคยเต่งตึง ดวงตาที่เคยสดใส มาตอนนี้ต้องใส่แว่นสายตาซึ่งสลับสับเปลี่ยนกัน อันหนึ่งใส่ตอนทำงานหรืออ่านหนังสือ แต่ถ้าจะขับรถ ก็ต้องใส่อีกอันให้มองไกล ๆ ได้ชัดเจน


หน้าที่เคยขาวไร้รอยสิว ตอนนี้ก็เริ่มมีฝ้าจาง ๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าผากและข้างแก้มอีก ไม่ว่าจะใช้ครีมอะไรก็ไม่ได้ทำให้มันดูจางลงเลยสักนิด พอไอบ่นเรื่องฝ้าบนผิวหน้า ป๊อปก็บอกให้ไอไปทำเลเซอร์ที่คลินิกดูแลผิวเพื่อนของเขา ไอก็ได้แต่ผัดผ่อนไปเรื่อย ๆ เพราะขี้เกียจและงานยุ่ง


งานทันตแพทย์มันมีงานยุ่งเสมอ แทบไม่ต่างจากแพทย์ทั่วไป ยิ่งโรงพยาบาลที่ไอและป๊อปทำงานอยู่เป็นโรงพยาบาลของทางราชการ คนไข้ก็มีทยอยมาให้รักษาจนแทบไม่ได้ไปทำอะไรอย่างอื่น 


ไอเคยนึกอิจฉาน้อง ๆ ทันตแพทย์หลาย ๆ คนที่เลิกจากงานก็ยังจะไปทำงานที่คลินิกได้อีก แต่ไอทำไม่ได้ และป๊อปเองก็ไม่ทำ 


"ทำงานก็เหนื่อยแล้ว เลิกงานไปป๊อปอยากอยู่กับพี่โอ้มากกว่า" เขาว่าอย่างนั้น


"เราคบกันตั้งนานแล้ว ยูไม่เบื่อตาแก่แบบไอรึ?" ไอแกล้งถาม 


"ไม่เบื่อ...เบื่อนิดหน่อยตอนพี่โอ้ดุ แต่พอห่างกันนาน ๆ แล้วมันโหวง ๆ ถึงไม่ได้คุยกันแค่ได้เห็นไกล ๆ ก็ยังดี" เขาพูดแล้วก็กอดเอวไอซะแรงจนแทบหายใจไม่ออก จริงสินะ ตอนอยู่ในห้องทำฟัน ไอมักจะเห็นป๊อป ชอบเดินมาชะโงกที่หน้าช่องประตู มันเป็นอย่างนี้นี่เอง


"กอดแรงไปแล้ว" ไอบ่น ก็ป๊อปนั้นแข็งแรง จนอายุป่านนี้แล้ว ยังมีกล้ามเป็นมัด ๆ เพราะเจ้าตัวออกกำลังกายและเป็นนักกีฬาตั้งแต่ยังเด็ก ไอจำได้ตั้งแต่เจอกันเมื่อแรก ๆ ป๊อปก็แข็งแรงและขยันทั้งการเรียนและการทำงาน แต่ก็ยังปลีกตัวไปออกกำลังกายได้อีกด้วย


เราเจอกันเมื่อไอกลับจากไปเรียนต่อเฉพาะทางที่ต่างประเทศ ในแผนกศัลยกรรมทางปริทนต์ และเมื่อกลับมาใช้ทุน ก็ทำงานที่โรงพยาบาลต้นสังกัดเรื่อยมา เด็กชายผิวคล้ำ ร่างไม่สูงแต่ล่ำหนา แต่เมื่อหันไปมองเจ้าตัวทีไร เขาก็จะยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวสว่างอยู่เสมอ แว่นตาหนา ๆ พอจะบอกได้ว่าเขาเป็นคนเรียนเก่ง ยิ่งฟังจากปากคำของน้าบุ๋ม ซึ่งก็บอกว่า ป๊อปนั้นเรียนได้ที่หนึ่งมาตลอด แถมได้เกรดสี่ทุกวิชา ไอก็ยิ่งเอ็นดู น่าขำที่เขามักจะยิ้มกับไอ แต่ถ้าเขาอยู่คนเดียว จะดูหน้างอนิด ๆ เหมือนคนหงุดหงิดตลอดเวลา


ยิ่งได้พบเขาที่บ้านน้าเจือ ครอบครัวญาติของไอที่ไอใช้อาศัยยามเมื่อกลับมาอยู่เมืองไทย ป๊อปก็ทำให้ไอทึ่งในตัวเขามาก  ๆ เพราะหลังจากที่กลับจากโรงเรียนแล้ว ป๊อปก็จะช่วยทำงานบ้านทุก ๆ อย่าง อย่างเต็มอกเต็มใจ แม้แต่งานทำความสะอาด เขาก็ทำได้อย่างดีเยี่ยม แม้แต่เสื้อผ้าของไอ ป๊อปก็จะซักตากและรีดให้จนเรียบ


"เดี๋ยวไอจ้างเขาก็ได้" ไอพูดกับป๊อปด้วยความเกรงใจ เขาทั้งต้องเรียนและทำงานบ้านเยอะแยะแล้ว


"แค่นี้เองพี่โอ้ ช่วย ๆ กันแม่สอนให้อย่าเป็นคนนิ่งดูดายให้ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่นน่ะ" ป๊อปพูดและยิ้มกว้างอยู่เสมอเหมือนเคย ไอเลยตอบแทนด้วยการให้แอบให้ค่าขนมเขาอาทิตย์ละห้าร้อย 


"ป๊อปไม่เอาหรอก" เขาพูดพร้อมกับยื่นเงินคืน


"เอาไปเถอะ เผื่อเอาไปซื้อขนม หรือเอาไปเรียนพิเศษไง ยูต้องเรียนพิเศษเพิ่มไม่ใช่รึ เห็นน้าบุ๋มบอก" 


"เดี๋ยวป๊อปขอแม่เอา" เขายังคงไม่ยอมรับ


"เอาอย่างนี้ ค่าเรียนพิเศษไม่ต้องไปขอใคร เดี๋ยวไอสอนเพิ่มให้" ไอยื่นข้อเสนอ และยังยืนยันจะให้เงินเขาก็เขาเป็นเด็กดี ไอก็เลยนึกเอ็นดู ถ้าเขาจะทำตัวแย่กว่านี้สักนิด ไอจะไม่สนใจเขาเลย แต่นี่ไม่เลย ป๊อปเป็นเด็กดีทุก ๆ อย่างไม่เกเร แถมยังช่วยงานทุก ๆ อย่างกับทุก ๆ คน...เด็กขยัน


"พี่โอ้ครับ ที่พี่โอ้ติวเคมีกับฟิสิกส์ให้ป๊อปน่ะ ออกตรงเผงเลย เพื่อน ๆ ป๊อปอิจฉาป๊อปกันใหญ่ อาจารย์ที่สอนพวกเราสอนไม่เก่งยังไงก็ไม่รู้ สู้พี่โอ้สอนก็ไม่ได้" เขาเล่าเพลิน ๆ ในวันที่เราสองคนนั่งกินข้าวเย็นด้วยกันหลังจากที่ไอสอนวิชาเคมีให้เขา ก่อนหน้านั้นไอก็ติวภาษาอังกฤษเพราะเข้าใจดีว่า ที่ไทยนั้นเน้นแกรมม่า แต่ไม่เน้นการพูด คนเรียนภาษาอังกฤษเก่งจะตายแต่พอเจอฝรั่งวิ่งหนีกันหมดเพราะไม่กล้าคุย


"อืมถ้าอย่างนั้นก็มาเรียนด้วยกันสิ เรียนด้วยกันหลาย ๆ คนน่าสนุก ติวเอาก่อนสอบก็แล้วกันดีไหม?" ไอยื่นข้อเสนอ จนในที่สุด ในวันหนึ่ง ไอก็ได้ไปนั่งเจ๋อท่ามกลางหมู่เด็ก ๆ ซึ่งดูคงแก่เรียนตั้งเจ็ดคน แต่ละคนก็สูงต่ำดำขาวแตกต่างกันไป แต่เมื่อเราพูดคุยและทำการสอน รวมถึงการได้ลองถามพื้นความรู้ของแต่ละคนดูก็ทำให้รู้ว่าแต่ละคนเก่ง ๆ ทั้งนั้น ไม่ใช่ธรรมดา ๆ เลยนี่มันล้วนแล้วแต่หัวกะทิของห้องก็ว่าได้


แต่คนที่ไอสนิทด้วยมากกว่าคนอื่นสักหน่อยคือ รวี น้องคนนี้ตลกทะลึ่งคะนองแต่ก็มีบุคลิกผู้นำ ถึงตัวจะเล็กแต่เสียงดังและชอบออกหน้า แม้ว่ารวีบอกว่าเขาจุดหมายของเขาไม่ได้อยากเรียนหมอเหมือนเพื่อน ๆ แต่ที่มานั่งติวด้วยเพราะสนุกดี และเพื่ออยู่ให้เพื่อน ๆ ไม่เหงา


ส่วนศศิน น้องชายตัวใหญ่และอ้วนกลมเหมือนหมีขั้วโลก คนนี้ก็ไม่ได้จะเรียนต่อหมอเหมือนกัน แต่เขาว่าเขาอยากจะมาอยู่กับเพื่อน ๆ เพราะสนุกดี 


ส่วนห้าคนที่เหลือ ก็ตั้งอกตั้งใจติววิชาเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นวันที่ไอตั้งใจหยุดเพื่อจะได้มาสอนพวกน้อง ๆ พวกนี้


"เราพักกันสักหนึ่งชั่วโมงดีไหม หิวกันไหม สั่งอะไรมากินดีกว่า เดี๋ยวไอเลี้ยงพวกยูเอง" ไอเสนอและทั้งหมดก็ลงความเห็นว่าจะกินพิซซ่ากัน ทุกคนดูมีความสุขยกเว้นรวี


"อีรวีมันเรื่องมาก โน่นก็กินไม่ได้นี่ก็กินไม่ได้ มึงควรรับบทนางสวาหะ ยืนตีนเดียวเหนี่ยวกินลม" ศศินผู้ซึ่งดูจะเป็นคู่ปรับบ่นรวีต่อหน้า ส่วนไอก็ได้แต่ตัวเราะ และแทบจะหัวเราะไม่ออกเมื่อได้รู้ว่ารวีเป็นคนกินยากจริง ๆ และออกจะทึ่งที่เมื่อถามศศินว่านางสวาหะคือใคร และเขาก็เล่าให้ฟังสนุกราวกับเล่านิทาน และไอก็ไม่แปลกใจเลยที่ในภายหลัง ศศินคืออาจารย์ในคณะอักษรศาสตร์มหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่เจ้าตัวจบมา


แต่เมื่อพิซซ่าถาดใหญ่มาส่ง พร้อมเครื่องเคียงต่าง ๆ ทั้งปีกไก่ทอด หอมทอด ผักโขมอบชีส ฯลฯ รวีก็ดูกลั้นใจลองกินโน่นนิดนี่หน่อย โดยที่เหลือก็จะส่งให้ศศินเป็นคนกินต่อ น่าเอ็นดู


ส่วนป๊อปนั้นก็กินง่ายอยู่ง่ายอะไรก็กินได้กินดีทั้งนั้น ไม่มีบ่น ไม่ว่าจะเป็นอาหารไทยเผ็ดแทบตาย หรืออาหารอิตาลีที่ใส่ชีสเยิ้ม ๆ เขาก็กินได้อย่างเอร็ดอร่อย ที่สำคัญคือขอให้มีผักเยอะ ๆ ป๊อปก็จะกินได้อย่างเอร็ดอร่อย ดูน่าเป็นที่ชื่นใจของพ่อแม่ที่ลูกกินยากกินเย็น


"อร่อยนะแต่สู้ที่พี่โอ้ทำไม่ได้ อย่างผมโขมอบชีสนี่ใส่ผักแล้วก็ใส่ชีสน้อยไป" ป๊อปพูดชม แล้วก็เล่าเรื่องที่ไอทำพาสต้า ทำพิซซ่า และขนมอื่น ๆ ให้กินที่บ้าน


"อยากมีพี่โอลีฟเป็นของตัวเองจัง" รวีบ่นเพ้อและหลังจากนั้นรวีกับป๊อปก็ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมาเพื่อแย่งเป็นเจ้าของไอ


"พี่โอลีฟเป็นของกูห้ามเสือก" 


ไอ้คำพูดนี้ทำให้ไอรู้สึกแปลก ๆ แต่ไอก็คิดว่าเพราะเขายังเด็กและคงเห็นไอเป็นพี่ชาย จึงไม่ได้คิดอะไรมาก


"ถ้าป๊อปเรียนหมอ ป๊อปก็จะเป็นหมอฟันเหมือนพี่โอ้ให้ได้แล้วก็จะทำงานที่โรงพยาบาลเดียวกับพี่โอ้ด้วย" เขาบอกกับไอในวันที่เขาท้อและพูดเหมือนจะปลุกปลอบหัวใจนักสู้ของตัวเอง


"ยูเก่ง ยูทำได้อยู่แล้ว" ไอพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


จนในที่สุด ป๊อปก็สอบได้คณะทันตแพทย์จริง ๆ พวกเรายินดีกันใหญ่ แต่ป๊อปก็ขอให้ไอกับเขา ได้กินอาหารที่เป็นส่วนตัวด้วยกันสักมื้อ เขาอวดว่าจะเป็นเจ้ามือเสียด้วย


"กินส้มตำกัน" เขาชวน และไอก็พยักหน้ารับ ตอนแรกป๊อปไม่เชื่อว่าไอจะกินส้มตำ น้ำตลก ลาบหมู ซุบหน่อไม้ ต้มแซ่บเป็น ลาบปลาดุก บรรดาอาหารอีสานทั้งหลายโดยเฉพาะปลาร้า


"แม่ของไอเป็นคนขอนแก่นเด้อ" ไอตอบและพยายามดัดเสียงเด้อให้เพี้ยนนิด ๆ ป๊อปได้ฟังก็หัวเราะจนเห็นฟันครบทุกซี่


"พี่โอ้ ป๊อปมีอะไรจะถาม" 


"What?" ไอถามอย่างแสนสงสัย เพราะตอนนี้เจ้าตัวดูลุกลี้ลุกลนแปลก ๆ 


"คือ....ป๊อปชอบพี่โอ้ ชอบมาตั้งนานแล้ว...ที่ป๊อปพยายามเรียนให้เก่ง ทำตัวเองให้ดีสมกับพี่ ทำดีกับพี่โอ้ทุกอย่างก็เพราะป๊อปชอบพี่โอ้มาก ๆ เอ่อ พี่โอ้พอจะให้โอกาสให้เราได้เรียนรู้กันได้ไหมครับ?" เขาพูดรัวเร็วจนไอต้องตั้งสติและพยายามเรียบเรียงความหมายในคำพูดของเขา


"คิดดีแล้วหรือ?" 


"คิดดีแล้วครับ คิดอย่างมั่นใจมาตั้งแต่เห็นพี่โอ้ครั้งแตกตอนอายุสิบหก ป๊อปชอบพี่โอ้จริง ๆ" 


มันเพราะอาการช็อก หรืออะไรก็ไม่รู้หรือกลัวเจ้าเด็กจะเสียใจ ไอก็เลยตอบรับเขาไป แรก ๆ ก็คิดว่า มันเป็นความคะนองของเด็กวัยรุ่น พออายุมาก ๆ เข้าเจอคนเยอะ ๆ เข้าเดี๋ยวเขาก็คงจะเปลี่ยนไป แต่ไป ๆ มา ๆ เราก็คบกันจนสิบกว่าปีเข้าให้แล้ว


แต่ที่กระอักกระอ่วนใจก็คือ สถานะของเราเมื่อตอนพบกัน เมื่ออยู่ที่บ้าน ไอในฐานะ หลานของเจ้าของบ้าน และถ้าป๊อปเผยสถานะว่าคบกัน คงมีคนว่าเขา กินบนเรือนขี้บนหลังคา ยามอยู่บ้านด้วยกันเราจึงพยายามไม่ทำตัวสนิทสนมกันมาก ๆ


ครั้นยามอยู่ที่มหาวิทยาลัย นั่นยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เพราะในฐานะ อาจารย์กับลูกศิษย์ มันคงดูไม่ดี ถ้าอาจารย์กับลูกศิษย์จะเป็นแฟนกัน ไม่ต้องเมืองไทยหรอก ที่ไหน ๆ ก็คงไม่เห็นดีเห็นงามด้วย


"ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยนี้ก็เพราะอยากอยู่กับพี่โอ้เลยนะ"


"แต่ไอไม่ให้คะแนนพิเศษยูหรอกนะ ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ผ่าน" ไอตอบขณะที่นั่งพักและป๊อปตั้งหน้าตั้งตาอ่านตำรา ถ้าเขามีตรงไหนไม่เข้าใจเขาก็จะถาม และไอก็จะทวนให้เขาจนกว่าเขาจะเข้าใจ เรียนทันตแพทย์มันก็ยากไม่ต่างจากแพทย์สาขาอื่น ๆ เหมือนกัน


แต่เดิม การมาพักที่บ้านน้าเจือน้าบุ๋ม ไอก็จะมาบ้างไม่มาบ้าง เพราะทางโรงพยาบาลก็มีหอพักให้คณะแพทย์ แต่เมื่อป๊อปเข้ามหาวิทยาลัย เจ้าตัวก็ต้องอยู่หอใน ในปีแรก แต่เราก็ยังพบเจอกันบ่อย ๆ เพราะอยู่ที่โรงพยาบาลเดียวกัน เพราะเป็นมหาวิทยาลัยแพทย์ด้วย


จนเข้าปีสอง ไอก็ตัดสินใจซื้อคอนโดเล็ก ๆ แห่งหนึ่งไม่ไกลจากมหาลัย และป๊อปก็ขอมาค้างบ้างเป็นครั้งคราว ซึ่งมันก็ดีเหมือนกัน เพราะชีวิตที่เหงา ๆ มีคนช่างพูดอยู่ด้วยคอยเล่าโน่นเล่านี่ให้ฟัง มันก็ทำให้ชีวิตที่แสนน่าเบื่อผ่านไปได้พร้อมรอยยิ้ม


อาจเพราะมีบางอย่างที่มันคลิกกันลงตัว บางอย่างที่เหมือนกัน และบางอย่างที่แตกต่างกันสุดขั้ว อย่างที่เหมือนกันมาก ๆ ก็คือ เราเป็นเวนส์เดย์ชายน์เหมือน ๆ กัน ไอมีพี่น้องห้าคน ป๊ะป้านั้นแต่งงานกับแม่จนมีลูกชายสองคน เมื่อทั้งสองหย่าขาดกัน และมาเจอแม่จนเมื่อตกหลุมรักกันและแม่ก็ตัดสินใจไปอยู่อิตาลีกับป๊ะป้า 


พี่ชายสองคนแรก คือนีโน่ กับตินติน โดยมีผมเป็นลูกคนที่สามพ่อเลยตั้งชื่อให้ว่า มารีโอ้ตามชื่อน้องคนสุดท้องของพ่อ 


พี่ชายทั้งสองคนซนเป็นบ้า แต่ก็รักน้องสุด ๆ ไอยังมีน้องสาวตามมาอีกสองคน และนีโน่พี่คนโตก็เป็นทันตแพทย์ ส่วนตินตินพี่ชายคนที่สอง ก็เป็นเภสัชกร ส่วนน้องสาวของไออีกสองคนก็เป็นนางพยาบาล ป๊ะป้านั้นเป็นวิสัญญีแพทย์ ส่วนแม่นั้นเป็นนางพยาบาล บ้านเราทำงานเกี่ยวกับการแพทย์กันทั้งบ้านทีเดียว ป๊อปเคยแซวให้เปิดโรงพยาบาล จะได้เป็นอุตสาหกรรมในครอบครัว


แต่ตอนแม่ลูกเราสามคน ตอนนั้นน้าบุ๋มพูดทีเล่นทีจริงขอไอมาเลี้ยงเป็นลูก ต่อมาแม่ซึ่งต้องเลี้ยงลูกตั้งห้าคน คงเลี้ยงไม่ไหว และไอกับน้าบุ๋มก็สนิทกันมาก ดูเหมือนจะสนิทกันมากกว่าแม่เสียอีก ยิ่งทุกซัมเมอร์บ้านเราก็จะมาเที่ยวเมืองไทยกัน ไอจึงไปขอแม่เองว่าอยากมาอยู่เมืองไทยกับน้าบุ๋ม


"จะไม่คิดถึงแม่แน่เหรอ?" แม่ถามและทำหน้ากลั้นยิ้ม


"คิดถึงสิ แต่แม่และทุกคนก็มาเมืองไทยตอนซัมเมอร์อยู่แล้ว เดี๋ยวพวกเราก็เจอกัน" 


นั่นจึงเป็นจุดที่ทำให้ไอมาอยู่เมืองไทย เรียนโรงเรียนอินเตอร์เอา ทั้ง ๆ ที่น้าบุ๋มเป็นครูสอนหนังสือโรงเรียนชื่อดังย่านฝั่งธนแท้ ๆ 


"เรียนโรงเรียนอินเตอร์นั่นแหละดีแล้ว อย่าให้น้าพูดเลย" น้าบุ๋มพูดแล้วก็ส่ายหน้ามีท่าทางเอือมระอากับระบบการศึกษาไทย แม้จะเป็นครู แต่น้าบุ๋มก็ทันสมัยและชอบประชดกระทรวงศึกษาที่วัน ๆ ยุ่งแต่กับหัวเด็ก และเครื่องแต่งกาย จริง ๆ ที่โรงเรียนอินเตอร์เขาก็มีเครื่องแบบเหมือนกัน แต่เรื่องทรงผม ก็ดูจะให้อิสระ และไอก็ไม่เห็นว่าไอ้ผมขาวสามด้านจะทำให้เด็กตั้งใจเรียนกว่ากันตรงไหน แต่คนอย่างน้าเจือซึ่งเป็นทหารก็มักจะบ่นว่าเด็กที่ไว้ผมยาว ๆ แต่กับไอไม่ยักบ่นเพราะไอสวมเครื่องแบบโรงเรียนอินเตอร์ล่ะมั้ง




เราทั้งสองคนสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว มีคนสำคัญที่เราจะต้องไปหา นั่นก็คือครอบครัวของไอที่มาเที่ยวเมืองไทย ป๊ะป้า แม่ และน้องสาวของไอมาเที่ยวเมืองไทยด้วยกัน แต่พี่ชายทั้งสองคนของไอไม่ได้มา เขาแต่งงานมีครอบครัวกันหมดแล้ว แต่น้องสาวทั้งสองคนยังโสด แต่ก็ไปออกเดตกับหนุ่ม ๆ อยู่เสมอ ๆ 


"ตื่นเต้นไหม?" ไอถามป๊อปซึ่งเจอป๊ะป้าทีไร ก็ต้องสงบเสงี่ยมเพราะป๊ะป้าดุกับเขาที่สุด แต่ตรงกันข้ามกันคือแม่เอ็นดูและรักป๊อปเหมือนเป็นลูกชายคนเล็กเลยทีเดียว


ไอจัดแจงจองโรงแรม ซึ่งได้รับการแนะนำมาอีกที ตั้งอยู่ฝั่งธนบุรี ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาซะด้วย เป็นบูทิคโฮเต็ล ได้บรรยากาศแบบที่ฝรั่งชอบเป็นที่สุด แม่โทรศัพท์มาเล่าให้ฟังว่าพาป๊ะป้าและน้องสาวของไอเที่ยวทุกวันเลยทีเดียว


ที่โรงแรมมีร้านอาหารด้วย เราจึงนัดกินอาหารกันที่นั่น ป๊อปเตรียมของไปติดสินบนป๊ะป้าคือไวน์อย่างดีสองขวด และเมื่อถึงโรงแรม พอพวกเราครอบครัวเจอกันก็สวมกอดกันอย่างแสนคิดถึง แต่ยายน้องสาวของไอสองคนชอบแกล้งป๊อป เพราะชอบกอดป๊อปแรง ๆ และหอมแก้มเขาซ้ายขวาซ้ำแล้วซ้ำอีก จนป๊อปอายหน้าแดงเป็นลูกตำลึง


อาหารไทยแสนอร่อย ซึ่งแน่ล่ะ เราไม่ได้กินอาหารอย่างนี้บ่อย ๆ แต่ไม่วายที่ป๊อปจะสั่งเมนูเป็นกับแกล้มเพื่อมากินกับไวน์ เพื่อเอาใจป๊ะป้าแท้ ๆ  ป๊ะป้าอารมณ์ดี ส่วนไอก็ดื่มไปยิ้มไปหัวเราะไปเพราะป๊ะป้าเวลาเมาจะเป็นคนตลก ...คล้าย ๆ รวีเหมือนกันแฮะ


"ป๊อปไม่กินไวน์หน่อยหรือลูก?" แม่ของไอหันไปถามและป๊อปก็ยิ้มกว้างจนเห็นฟังที่เรียงตัวสวย ส่ายหน้าไปมาเพื่อปฏิเสธ


"เดี๋ยวป๊อปต้องขับรถน่ะครับแม่ ไม่ดื่มดีกว่า อ้อ...ป๊อปซื้อพวกเซ็ทสกินแคร์มาจากบริษัทเพื่อนเยอะแยะเลย เอามาฝากแม่กับพี่ ๆ ด้วยนะครับ เดี๋ยวขากลับป๊อปยกมาให้" ป๊อปอ้อนกับแม่ของไอ และเจ้าตัวก็คุยอวดสินค้าที่ซื้อมาจากบริษัทของรวี ที่ไอคิดว่ารวีหลอกขายให้ป๊อปมากกว่าเพราะเอามาเยอะจนเกินจำเป็น เพราะที่คอนโดของเรายังมีอีกตั้งมากมายก่ายกอง


นอกจากคุยเรื่องราวทั่ว ๆ ไปก็มีการอัปเดตเรื่องราวในอนาคตด้วย ในวัยสี่สิบหก ผ่านมาครึ่งชีวิต การคิดเริ่มต้นใหม่ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ง่ายดายเลย แต่พอวันนี้ไอได้ปรึกษากับป๊ะป้า ปรึกษาแม่ ฟังความเห็นของน้องสาวทั้งสองคน ไอก็ตัดสินใจได้อย่างเด็ดเดี่ยว แต่ที่สำคัญคือไอจะมีป๊อปคอยอยู่ข้าง ๆ เสมอนั่นคือความอุ่นใจ เราเป็นเซฟโซนของกันเสมอมาจริง ๆ


จนในที่สุดก็ถึงเวลาร่ำลา ทุกคนเดินมาส่งเราที่รถ และวันพรุ่งนี้แม่กับทุก ๆ คนที่เหลือจะไปเที่ยวบ้านที่ขอนแก่น เสียดายชะมัดที่ไม่ได้ด้วยเพราะหน้าที่การงานมันคอยเป็นตัวถ่วง ก็อย่างนี้ไงเล่าถึงทำให้ไอต้องตัดสินใจอะไรลงไปบางอย่าง


และเมื่อขากลับบ้าน ซึ่งเป็นคอนโดที่เราอยู่อาศัยกันมานับสิบปี ป๊อปขับรถไปฮำเพลงไป ส่วนไอก็ปรับพนักเก้าอี้จนเอนจนเกือบราบ มองใบหน้าซีกหนึ่งของเขาที่กำลังขับรถอย่างตั้งใจ เพื่อไม่ให้ทะเลาะกัน ไอจะไม่ดูทางไม่ดูรถคันอื่น และทนฟังป๊อปด่ารถคันอื่น ๆ ไปเรื่อย ๆ 


ปกติเขาเป็นคนปากไวอยู่แล้ว ยิ่งตอนขับรถก็จะด่าเก่งเป็นพิเศษ และไอนี่แหละเป็นคนสอนเขาขับรถ 


"ทำไมเพื่อน ๆ ยูเรียกไอว่าโอลีฟ?" ไอถามเพราะนึกขึ้นมาได้ ตอนที่ไอสอนเขาขับรถและข้างทางเป็นทางเปลี่ยว ๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีรถสวน


"ก็พี่โอ้ชื่อโอ้ไง เลยเรียกโอลีฟ" เขาตอบและพยายามมองทาง


"เอาจริง ๆ ซิ" ไอทำเสียงดุ


"จริง ๆ ก็เพราะไอ้สินนั่นแหละ คือตอนเด็ก ๆ ป๊อปก็จองตัวพี่โอ้เป็นเมียแล้วก็เอาไปคุยอวดพวกมัน ไอ้สินมันก็เลยเรียกพี่โอ้ลับหลังว่า โอลีฟ เพราะโอลีฟเป็นเมียป๊อปอายไง" เขาเล่าแล้วก็ทำหน้าม่อย ส่วนไอหัวเราะแทบแย่


"โอเค โอเค โอลีฟก็ได้เพราะยูเริ่มบ่นเก่งเหมือนป๊อปอายแล้วจริง ๆ ด้วย" ไอตอบและนึกถึงตัวการ์ตูนกลาสีหน้างอ ที่เวลาพูดชอบพูดเสียงงัวเงียเหมือนบ่นอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ป๊อปอายของไอยังหนุ่ม ยังหล่อ ถึงผิวจะคล้ำสักนิดแต่ก็เป็นป๊อปอายที่น่ารักที่สุด