แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว - 24 Starseed โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ



อ้าอุไรพธูพบูพิบูลย์ เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ  เจริญภาส


ตูสวิงสวายเพราะสายสวาดิ์ ระทวยบ่ปลดระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก


แสนจะเสียวจะส้านณวารวิโยค จะข้ามห้วงบ่ล่วงอโฆ ก็อกกรม


ใคร่เสน่หะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิทร์จะชิดจะชม ณเชิงรัก


เชิญสมรสุมาลย์สมานสมัค ประสานประสงค์ประจง ประจวบใจ ประจักษ์




ผมค่อย ๆ พับกระดาษที่มีลายมือหวัดแกมบรรจงแล้วอมยิ้ม พลางถามมันไปเบา ๆ ว่า


"มึงจีบกูหรอ?" 


"เปล่า" มันตอบอย่างว่องไว แต่หน้าแดง คนแปลกประหลาดอย่างนี้ก็มีด้วย

สารบัญ

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-1 ทีโมนกับพุมบ้า,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-2 เจ้าชายน้อย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-3 จุดเริ่มต้นความสนิท,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-4 ลูกไม้หล่นไกลต้น,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-5 ตัวโวยวาย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-6 สิบปี,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-7 เปลี่ยน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-8 ห่าง,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-9 ใจเอ๋ยใจ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-10 วันธรรมดา,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-11 อยู่ด้วยกัน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-12 หมอดอย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-13 หมอดอยใจดี,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-14 พระเอก,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-15 สมิง,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-16 จอมวางแผน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-17 Supporter,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-18 พ่อค้าออนไลน์,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-19 เกลียมัว,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-20 ป๊อปอาย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-21 โอลีฟ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-22 Change ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-23 Twin Flame ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-24 Starseed,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-25 ต่อมไพเนียล,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-26 Dream,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-27 ตื่นรู้,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-28 โลกแห่งความฝัน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-29 หนุ่มปากน้ำโพ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-30 ชาววัง,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-31 ทำคะแนน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-32 ความทรงจำในอดีต,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-33 โลกหมุนด้วยความรัก

เนื้อหา

24 Starseed

โดย  Chavaroj




เอาล่ะไม่มีคนเดินไปเดินมาแล้ว ผมเดินย่อง ๆ ไปที่จอดรถหลังโรงพยาบาล หันซ้ายหันขวา มองว่าไม่มีใครเดินเกะกะ ผมก็เดินไปตรงโคนต้นหางนกยูงซึ่งทางโรงพยาบาลปลูกไว้เป็นแถวเป็นแถวนับสิบต้น ใบของมันหล่นเกลื่อนพื้นจนพื้นถนนเหมือนถูกปูด้วยพรมสีทองพราวไปหมด


และบนพรมนั้นก็กองก่ายไปด้วยฝักของมันฝักแบน ๆ ยาว ๆ สีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ และนี่แหละคือจุดประสงค์ที่ผมต้องมาด้อม ๆ มอง ๆ 


จัดแจงหยิบถุงพลาสติกขนาดใหญ่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง จัดการคลี่ออกแล้วก็หยิบไอ้พวกฝักหางนกยูงพวกนี้โยนใส่ถุงให้ได้เยอะที่สุด เพราะอีรวีมันสั่งไว้


"อาจารย์ ทำอะไรน่ะครับ?" เสียงคุ้นหูดังจนผมสะดุ้ง


"เอ่อ....." ผมไม่รู้จะตอบยังไง ได้แต่ยิ้มแหย ๆ


"อาจารย์จะเก็บฝักหางนกยูงเอาไปทำอะไรเยอะแยะล่ะครับนั่น" ตาหมายภารโรงประจำโรงพยาบาลถามพร้อมทำหน้าสงสัย


"เอ่อ.....เก็บเอาไปให้เพื่อนน่ะ" ผมตอบ ไม่รู้จะโกหกยังไง จะบอกเขาไปตรง ๆ ว่าจะเอาไปกิน เขาก็คงจะขำว่าผมนั้นไม่มีอะไรจะกินแล้วหรือยังไงกัน ก็ตอนอีรวีมันบอกผมยังด่ามันไปอย่างนั้นเลย


"ถ้าอย่างนั้นผมช่วยนะอาจารย์" ตาหมายอาสาช่วยเก็บอย่างใจดี เวลาไม่นานผมก็เลยได้ฝักหางนกยูงสองถุงใหญ่ ๆ ค่อยยังชั่วหน่อย


"ขอบคุณนะลุงหมายไม่ได้ลุงผมแย่แน่ ๆ" ผมกล่าวขอบคุณเขา และหอบไอ้ของบ้านี่ลากไปจนถึงรถของไอ้เบียร์เพราะเย็นนี้มันบอกว่าจะไปหารวีและผองเพื่อน ส่วนผมติดเวร...อดไป


เอาเถอะ ฟังจากกระบวนการในการทำ ยังไงก็ไม่ได้ทำในวันนี้แน่ ๆ เพราะเห็นว่าต้องเอาไปแช่น้ำไม่รู้กี่วันกี่คืนถึงจะได้กิน ถ้ากินแล้วไม่อร่อยอย่างที่คิด กูจะเอาฝักหางนกยูงไล่เคาะกะโหลกเรียงตัว ตั้งแต่ไอ้สินที่ช่างไปค้นคว้าหาเมนูแปลก ๆ อีรวีที่ยุให้ทำเมนูพิสดาร ไอ้สมิงที่กระตือรือร้นจะทำเมนูอาหารบ้า ๆ และอีดอยที่ไม่รู้จักห้ามผัวไม่ให้ทำอะไรแปลก ๆ 


ผมเดินกลับเข้าไปในโรงพยาบาล สวนกับไอ้เบียร์พอดี หน้ามันโทรมเหมือนไม่ได้นอนมาสักสองวัน ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติ


"มึงไหวแน่เรอะ ไม่ใช่หลับในตอนขากลับล่ะมึง" ผมทักมันเพราะเห็นสภาพแสนโทรม


"กูไหวน่า หนักกว่านี้ก็เจอะมาแล้ว" มันพูดอย่างเพลีย ๆ 


"ของฝากอีรวีกูใส่ท้ายรถมึงแล้วนะ ขนไปให้ไอ้สมิงด้วย ส่วนกูไปทำงานต่อละนะ" พูดเท่านี้แล้วก็แยกย้ายกัน


ผมเดินราววอร์ดตามปกติ จนท้ายที่สุดก็ไปอยู่วอร์ดประจำของตนเอง พูดคุยกับพี่ ๆ พยาบาล ฟังข่าวเม้าของคนในโรงพยาบาล ข่าวดารา ข่าวการเมืองอะไรไปตามเรื่อง การไม่มีเวลาดูทีวีหรือสื่อโซเชียล ก็ต้องอาศัยการโสเหล่แบบนี้นี่แหละ


จากนั้นผมก็เข้าห้องพักแพทย์ ซึ่งถูกเตรียมไว้ประจำวอร์ดละหนึ่งห้องสำหรับหมอที่อยู่เวร เพิ่งทุ่มกว่า ๆ เท่านั้นผมก็เลยเอาตำราออกมาอ่าน เพราะมะรืนก็ต้องมีสอนนักศึกษาแพทย์อีก ยังดีมีสอนนิด ๆ หน่อย ๆ ผมเบื่อที่จะสอนจะตาย แต่ทำยังไงได้ ก็หมอแผนกสมองมีผมเป็นหมอใหญ่ 


จัดแจงอ่านตำรา ทบทวนความรู้และเตรียมจดโน้ตเล็ก ๆ พร้อมกับทำสไลด์สำหรับการสอนเสร็จ ผมก็อยากจะยืดแข้งยืดขา เลยออกมาเดินเตร่ตรงระเบียงซึ่งทางโรงพยาบาลจัดเป็นมุมเล็ก ๆ ซึ่งวางตั้งไปด้วยต้นไม้เหี่ยว ๆ เพราะไม่ค่อยจะมีคนดูแลสิบกว่ากระถาง แต่พวกมันก็ตะเกียกตะกายจะมีชีวิต หันลำต้นยืดยาวไปทางที่แสงจะสาดส่องเข้ามา ถึงดินในกระถางจะแห้งผากแต่ใบของมันก็ยังเขียวสด แม้จะไม่สดชื่นเท่าต้นไม้ที่ปลูกตามพื้นดินก็ตาม....เหมือนมนุษย์ที่พยายามยื้อที่จะมีชีวิต


มองจากตรงนี้แม้ว่าอากาศจะเย็นและฝุ่นพีเอ็ม 2.5 จะโปรยคลุมรอบเมืองกรุงเหมือนฝาชี แต่ตรงที่ผมยืนกลับเป็นด้านที่ไม่ค่อยแสงสว่างมากนัก แถมมองไปไกล ๆ ก็ยังสามารถเห็นพระจันทร์และดวงดาวได้บ้าง ...ผมชอบมองดูดวงจันทร์ มองดวงดาว มองท้องฟ้า มองออกไปนอกที่จักรวาล


ตั้งแต่สมัยผมเด็ก ๆ ผมก็ชอบดูหนังที่เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวอย่างคลั่งขึ้นสมอง เคยคิดด้วยซ้ำว่าคงน่าสนุกถ้าจะถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไปทดลองอะไรบางอย่าง หรือจะให้สนุกก็น่าจะมีมนุษย์ต่างดาวพาผมไปดูดาวดวงอื่น ๆ 


นั่นมันจินตนาการในวัยเด็ก แต่มันก็สนุกและทำให้ผมอมยิ้มให้กับตัวเองทุกครั้ง ผมเคยนึกถึงความสามารถของมนุษย์ต่างดาวตามหนังตามหนังสือที่เราพบเจอ อย่างซูเปอร์แมนที่เหาะได้ และมีพลังเหนือมนุษย์ มีดวงตาเลเซอร์ แม้จะแพ้ไอ้แร่ธาตุสีเขียวเรืองแสงโง่ ๆ นั่นก็เถอะ ให้เก่งแค่ไหนก็ต้องมีแพ้กันบ้าง


และตั้งแต่ผมยังเด็กจนอายุป่านนี้ หนัง ละคร และเรื่องเล่าจากมนุษย์ต่างดาว ก็ยังถูกสร้างมาเรื่อย ๆ แสดงว่ามันก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนเฝ้าคิดถึงมัน เพียงแต่ผมอาจจะหมกมุ่นกับมันมากสักหน่อย


ยืนคิดอะไรอย่างใจลอย จนได้ยินเสียงเดินเบา ๆ มาตามทาง ผมหันไปมองก็เจอพี่พยาบาลออกมาจากห้องคนไข้พิเศษ พอออกมาจากห้องนั้นเธอก็ถอนหายใจอย่างเบื่อระอา แล้วก็เดินจากไป 


ห้องพิเศษ 11011สินะ ผมชอบห้องนี้เพราะมันมีตัวเลขพิเศษ มีเลขหนึ่งตั้งสี่ตัว คนไข้เป็นเพศชายอายุประมาณยี่สิบกว่า ๆ มีอาการสมองตาย เพราะอุบัติเหตุ ถึงจะนอนเป็นผัก หรือจะนอนเป็นเจ้าชายนิทรา แต่ถ้ามองจากภายนอก เขาเหมือนแค่คนหลับใหลไปเท่านั้นจริง ๆ 


ผมอดจะทึ่งกับการดูแลของญาติคนไข้ ที่มาดูแล ซึ่งดูแลคนไข้คนนี้อย่างดี นี่ก็ย่างเข้าปีที่สามแล้วสินะ แต่คนไข้ยังไม่มีแม้แต่แผลกดทับ เพราะได้คุณป้าคนนี้คอยพลิกตัว คอยเช็ดตัวทำความสะอาด คอยเช็ดอึเช็ดฉี่ อย่างไม่รังเกียจแม้แต่น้อย อย่ากระนั้นเลยผมแวะเข้าไปเยี่ยมคุณป้าสักหน่อยก็ดี 


"สวัสดีครับคุณป้า" ผมพูดทักเมื่อเห็นแกทิ้งตัวลงนั่งกับโซฟา ซึ่งเป็นที่นอนพักของคนเฝ้าคนไข้ด้วย นอนมันตรงนี้นี่แหละ 


"สวัสดีค่ะคุณหมอ คุณพยาบาลเธอเพิ่งออกไปเองค่ะ" คุณป้าพูดอย่างใจดี


"อ่อ ผมแวะมาเยี่ยมคุณป้าน่ะครับ ไม่ออกไปเที่ยวไหนบ้างหรอ มีคนมาผลัดกันดูคนไข้บ้างหรือเปล่า?" ผมถามอย่างถือวิสาสะ เห็นแววเหนื่อยในแววตาของคนเฝ้าผมก็เข้าใจ 


"ไม่มีหรอกค่ะ คุณหนูเธอมีป้าคนเดียว ก็ดีเหมือนกันค่ะ อยู่อย่างนี้ก็สงบดี ได้อยู่กันสองคน" แกพูดเหมือนทิ้งปริศนา เอาล่ะ ผมก็จะไม่ยุ่งเรื่องราวส่วนตัวของคนไข้ละ แต่ไหน ๆ เข้ามาเยี่ยมญาติแล้วก็ขอดูอาการคนไข้สักหน่อย 


จะว่าไปผมก็คุ้นเคยกับห้องนี้ดีทั้งคนไข้ทั้งคนเฝ้า เพราะอยู่กันมาเข้าปีที่สาม ผมเป็นหมอเจ้าของไข้ และเป็นคนผ่าตัดให้เขาเอง บาดแผลปิดสนิท เส้นประสาทเชื่อมประสาน ผมก้มไปมองใบหน้ามองเปลือกตาของเขาที่กะพริบถี่ ๆ เหมือนคนกำลังนอนหลับ รอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏที่ริมฝีปากของคนไข้


"คุณหนูของป้ากำลังฝันล่ะครับ ท่าทางฝันสนุกเสียด้วย ดูสิอมยิ้มใหญ่เลย" ผมชักชวนให้คุณป้าดูและคุณป้าก็อมยิ้ม 


"โถคุณหนูของป้า ไปเที่ยวไหนคะนั่น ไม่ใช่ฝันว่าไปเดินป่า ไปขุดต้นไม้มาปลูกอยู่หรือคะ ได้ต้นไม้อะไรแปลก ๆ หรือสวย ๆ มาปลูกเยอะหรือเปล่า?" คุณป้าพูดไปก็ลูบหัวของคนไข้ไป ผมก็ได้แต่อมยิ้ม ท่าทางคุณป้าก็จะสนิทกับคุณหนูของแกเสียเหลือเกิน


"คุณหนูของป้าชอบปลูกต้นไม้หรือครับ?" 


"โถ แกชอบมากเชียวค่ะ ที่บ้านมีเรือนต้นไม้ มีต้นไม้ออกดอกเต็มไปหมด แกชอบพวกต้นกล้วยไม้ค่ะ มีแต่ต้นกล้วยไม้หายาก ๆ แล้วก็บางชนิดต้องสั่งมาจากเมืองนอก บางชนิดก็ต้องเข้าไปเก็บในป่าลึก ๆ ด้วยนะคะ ...เสียดายตอนนี้ไม่รู้พวกมันจะเหลือรอดกี่ต้น" ตอนท้ายคุณป้ากระซิบกระซาบทำหน้าเจื่อน ๆ ราวกับถ้าคุณหนูของแกตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าต้นกล้วยไม้ที่เลี้ยงไว้ตายไป คงเสียใจแย่ 


"แหมถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวไว้คราวหน้าผมกลับบ้าน ขากลับจะเอากล้วยไม้มาฝาก พ่อของหมอก็ชอบปลูกกล้วยไม้เหมือนกัน แต่พ่อของหมอชอบปลูกพวกกล้วยไม้ไทย ๆ น่ะครับ" ผมพูดกับแกอย่างออกรส และตรวจดูอาการอีกนิดหน่อย จากนั้นผมก็เดินกลับไปห้องพักแพทย์ 


จะดีแค่ไหนนะถ้าคนไข้ของผมจะรู้ว่าในห้องพักที่แห้งแล้ง มีต้นกล้วยไม้ที่ออกดอกสวย ๆ วางอยู่ใกล้ ๆ จังหวะดี อีกสองวันเป็นวันหยุดของผม และผมก็ตั้งใจจะกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อกับแม่พอดี


ทำงานเพลินจนลืมเวลา รู้ตัวอีกทีก็ถึงวันหยุดของผมสักที แม้จะมีเวลาแค่สองวันแต่ผมก็ต้องใช้มันให้คุ้มค่า โชคดีที่บ้านของผมอยู่แค่นครนายก ขับรถไปใช้เวลาไม่นาน ถ้ารถติด ๆ ไปบ้านอีดอยยังนานกว่าไปบ้านผมเสียอีก 


พ่อของผมจะเกษียณในอีสองปีข้างหน้า แกเป็นครูใหญ่โรงเรียนประจำตำบล ส่วนแม่ของผมก็เป็นแม่บ้านธรรมดา ๆ นี่แหละ แม่ทำอาหารเก่ง ใจดีและขี้บ่น เวลาผมกลับบ้านก็ต้องหอบเสื้อผ้ามาให้แม่ช่วยซัก จะดูเหมือนอกตัญญูหน่อย แต่ผมรู้ว่าลึก ๆ แม่ชอบ 


โดยเฉพาะเสื้อสครับ เสื้อเชิ้ต เสื้อกราว แม่จะซักอย่างดีและรีดให้เรียบกริบ เพราะเป็นความภูมิใจของแม่ที่มีลูกเป็นหมอ 


ตามประสาคนต่างจังหวัด สองทุ่มทุกคนก็อยู่บ้านกับครอบครัวกันหมด และตามประสาคนต่างจังหวัดอีกเหมือนกัน สามทุ่มก็เข้านอนกันหมดแล้ว ไอ้ผมก็นิสัยเสียเพราะติดชีวิตแบบคนเมือง แถมด้วยหน้าที่การงานก็ทำให้นอนไม่ค่อยเป็นเวลา ไอ้เวลาที่ควรจะได้หลับนอน ผมกลับตาสว่างเสียนี่ 


บ้านของผมเป็นสวนแบบที่ไม่ได้ตั้งใจ คือถูกใจจะปลูกอะไร พ่อก็ปลูกมันตรงนั้น ไม่ได้มีหลักเกณฑ์ หลักการอะไรทั้งนั้น หรือบางต้น ไม่ได้ตั้งใจปลูก กินเสร็จโยนเมล็ดของมันส่งเดช มันกลับเติบโตจนออกลูกมาให้กินก็มี


แต่ด้านหนึ่งของบ้าน พ่อตีระนาดด้านบนและด้านข้าง รกเรื้อไปด้วยกล้วยไม้สารพัดชนิด ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกหวาย เอื้อ แกะ และช้าง อันเป็นสกุลของมัน ผมก็ไม่ค่อยจะรู้กับพ่อหรอก รู้แต่ว่า ดูแต่ตามืออย่าต้อง ไปเยี่ยม ๆ ชม ๆ ถ่ายรูปนั้นได้ แต่อย่าเสือกมือบอน ตัดดอกกล้วยไม้ของแกเป็นอันขาด ถ้าไม่อยากหัวแตก เพราะพ่อน่ะรักและหวงกล้วยไม้ของแกนัก ชนิดแอบขโมยไปก็รู้ซะด้วย


ผมจัดแจงเดินไปเปิดไฟ เยี่ยมชมกล้วยไม้ต้นโน้นต้นนี้ ยิ่งช่วงนี้กำลังเข้าหน้าแล้ง กล้วยไม้พากันชูก้านดอกกันให้สลอน ตามธรรมชาติ ผนวกกับพ่ออัดปุ๋ยให้พวกมันด้วย จะไม่ออกดอกไม้ยังไงกัน ต้นโน้นก็สวยต้นนี้ก็ดี ตามประสาคนไม่ได้มีสายตาอย่างคนรักกล้วยไม้ผมก็มองว่าต้นไหน ๆ มันก็สวยเหมือนกันหมดนั่นแหละ 


เดินออกมาจากเรือนกล้วยไม้ สนามหญ้าหน้าบ้าน มีช่องโปร่ง ๆ ซึ่งไม่ถูกเงาของต้นไม้บังท้องฟ้า เพราะแม่ใช้ที่ตรงนี้เอาไว้ตากผ้าด้วย เก้าอี้ม้าหินชุดที่อยู่มาตั้งแต่ผมยังเด็กก็ยังตั้งอยู่ตรงนี้ ผมทิ้งตัวลงนั่ง เอาหลังพิงพอสบายแล้วก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า 


เมื่อตอนผมเด็ก ๆ เด็กมาก ๆ แต่พอรู้ประสา ผมจำได้เลือนรางว่าผมเคยไปเล่นที่บึงน้ำแถวบ้าน แล้วผมก็เจออะไรแปลก ๆ ลอยอยู่เหนือน้ำ 


ไม่มีเสียง ไม่มีลมพัด มันเป็นก้อนกลม ๆ ขนาดใหญ่ประมาณรถเมล์เห็นจะได้ เป็นทรงแท่งกลมยาว ๆ อย่างที่เขาเรียกว่าทรงซิการ์ ผมยืนดูมันอย่างตั้งอกตั้งใจ จนแทบลืมหายใจ และชั่วพริบตา มันก็พุ่งหายขึ้นไปบนฟ้านับหนึ่งยังไม่ทันถึงสามมันก็หายไปแล้ว 


ผมเคยเอาไปเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง ไม่มีใครเชื่อผมเลยสักคน หาว่าผมเป็นคนขี้โกหก หรือหนักหน่อยก็จะหาว่าผมเป็นบ้า ครั้นเอามาเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง ทั้งสองคนก็อือ ๆ ออ ๆ เพราะคงคิดว่าผมฝันไป เพราะดูหนังมนุษย์ต่างดาวมากเกินเหตุ


คนเดียวที่ผมเคยเล่าให้ฟังและมันก็เชื่อ นั่นก็คือไอ้เบียร์ 


"กูเชื่อมึง เพราะกูก็เคยเห็น" ไอ้เบียร์เพื่อนรักบอก และนั่นก็เลยทำให้ผมกับไอ้เบียร์ดูเหมือนจะสนิทกันมากกว่าคนอื่น ๆ 


นึกถึงตรงนี้ผมก็เกิดอยากจะพิสูจน์ความจริงอีกสักที เลยจัดแจงสวมรองเท้าแตะให้กระชับ และเดินออกจากบ้านไปยังบึงน้ำแถวบ้าน บึงน้ำที่ผมเคยพบสิ่งมหัศจรรย์


ช่วงนี้เข้าหน้าหนาว ไม่มีชาวบ้านออกมาจับปลาเหมือนฤดูอื่น มองไปไกล ๆ ก็ไม่มีรถราหรือผู้คนสัญจรไปมาเลยแม้แต่น้อย ลมพัดมาเย็นจนกรีดผิว ผมตำหนิตัวเองที่เดินออกมาทั้ง ๆ ที่มีชุดนอนบาง ๆ ไม่หาอะไรคลุมตัวอีกสักชั้นให้อุ่นกว่านี้


ใช้เวลาเดินเพียงห้านาทีก็ถึงบึงน้ำที่ว่า พระจันทร์เกือบจะเต็มดวงจนฟ้าสว่าง และมองเห็นทางได้ชัดเจนโดยไม่ต้องอาศัยหลอดไฟที่ติด ๆ ดับ ๆ และเสาไฟที่ตั้งไว้ห่าง ๆ กัน


ผมเดินกอดอก จนไปถึงบริเวณที่เคยมาเล่นริมบึงตอนเด็ก ๆ ผมชอบมาเล่นแถวนี้ จับแมลง จับปลา ไปตามประสาเด็ก ผมไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก เพราะไม่ชอบสุงสิงกับใคร 


เดินจนถึงริมตลิ่งซึ่งมีเก้าอี้เก่า ๆ ตั้งวางไว้ ผมทิ้งตัวลงนั่ง และลมเย็นเยือกผสานกับไอชื้นของบึงกระทบร่างจนบางจังหวะผมก็สยิวกายอย่างหนาวเหน็บขึ้นมา ลมพัดมาเบา ๆ จนไม่ต้องห่วงเรื่องยุง และได้กลิ่นน้ำและกลิ่นตะไคร่หอมแปลก ๆ พาให้นึกถึงภาพตัวเองที่เคยวิ่งเล่นแถว ๆ นี้


ผมทิ้งความคิดไปกับผืนน้ำ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย คิดถึงเพื่อน ๆ คิดถึงงานที่ทำ คิดถึงคนไข้ที่หายไปแล้วและยังป่วยอยู่ ถึงแม้งานของผมต้องปล่อยวาง แต่ผมก็ยังเป็นคน มีความสุขความทุกข์ ก็ต้องอดที่จะมีอารมณ์บ้างไม่ได้


เรื่อยไปจนถึงที่สุด ผมคิดถึงตัวของผมเอง ผมคิดว่าผมเป็นคนประหลาด เป็นคนที่ไม่เข้าพวก เหมือนผมมากจากดาวดวงอื่น แต่ภารกิจบางอย่าง บังคับให้ผมต้องมาอยู่ที่โลก มาอยู่ที่ดาวดวงนี้


ว่ากันว่า สตาร์ซีด นั้นจะถูกส่งมาจากหลาย ๆ มิติ หลาย ๆ จักรวาล เพื่อมาช่วยให้โลกเกินความสมดุล มาทำให้โลกเกิดการตื่นรู้ มาช่วยเยียวยาทั้งทางร่างกายและจิตใจของผู้คน และบางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนผมมาอยู่ที่โลกใบนี้เหมือนเป็นแค่ แขกผู้มาเยือน ไม่ใช่เจ้าของดาวดวงนี้


ผมรู้สึกถึงจิตวิญญาณของตัวเองที่มาจากมิติอื่น ดวงดาวดวงอื่น และบางครั้งผมก็ถามตัวเองเหมือนกันว่าภารกิจอะไรกันนะที่ทำให้ผมถูกใช้ให้มาอยู่ตรงนี้ในดาวโลก ดาวที่ทั้งสวยงามแต่ก็โหดร้าย 


รู้สึกว่าตัวเองชักจะคิดเลยเถิดไปไกล ผมนั่งหลังตรงหลับตาลงเบา ๆ และพยายามกำหนดจิตให้ยึดมันอยู่กับลมหายใจ พยายามหายใจช้า ๆ แต่ลึกล้ำ จนจิตของผมจมดิ่ง ทุกครั้งที่ผมเหนื่อย ไม่ว่าจะกายหรือใจ การนั่งสมาธิสักครู่จะเป็นเสมือนการชาร์ตพลังงาน 


น่าแปลกที่ผมเรียนรู้การนั่งสมาธิได้เอง และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผมเรียนได้ดีมาก ๆ ความทรงจำของผมถ้าลองตั้งใจจดจำอะไรแล้วจะไม่มีลืมเลือนไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร มันมีข้อดีและมีข้อเสีย เพราะความทรงจำบางอย่างที่ผมไม่อยากจดจำแต่ก็ลืมมันไม่ได้เสียที


ผมรู้สึกว่าจิตของผมเริ่มดำดิ่ง เหมือนเรากำลังจดจ่อกับอะไรบางอย่างจนลืมเลือนที่จะสนใจสิ่งรอบตัว แต่แล้วความรู้สึกบางอย่างที่มาสัมผัสตัวผมก็ทำให้ผมต้องถอนจากความดำดิ่งนั้น


แสงไฟสว่างจ้า จนแม้เปลือกตาของผมจะปิดสนิทก็ยังรับรู้ถึงแสงสว่างนั้นได้ อากาศที่เย็นเยียบปนชื้นเล็กน้อย บัดนี้ผมรู้สึกได้ถึงคลื่นความอบอุ่นแปลก ๆ ที่มันแผ่ซ่านและล้อมอยู่รอบตัว 


ผมพยายามลืมตา แต่แสงนั้นก็สว่างจ้าเกินกว่าที่จะทำให้ผมเพ่งมองออกไปรอบ ๆ ได้ ตัวของผมรู้สึกเบาหวิว และคล้ายกับร่างของผมค่อย ๆ ลอยขึ้นช้าอย่างไร้น้ำหนัก ผมไม่มีเรี่ยวแรงจะขัดขืนคล้ายกับคนหลับและเริ่มฝันละเมอ 


แต่น่าแปลกที่แม้ว่าผมจะยังหลับตา แต่ก็รู้สึกได้ว่าถูกห้อมล้อมด้วยใครหลายคน ไม่มีเสียงพูดคุยให้ได้ยินแต่ลึก ๆ เหมือนในเบื้องลึกของหัวใจ ผมรู้สึกได้ว่าผู้คนที่รายล้อม กำลังพูดถึงผมกันให้แซ่ดไปหมด 


ผมเริ่มสัมผัสรับรู้ได้ว่าร่างกายของผมถูกสัมผัสอย่างแผ่วเบา ช้า ๆ จนเหมือนร่างของผมถูกวางลงบนพื้นพรมนิ่ม ๆ แสงสว่างยังคงเจิดจ้าจนผมลืมตาไม่ได้ แต่ตอนนี้ร่างกายของผมเบาสบายเหลือเกิน 


นานไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าไร แต่รู้สึกตัวอีกที ผมก็แทบล้มคว่ำ นี่ผมนั่นหลับอยู่ที่เดิมตรงม้าหินริมบึงหรือนี่ อาจเพราะวันนี้ผมทำงานเยอะ ขับรถมาไกล หรืออาจจะเพราะอาหารมื้อเย็นแสนอร่อยของแม่ที่จัดให้ผมเต็มโต๊ะเพราะนาน ๆ จะได้กลับมาสักทีเลยทำให้ผมง่วงจนตาปิด แต่ผมไม่เคยหลับจนสัปหงกอย่างนี้ 


ไม่แน่นะอาจเพราะอากาศเย็นสบายก็ได้ และเมื่อผมหันไปมองนาฬิกาจากโทรศัพท์มือถือ มันผ่านเวลาไปตั้งชั่วโมงครึ่งแล้วอย่างนั้นหรอ เพราะตอนนี้เป็นเวลาประมาณสี่ทุ่มครึ่ง 


ผมรีบเดินกลับบ้าน และรู้สึกว่าความอ่อนเพลียของผมมันกลับมาครอบงำอีกหน พอร่างของผมถึงที่นอนผมก็หลับเหมือนตาย และตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนเช้าเพราะแม่เป็นคนปลุก


"ไปป์เป็นอะไรหรือเปล่าลูก แม่เรียกตั้งนานสองนาน จนต้องเดินเข้ามาปลุกเนี่ย" แม่พูดพร้อมกับเอามือลูบที่หน้าผากของผม


"ไม่เป็นอะไรนะแม่ มันเพลีย ๆ ตั้งแต่เมื่อคืนไปป์ไม่ได้ยินเสียงแม่เลยอ่ะ สงสัยหลับสบายเลยเพลินไปหน่อย" ผมตอบและขยับตัวอีกที


"ไปลูก ลุกไปล้างหน้าล้างตา เดี๋ยวหลวงลุงมารับบาตรลงไปตักบาตรด้วยกัน วันเกิดเราทั้งที" แม่พูดแล้วก็ก้มลงมาหอมหัวของผมอีกที  


"ไม่เอาอ่ะนอนอีกแป๊บนึงได้ป่าว" ผมอ้อน กอดเอวแม่แน่น ๆ รู้สึกคิดถึงชั่วขณะที่ไม่ได้กอดแม่อย่างนี้มานานกี่ปีกันแล้วนะ


"ไฮ้ จะเจ็ดโมงครึ่งแล้ว หลวงลุงจะมาแล้ว" แม่เอ็ดตะโร ตีผมเผียะ ๆ จนผมต้องลุกขึ้นมาล้างหน้า ใส่แว่นตาให้เรียบร้อย แต่แปลก พอผมใส่แว่นมันกลับมองไม่ชัดเสียนี่ ผมก็เลยถอดแว่นแล้วเดินตามแม่ลงไปหน้าบ้าน


"นิมนต์เจ้าค่ะ" แม่พนมมือ ยิ้มให้หลวงลุงเจ้าประจำ ส่วนผมก็ยืนอมยิ้ม พนมมือแต้ไปพร้อมแม่ด้วย


"เป็นยังไงล่ะจ๊ะโยม เอ้าหมอกลับบ้านมาด้วยเรอะ เห็นครูแกบ่นว่าไม่ค่อยกลับบ้าน" หลวงลุงเจอผมก็ทักด้วยความคุ้นเคย


"ไม่ค่อยว่างน่ะครับ เดือนนี้ได้หยุดติดกันแค่สองวัน คืนนี้ผมก็ต้องรีบกลับโรงพยาบาลเลย" ผมตอบหลวงลุงและหยิบกับข้าวที่แม่ห่อใส่ถุงอย่างเรียบร้อยแล้วก็ใส่ลงในบาตรของหลวงลุง โดยมีแม่ยืนพนมมือแต้


เรากรวดน้ำกันเสร็จสรรพ พูดคุยกันอยู่อีกครู่ แต่อะไรบางอย่างที่ผมก็บรรยายไม่ถูก ทำให้ผมรั้งหลวงลุงไว้ก่อน


"อะไรหรือหมอ?" หลวงลุงถามยิ้ม ๆ 


"หลวงลุงครับ แป๊บนึงนะครับ" ผมพูดเดินไปจับหลังคอของหลวงลุงเพราะรู้สึกตงิด ๆ ว่ามันแข็งแปลก ๆ นวด ๆ คลึง ๆ อยู่แป๊บเดียว จนเมื่อทำเสร็จก็ยกมือไหว้ท่านหนึ่งหน ท่านบิดคอไปบิดคอมาเหมือนสลัดความเมื่อยขบ กล่าวขอบอกขอบใจ แล้วท่านก็เดินไปรับบาตรของท่านต่อ


"แม่" ผมหันไปคุยกับแม่ที่ยืนอมยิ้มให้ผม


"มะกี้ดอกไม้ที่ถวายหลวงลุงน่ะ ขอพ่อหรือเปล่าไปเอาของคุณครูเขา เดี๋ยวเขาก็โมโหอีกหรอก" ผมแซวเพราะตอนท้ายเราถวายดอกกล้วยไม้ช่อสวยให้หลวงลุงไปด้วย


"เออน่ะ อีตานั่นไม่รู้ร๊อก ขืนโวยวายเดี๋ยวแม่ไม่หุงข้าวให้กิน"แม่พูดพร้อมกับค้อนขวับ


"เอ๊า" 


"พ่อเขารู้น่า แม่ถามเขาแล้วว่าขอกล้วยไม้ไปถวายพระสักช่อ พ่อเขาว่า ไอ้นี่มันออกเยอะมีตั้งหกเจ็ดช่อแม่ขอสองช่อเอง พ่อเขาอนุญาตแล้วย่ะ" แม่ว่าแล้วก็จูงมือผมเข้าบ้าน


"ต้นไหนหรอแม่ เดี๋ยวไปป์ขอพ่อสักต้น เอาที่พ่อไม่หวงมากนะ พอดีสัญญาจะเอาไปฝากคนไข้น่ะ" ผมพูดกับแม่ เพราะพ่อยังง่วนอยู่หลังบ้าน


"ไปเลือกเอาไป๊ เอาต้นสวย ๆ หน่อยเอาไปให้เขาน่ะ" แม่ว่าแล้วก็เดินเข้าบ้านไป ส่วนผมเลยขอเดินเข้าไปในเรือนกล้วยไม้ พ่องุ่นง่านอยู่ในนั้น เอายาพ่นไปปากก็บ่นไป


"พ่อไปป์ขอกล้วยไม้พ่อสักต้นสิ จะเอาไปฝากคนไข้น่ะ" ผมขอพ่อซึ่งท่าทางอารมณ์ดี เพราะยิ้มเผล่กับกล้วยไม้ที่ชูช่อสีส้มสด


"ไปเลือกเอาสิ จะเอาไปจีบใครเหรอ?" 


"จีบเจิบอะไรล่ะพ่อ เอาไปฝากคนไข้" ผมโวยวายและเลือกกล้วยไม้ไม่ได้สักที ไอ้ต้นที่ผมชอบพ่อก็หวง ไอ้ต้นที่พ่อจะให้ ผมก็ไม่ชอบใจ และเบื่อพ่อที่ชอบให้ผมหาแฟนให้ได้สักทีแม้จะพูดอ้อม ๆ ก็เถอะ


จนสุดท้ายก็ได้กล้วยไม้ที่ดอกของมันยังตูมอยู่ต้นหนึ่ง พ่ออวดเสียด้วยว่าพ่อก็ไม่รู้ว่าดอกของมันเมื่อบานออกมาจะเป็นทรงเช่นไร รู้แต่ว่าช่อของมันเป็นสีม่วงจัดจนเกือบเป็นม่วงเข้ม พ่อผสมเกสร จนมันติดฝัก แล้วก็เพาะมันจากต้นเล็ก ๆ จนเริ่มมีช่อดอกนี่แหละ


"ต้นนี้สวยดีขอต้นนี้ให้ไปป์ก็แล้วกันนะพ่อ" ผมพูดและพ่อก็พยักหน้าเออออ