แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว - 25 ต่อมไพเนียล โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ



อ้าอุไรพธูพบูพิบูลย์ เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ  เจริญภาส


ตูสวิงสวายเพราะสายสวาดิ์ ระทวยบ่ปลดระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก


แสนจะเสียวจะส้านณวารวิโยค จะข้ามห้วงบ่ล่วงอโฆ ก็อกกรม


ใคร่เสน่หะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิทร์จะชิดจะชม ณเชิงรัก


เชิญสมรสุมาลย์สมานสมัค ประสานประสงค์ประจง ประจวบใจ ประจักษ์




ผมค่อย ๆ พับกระดาษที่มีลายมือหวัดแกมบรรจงแล้วอมยิ้ม พลางถามมันไปเบา ๆ ว่า


"มึงจีบกูหรอ?" 


"เปล่า" มันตอบอย่างว่องไว แต่หน้าแดง คนแปลกประหลาดอย่างนี้ก็มีด้วย

สารบัญ

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-1 ทีโมนกับพุมบ้า,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-2 เจ้าชายน้อย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-3 จุดเริ่มต้นความสนิท,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-4 ลูกไม้หล่นไกลต้น,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-5 ตัวโวยวาย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-6 สิบปี,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-7 เปลี่ยน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-8 ห่าง,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-9 ใจเอ๋ยใจ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-10 วันธรรมดา,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-11 อยู่ด้วยกัน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-12 หมอดอย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-13 หมอดอยใจดี,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-14 พระเอก,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-15 สมิง,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-16 จอมวางแผน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-17 Supporter,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-18 พ่อค้าออนไลน์,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-19 เกลียมัว,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-20 ป๊อปอาย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-21 โอลีฟ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-22 Change ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-23 Twin Flame ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-24 Starseed,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-25 ต่อมไพเนียล,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-26 Dream,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-27 ตื่นรู้,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-28 โลกแห่งความฝัน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-29 หนุ่มปากน้ำโพ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-30 ชาววัง,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-31 ทำคะแนน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-32 ความทรงจำในอดีต,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-33 โลกหมุนด้วยความรัก

เนื้อหา

25 ต่อมไพเนียล

โดย  Chavaroj




ต่อมไพเนียลหรือต่อมเหนือสมอง (Pineal gland) เป็นต่อมเล็ก ๆ ช่วยสร้างฮอร์โมนเมลาโทนนิน ทำหน้าที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของต่อมเพศในช่วงระยะก่อนวัยหนุ่มสาว แต่เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น อาจมีผลต่อการตกไข่และประจำเดือนในเพศหญิง หากต่อมไพเนียลผลิตฮอร์โมนมากเกินไป จะทำให้เป็นหนุ่มสาวช้ากว่าปกติ แต่หากต่อมนี้ถูกทำลาย เช่นเกิดเนื้องอกในสมอง จะทำให้เป็นหนุ่มสาวเร็วกว่าปกติ


มีการศึกษาการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์และการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ จากมุมมองทางปรัชญา โดยกล่าวถึงหน้าที่ของต่อมไพเนียล ข้อตกเถียงทางปรัชญาในประวัติศาสตร์และความสนใจในปัจจุบันในการกระตุ้นต่อมไพเนียล นอกจากนี้ยังสำรวจเทคนิค และการปฏิบัติต่าง ๆ ที่ช่วยกระตุ้นการทำหน้าที่ของต่อมไพเนียล ได้แก่การทำสมาธิและการบำบัดด้วยเสียง


ต่อมไพเนียลผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งควบคุมวงจรการนอนหลับและการตื่น ควบคุมการทำงานของร่างกาย บางทฤษฏีว่าถ้ามนุษย์เปิดศักยภาพของต่อมไพเนียลได้ จะสามารถควบคุมการทำงานของจิตใต้สำนึกได้อีกด้วย


ต่อมไพเนียลถ้ามองจากทางด้านหน้าจะอยู่ระหว่างหน้าผากเหนือช่องกลางระหว่างคิ้ว คนสมัยโบราณที่ได้รับการฝึกสมาธิจนถึงขั้น เมื่อเปิดการทำงานและศักยภาพของต่อมไพเนียลได้ จะเรียกได้ว่าเป็นการเปิดตาที่สาม 


อธิบายคร่าว ๆ ดังนี้ผมก็เปิดสไลด์ เป็นรูปเทพเจ้าในหลาย ๆ อารยธรรมซึ่งมีดวงตาอยู่ตรงกลางหน้าผาก คราวนี้ก็เปิดโอกาสให้นิสิตได้ถกเถียงกัน ซึ่งมันสนุกอีตรงนี้ 


"อาจารย์เคยเจอเคสแปลก ๆ ของต่อมไพเนียลบ้างไหมคะ?" นิสิตหญิงคนหนึ่งถาม


"ก็มีนะครับ ผมเคยผ่าตัดคนไข้คนหนึ่ง เปิดกะโหลกเพื่อตัดก้อนเนื้อที่ว่า แล้วก็ได้เจอเจ้าต่อมไพเนียลนี่จริง ๆ มันมีหินปูนเกาะหนาตัวมาก ๆ อย่างที่เราเคยศึกษานะครับ หินปูนหรือแคลเซียม ละลายอยู่ในของเหลว แต่เมื่อมันสะสมจนถึงขั้นหนึ่งก็จะเกิดตะกอนหินปูนแล้วก็สะสมที่อวัยวะ ตัวอย่างที่เราเจอง่ายที่สุดก็คือ ก้อนนิ่ว และวิวัฒนาการการรักษา โดยการใช้คลื่นเสียงก็สามารถกำจัดและสลายนิ่วได้จริง ๆ อย่างที่เราทราบกันเวลาที่เราทำสมาธิ คลื่นไฟฟ้าในสมองของเราจะเปลี่ยนสภาพความถี่ และการได้รับการบำบัดด้วยคลื่นเสียงที่เหมาะสม ก็สามารถสลายหินปูนที่ต่อมไพเนียลได้ด้วย"


พูดจบผมก็ขอให้นักศึกษาทุกคนหลับตา หายใจลึก ๆ จากนั้นผมก็ใช้ส้อมเสียง ค่อย ๆ เคาะ ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ ๆ ก็ให้นิสิตลืมตาขึ้นมา และให้แต่ละคนได้ลองพูดถึงช่วงเวลาที่ได้นั่งนิ่ง ๆ และฟังเสียงจากซ่อมเสียงคลื่นความถี่ต่าง ๆ 




คลาสนี้สนุก เพราะมันไม่ได้มีแต่วิชาการอย่างเดียวแต่ผมนำเรื่องราวแปลก ๆ มาแนบเป็นตัวอย่างด้วย เหมือนอย่างที่ไอ้สินเล่านิทานให้นักศึกษาของมันฟังเหมือนกัน


"นิทานหลอกเด็ก" ผมเคยล้อมันแต่พอตัวเองต้องมาเป็นอาจารย์ ผมก็ต้องใช้ไม้นี้เข้าให้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นก็น่าเบื่อแย่ มนุษย์ชอบฟังนิทาน ชอบฟังเรื่องเล่า ไม่ว่าจะเด็กหรือแก่


จบคลาสนี้ผมก็รีบเดินเร็ว ๆ ไปยังจุดนัดพบกับสหายเบียร์ เพื่อนรักของผม เพราะจุดหมายคือต้องไปหาสหายคนอื่น ๆ 


"รอนานไหมมึง?" ผมถามไอ้เบียร์ ที่ยืนดูดน้ำปั่นอย่างใจเย็น


"ไม่นานอ่ะ ไปกันเถอะ เดี๋ยวรถติด" ไอ้เบียร์บอกแล้วก็ก้าวขึ้นรถ ผมเปิดประตูด้านข้างและทิ้งตัวลงนั่ง ขาไปมันขับ ขากลับผมขับ แต่ใช้รถของมันนะ รถของผมงอแง ตอนกลับมาจากบ้านที่นครนายก เกือบจะลากมาไม่ถึง เลยต้องเอาเข้าโรงพยาบาลรถเสียเลย 


"เป็นยังไงมึงกลับบ้าน?" ไอ้เบียร์ถามและผมก็ยักไหล่


"ก็ไม่ยังไง แต่กูรู้สึกว่ากลับมาจากบ้านรอบนี้กูรู้สึกแปลก ๆ" ผมตอบและไอ้เบียร์ก็ถึงกับหันหน้ามามองหน้าผม


"แปลกยังไงวะ?"


"อย่างแรกเลยนะ ตอนนี้สายตาของกูกลับมาเป็นปกติ ไอ้แว่นที่กูใส่ทุก ๆ วันกูใส่ไม่ได้แล้ว อย่างที่สองเลยนะ กูเพิ่งส่องกระจกดู กูรู้สึกว่าที่กลางหน้าผากของกูมีรอยแผลเล็ก ๆ ด้วยว่ะ เหมือนโดนเข็มเจาะ หรืออะไรสักอย่างเจาะ" ผมพูดพร้อมกับเอามือลูบไปที่กลางหน้าผากตัวเองเบา ๆ ยังสัมผัสได้ถึงอาการเจ็บนิด ๆ อยู่เลย แม้จะไม่มีร่องรอยของบาดแผล


"แก่ขึ้นไงมึงเลยสายตาเริ่มยาวมั้ง เดี๋ยวพรุ่งนี้มาหากูที่แผนก เดี๋ยวกูดูตาของมึงให้" เพื่อนของผมเป็นแพทย์ โสต สอ นาสิก  หรือที่เรียกว่า ตา หู คอ จมูก


"เออมึง กูรู้สึกด้วยว่า ช่วงนี้กูเซ้นต์แรงมากขึ้นทุกที เหมือนบางทีก็จะรู้อะไรล่วงหน้า หรือบางทีก็เดาอะไรถูก มันบอกไม่ถูกว่ะ เหมือนคล้าย ๆ จะเริ่มอ่านในคนได้" 


"ไหนมึงอ่านใจกูดิ๊" ไอ้เบียร์พูดล้อ


"อืม มึงหิว แล้วก็โกรธที่รอกูนาน" ผมตอบมันไปหลังจากเอามือแตะต้นแขนของมันเบา ๆ 


"เชี่ย ทายถูกด้วยโว้ย" ไอ้เบียร์ทำเสียงประหลาดใจและหัวเราะนิด ๆ เหมือนที่ผมทายถูกไม่ใช่เพราะฟลุ๊ค แต่เพราะเรารู้จักกันมาเป็นสิบปี ผมฟังเสียง และมองหน้ามันก็พอจะเดาใจของมันออก


ในที่สุดเราก็ถึงบ้านของไอ้ดอย เพื่อน ๆ รวมตัวกันเกือบครบแล้ว เพราะนี่ก็ปาเข้าไปทุ่มกว่า อาหารถูกจัดเรียงและมีการกินกันล่วงหน้าไปแล้ว อันนี้ไม่โกรธกัน แต่พอผมทิ้งตัวลงนั่ง ไอ้สมิงก็จัดแจงเอาอาหารที่ยังไม่ได้เสิร์ฟมาวางตรงหน้า 


"เชี่ย...อะไรเนี่ย?" ผมถามและมองแกงหน้าตาแปลกประหลาด


"แกงจืดเมล็ดหางนกยูงไงครับพี่หมอ" สมิงตอบและยิ้มภูมิใจ


"อ่อ ไอ้เม็ดเปรตนี่ที่ให้กูเก็บตั้งเยอะน่ะเรอะ" ผมถาม


"มึงเก็บแต่กูน่ะเป็นคนแกะไอ้ห่า พอมาถึงอีดอยมันให้กูนั่งแกะกับไอ้สมิง มือไม้กูจะพังเอา มึงรู้ไหมขนมาเยอะแยะ แต่แกะเมล็ดของมันได้แค่ชามเดียวเอง เสียเวลาชิบเป๋ง" ไอ้เบียร์บ่น


"เอาน่า ก็อร่อยดี มึงลองกินสิ" ผมพูดปลอบใจเพื่อน รสชาติมันก็ดีไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้อร่อยชนิดประทับจิตประทับใจอะไร


"สุขสันต์วันเกิดนะมึง เอ้านี่ของขวัญวันเกิดมึงจากกูแล้วก็ไอ้สิน" อีรวีรู้ตัวว่ากำลังจะโดนผมบ่น ก็เลยชิงเอาของขวัญมายื่นให้ อีผีนี่ก็เล่นง่ายลงทุนน้อยแต่ได้ผลมาก ของขวัญของผมก็คือผลิตภัณฑ์ของบริษัทมันที่ใส่ถุงกระดาษถุงใหญ่อย่างกับกระสอบปุ๋ย ผมแหวกดูก็มีผลิตภัณฑ์สารพัดชนิด เรียกว่ามีตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ


"ขอบใจนะมึง ดีเลย กูประหยัดของใช้ไปได้อีกนาน" ผมเอ่ยปากขอบคุณมันและอมยิ้ม 


"ได้ข่าวว่ามึงไม่ค่อยอาบน้ำไม่ใช่เรอะ สบู่ของอีรวีที่มึงได้ไปเมื่อปีที่แล้ว ได้ข่าวว่ายังใช้ไม่หมดเลยหนิ" ไอ้เบียร์พูดจนผมอยากจะถีบ


"คนเราสะอาดที่จิตใจ ไม่ต้องอาบน้ำบ่อยก็ได้" ผมตอบกลับ


"จริงมึง" อีรวีเสริม


"วี ไม่ได้นะ" ไอ้สินผัวมันท้วง เพราะพวกเรารู้ดีว่ารวีมันเป็นคนขี้เกียจ สมัยเรียนมหาลัย สองสามวันมันจะอาบน้ำสักที พอตกลงเป็นเมียไอ้สิน คุณชายสุดเนี้ยบ ข้อแรกที่ตกลงกันตอนมาอยู่ด้วยกันคือ อีรวีต้องอาบน้ำทุกวัน...โคตรตลก


"เอ้านี่ของขวัญวันเกิดมึง" ไอ้ป๊อบยื่นกล่องของขวัญให้ มึงไม่ค่อยลงทุนเลยนะ ให้มาแบบกล่องเปล่า ๆ กระดาษห่อของขวัญหรือถุงใส่สักนิดก็ไม่มี พลิกกล่องไปมาก็เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า ...อะไรเนี่ย เตาไมโครเวฟ


"ขอบใจนะมึง ดีเลยที่ห้องของกูเสียพอดี" ผมกล่าวขอบคุณมัน


"เอ้านี่ของกู" อีดอยให้บ้าง อันนี้ถูกใจ เป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวยี่ห้อที่ผมใช้ประจำ ตั้งสามตัว นี่มันต้องอย่างนี้ 


ส่วนไอ้เบียร์ ไม่ให้อะไรผมเลย มันว่าเดี๋ยวพาผมไปเลี้ยงข้าว ซึ่งถ้าเป็นกับข้าวโรงอาหารโรงพยาบาล กูจะถีบมึง ปีที่แล้วกูเลี้ยงบุฟเฟ่ต์สุดหรูมึงเลยเชียวนะ 


กว่าจะจบมื้ออาหารก็ปาเข้าไปห้าทุ่มกว่า ๆ และกว่าจะกลับถึงห้องพักก็ล่วงเข้าไปตอนตีหนึ่ง ผมกับไอ้เบียร์ช่วยกันหอบของขวัญวันเกิดมาถึงห้องพัก ห้องของผมกับไอ้เปรตนี่อยู่กันไม่ไกล ชั้นเดียวกันแต่คนละฝั่ง ถึงจะสนิทกันยังไง แต่ก็ต้องมีระยะห่างเล็กน้อย


เมื่ออาบน้ำและเตรียมตัวเข้านอน ผมมักจะนั่งสมาธิก่อนสักสิบนาที เพื่อเคลียร์เรื่องปวดหัวทั้งวันและทิ้งมันไว้ตรงนั้น แต่น่าแปลก ครั้งนี้ผมกลับมองเห็นภาพนิมิต มันอาจจะเป็นสิ่งที่ผมจินตนาการเพ้อเจ้อไปเอง ผมมองเห็นดอกกล้วยไม้ที่ผมเอาไปฝากคนไข้ แล้วก็คุณหนูคนไข้ห้อง 11011 ซึ่งร้อยวันพันปี ผมไม่เคยเอาข้อมูลคนไข้กลับมาคิดให้ปวดหัว 


เมื่อออกจากสมาธิ ผมทิ้งตัวนอน และตั้งใจเอาไว้ว่าจะตื่นตอนหกโมงเช้า เหลือบตาไปมองนาฬิกาอีกนิด เพื่อกำหนดจิตให้แน่วแน่ และเมื่อหลับตา บอกตัวเองให้หลับได้แล้ว ชั่วครู่เดียวผมก็หลับไป 


ตื่นเช้าขึ้นมาก่อนเสียงนาฬิกาปลุก แต่พอลืมตาปุ๊บ สิ่งแรกที่หันไปมองก็คือนาฬิกา ซึ่งมันเป็นเวลาหกโมงตรงเผง ผมจัดแจงอาบน้ำแต่งตัว และเดินตรงรี่ไปโรงอาหารของโรงพยาบาล เลือกข้าวแกงจากร้านประจำ และทิ้งตัวยังที่นั่งเดิม กินข้าวได้สามคำ ไอ้เบียร์ก็ถือจานข้าวมานั่งฝั่งตรงข้าม เราพูดคุยกันนิดหน่อย จากนั้นก็แยกย้ายกันไปทำงาน


ตอนผมเดินไปวอร์ด อดจะคิดถึงกล้วยไม้ในฝันเมื่อคืนไม่ได้ ยังเหลือเวลาก่อนจะตรวจคนไข้ที่นัดไว้ ผมก็เลยเดินไปห้อง 11011 เสียหน่อย 


"สวัสดีครับ" ผมยิ้มทักทาย และคุณป้าก็ยิ้มกว้างเมื่อเห็นหน้าผม พร้อมกับคุยอวดว่ากล้วยไม้ที่ผมเอามาฝากดอกของมันบานแล้ว และสวยมาก


"คุณหนูชอบใหญ่เลยค่ะ เอาแต่มองทั้งวันเลย" คุณป้าบอกและผมก็หันไปยิ้มให้กับเขา


"ชอบไหมครับ หมอก็ไม่รู้ว่ามันชื่อต้นอะไรนะ แต่สวยดีเนอะ แน่ะมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ด้วยล่ะ" ผมพูดพร้อมกับยื่นหน้าไปดมมันใกล้ ๆ กล้วยไม้ถูกตั้งบนโต๊ะสำหรับรับประทานอาหาร แต่คนไข้เคี้ยวไม่ได้ โต๊ะก็เลยถูกเอามาตั้งกล้วยไม้แทนเสียเลย 


คนไข้เปลี่ยนจากจ้องมองดอกกล้วยไม้เป็นจ้องหน้าผม ผมรู้สึกได้ว่าเขากำลังรู้สึกขอบคุณ และดวงตาของเขามันแสดงว่าเขาชอบมันมาก ๆ 


อาการของเขาเป็นอาการของเส้นประสาทส่วนหลังบาดเจ็บ แต่เส้นประสาทส่วนหน้ายังใช้การได้ดี ดังนั้นคนไข้จึงสามารถรับรู้ได้ทุก ๆ อย่าง ได้ยินทุกการพูดคุย รู้สึกได้ถึงอากาศเย็นร้อน และความรู้สึกนุ่มหรือกระด้าง เพียงแต่เขาไม่สามารถเปล่งวาจา หรือขยับเขยื้อนร่างกายได้เท่านั้น คล้ายกับคนโดนขัง ขังในร่างกายของตัวเอง


ผมยื่นมือของตัวเองไปแตะบ่าของเขาเพื่อให้กำลังใจ การสัมผัสร่างกายกัน นั้นสามารถถ่ายเทประจุไฟฟ้า คลื่นความคิด คลื่นพลังบวกกำลังใจสามารถถ่ายทอดสื่อถึงกันได้ ดังนั้นมนุษย์จึงชอบถูกสัมผัส ยกตัวอย่างเด็กน้อยที่ชอบให้พ่อแม่กอดรัด หรือคู่รักที่ชอบกอดและหอมแก้มกัน


"อดทนหน่อยนะครับ" ผมกล่าวเบา ๆ กับเขา เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรได้ดีกว่านี้ ตามสถิติ อาการของเขาพบคนไข้ที่หายดีจนกลับมาใช้ชีวิตได้เกือบเหมือนปกติน้อยมาก แต่ถึงโอกาสจะน้อยหนึ่งในหมื่น มันก็ยังมีความหวัง


ผมกำลังจะยื่นมือกลับ แต่น่าแปลกที่ผมกลับรับรู้ถึงความรู้สึกของเขาได้ มันผสมผสานพัวพันไปทั้งอารมณ์ดีใจ เสียใจ เศร้า อยากถูกปกป้อง ความรู้สึกตัดพ้อต่อชีวิต และความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย แต่พอผมจ้องไปที่ดวงตาของเขา ผมกลับรู้สึกได้ถึงความรู้สึกแปลก ๆ ไอ้ความรู้สึกวาบหวิวในใจ ความรู้สึกอยากอยู่ใกล้ ๆ ความรู้สึกแอบชอบ แอบรัก เอาล่ะสิ ไอ้ไปป์เอ๋ย


ผมถอนมือออกมาอย่างว่องไว และรู้สึกว่าหน้าของมันร้อนเห่อ หูของผมน่าจะแดงเพราะผมรู้สึกว่ามันร้อนกว่าส่วนอื่น ๆ ผมจึงรีบเอ่ยคำลา และเดินจากมา แต่ภาพสายตาของเขาที่มองผมก่อนที่ประตูห้องจะปิด มันตามหลอกหลอนผมมาอีกหลายชั่วโมง


งานของผมยุ่งอยู่ทั้งวัน และยามที่ผมไม่ได้โฟกัสกับคนไข้และเคสตรงหน้า หัวใจของผมมันโหวง ๆ แปลก ๆ ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้นอย่างนี้กับผมเลยสักครั้ง ไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันอะไรกันหนอ แต่ไอ้ความรู้สึกบ้า ๆ นี่มันกลับดึงรั้งให้ผมกลับไปหาเขาอีก 


ผมอัศจรรย์ในตัวเองที่ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวของผมเริ่มรับรู้ถึงความรู้สึกของผู้คนได้ ได้จากการสัมผัสตัวเบา ๆ คนไข้สิบกว่าคนที่ผมเจอ ขณะซักอาการผมก็แอบสัมผัสตัวของเขาเบา ๆ เมื่อซักถามอาการผมรับรู้ได้ถึงความสัตย์และการโกหก เมื่อเขาตอบคำถาม 


คนไข้คนหนึ่งที่มีอาการสโตรค ต้องนั่งรถเข็นมา การซักอาการจึงเป็นหน้าที่ของญาติซึ่งพาคนไข้มาด้วย ผมจับมือคนไข้ซึ่งเป็นคุณยาย ขณะทำการซักถามอาการไปด้วย น่าแปลกที่ผมรู้สึกได้ว่าอาการของแกมันค่อย ๆ ดีขึ้นเหมือนมีการพัฒนา และผมรู้สึกได้ว่า เมื่อมีการสัมผัส ผมรับรู้ได้ถึงอวัยวะของเขาที่กำลังทำงานทั้งส่วนที่แคล่วคล่องและส่วนที่ติดขัด


หลังอาหารมื้อเย็น วันนี้ไม่มีเข้าเวร ผมนั่งกินอาหารมื้อเย็นอย่างใจลอยและพยายามเรียบเรียงว่า ไอ้ความรู้สึกแปลก ๆ ของผมในวันนี้มันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ภาพของคนไข้คนนั้นก็กลับมาปรากฏในห้วงความคิดของผมอีกครั้ง มันอะไรกันวะเนี่ย แต่สุดท้ายผมก็พ่ายแพ้แก่อารมณ์ของตัวเอง แทนที่จะกลับเข้าไปนอนพักเลย แต่เท้าของผมกลับบอกให้ผมเดินไปที่ห้อง 11011 อีกสักหน


เพียงแต่คราวนี้ผมอยากซื้อดอกไม้ติดมือไปฝากเขาสักหน่อย ผมรับรู้ได้ถึงความทรงจำที่เขาโหยหาธรรมชาติ โหยหาต้นไม้ดอกไม้ พอดีเลยตรงโรงอาหารมีร้านขายดอกไม้และพวงมาลัยผมก็เลยซื้อดอกกุหลาบติดมือมาหนึ่งกำ มันไม่ได้สวยงามนักหรอก ผมไม่ค่อยอินกับดอกไม้ แต่ผมเชื่อว่า กับคนที่รักต้นไม้ดอกไม้ ถ้าต้องลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วเจอแต่ผนังสี่เหลี่ยม การเห็นดอกไม้ที่กำลังผลิบานคงช่วยเยียวยาจิตของเขาได้บ้างไม่มากก็น้อย


ผมเดินช้า ๆ ผ่านลานหญ้า ซึ่งมีต้นไม้ปลูกแซมพอให้เป็นที่พักสายตา เอ้านั่นคุณป้ากับคนไข้ที่ผมต้องการจะไปหาพอดี อะไรมันจะพอดีขนาดนั้น


"พาคนไข้มาเดินเล่นหรือครับ?" ผมถามและเดินไปคุยด้วย 


"ใช่ค่ะ อยู่แต่ในห้องคุณหนูเบื่อแย่ คุณพยาบาลเลยช่วยกันอุ้มคุณหนูมานั่งรถ แล้วก็ให้ป้าพาคุณหนูมาดูอะไรสีเขียว ๆ บ้าง" คุณป้าตอบ และผมก็เห็นแววตาของเขาที่มองต้นไม้ใบหญ้าอย่างมีความสุข


"แหมพอดีเลย หมอกำลังจะเอาดอกไม้ไปฝาก ยังไงเดี๋ยวคุณป้าเอาดอกไม้ใส่แจกันให้ด้วยก็แล้วกัน ได้เห็นดอกไม้บานคุณหนูของป้าก็น่าจะมีความสุขขึ้น" ผมพูดพร้อมกับยื่นดอกกุหลาบช่อเล็ก ๆ ไปให้เขามอง สายตาของเขาดูเลื่อนลอย แต่ผมจับสังเกตได้ว่าในแววตาของเขามันโฟกัสไปที่ดอกกุหลาบสีเหลืองอมส้มช่อนั้น 


"คุณหมอเลิกงานแล้วหรือคะ?" คุณป้าถามและผมเป็นฝ่ายเข็นรถเข็นแทน


"เพิ่งเลิกครับ แล้วก็เพิ่งทานอาหารเย็นเสร็จ" ผมตอบจนเราไปหยุดใต้ร่มไม้ใหญ่ มีม้าหินว่าง ๆ ผมก็เลยชวนคุณป้าไปนั่งพักตรงนั้น


นั่งคุยกันได้ครู่เดียวผมเห็นอาการคุณป้าหลุกหลิกจนเมื่อซักถามแกก็ยิ้มอาย ๆ พร้อมกับตอบว่าแกปวดท้องจะเข้าห้องน้ำ เอาล่ะสิทำยังไงดีล่ะทีนี้


"คุณป้าไปเข้าห้องน้ำก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูของป้าให้ ห้องน้ำอยู่ใต้ตึกนั้นก็มีครับสะอาดอยู่" ผมบอกพร้อมกับชี้มือไปที่ตึกซึ่งอยู่ไม่ไกล 


คราวนี้เดทแอร์ของจริงมาแล้ว ก็ในเมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าพูดก็ไม่ได้สื่อสารก็ไม่ได้ ผมเองก็ไม่รู้จะคุยอะไร ไม่อย่างนั้นก็คงจะเหมือนคนบ้า แต่เพื่อจะแก้เก้อ ผมก็เลยหยิบดอกกุหลาบที่วางอยู่บนโต๊ะ ยื่นไปใกล้ ๆ หน้าของเขา อ้อผมแอบนำมือของผมแตะไปเบา ๆ ที่แขนของเขาด้วย


"หอมจัง" ผมรู้สึกว่าเขากำลังคิดแบบนี้ เพราะผมยื่นดอกกุหลาบไปใกล้ ๆ จมูกของเขา


"หอมไหม สวยดีนะ" ผมถามเขาเบา ๆ 


"สวยครับหมอ" เห้ยผมได้ยินเสียงตอบของเขาด้วยล่ะ


"ชอบกล้วยไม้ที่หมอให้ไหม กล้วยไม้พันธุ์ใหม่ด้วยนะ พ่อของหมอเพาะขึ้นมาเอง" ผมพูดกับเขาอีก


"กล้วยไม้พันธุ์ XXX น่ะครับหมอ เป็นการผสมของกล้วยไม้ YYY กับ ZZZ เลยออกมาเป็นแบบนี้ ผมก็เคยลองผสมเหมือนกันแต่ได้เป็นสีม่วงปนขาว" เขาตอบผมในใจ ผมรับรู้ได้ เอาล่ะสิ อยู่ ๆ ผมก็สื่อสารกับคนไข้สโตรคหรือนี่ เป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์ที่ผมเพิ่งค้นพบ


"คุณเก่งขนาดนั้นเลยหรือ พ่อของหมอปลูกกล้วยไม้มาเป็นสิบ ๆ ปีคุณล่ะ ปลูกกล้วยไม้มากี่ปีแล้ว?" 


"ผมปลูกกล้วยไม้มาตั้งแต่เจ็ดขวบแล้วครับ" เขาตอบพร้อมกับหัวเราะร่วน ผมจับมือเขาแน่น ๆ อีกครั้ง แล้วภาพของเขาตอนเป็นเด็กชายก็ปรากฏในใจของผม เด็กชายที่อยู่ในสวนกล้วยไม้ที่ดารดาษไปด้วยกล้วยไม้หลากหลายสีสัน เขายิ้มกว้าง และยื่นหน้าไปมองดอกกล้วยไม้ที่สวยประหลาดตา รูปทรงแปลก ๆ และกลิ่นหอมน่าพิศวง ผมสัมผัสถึงความรู้สึกของเขาได้ด้วยซ้ำ 


เราคุยกันเหมือนคนพูดจากันปกติ ซักถามโน่นนี่ เขาเอาแต่เล่าเรื่องกล้วยไม้ไม่หยุดปาก และเอาแต่คุยอวดว่าเขาผสมพันธุ์กล้วยไม้พันธุ์หายากที่สุดในโลกได้ด้วย ถ้าใครผ่านไปผ่านมาคงคิดว่าผมบ้า เพราะผมเอาแต่พูดและหัวเราะอยู่ฝ่ายเดียว แต่สัมผัสของผมกับเขา เรากำลังพูดคุยกันอย่างออกรส จนถึงหัวข้อเรื่องอาหารโปรด เขาตอบว่าเขาชอบกินแกงส้มชะอมไข่ คุณป้าก็กลับมาพอดี


"คุณหนูของป้าชอบกินอะไรหรือครับ ?" ผมถามเหมือนจะล้อเขา


"ก็ชอบกินหลายอย่างค่ะ ป้าทำให้กินตั้งแต่เด็ก แต่ที่ชอบที่สุดก็คือแกงส้มชะอมไข่ ตอนนั้นยังกินเผ็ดไม่เก่งเลยนะคะ กินข้าวไปกินน้ำไป สูดปากซู้ด ๆ แต่ก็ยังจะกินอีก" คุณป้าเล่าไปกลั้วหัวเราะไป เหมือนสนุกในความหลัง


"ผมก็ชอบเหมือนกัน ว่าแต่เดี๋ยวผมต้องให้เพื่อนทำให้กินคราวหน้าละ" ผมตอบและรู้สึกเริ่มมั่นใจว่าผมสามารถสื่อสารกับเขาได้จริง ๆ 


จนถึงเวลาแยกย้าย ก่อนที่ผมจะดึงมือของตัวเองออกจากการสัมผัสแขนของเขา ผมจับความรู้สึกดีใจ ที่ได้พูดกัน ดีใจที่ได้พูดกับผม ดีใจที่ได้มองหน้าผม และท้ายที่สุดคือความเสียใจและเสียดายที่ต้องแยกจากกันแล้ว


"เอาไว้หมอไปคุยด้วยใหม่นะ กลับไปพักได้แล้วครับ อากาศเริ่มเย็น ๆ แล้ว" ผมบอกเขาและแว่บหนึ่งของสายตาผมรู้สึกได้ว่าเขาพยายามมองหน้าผม ผมอายจนต้องเม้มริมฝีปาก 


สองคนนั้นจากไปแล้ว แต่ผมยังคงทิ้งตัวนั่งอยู่ที่เดิม พยายามเรียบเรียงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันหนอ ถ้าผมคุยกับเขาได้ ขนาดนี้ มันน่ามหัศจรรย์มากแล้ว แต่มันจะดีแค่ไหนนะ ถ้าผมจะคุยได้กับผู้ป่วยสโตรคทุก ๆ คนแล้วถ้าวิเศษที่สุด ก็คือผมสามารถรักษาเขาให้หายป่วยได้ก็คงดี 


คิดได้แค่นี้จู่ ๆ ผมก็ได้ยินเสียงจี๊ด แหลมเล็กในหัว มันเป็นเสียงเล็กความถี่สูงที่ผมไม่เคยได้ยินแล้วมันก็ทำให้ผมปวดหัวจนเหมือนหัวแทบแตก ผมใช้สองมือบีบไปที่หัวของตัวเองจนเสียงแหลมเล็กนั่นค่อย ๆ จางลง เหงื่อผุดพราวที่หน้าผาก และผมก็ต้องหายใจแรง ๆ เหมือนเหนื่อยจากการวิ่งระยะใกล้ หัวใจของผมเต้นแรง  และขาของผมสั่นน้อย ๆ จนผมมั่นใจว่าตอนนี้ถ้าผมลุกขึ้นยืนผมต้องทิ้งตัวลงนั่ง


ผมหลับตาและพยายามสูดหายใจลึก ๆ ชั่วเวลาแป๊บเดียว ผมก็กลับมาเป็นปกติ พยายามบีบมือตัวเองช้า ๆ แต่ผมรับรู้ได้ว่าที่ฝ่ามือของผมมันร้อนผ่าวไปหมด นี่ผมเป็นอะไรไปอีกแล้วเนี่ย