แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาวแฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
อ้าอุไรพธูพบูพิบูลย์ เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ เจริญภาส
ตูสวิงสวายเพราะสายสวาดิ์ ระทวยบ่ปลดระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก
แสนจะเสียวจะส้านณวารวิโยค จะข้ามห้วงบ่ล่วงอโฆ ก็อกกรม
ใคร่เสน่หะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิทร์จะชิดจะชม ณเชิงรัก
เชิญสมรสุมาลย์สมานสมัค ประสานประสงค์ประจง ประจวบใจ ประจักษ์
ผมค่อย ๆ พับกระดาษที่มีลายมือหวัดแกมบรรจงแล้วอมยิ้ม พลางถามมันไปเบา ๆ ว่า
"มึงจีบกูหรอ?"
"เปล่า" มันตอบอย่างว่องไว แต่หน้าแดง คนแปลกประหลาดอย่างนี้ก็มีด้วย
โดย Chavaroj
ความฝันเกิดในการหลับระยะ REM เป็นหลัก เมื่อกิจกรรมของสมองเพิ่มสูงขึ้นเหมือนว่าตื่นอยู่ และระยะการหลัง REM สามารถบอกได้จากการกลอกไปมาของลูกตาขณะหลับ แต่กระบวนการฝันสามารถเกิดขึ้นได้ในระยะของการหลับขั้นอื่น แต่ฝันเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะสมจริงที่สุดในระยะ REM
กระบวนการในการฝันจะกินเวลาไม่กี่วินาที ไปจนถึงยี่สิบนาที มนุษย์สามารถจดจำความฝันได้หากหลับในระยะ REM โดยเฉลี่ย บุคคลมีความฝันสามถึงห้าการฝันต่อคืน และมีแนวโน้มนานขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ระหว่างการหลับแปดชั่วโมง มนุษย์อาจจะใช้เวลากับการฝันถึงสองชั่วโมง
มีผู้มองว่า การฝันเชื่อมโยงกับจิตไร้สำนึก โดยมีตั้งแต่ปกติสามัญไปจนถึฝันที่เหนือจริง หรือแปลกประหลาด การฝันสามารถมีหลายอารมณ์ เช่น กลัว ตื่นเต้น สนุก เศร้า ผจญภัย หรือเกี่ยวกับเพศ เหตุการณ์ในฝันโดยทั่วไปอยู่นอกเหนือการควบคุมของผู้ฝัน ยกเว้น Lucid Dream ที่ผู้ฝันรู้สึกตัว ความฝันในบางครั้งได้สร้างความคิดริเริ่มแก่บุคคล หรือให้ความรู้สึกถึงแรงบันดาลใจได้ด้วย
จากการวิจัยพบว่าสัตว์ก็ฝันได้เช่นเดียวกับมนุษย์ โดยเมื่อสัตว์นั้น ๆ หลับอยู่ในสถานะ REM สัตว์จะมีฝันในระยะของ REM นานที่สุดคือตัว อาร์มาดิลโล คือสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายตัวตุ่น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และสัตว์ตระกูลนก มีฝันบ่อยที่สุด
การทดสอบความฝันของแมว พบว่ามันมักจะฝันถึงการล่าเหยื่อโดยอ้างอิงจากลักษณะการเคลื่อนไหวของขาและร่างกาย ในขณะที่สุนัขได้มีการเคลื่อนไหวของช่วงขาในลักษณะของการวิ่ง รวมถึงการเห่าในขณะที่หลับ
ชาวกรีกและโรมันโบราณเชื่อว่า ฝันคือสารจากพระเจ้า ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าผู้ที่เข้าใจฝันคือผู้วิเศษ ส่วนในประเทศจีน เชื่อว่าการฝันคือการผละวิญญาณจากร่างหนึ่ง ไปสู่ร่างในโลกแห่งฝัน ที่ซึ่งร่างนั้นเพิ่งตื่น
ชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกาบางชนเผ่า และชาวเม็กซิกันที่เจริญแล้ว เชื่อว่า ฝันคืออีกโลกหนึ่ง ที่เราไปเยือนในยามหลับ และในยุโรปผู้คนเชื่อกันว่า ฝันคือสิ่งชั่วร้าย และอาจชักนำให้คนหันไปทำสิ่งเลวร้ายได้
ส่วนคนไทย ความฝันนั้นก็สามารถแปรความหมาย รวมไปถึงทำนายเหตุการณ์ร้ายดีในอนาคตได้ด้วย เช่นฝันว่าฟันหักจะเสียญาติสนิท ฝันว่างูรัดก็ทำนายว่าจะได้เนื้อคู่ และพิเศษสำหรับคนไทย สามารถตีความฝันเป็นตัวเลขได้ด้วย
จบท้ายการเรียนด้วยการให้นิสิตได้ลองออกความเห็นเรื่องความฝัน และความเกี่ยวพันทางจิตวิทยาซึ่งออกจะสนุก แต่ในส่วนตัวของผมเอง ช่วงนี้ผมฝันทุกวัน ไม่สิ ไม่ถูก ผมรู้ตัวว่าผมฝันทุกวัน จนถึงขั้นสามารถบังคับตัวเองรู้ตัวเองในความฝันได้ด้วย
เรื่องมันเริ่มในวันหนึ่งที่ผมฝันว่าผมถูกรายล้อมด้วยคนห้าคนที่ตัวของเขาเปล่งแสงสว่างออกมาจากร่างกาย แสงสว่างจ้าจนผมมองเห็นใบหน้าและรูปร่างของเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่แสงสว่างนั้นกลับทำให้รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย
ในฝันผมจำได้ว่าเขาทำอะไรกับผมบางอย่าง เสียงเล็ก ๆ ดังก้องในหัว ปลอบผมว่าไม่ต้องกลัว ทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี ผมจะปลอดภัย และผมเป็นผู้มีภารกิจบางอย่าง จากนี้ผมจะไม่เหมือนเดิม จะมีความพิเศษผิดจากผู้คน และผมจะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เขามอบให้ เพื่อสร้างสิ่งดี ๆ ให้มนุษยชาติ นั่นคือเสียงที่ดังก้องในหัว
ผมสามารถดูเหตุการณ์นั้นได้เป็นร้อย ๆ ครั้ง ย้อนไปข้างหน้า และเร่งความเร็วไปจนถึงตอนจบ ง่ายดายเหมือนดูคลิปจากในมือถือ พยายามทำความเข้าใจกับมันจนผมชักจะรู้แล้วว่าอุปกรณ์ที่พวกเขามอบให้ผมคืออะไร ผมอยากจะเรียกมันว่า "พลังแห่งการเยียวยารักษา"
การได้รับอุปกรณ์นี้ ผมยังไม่สามารถใช้มันได้ถนัดนัก เหมือนเด็กที่เพิ่งหัดปั่นจักรยาน สิ่งที่จะทำให้เชี่ยวชาญคือการหัดใช้ และทดลองใช้มันบ่อย ๆ ที่ซึ่งผมใช้คือในห้องตรวจนั่นเอง ขณะซักถามอาการ ขณะทำการรักษา ผมจะใช้สัมผัสของผม สัมผัสเบา ๆ ไปที่ร่างกายของคนไข้ จิตใจของผมปลดปล่อยความปรารถนาดี อย่างที่คำของศาสนาเรียกว่า "แผ่เมตตา"
กระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ แล่นปลาบน้อย ๆ ในระยะแรกจนคนไข้ของผมสะดุ้งตกใจ ผมปล่อยพลังของผมยังได้ไม่คล่องตัว จนตอนนี้ผมสามารถปลดปล่อยมันได้คล่องแคล่วขึ้น ผู้ได้รับการสัมผัสจะรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น สบาย และปลอดโปร่ง แต่ข้อเสียของมันก็คือ ยิ่งคนไข้ของผมป่วยมากแค่ไหน หลังจากปลดปล่อยพลังของการรักษาเยียวยา ผมก็จะเหนื่อยและเพลียมากขึ้นเท่านั้น
ถ้าใครนึกภาพไม่ออก ก็อยากให้ลองนึกถึงเรื่อง Green Mile ที่ลุงทอมแฮงก์แกแสดงนั่นแหละ ตัวละครชายชาวผิวดำที่เป็นนักโทษซึ่งถูกปรักปรำ ว่าเป็นฆาตกร เขามีพลังวิศษที่ช่วยรักษาโรคได้ แต่สุดท้ายเขาก็โดนประหารนั่นแหละ นี่แหละนะโลกอันแสนโหดร้าย
และเมื่อทำการรักษาเสร็จ ผมจะต้องดื่มน้ำจำนวนมาก และพาตัวเองไปหยุดยืนตรงพื้นดิน โดยถอดรองเท้าออก และปล่อยให้เท้าเปลือยเปล่าสัมผัสพื้น ผมก็รับรู้ได้ถึงพลังแห่งโรคร้ายถูกดูดลงสู่พื้นดิน ยิ่งถ้าผมได้กอดกับต้นไม้ใหญ่ ๆ พลังของโรคร้ายจะยิ่งถูกดูดออกได้เร็วยิ่งขึ้นเป็นหลายเท่า ซึ่งมันดูเพี้ยน ผมก็เลยต้องแอบทำตอนลับตาคนสักหน่อย
ผมไม่กล้าบอกใครเรื่องนี้เลยแม้แต่กับไอ้เบียร์ กลัวมันจะหาว่าผมบ้า แม้เราสองคนจะสนใจในเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติเหมือนกันก็ตาม
อีกหนึ่งคนที่ผมทดลองใช้พลังแห่งการเยียวยานี้ก็คือคนไข้ห้อง 11011 ซึ่งผมคิดว่าผมทำการซ่อมแซมรักษาเขาได้ดีมาก ๆ เส้นประสาทซึ่งเสียหายจากอุบัติเหตุ ถูกผมต่อประสานกันสนิท คุณป้าที่มาเฝ้าไข้ ดีอกดีใจจนน้ำตาไหลที่เห็นคุณหนูของแก กระดิกนิ้วได้ทั้งนิ้วมือและนิ้วเท้า
หรือบางทีเมื่อเขาฝันเขาก็เปล่งเสียงแปลก ๆ ออกมาอย่างไม่เป็นภาษา แต่ผมก็รักษาเขาจนคิดว่าเขาหายดีแล้วนี่นะ และเมื่อพาเขาเข้าไปทำ MRI อีกรอบเพื่อเช็กความชัวร์ ระบบประสาทส่วนนอก ส่วนกลาง ระบบประสาทกาย ระบบประสาทอิสระ ระบบประสาทซิมพาเทติก ระบบประสาทพาราซิมเทติก ระบบประสาทเอนเทอริก ระบบประสาทกลาง ทุกระบบมันก็เป็นปกติแล้วแท้ ๆ แต่ทำไมเขายังหลับเป็นเจ้าชายนิทราอยู่นั่น
วันหนึ่งผมพบว่าผมสามารถสแกนได้ด้วยการนำมือไปสัมผัส ผมจึงอยากลองเช็คระบบสมองของเขา สมองส่วนหน้าประกอบด้วย เทเลนเซฟาลอน และไดเอเนเซฟาลอน
เทเลนเซฟาลอนคือสมองใหญ่ส่วนไดเอนเวฟาลอนประกอบด้วยไฮโปทาลามัส และทาลามัส สมองส่วนกลางทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของก้านสมอง และเป็นจุดศูนย์กลางของรีเฟล็กซ์เกี่ยวกับการมองเห็น และรีเฟล็กซ์เกี่ยวกับการได้ยิน ประกอบด้วยซีรีบรัล พีดังเคิล และคอร์พอรา ควอไดรเจมิน่า ซึ่งแบ่งออกเป็นซุพีเรียร์ คลอลิคูไลสองพู และอินฟีเรียร์ คอลลิคูลอีกสองพู
สมองส่วนท้ายประกอบด้วยเมดัลลาออบลองกาตา สมองน้อยหรือซีรีเบลลัม และพอนส์ สมองมีสองชั้นตรงข้ามกับไขสันหลัง คือส่วนเนื้อเทาและเนื้อขาว
สมองเนื้อเทาเป็นที่อยู่ของกระแสประสาทและแกนประสาทที่ไม่มีเยื่อไมอิลินหุ้ม ส่วนสมองเนื้อขาวเป็นที่อยู่ของแกนประสาทที่มีเยื่อไมอิลินหุ้ม
เยื่อหุ้มสมองชั้นนอกเหนียวและแข็งแรงมากทำหน้าที่ปกป้องการกระทบกระเทือนส่วนเยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง เป็นเยื่อบาง ๆ และเยื่อหุ้มสมองชั้นใน มีเส้นเลือดแทรกมากมายทำหน้าที่ส่งอาหารไปเลี้ยงสมองในระหว่างชั้นกลางกับชั้นใน มีการบรรจุของเหลวที่เรียกว่าน้ำเลี้ยงสมองไขสันหลังโดยจะทำหน้าที่ให้สมองและไขสันหลังเปียกอยู่เสมอ
ผมสแกนสมองทุกส่วนของเขาแล้ว มันกลับมาเป็นปกติทุกอย่างแต่ทำไมเขายังไม่ยอมตื่นกันนะ และปัญหาคือผมจะมารักษาเขาด้วยวิธีพิเศษตามเวลาปกติก็ไม่ได้เสียด้วย ต้องแอบมาตอนดึก ๆ ตอนที่คุณป้าแกหลับแล้วเพราะกลัวว่าแกจะไม่เชื่อถือวิธีการรักษาแปลกประหลาดที่ไม่มีระบุทางการแพทย์สมัยใหม่
ผมท้อใจและค่อย ๆ เดินออกมากลับไปยังห้องพักแพทย์ หันไปมองนาฬิกาก็เป็นเวลาตีสามสิบห้านาที ระยะหลัง ๆ ผมชอบมองตัวเลข เพราะรับรู้ได้ถึงรหัสลับได้ง่ายที่สุด เอ๊า ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็ขอให้ลองไปดูเรื่อง Final destination ก็จะเข้าใจมากขึ้นได้เอง
ผมนอนไม่หลับเสียแล้วละในคืนนี้ แต่ถ้าจะไม่พักผ่อนเลยเดี๋ยวจะไม่มีแรงเพราะตอนเช้าก็ต้องเข้าเวรต่ออีก แถมตอนบ่ายก็มีสอนอีกหนึ่งคลาส ผมก็เลยขอเลือกฟื้นฟูพลังด้วยการนั่งสมาธิก็แล้วกัน ตอนนี้ตีสามกว่าแล้ว ผมอยากจะตื่นสักหกโมงตรง เพื่อจะได้ตื่นมาอาบน้ำและลงเวรเช้าต่อเลย
ขยับตัวนั่งสมาธิในท่าที่สบาย โดยผมเอาหมอนมาตั้งติดกับกำแพง ทิ้งตัวในท่าที่สบายหลังจากปิดไฟจนมืดสนิท ปิดเปลือกตาแล้วจึงกำหนดตามลมหายใจช้า ๆ รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวทางร่างกาย ตั้งแต่ลมหายใจที่ผ่านเข้าทางรูจมูก ไปจนสุดทางที่ช่องท้อง วนเวียนเปลี่ยนพลังงานจนถูกคลายออกทางลมหายใจอีกรอบ ช้า ๆ เนิบนาบ แต่เอิบอิ่ม
แต่เป็นธรรมดาที่ชั่วขณะสติของผมหลุดจนผมเคลื่อนเข้าสู่อาการฝัน ฝันของผมย้อนไปในอดีต ตอนที่ผมกับเพื่อน ๆ นั่งติวข้อสอบกันโดยมีพี่โอลีฟ คอยติววิชาเคมีให้ สูตรเคมีโคตรยาก พวกเราถูกตั้งโจทย์ ผมกับไอ้เบียร์เถียงกันแทบตาย กว่าจะได้คำตอบ
"เอ้าพวกเรา พักสักแป๊บนึง หาอะไรหม่ำให้ท้องอิ่มก่อน กองทัพเดินด้วยท้องนะ พวกยูกินให้หมดล่ะ สั่งมาเสียเยอะแยะ" พี่โอลีฟพูดขณะที่พนักงานส่งอาหาร เอาพิซซ่ามาส่งพวกเราเสียมากมาย
ในฝันผมดีอกดีใจนัก ไม่ใช่แค่เพราะมันอร่อย แต่มันสนุกที่ได้กินอะไรกับเพื่อน ๆ ถ้าอยู่บ้านนั้นจะได้กินอาหารอย่างนี้ล่ะก็อย่าฝันไปเลย พ่อให้ผมมาอาศัยอยู่กับป้าที่กรุงเทพฯ ซึ่งแกก็ไม่ได้ใจดีขนาดที่จะตามใจผมกับของสิ้นเปลืองแบบนี้ แต่แกก็เลี้ยงดูผมเมตตาผมอย่างลูกอย่างหลานคนหนึ่ง ปัจจุบันถ้ามีเวลาผมก็ไปเยี่ยมแกบ่อย ๆ เพราะแกแก่แล้วไม่มีใคร
ในฝันผมสัมผัสได้ถึงรสอร่อยแล้วก็กลิ่นหอม ๆ ของชีสได้ด้วยซ้ำ รู้สึกว่าท้องอิ่มเหลือเกิน แต่เอ๊ะ ผมรู้สึกได้ว่ามีคนมองผมจากที่ไกล ๆ ผมลุกขึ้นยืน และมองไปรอบ ๆ ในขณะที่เพื่อน ๆ ของผมยังคงสนใจแต่อาหารตรงหน้า
ผมเห็นใครคนหนึ่งคนที่ผมเพิ่งจากเขามา เขาแอบมองผมจากหลังต้นไม้ ยื่นมาแต่หน้า แต่ผมจำได้ เพราะผมเจอหน้าเขาเกือบทุกวันมาสามปีกว่าแล้ว แม้จะไม่เคยพูดจากันสักคำ
ผมค่อย ๆ ก้าวเดินไปหาเขา จนเขารับรู้ได้ว่าผมกำลังเดินตรงไป ท่าทางเขาตกใจจนจะผละหนี ผมรีบเร่งฝีเท้าจนกลายเป็นวิ่ง แต่เขาก็วิ่งหนีได้ไวยิ่งกว่า อีกแค่เอื้อมมือผมก็จะคว้ามือของเขาได้แล้วแท้ ๆ แต่เขาหันกลับมามองผมอย่างหวาดกลัว แล้วจากนั้น ใบไม้เป็นล้าน ๆ ใบก็ร่วงลงมาจากต้นไม้ ใบไม้บ้าพวกนั้นมันร่วงเยอะราวกับม่าน จนผมมองไม่เห็นเขา ผมทิ้งตัวลงเอามือดันเข่า หายใจเข้าออกอย่างเหนื่อยหอบเพราะวิ่งตามเขามาไกลแสนไกล
แต่แล้วผมก็สะดุ้งเพราะเสียงนาฬิกาปลุก ปัดโธ่โว้ย ผมบ่น และลุกไปอาบน้ำอาบท่าอย่างรวดเร็ว จนเมื่อไปกินข้าวเช้า เจอไอ้เบียร์เหมือนเคย เราพูดคุยกันนิดหน่อย แล้วก็แยกย้ายไปทำงานต่อ จนคาบที่ผมสอนในวันนั้นผมคุยถึงเรื่องระบบสอบกับนิสิตอีกครั้ง รวมถึงเรายังคงถกเถียงเรื่องของความฝันกันต่อ ความฝัน ใช่แล้ว ผมนี่มันโง่ชะมัด
เขาติดอยู่ในความฝัน แม้ว่าร่างกายทุกอย่างจะปกติดีแล้ว แต่เขาออกมาไม่ได้ เพราะฉะนั้นวิธีการที่จะพาเขาให้ออกมาสู่โลกปกติ ก็คือการทำให้เขาหลุดออกมาจากความฝันนั่นเอง ผมดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ และคืนนี้ผมคงต้องทำอะไรบางอย่าง
คืนนี้แม้ว่าผมจะไม่ต้องอยู่เวร แต่ผมก็หาเรื่องไปแลกเวรจนได้ เพราะผมมีแผนการบางอย่างซึ่งถ้าผมทำสำเร็จผมก็สามารถจะช่วยเขาได้สำเร็จแน่ ๆ
ราว ๆ สามทุ่มกว่า ผมทำทีไปเยี่ยมคนไข้ที่ห้อง 1101 อีกครั้ง พูดคุยกับคุณป้า และทักว่าแกดูไม่ค่อยสดใส
"ท่าทางคุณป้าดูเพลีย ๆ นะครับ" ผมท้วง
"ใช่ค่ะคุณหมอ ช่วงนี้ไม่รู้เป็นยังไงป้านอนไม่ค่อยหลับเลย หลับได้แป๊บ ๆ ก็ตื่นเสียแล้ว อีทีนี้ล่ะ กว่าจะนอนหลับได้อีกทีก็เกือบแจ้ง"
"อาการปกติน่ะครับเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวหมอให้ยานอนหลับอย่างอ่อน ๆ ไว้กินอย่ากินเยอะนะ เพราะถ้านอนไม่พอเดี๋ยวจะไม่สบายเอา อากาศช่วงนี้ยิ่งไม่ค่อยดี เดี๋ยวไม่มีใครดูแลคุณหนูของป้าล่ะแย่เลย เออจริงสิ คุณหนูของป้าชื่ออะไรหรือครับ ผมไม่รู้ชื่อเล่นของเขาสักที" ผมถามพร้อมกับบอกให้น้องพยาบาลที่ตามมาด้วยไปจัดยานอนหลับให้คุณป้าสักห้าเม็ด กินคืนละเม็ดน่าจะกำลังดี
"คุณหนูแกชื่อ คุณฝันค่ะ" คุณป้าเฉลยพร้อมกับยื่นมือไปลูบผมที่เริ่มยาวจนไม่เป็นทรง
"แหมฝันเก่งสมชื่อเลยนะครับ" ผมพูดล้อ ไม่รู้ล่ะ เจ้าตัวจะได้ยินหรือเปล่า แต่ผมก็ขอล้อเขาหน่อยก็แล้วกัน เพราะจำได้ถึงฝันวันก่อน ผมไล่ตามเขา แต่ไม่รู้ว่าจะเรียกให้เขาหยุดได้ยังไง ถ้ารู้ชื่อเล่นกัน น่าจะทำให้เขาไม่วิ่งหนีเตลิดไปก็ได้
ราว ๆ ตีสามของคืนนั้นผมกลับมาที่นี่ใหม่ พยาบาลปิดไฟและนั่งหลับนก ผมพยายามเดินอย่างเงียบกริบโชคดีที่ไม่เจอใครให้ผิดสังเกต ผมพยายามเดินไม่ให้พิรุธ จนเปิดประตูห้อง 11011 ออกเบา ๆ โชคดีแม้ว่าห้องจะมืดสนิทแล้ว แต่แสงไฟจากกระจกที่หน้าประตูส่องจนพอจะมองเห็นว่าอะไรในห้องอยู่ตรงไหนบ้าง
ผมหันไปมองคุณป้าที่หลับสบายและกรนนิด ๆ จัดแจงขยับโต๊ะผู้ป่วยที่วางดอกกล้วยไม้ที่ผมเอาไปฝากเขาให้เลื่อนห่างไปสักนิด จัดการปลดที่กั้นข้างเตียงให้ทิ้งตัวลงมาอยู่ด้านข้างเตียง ขยับเก้าอี้มาใกล้ ๆ และยื่นมือไปจับมือเขาข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือผมนำมันไปแตะที่ใบหน้าบริเวณเปลือกตาของเขาเบา ๆ
จัดแจงตัวเองให้อยู่ในท่าที่สบาย แล้วผมจึงหลับตา ค่อย ๆ ไล่จิตรับรู้ของตัวเองจากหัวใจไปตามลำแขน ไล่ไปจนถึงฝ่ามือและปลายนิ้ว จากนั้นผมรู้สึกว่าสำนึกรู้คิดของผมแทรกซึมไปตามเส้นประสาท ไปตามเส้นเลือดและกล้ามเนื้อของเขา จากฝากมือลงไปในเนื้อเลือด จุดหมายของผมคือที่สมองของเขา
ที่ต่อมไพเนียลของเขา อา...นั่นแหละ ผมเห็นแล้ว มันถูกหินปูนเกาะไว้จนเป็นเกล็ดแข็ง ฝ่ามือของผมที่สัมผัสกับใบหน้าของเขาปล่อยพลังแห่งการเยียวยา คลื่นพลังอ่อน ๆ ค่อย ๆ สลายหินปูนนั้นจนกะเทาะออกทีละน้อย แล้วผมก็ใช้มือในจินตนาการแตะสัมผัสไปที่ต่อมไพเนียลของเขาช้า ๆ
แสงสว่างวาบเหมือนคนฉาดแสงใส่หน้า รู้สึกตัวลืมตาอีกที ผมก็พบว่าตัวเองยืนอยู่บนทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ลมพัดเอื่อย ๆ จนยอดหญ้าพริ้วเล่นลม ผมหันไปมารอบ ๆ เพื่อมองหาเจ้าของสถานที่นี้ เขาอยู่ที่ไหนกันนะ
"ฝัน......คุณฝัน.....ฝันนนนนนน" ผมตะโกนจนเกิดเสียงก้อง มันสะท้อนไปมาด้วยเสียงเอ็กโค่ และทันทีที่เสียงสุดท้ายของผมหายไป ลมเอื่อย ๆ ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นลมกรรโชก จนเริ่มมีเม็ดฝนและพายุเข้ามาแทนที่ เอาล่ะสิกู ผมเปียกซ่กไปหมดทั้งตัว และพยายามวิ่งหนี จนผมเริ่มเห็นต้นไม้ที่พอจะเพลาลมฝนนี้ได้ แต่พอวิ่งเข้าไปหามัน จากต้นไม้ก็เริ่มกลายเป็นผืนป่า
ต้นไม้แต่ละต้นสูงจนแหงนคอตั้งบ่า แต่น่าอัศจรรย์ พอเข้ามาในแนวป่า ฝนและพายุก็ไม่สามารถทำอะไรผมได้เลย ผมสะบัดน้ำที่เปียกตามตัวและมองไปจนเห็นเส้นทางเล็ก ๆ ถูกปูด้วยหินสีเหลือง มันทอดยาวไปในป่า แล้วผมก็สาวเท้าเดินตามทางนั้นไป
เหมือนไกลแสนไกล แต่ในเมื่อเป็นความฝันและผมก็มีสติรู้ตัว ผมบังคับใจให้ตัวเองลอยอยู่เหนือเส้นทางและเร่งความเร็วจนเห็นต้นไม้รอบข้างเป็นแค่เงาดำ ๆ และนั่นผมเห็นที่ปลายทางแล้ว ที่สุดของปลายทาง เป็นปราสาทใหญ่ มันเก่าโทรมและผุพัง ภายนอกปราสาทมีเถาวัลย์ซึ่งมีหนามแหลมคลุมไว้ทั้งหมด
มันชักจะคุ้น ๆ ซะแล้วไอ้ปราสาทที่มีเถาวัลย์คลุมไว้อย่างนี้ นี่มันเรื่องสลีปปิ้งบิวตี้ชัด ๆ
ผมคิดให้มือของมีมีดดาบดี ๆ สักเล่ม และเมื่อฟันมันลงไป เถาวัลย์พวกนั้นก็ขาดไม่เป็นชิ้นดี จนในที่สุดผมก็เห็นประตูทางเข้า ซึ่งเป็นไม้สูงราว ๆ สักสามเมตร
ผมเคาะประตูดัง ๆ แต่ก็ไม่มีการตอบกลับใด ๆ จนต้องออกแรงสุดแรงเกิด ประตูยักษ์หนาหนักจึงค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกช้า ๆ ด้านในปราสาท ซึ่งถูกสร้างจากก้อนหินเรียงตัวกันแน่นทะมึน แต่ตามซอกหิน กลับมีต้นกล้วยไม้ มันเป็นกล้วยไม้แบบเดียวกับที่ผมเอามาให้เขาเสียด้วย ดอกสีม่วงเข้ม ชูช่อดอกสลอนจนผมหันไปมองมันและอมยิ้มเล็กน้อย
แหงนมองไปด้านหน้าเป็นบันไดพาเข้าสู่ปราสาท ในนั้นรกร้าง แห้งแล้งและว่างเปล่า แต่พรมสีแดงก่ำ ปูลาดไว้ และผมเห็นรอยเท้า เป็นสัญญะบอกให้เดินตามรอยนั้นไป
เดินขึ้นบันไดซึ่งมีผืนพรมทอดตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงบริเวณที่เป็นโดมหอคอยของปราสาท ประตูไม้สีดำสนิท ลูกบิดเป็นสีทอง และผมรับรู้ได้ว่าเขาอยู่ด้านหลังประตูบานนี้แน่ ๆ
ผมเคาะประตูเบา ๆ และประตูก็ค่อย ๆ เปิดออกช้า ๆ ผมมองเข้าไปด้านในมันค่อนข้างมืดสลัว เพราะบานหน้าต่างถูกปิดไว้ แต่ด้านหนึ่งของห้อง มีบานหน้าต่างที่ถูกแง้มไว้เล็กน้อย ผมจึงเดินไปผลักมันออกเพื่อให้แสงสาดส่องเข้ามาในห้อง
ทันทีที่แสงสว่างสาดซัดเข้ามา ผมมองเห็นอีกด้านเป็นเตียงนอนสี่เสา ม่านมุ้งบางเบาไหวพะเยิบเพราะลมที่พัดเข้ามา กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกกล้วยไม้ กระทบจมูก ผมค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ ๆ และค่อย ๆ เปิดม่านนั้นช้า ๆ
ใช่จริง ๆ ด้วยเขานอนหลับอยู่ตรงนั้น บนที่นอนสีขาวและผ้าห่มหนานุ่ม เขานอนหลับตา คล้ายไม่รับรู้อะไร ผมขยับผ้าห่มของเขาออกจนเห็นว่าเขาหลับด้วยร่างที่เปลือยเปล่า
"คุณฝัน คุณฝัน ได้ยินผมไหม?" ผมเรียกเขา ขยับตัวไปนั่งที่ขอบเตียงช้า ๆ อย่างแผ่วเบา แต่เขาก็ยังไม่ตื่น จนผมจับมือของเขามาเขย่าเบา ๆ พร้อมกับเรียกชื่อของเขาซ้ำ แต่เขากลับพลิกตัว....ฮ่วย
อีหรอบอย่างนี้มันจะนึกอะไรอย่างอื่นไปจากนิทานไม่ได้ ไม่ว่าจะสโนว์ไวท์ หรือสลีพปิ้งบิวตี้ อย่างนี้ก็ต้องจูบสิวะ ผมขยับตัวไปอีกด้าน และดันตัวของเขาให้กลับนอนหงายเหมือนเดิม กลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ เกิดมาก็ไม่เคยจะรักจะชอบใคร เพราะฉะนั้นจะไปจูบใครก็อย่าหวัง แต่เอาวะ เพื่อช่วยคน ผมขยับตัวเขาให้ถนัดถนี่ ตายละวาไอ้ผ้าห่มที่คลุมตัวของเขามันก็ดันหลุดจนเห็นเขาโป๊
เอาน่า...ผมเห็นทั้งตัวเขาไปหมดแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ไม่มีอะไรให้เขินแล้วล่ะ แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าผมหน้าแดง ดวงตาของเขาปิดสนิทจนเห็นแพขนตา คนเรามันจะขนตาเยอะได้ขนาดนี้เลยหรือไงกันวะ แต่ผมไม่เคยเห็นเขาลืมตาชัด ๆ เลยสักหน ถ้าเขาลืมตามันมักจะเป็นสายตาปรือ ๆ
คิ้วไม่หนาไม่บางยาวไปจนเลยหางตา จมูกของเขาไม่โด่งแต่กำลังได้รูป ริมฝีปากแดงจัด ที่ไม่รู้ว่าเขาจะปากจัดเหมือนไอ้สิน หรือขี้โวยวายต่อปากต่อคำเหมือนอีรวี หรือเอาแต่ยิ้มแหย ๆ เหมือนไอ้ดอย แต่มันแดงเหลือเกิน และผมก็ค่อย ๆ โน้มปากของผมเข้าไปจูบเขาช้า ๆ
เอ๊า ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลยวะ ผมนึกขึ้นมาได้ ไอ้การถอนคำสาปมันก็ต้องเป็นจูบของรักแท้หรือเปล่าหว่า
แต่จะเอายังไงดี ตอนนี้ผมว่าน่าจะมีแต่อารมณ์หื่น ผมก้มลงจูบเขาอีกที หลับตาแล้วก็ปล่อยให้ลิ้นของผมมันเลื่อนที่ไปตามสัญชาตญาณ
ทันใดนั้นผมรับรู้ได้ว่าลิ้นของเขาเกิดปฏิกิริยาโต้ตอบ และผมรับรู้ถึงรสหวานของการจูบเสียแล้ว มือของผมมือหนึ่งประคองใบหน้า ส่วนอีกมือ กลับโอบกอดเรือนร่างแบบบางของเบา ๆ ร่างกายของเขาขยับ จนเราจูบกันอย่างดูดดื่ม ผมทิ้งตัวลงนอนข้าง ๆ เขา เรายังคงจูบกัน และเมื่อผมค่อย ๆ ลืมตาเพราะเริ่มมีสติ ผมก็ค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออกจากริมฝีปากของเขา
ดวงตาของเขาค่อย ๆ ปรือขึ้นมาช้า ๆ จนสายตาของเราประสานกัน เขาดูจะไม่ได้ตกใจ และกลับยิ้มให้ผมน้อย ๆ สายตาที่เขามองผม เหมือนเขารู้จักผมมานานแสนนาน
"คุณฝัน ตื่นได้แล้ว" ผมกระซิบบอก และก้มหน้าลงจูบเขาอีกหน