แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาวแฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
อ้าอุไรพธูพบูพิบูลย์ เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ เจริญภาส
ตูสวิงสวายเพราะสายสวาดิ์ ระทวยบ่ปลดระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก
แสนจะเสียวจะส้านณวารวิโยค จะข้ามห้วงบ่ล่วงอโฆ ก็อกกรม
ใคร่เสน่หะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิทร์จะชิดจะชม ณเชิงรัก
เชิญสมรสุมาลย์สมานสมัค ประสานประสงค์ประจง ประจวบใจ ประจักษ์
ผมค่อย ๆ พับกระดาษที่มีลายมือหวัดแกมบรรจงแล้วอมยิ้ม พลางถามมันไปเบา ๆ ว่า
"มึงจีบกูหรอ?"
"เปล่า" มันตอบอย่างว่องไว แต่หน้าแดง คนแปลกประหลาดอย่างนี้ก็มีด้วย
โดย Chavaroj
"ออกดอกเก่งจังน๊า...เก่งมาก ๆ เอ้าดื่มน้ำเยอะ ๆ แล้วก็หม่ำปุ๋ยให้อิ่ม แล้วก็โตไว ๆ" ผมพูดกับดอกไม้ไป รดน้ำต้นไม้ไป ในน้ำเจือด้วยปุ๋ยชนิดละลายน้ำด้วย เพื่อให้มันได้แร่ธาตุที่สมบูรณ์จนสามารถออกดอกไม้
เวลาสามปีที่หายไป กล้วยไม้ในเรือนเพาะชำของผมตายไปกว่าครึ่ง ส่วนเจ้าพวกที่อึด ๆ หน่อยก็รอดตายแต่ไม่งามเลย ยิ่งช่วงนี้เป็นหน้าแล้งด้วย แต่พอผมกลับมา ได้รดน้ำมันให้ชุ่ม ได้อัดปุ๋ยจนพวกมันกลับมาแข็งแรงดังเดิม
กล้วยไม้หลายชนิดที่มักจะออกดอกในหน้าแล้ง ก็พากันชูช่อสลอนแม้จะปราศจากใบสักใบ ส่วนเจ้ากล้วยไม้ลูกผสมที่ออกดอกสีม่วงเข้ม ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นลูกผสมที่รวบรวมเอาจุดเด่นทั้งจากทางพ่อและแม่มาไว้ในตัวของมันได้จนหมด กลีบดอกกว้างแข็งแรง กระเปาะดอกที่โค้งงอนเป็นรูปแตร ปากกระเปาะมีพวยยาวเป็นแผง และกลีบด้านล่างห้อยยาวเป็นสาย สวยจับใจ ที่สำคัญมันได้พันธุกรรมกลิ่นหอมจากฟากข้างแม่ของมันด้วย
ยิ่งเวลาที่ผมรดน้ำโดนช่อดอกของมัน มันก็จะปล่อยกลิ่นหอมพิเศษจนหอมคลุ้งไปทั่วทั้งเรือนกล้วยไม้ พื้นโรงเรือนเปียกจนชื้น ได้กลิ่นชื้นหอมชื่นใจ ระหว่างทางผมให้คนงานปูบล็อกปูนเพื่อจะได้ช่วยเก็บกักความชื้นและสะดวกในการเดิน ตามขอบบล๊อกปูนมีมอสที่ขึ้นอัดแน่น เป็นสีเขียวราวกับมรกต
ผมรักต้นไม้ดอกไม้ แม้แต่พวกมอส พวกนี้ผมก็ยังรักมัน ยิ่งได้เห็นมอสอ้วน ๆ แข่งกันชูยอดสลอน ผมก็เอ็นดูมันนัก จนต้องทิ้งตัวลงนั่งยอง ๆ ใช้ปลายนิ้วไล้ไปบนยอดที่นิ่มแน่นราวกับพรมกำมะหยี่เนื้อดี ธรรมชาติสวยงามเสมอในสายตาของผม
ต้นมอสพวกนี้ทำให้ผมนึกถึงแม่ เพราะแม่เคยชี้ชวนให้ผมดูมันในตอนวัยเด็ก ไล่ตั้งแต่มอสไปจนถึงต้นไม้ชนิดอื่น โดยเฉพาะกล้วยไม้ แต่ต้นไม้ต้นโปรดของผมคือกล้วยไม้คัทลียา เพราะแม่ของผมมีชื่อเหมือนกล้วยไม้ชนิดนี้ และเรือนกล้วยไม้นี้ผมก็รับดูแลต่อมาจากแม่
ภาพในวัยเด็กเมื่อผมกลับมาจากโรงเรียน ที่แรกที่ผมวิ่งมาหาแม่ก็คือในเรือนกล้วยไม้ แม่มักจะยิ้มอย่างดีใจ และอวดดอกกล้วยไม้แสนสวยที่กำลังชูช่อให้ผมดู พร้อมกันนั้นแม่ก็จะอธิบาย ทั้งชื่อสกุล การเลี้ยงดู แหล่งกำเนิดของมันให้ผมฟัง แม่เป็นคนยิ้มสวย พูดเพราะ และใจดี ถ้าจะคิดถึงภาพจำของแม่ที่ผมตรึงใจที่สุด ก็คือภาพที่แม่นำดอกกล้วยไม้แซมไว้ที่ผม ผมของแม่ดำขลับเป็นลอนน้อย ๆ ดอกกล้วยไม้สีสดใส ช่วยขับให้ใบหน้าของแม่หวานซึ้งขึ้น แต่อนิจจาแม่จากผมไปนานแสนนานแล้ว
คิดถึงแม่แล้วผมก็ขยับตัวไปดูต้นคัทลียาที่รับมรดกตกทอดมาจากแม่ เดิมทีผมขยายมันจนได้สี่สิบกว่ากระถาง แต่เมื่อผมป่วยเข้าโรงพยาบาล มันตายจนเกือบหมด เหลือรอดเพียงกระถางเดียวเท่านั้น แต่ไม่เป็นไร เหลือเพียงกระถางเดียวก็ช่าง แต่ผมก็จะปลูกและขยายมันให้กลับมามีมากมายได้อีก
ผมนึกถึงเรื่องราวที่เหมือนราวกับฝัน แต่บางสิ่งบางอย่างที่มันปรากฏขึ้นทำให้ผมรู้สึกว่ามันน่าจะมีเค้าโครงของเรื่องจริง ในตอนที่ผมกลายเป็นเจ้าชายนิทรา
บางครั้งผมก็มีความรู้สึก รับรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ได้ยินทุกคำพูด มองเห็นทุกการเคลื่อนไหว แต่ผมไม่สามารถสื่อสาร ขยับร่างกาย หรือริมฝีปากเอ่ยวาจาได้
ในทุกเช้าเวลาแปดโมงครึ่งโดยประมาณ คุณหมอคนเดิมจะเข้ามาดูอาการผมในทุกเช้า ขณะที่เขาตรวจอาการของผม ก็จะชวนป้าคุยเรื่องดินฟ้าอาการ ไปด้วย ผมได้แต่มองเขา และคิดว่าทำไมเขาคนนั้นช่างดูใจดีแท้ ๆ สายตาที่เขามองผม มันทำให้ผมเขินจนจะแย่ โชคดีที่ผมขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้ แต่เขาจะได้ยินไหมนะว่าหัวใจของผมมันเต้นแรง
เขามาตรวจผมเกือบทุกวัน นาน ๆ จะหายไปบ้าง ซึ่งมันทำให้ผมเอาแต่เฝ้าคิดถึงเขา ถึงแม้เราจะเจอกันไม่กี่นาที แต่เราก็เจอกันทุกวันตลอดสามปีที่ผ่านมา
นั่นคือช่วงเวลาที่ผมพอจะมีสติ แต่บ่อยครั้ง เรียกว่าเกือบ 90% ของแต่ละวัน ผมเหมือนอยู่ในโลกของความฝัน มันคล้าย ๆ กับผมรับรู้ว่าผมกำลังฝันอยู่ แต่ก็เหมือนผมไปอยู่ตรงนั้นจริง ๆ
เกือบทุกครั้งผมจะฝันแต่เรื่องเดิม ๆ ฝันว่าผมนั้นคือคนคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่คนในดาวโลก ดาวดวงที่ผมกำลังอยู่ดวงนี้ ที่ผมมั่นใจเพราะผมเห็นหน้าของตัวเอง ยามส่องมองในลำธาร
ในโลกนั้น คล้าย ๆ กับว่าสังคมของผม ทุก ๆ คนจะชอบอยู่เป็นเอกเทศ แม้แต่เด็กเล็ก ๆ เมื่อเริ่มโตขึ้นจนคลานได้ ก็จะผละจากพ่อแม่ เพื่อไปใช้ชีวิตอยู่โดยลำพัง ที่พวกเราอยู่ได้ เพราะต้นไม้ทั้งหมด คืออาหาร เรากินกันแต่ใบ ยอดอ่อน และผลของต้นไม้เป็นอาหารหลัก และการกินเพียงนิดเดียวก็ทำให้เราอิ่มไปทั้งวัน
ยิ่งไปกว่านั้น ผิวของพวกเราไม่ใช่เป็นสีผิวเหมือนคนในโลกมนุษย์ แต่เป็นผิวสีน้ำเงินอมม่วง ซึ่งพวกมันสามารถสังเคราะห์แสงได้ด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่พวกเราแทบไม่ต้องกินอะไรเลย เพราะพลังงานในรูปของ น้ำตาลกลูโคส ถูกผลิตเพียงเมื่อเราไปยืนตากแดด รับพลังงานจากพระสุริยเทพ
ที่ดวงดาวนั้น มนุษย์ สัตว์ต่าง ๆ ต้นไม้ ล้วนดำรงชีวิตด้วยการสังเคราะห์แสง ในขณะเดียวกัน ต้นไม้ก็มีความรู้สึกแต่แสดงออกไม่ได้ อย่างเช่น ถ้าเป็นต้นไม้ที่ผมอยู่อาศัยเป็นประจำ เป็นบ้านของผม ยามเมื่อผมกลับมา มันจะดีใจและปล่อยกลิ่นหอมอ่อน ๆ เพื่อบอกว่ามันดีใจที่ผมกลับมา
พวกเราอยู่อาศัยกันบนต้นไม้ โดยการสานกิ่งไม้และ เถาวัลย์ เป็นเสมือนรังขนาดพอดีตัว รองด้วยใบไม้นุ่ม ๆ แค่นี้ยามนอนหลับก็สุขสบายเหมือนขึ้นสวรรค์ บนดาวของผมไม่มีการสู้รบ ไม่มีสงคราม แต่ก็มีการปะทะทางวาจาระหว่างชนเผ่าเหมือนกัน ซึ่งจบท้ายก็แยกย้ายกันกลับต้นไม้ของตนเอง ก็แค่นั้น
ผมนั้นเป็นชนเผ่าที่อยู่บนพื้นดิน แต่มีอีกชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในพื้นมหาสมุทร พวกเขามีต้นสาหร่ายยักษ์ เป็นอาหารและเป็นที่อยู่อาศัย หลายล้านปีก่อนที่บรรพบุรุษเผ่ามหาสมุทรลงไปอยู่ในผืนน้ำ พัฒนาการทำให้เขาใช้ชีวิตอยู่ในน้ำได้แทบไม่ต้องขึ้นมาหายใจ บริเวณนิ้วมือและนิ้วเท้าของพวกเขา มีฟังผืดเพื่อช่วยในการว่ายน้ำ
ผมมีเพื่อนสนิทเป็นคนเผ่ามหาสมุทรสองคน แต่นาน ๆ พวกเราจะเจอกันสักครั้ง อาจจะใช้เวลาสิบถึงยี่สิบปีถึงจะเจอกันสักครั้ง เพราะชีวิตของคนที่โลกนั้นยืนยาวหลายพันปี การหลับแต่ละครั้งอาจจะกินเวลานานนับเดือน แต่พวกเราไม่ต้องรีบไปไหน และการนอนหลับก็แสนมีความสุข
แต่งานหลักของเรานั้นก็มีเช่นกัน งานหลักของเราคือช่วยกันปลูกและพัฒนาพันธุ์พืช เนื่องจากส่วนหนึ่งบนพื้นพิภพ เป็นผืนทะเลทรายรกร้าง ภารกิจของพวกเราก็คือการเปลี่ยนพื้นที่เหล่านั้นให้เป็นสีเขียว เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ และเพื่อสภาพแวดล้อมด้วย
ด้วยความสามารถนี้ ชนเผ่าของเรา จึงถูกได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้ช่วยของพระผู้สร้าง ซึ่งพวกเรานับถือบูชากันว่าพระองค์คือพระผู้เป็นเจ้า ในตำนานการสร้างสรรพสิ่ง พระเจ้าใช้เวลาเจ็ดวัน ในวันแรกพระเจ้าทรงสร้างสวรรค์ นั่นหมายถึงทุกสิ่งที่อยู่เหนือโลก อวกาศ และสร้างผืนน้ำ แต่มันยังมีแต่ความมืด พระเจ้าจึงสร้างแสงสว่างและแยกความสว่างกับความมืดออกจากกัน
วันที่สอง พระเจ้าสร้างท้องฟ้า โดยการยกพื้นดินขึ้นจากน้ำ และทำการกั้นระหว่างน้ำกับท้องฟ้าด้วยอากาศ
วันที่สามพระเจ้าทำให้แผ่นดินเหนือผืนน้ำนั้นแห้งจนเกิดเป็นเกาะแก่ง ครั้นเกาะเหล่านั้นรวมตัวกันเป็นผืนแผ่นดินใหญ่จึงถูกเรียกว่าทวีป วันนี้เองพระเจ้าสร้างพืชพรรณต้นไม้ ทั้งต้นเล็กและต้นใหญ่
วันที่สี่พระเจ้าสร้างดวงดาว ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ พระอาทิตย์เป็นผู้ให้แสงสว่าง และพระจันทร์สะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ในยามค่ำคืน
วันที่ห้า พระเจ้าสร้างสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในน้ำ สร้างนกที่บินอยู่ในอากาศ โดยพระองค์ประทานพระพรให้ สัตว์เหล่านั้นจงมีลูกดกทวีมากขึ้นเต็มทะเล และให้นกทวีขึ้นเต็มผืนฟ้า
วันที่หกพระเจ้าสร้างสัตว์บก และมนุษย์ตามฉายาของพระองค์ โดยสร้างมนุษย์ผู้ชายและผู้หญิงเพื่อให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ ฝูงสัตว์บนแผ่นดิน
ส่วนวันที่เจ็ด พระเจ้าซึ่งเหนื่อยอ่อนกับการสรรค์สร้างทุกสรรพสิ่งมามากแล้ว จึงตัดสินใจนอนพักผ่อน
และชนเผ่าของพวกเราก็ถือว่า พระเจ้าทรงสร้างพวกเราขึ้นพร้อมกับเหล่าพันธุ์พฤกษ์ในวันที่สาม โดยให้พวกเรามีหน้าที่สร้างและดูแลต้นไม้จากทุก ๆ พื้นพิภพของพระองค์
ผมยังจำได้ว่าทุก ๆ หนึ่งพันปี จะมียานจากสวรรค์โดยมาในนามของพระผู้เจ้าผู้เป็นพระผู้สร้าง มารับพวกเราไปทำงานยังพื้นพิภพอื่น ๆ งานนี้น่าสนุกมีแต่คนอยากไป แต่คนที่ได้รับเลือก จะต้องเป็นคนที่ถูกเลือกสรร ไม่ใช่ใครก็ได้ จนในปีที่ผมอายุสามพันปี ผมจึงได้เป็นผู้ถูกเลือกพร้อมกับสหายอีกสิบสองคน และจุดหมายของผมก็คือดวงดาวสีฟ้าในระบบสุริยจักรวาลแห่งหนึ่ง
พวกเราสนุกมาก เพราะที่นี่อุดมสมบูรณ์ ใช้เวลาอยู่หนึ่งพันปี ผมก็สร้างอาณาเขตผืนป่าของตัวเองได้ และผมแสนภูมิใจกับต้นไม้ที่ผมออกแบบสร้างมา ต้นไม้ส่วนใหญ่ต้องอาศัยดินเพื่อหยั่งรากและก่อกำเนิด ผมนึกสนุกจึงสร้างต้นไม้ที่ไม่ต้องหยั่งรากลงกับพื้นดิน ให้มันขึ้นอิงอยู่กับพื้นที่ใด ๆ ก็ได้ ไม่ว่าจะบนกิ่งของต้นไม้ใหญ่ หรือแม้แต่บนโขดหินผา ผมรักพวกมันจึงอยากให้รางวัลแก่พวกมันเป็นช่อดอกสดสวย
นั่นคือความฝันของผม ซึ่งเมื่อผมเล่าให้พี่หมอฟัง แกก็ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ เอาแต่จ้องหน้าของผมนิ่ง และอมยิ้มน้อย ๆ
"พี่หมอคิดว่าผมบ้าหรือเปล่า ?"
"ไม่หรอกครับ พี่เชื่อเรื่องจักรวาลและมนุษย์ต่างดาว" เขาตอบและยิ้มให้ผมอีก รอยยิ้มแบบนี้ทำให้ผมใจละลายชะมัด
"พี่หมอเชื่อผมหรือครับ ?"
"อืม..เชื่อสิ" เขาตอบอย่างมั่นใจ นั่นมันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมดีใจมาก ๆ เพราะตลอดเวลาสามปีที่ได้เจอกัน ผมอยากจะพูดคุยกับเขามากที่สุดในโลก พอกลับฟื้นขึ้นมา พอจะคุยเข้าจริง ๆ ผมกลับไม่รู้จะพูดอะไรเพราะผมอายจะแย่ ผมยังจำตอนเขาตรวจผม และซักถามพูดคุยกับผมเหมือนกับว่าผมสื่อสารกับเขาได้อย่างนั้นแหละ ผมตอบเขาทุกคำถามเลยนะ แต่ตอบโดยไม่มีเสียง
พี่หมอเองก็ดูเหมือนเขิน ๆ กับผมแต่ด้วยความบังเอิญ เขาพูดถึงก๊วนเพื่อนสนิทของเขา คราวนี้ล่ะ พรั่งพรูเลยทีเดียว เล่าเรื่องเพื่อน ๆ ของเขาแต่ละคนจนผมได้แต่ยิ้มและหัวเราะ
"พี่หมอมีเพื่อนเยอะดีนะครับ ดีจัง ฝันไม่ค่อยมีเพื่อนเลย" ผมบ่นน้อย ๆ เหมือนตัดพ้อกับโชคชะตา เพราะผมเป็นคนเพื่อนน้อยจริง ๆ
แม่ของผมเสียชีวิตตั้งแต่ผมอายุสิบขวบ พ่อที่มัวแต่ยุ่งกับการทำงาน เลยเอาผมไปเรียนที่โรงเรียนประจำ ความที่ผมเป็นคนเงียบ ๆ ก็เลยไม่ค่อยมีเพื่อน และผมก็ไม่ค่อยจะชอบสุงสิงกับใครด้วย มันเหมือนกับว่าผมมีความสุขมากกว่าที่ได้อยู่คนเดียว ผมพอจะพูดจากับคนอื่นได้บ้างแต่ถ้าเลือกได้ผมก็ชอบอยู่คนเดียวมากกว่า
มาคิดดูแล้วก็คงจะเป็นเหมือนตอนที่ผมมาอยู่บนผืนโลกนี้ใหม่ ๆ พวกเราทั้งสิบสามคน แยกย้ายกันไปตามแต่ละที่ตามใจ ผมก็ตั้งหน้าตั้งตาเอาแต่ปลูกต้นไม้ของผมไปเรื่อย ๆ และเฝ้ารอดูการเติบโตของมันจากผืนดินแห้ง ๆ จนเกิดเป็นผืนป่า และผมก็เฝ้าเดินสำรวจไปทั่วผืนป่านั้นอย่างมีความสุข
จนผมเรียนจบคณะวิทยาศาสตร์ ไบโอเทคโนโลยี ผมทำงานที่บริษัทของพ่อ ซึ่งวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ แต่ผมเลือกจะทำในแผนก ที่เกี่ยวกับพฤกษศาสตร์ ยาหลายตัวเกิดจากงานวิจัยในห้องนี้ โดยมีสารพฤกษศาสตร์ที่ผมเป็นคนวิจัยสกัดมันขึ้นมาเอง
พ่อกับผมไม่ค่อยได้พบเจอกันนัก บ่อยครั้งที่พ่อจะไปคุยงานที่ต่างประเทศครั้งละนาน ๆ แต่ผมก็ไม่ได้คิดถึงพ่อมากเพราะชินเสียแล้ว พ่อของผมเป็นคนบ้างาน ผมเคยนินทาพ่อว่าอย่างนั้น แต่ผมสิกลับทำตัวไม่ผิดกับพ่อเลย และนั่นก็ทำให้ผมได้รับอุบัติเหตุจนต้องกลายเป็นเจ้าชายนิทราตั้งสามปี
ผมหักโหมในการวิจัยสารสำคัญตัวหนึ่งซึ่งถ้ามันสำเร็จ โรคร้ายหลายตัวจะถูกรักษาได้ มันไม่ใช่แค่เรื่องของเงินทอง แต่มันคือความอยู่รอดของมนุษยชาติ ผมตื่นเต้นกับกระบวนการนี้ ซึ่งเข้าไปรักษาถึงดีเอ็นเอ โดยการเปลี่ยนโครงสร้างของยีนส์ ที่เอ็มอาร์เอ็นเอ
ผมไม่กินไม่นอน และเอาแต่อยู่ในห้องวิจัย รู้ตัวอีกทีก็เป็นเวลาสองวันเต็ม ๆ รู้สึกเพลียเหลือเกินและตัวของผมก็เหม็นจะแย่ถึงจะอยู่แต่ในห้องแอร์เย็นจัด และกินแต่เพียงเครื่องดื่มแพลนท์เบส ความง่วงงุนเข้าครอบงำ หลังจากกาแฟดำหลายแก้วก็ไม่ช่วยอะไรแล้ว ผมย่ามใจว่าห้องวิจัยของผมห่างจากบ้านเพียงแค่สิบนาที เมื่อขับรถกลับฝนตกหนัก แถมผมยังหลับในอีกต่างหาก ก็เลยเกิดเรื่องร้ายที่ว่า
ผมคิดอะไรไปเพลิน ๆ ระหว่างนั้นก็จัดการกับกองกล้วยไม้ที่แห้งตายซึ่งถูกผมขนย้ายไปที่ด้านนอก เพื่อนำไปกลบฝัง ให้มันกลับคืนสู่ผืนดิน และบริเวณนั้นถูกพ่นยาฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกันเชื้อราและเชื้อโรคต่าง ๆ
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น และเมื่อผมจะรับสายผมก็อมยิ้มกว้าง
"ครับพี่หมอ ?"
"เดี๋ยวห้าโมงพี่คงถึงบ้านของเรานะ อาบน้ำแต่งตัวรอได้เลย"
"ได้ครับ เดี๋ยวฝันรอนะ" ผมตอบและกำลังจะถามอะไรต่อแต่พี่หมอก็รีบวางสายเสียก่อน ผมถอนหายใจออกมาเบา ๆ แต่รู้ว่าเขาเป็นคนเคร่งครัดต่อเรื่องของเวลา ไม่ได้เป็นคนเอื่อยเฉื่อยอย่างผม แต่เอาละ ในเมื่อตอนนี้เลยเวลาสี่โมงมานิดหน่อยแล้ว ผมยังไม่ได้อาบน้ำแต่งตัวเลยมัวแต่วุ่นวายอยู่แต่ต้นไม้นี่ ผมก็เลยรีบสาวเท้าไปที่ห้องนอนอาบน้ำแต่งตัว จนเวลาห้าโมงเป๊ะ รถของพี่หมอก็มาบีบแตรที่หน้าบ้านของผมพอดิบพอดีราวกับตั้งนาฬิกาไว้
เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้นและเมื่อผมรับเขาก็บอกว่ามาจอดที่หน้าบ้านของผมแล้ว ผมรับคำเพราะรู้อยู่แล้ว คนอะไรจะใจร้อนขนาดนี้ และป้าก็กำลังกดรีโมทประตูหน้าบ้านเพื่อให้รถของพี่หมอขับเข้ามารับผมถึงที่บ้าน
บ้านของผมใหญ่สักหน่อย ต้องใช้เวลาสักนิด ถ้าเดินจากหน้าประตูบ้านก็ใช้เวลาถึงสองนาทีกว่าจะถึงตัวบ้านของผม
"ป้าครับ ไม่ต้องรอนะ ฝันอาจจะกลับดึก" ผมหันไปบอกป้า ซึ่งแกก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ ด้วยท่าทางขัดอกขัดใจ
"ฝันไปกับพี่หมอ ไปกินข้าว ไม่ได้เถลไถล" ผมอธิบายและกอดแกกลม อ้อนแกหน่อยไม่อย่างนั้นจะงอนกันอีก และเมื่อขึ้นไปบนรถ พี่หมอก็ทำเอาผมยิ้มกว้างไม่หุบเลย
"พี่ให้" เขาพูดโดยไม่มองหน้าผมแต่ยื่นช่อดอกไม้มาให้ผม มันเป็นช่อดอกมานูก้า สีขาวสลับกับสีชมพูอ่อน ๆ
"ขอบคุณครับน่ารักจัง" ผมกล่าวขอบคุณและเอาหน้าของตัวเองจุ่มไปในเจ้าช่อดอกไม้ นึกจินตนาการให้ตัวเองเหมือนเป็นผึ้งที่ได้ลงไปเคล้าคลอกับเหล่าดอกไม้เหล่านี้
"คาดเข็มขัดให้ดี เอ่อที่ว่าน่ารักนี่คนให้หรือดอกไม้กันนะที่น่ารักน่ะ" พี่หมอพูดกวน ๆ ไม่ยอมมองหน้าผม
"ก็ดอกไม้สิครับ ดอกมานูก้านี่ น้ำหวานของมัน เขาเอาไปเลี้ยงในฟาร์มผึ้ง จนได้น้ำผึ้งดอกมานูก้า ซึ่งราคาแพงมาก ๆ เลยนะครับ" ผมตอบและหันไปมองหน้าด้านข้างของพี่หมอ สังเกตเห็นหัวคิ้วเขาขมวดเพราะคงไม่ค่อยชอบใจกับคำตอบของผม
"แต่คนให้ดอกไม้ก็น่ารักกว่าอยู่แล้วครับ จะมีผู้ชายสักกี่คนที่ซื้อดอกไม้ให้คนอื่น" ผมตอบและแอบพูดในใจว่าโรแมนติกแมน
"ก็เราชอบพี่ก็ซื้อให้ พอดีเห็นมันสวยดี ไม่ค่อยเห็นตามท้องตลาด ซื้อตรงร้านข้าง ๆ โรงพยาบาลน่ะ" เขาตอบและหันมายิ้มให้ผมแว้บนึง
"ตื่นเต้นไหมจะไปเจอเพื่อน ๆ ของพี่ มันเพี้ยน ๆ หน่อยนะ แต่ไม่ต้องสนใจ ถ้าใครกวนตีนเดี๋ยวพี่ด่ามันกลับเอง อ้อ ระวังอีคนตัวเล็ก ๆ หัวโต ๆ ที่ชื่ออีรวีหน่อยนะ ไม่ต้องไปสุงสิงกับมันมาก แล้วถ้ามันสอนอะไรไม่ดี ๆ ก็ไม่ต้องไปฟังด้วยล่ะ อีรวีมันบ้า ๆ บอ ๆ เข้าใจไหม" พี่หมอกำชับผม และพูดต่ออีกยาวยืด ผมได้แต่ยิ้มและหัวเราะ เพราะขำจะตาย พี่หมอจะรู้ตัวหรือเปล่า ตัวเองนินทาเพื่อนว่าไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ตัวเองก็นินทาเก่งเหมือนกัน
ขับรถอยู่ครู่ใหญ่ ๆ ก็เข้าซอยเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เข้าไปไม่ไกลก็เจอบ้านหลังเล็ก ๆ กำลังน่ารัก หน้าบ้านเปิดไฟราวเป็นดวง ๆ เหมือนมีงานฉลอง มีคนสี่ห้าคนเดินขวักไขว่บ้างก็เดินไปเดินมา เมื่อรถจอด ผมก็เอื้อมมือไปหยิบกระถางกล้วยไม้ที่เตรียมไว้ เพื่อเอามาให้เจ้าของงานเพราะพี่หมอบอกว่าวันนี้มากินเลี้ยงกันเนื่องในวันเกิดของใครสักคนในกลุ่ม
"หวัดดีพวกมึง นี่น้องฝัน แล้วนี่น้องฝันไอ้ตัวเล็ก ๆ หัวโต ๆ เหมือนอีทีนี่ก็คืออีรวีที่พี่บอก ส่วนไอ้ตัวสูง ๆ นั่นไอ้สินผัวมัน ส่วนพ่อรูปหล่อนี่พระเอกเก่าที่ชื่อสมิง และอีคนหน้าเด๋อ ๆ นี่คืออีหมอดอยรักษาหมา แล้วคนอื่นไปไหนล่ะ?" พี่หมอแนะนำผมกับเพื่อน ๆ ผมก็ยกมือไหว้อย่างเปิ่น ๆ แต่ทุกคนก็ยิ้มแย้มและรับไหว้ผมเป็นอย่างดี
"ไอ้ป๊อปกับพี่โอลีฟอยู่ข้างใจ จะทำอะไรให้กินสักอย่างนี่แหละ มา ๆ น้องฝันมานั่งกงนี้พี่มีเรื่องอยากสัมพลาดสักหน่อย" พี่รวีขมีขมันมาดึงมือผม ผมหน้าตื่นหันไปมองหน้าพี่หมอเพื่อขอความช่วยเหลือ
"ไม่ต้อง ๆ มึงไม่ต้องเสือก ให้เขานั่งก๊ะกูนี่แหละ ส่วนไอ้เบียร์เดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงมันถึงจะตามมา มีอะไรกินบ้างกูหิวจะแย่ละ" พี่หมอรีบรั้งตัวผมมานั่งติดกับเขาส่วนพี่รวีเบ้ปากใส่ และคนอื่น ๆ ก็หัวเราะกันบ้างพูดคุยกันบ้าง
อาหารแสนอร่อย ผมไม่ค่อยได้พูดคุยกับเขาหรอก เพราะเพิ่งเคยเจอกันครั้งแตก แต่ผมก็ไม่เก้อเพราะมือข้างหนึ่งของผม ถูกพี่หมอจับอยู่เกือบตลอดเวลา ผมอยากให้พี่หมออยู่กับผมตรงนี้นาน ๆ คงไม่ต้องถึงพันปีอย่างที่ผมเคยอยู่มา ถึงผมจะชอบอยู่คนเดียวก็จริง แต่การมีพี่หมออยู่ด้วยมันมีความสุขมากกว่า และผมชักจะเริ่มรู้สึกแล้วว่าความเหงามันเป็นยังไง...เหงาเมื่อไม่อยู่กับพี่หมอยังไงล่ะ
ตอนที่ใคร ๆ มีความสุข ก็มักจะเปรียบเปรยว่าเหมือนอยู่ในโลกแห่งความฝัน แต่สำหรับผมแล้ว ผมอยู่กับโลกแห่งความฝันมานานตั้งสามปี และตอนนี้ผมขออยู่ในโลกไหนก็ได้แต่ขอเป็นโลกที่มีพี่หมออยู่ด้วยก็พอ