แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาวแฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
อ้าอุไรพธูพบูพิบูลย์ เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ เจริญภาส
ตูสวิงสวายเพราะสายสวาดิ์ ระทวยบ่ปลดระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก
แสนจะเสียวจะส้านณวารวิโยค จะข้ามห้วงบ่ล่วงอโฆ ก็อกกรม
ใคร่เสน่หะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิทร์จะชิดจะชม ณเชิงรัก
เชิญสมรสุมาลย์สมานสมัค ประสานประสงค์ประจง ประจวบใจ ประจักษ์
ผมค่อย ๆ พับกระดาษที่มีลายมือหวัดแกมบรรจงแล้วอมยิ้ม พลางถามมันไปเบา ๆ ว่า
"มึงจีบกูหรอ?"
"เปล่า" มันตอบอย่างว่องไว แต่หน้าแดง คนแปลกประหลาดอย่างนี้ก็มีด้วย
โดย Chavaroj
"กษัตริย์หนุ่มใจฉกาจ มีความสามารถรอบรู้
วิญญาณสิงเข้ามาสู่ มีเลือดนักสู้เข้มข้น
องค์กษัตริย์ใจกล้า มีนามฟ้าฟ๊าาาาคำรนนนน"
กูมาต้องเล่นใหญ่ เปิดประตูออกมา มือหิ้วของมาพะรุงพะรัง ก็ต้องรองลิเกข่มแม่งก่อนเลย พอเอากล่องของบ้า ๆ นี่มาวางโครมบนโต๊ะ แล้วก็จีบมือ ร่ายรำพร้อมอธิบายว่า
"ข้าพเจ้าเองมีนามอยู่แล้วว่า เจ้าชายฟ้าคำรน มีเสด็จพ่อก็มาตาย เสด็จแม่ก็มาตาย มีแชร์อยู่หนึ่งมือก็ตาย วันนี้จะเสด็จไปเมืองพระคู่หมั้น ซึ่งอยูทางทิศอุดร แล้วจัดแจงแต่งกาย เอ๊ยแต่งกายให้งามสม วันนี้ฟ้าคำรน จะเดินทาง เอ้าไปพวกเราตามข้าพเจ้ามา"
"ไอ้เหี้ยยยย" เสียงอีรวีด่าไปหัวเราะไป
"หัวเราะทำเหี้ยอะไร กูขายหล่อไม่ได้ขายขำ" ผมท้วง
"ไอ้เหี้ยเบียร์ มึงเกรงใจคนอื่นบ้าง ไม่ได้มีแต่พวกเรา" ไอ้สินท้วง จนผมหันไปมองรอบ ๆ
"ชะอุ่ย เอ่อ สวัสดีครับ เอ่อ...เอ๊ะ อ้าว น้องที่ไปกินข้าวกับไอ้ไปป์วันก่อนหนิ ไหงมานี่ด้วยได้ล่ะ" ผมยื่นหน้าไปถาม ยักคิ้วล้อไอ้เหี้ยตัวที่พามาด้วย
"มึงรู้แล้วจะถามทำไม ?" ไอ้ไปป์ทำหน้างอเหมือนส้นตีนถามกลับผมเสียแล้ว
"รู้อารายคะ ?" ผมกวนตีนมันกลับ
"สัส ถ้ามึงไม่รู้จะมีใครรู้ โหงพรายกุมารทองในโรงพยาบาล เอาไปรายงานมึงหมดแล้วแน่ ๆ กูรู้" ไอ้ไปป์พูดไปทำตาแข็งไป ส่วนไอ้น้องหน้าแหย ดูเหมือนจะชื่อน้องฝันอะไรนั่น ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ
"เชอะ เขารู้กันทั้งโรงพยาบาลแหละย่ะ รู้แต่กูที่ไหน ขนาดห้องยายังรู้เล๊ย" ผมขี้เกียจต่อล้อต่อเถียง แจกขนมโมจิ ของดีลือชื่อจากจังหวัดของผมให้พวกมันคนละกล่อง ยังดีเอามาหลายกล่องเผื่อเหลือเผื่อขาด น้องฝันตาหวานขวัญใจของไอ้ไปป์ก็เลยได้อานิสงส์ โมจิไส้ถั่วกับเขากล่องหนึ่งด้วย
"ขอบใจ ทีหลังไม่ต้องก็ได้" ไอ้สินบ่น เพราะมันต้องควบคุมน้ำหนักเพราะกลัวกลับไปเป็นหมีควายเหมือนสมัยเด็ก ๆ
"ถ้ามึงไม่แดกเก๊าะเอามาให้กู" ไอ้ป๊อปพูดแล้วทำท่าจะกระชากขนมไปจากมือของไอ้สินอย่างว่องไว แต่อีรวีมือไวกว่าชิงขนมจากมือของผัวมันได้ก่อน
"ไอ้สินกินไม่ได้แต่กูกินได้ค่ะ มึงไม่ต้องสาระแน" อีรวีตอบกลับ พร้อมกับหยิบขนมโมจิสองกล่องรวมไว้ในอ้อมอก
"พี่หมอ อย่าเพิ่งตีกัน นั่งดี ๆ ครับกินข้าวกันก่อน" ไอ้สมิงพระเอกสุดหล่อมาห้ามทัพ ผมก็เลยต้องเกรงใจมันหน่อยในฐานะเจ้าของบ้าน
"มึงมายังไง ไม่เห็นได้ยินเสียงรถ ย่องเข้ามาเงียบ ๆ" อีดอย ที่เงียบปากมาเนิ่นนานพูดขึ้นมาบ้างพร้อมกับตักข้าวใส่จานให้ผม
"พี่ชายกูมาส่ง หนอยมาส่งกูเข้าซอยนิดนึงก็ไม่ได้ มันว่ามันขี้เกียจกลับรถ เลยส่งกูปากซอย ให้กูเดินเข้ามาเอง ไอ้เปรต" ผมบ่นต่อ แต่พอเหลือบไปเห็นกับข้าวกับปลาฝีมือพ่อสมิง ซึ่งล้วนแต่น่ากิน ก็เลยรู้สึกหิวเป็นกำลัง ครั้นกินไปด้วยบ่นไปด้วยอาการก็ค่อย ๆ ดีขึ้นนี่แสดงว่า กูอยู่ในโหมดโมโหหิวเป็นแน่แท้
วันนี้วันดี ไม่เมาไม่กลับ และผมก็เพิ่งกลับจากปากน้ำโพพร้อมกับพี่ชาย แม่บังคับให้ขนเอาขนมโมจิมาฝากไอ้พวกเวรนี่ ก็เพราะบ้านของผมทำขนมโมจิขาย แม่ก็เลยอยากส่งต่อความอร่อย ทำคุณบูชาโทษแท้ ๆ ทีเดียว ให้ไอ้พวกนี้มันโคตรเสียเปล่า
อีรวีกุลีกุจอ รินไวน์ใส่แก้ว ซึ่งว่ากันตรง ๆ ผมก็แค่จิบ ๆ จะเมาเป็นหมาอย่างอีรวีนั้นไม่เคยเป็นเด็ดขาด เอาแค่กึ่ม ๆ พอสนุก เวลาเหล้าเข้าปากทีไร วิญญาณพระเอกลิเกเข้าสิงกูทู๊กที
"เกิดเป็นโอรสฝ่ายซ้าย ภายในหัวใจเก็บกด จะขี้ก็ไม่ขี้ จะตดก็ไม่ตด มันให้เก็บกดอัดอั้น ไอ้คนดี ๆ ที่ว่าแน่ ๆ บางทีก็แพ้คนพาล"
"ข้าพเจ้าเองในนามของพระราชโอรส พิชิต แต่เกิดมาเป็นราชโอรสฝ่ายซ้ายนี่มันทำให้เจ็บใจเหลือเกิน มันอึดอัดเหลือเกิน ทางเดียวที่จะทำให้สบายใจ คือต้องสืบให้ทราบว่า ราชบุตรฝ่ายขวาเนี่ย ที่ชื่อว่าอัญเชิญ นี่เป็นหญิงหรือว่าเป็นชาย เพราะมันดูอ่อนหวานเกินไปเหลือเกิน" ผมที่เริ่มเข้าที่ ก็ร้องลิเกต่อ พร้อมกับชี้มือชี้ไม้ไปที่อีพวกสาว ๆ อย่างอีรวีและอีดอย ซึ่งนั่งตาหวานหัวเราะกิ๊ก
เอาสิ กูดี ๆ ขึ้นแล้ว เลื่อนตัวเองมานั่งบนโต๊ะอาหาร ร้องลิเกไป ก็ร่ายรำไป ส่วนไอ้พวกตัวเหี้ยที่นั่งอยู่ข้างล่างบางคนก็กลั้นขำ บางคนก็หัวเราะ และบางตัวก็เสือก ขมวดคิ้วส่ายหน้าไปมา แต่กูไม่สนใจร๊อก เพราะพระเอกศิลปินอย่างกูน่ะมันต้องทำเพื่อประชาชน แม้จะขาดแม่ยกก็เถอะ
เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อ พระโอรสพิชิต จะสืบรู้ได้หรือไม่ก็ไม่รู้แหละ เพราะว่าภาพแม่งตัด ตื่นมาอีกที ก็รู้ตัวว่าตัวเองอยู่ในห้อง มองซ้ายมองขวาก็ห้องของตัวเองนี่แหละ รำคาญเสียงนาฬิกาปลุก ที่แม่งปลุกโดยอัตโนมัติทุกเช้า ครั้นปิดแม่ง ไอ้เสียงน่ารำคาญจากนาฬิกาปลุกเครื่องอื่นก็เสือกดังอีก จนผมต้องลุกไปปิดอีกสามรอบ ...ก็ผมมันคนขี้เซา
ตั้งสติได้มึนหัวหน่อย ๆ หันซ้ายหันขวาดึงสติ ก็รู้ว่าตัวเองต้องรีบอาบน้ำไปทำงานได้แล้วเพราะเป็นภารกิจประจำวัน แหม ไอ้เหี้ยไปป์ เอาร่างกูมาทิ้งทั้งที่อยู่ในชุดเดิมเลยน๊า แสดงว่ามันกับน้องฝันอะไรนั่นคืนนี้ก็คงจะนอนค้างที่ห้องมันสินะ อยากไปดูจังวุ๊ย แต่คิดอีกทีไม่เอาดีกว่า
เพราะถึงผมกับไอ้ไปป์จะค่อนข้างสนิทกัน แต่ผมกับมันก็เป็นอินโทรเวิร์ด ชอบมีพื้นที่ส่วนตัว ถ้าไม่จำเป็นจะไม่เข้าไปยุ่งในพื้นที่ส่วนตัวของคนอื่น และไม่ยอมให้คนอื่นมายุ่มย่ามในพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองด้วย
แต่อย่าเพิ่งไปคิดเรื่องของคนอื่น เอาเรื่องของตัวเองให้รอดเสียก่อน ผมรีบแก้ผ้า พร้อมกับเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ อากาศยังเย็น ๆ และน้ำก็เย็นเฉียบ ทำให้สร่างเมาดีนักแล แต่พอเดินแก้ผ้าออกมาจากห้อง ก็ขอดื่มน้ำเย็น ๆ หวาน ๆ ให้หายแฮงค์สักหน่อย อีผีรวี มะคืนแม่งจะมอมเหล้ากู เดี๋ยวแม่งก็ยกแก้วมาถวาย เดี๋ยวแม่งก็ยกแก้วประเคนแบบแม่ยก ผมก็เลยเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบน้ำมะเขือเทศ 99% กระดกจนพอใจ ค่อยยังชั่วหน่อย
ครั้นแต่งเนื้อแต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อย โชคดีวันนี้ใส่ชุดสครับ ไม่ต้องใส่เสื้อเชิ้ตผูกเนกไท เพราะวันนี้ไม่มีสอน ลงตรวจอย่างเดียว ผมเดินลงมาฮำเพลงลิเกที่แม่งคุ้น ๆ ว่าร้องจนติดปาก และออกมาเจอไอ้เพื่อนรักที่หน้าคอนโดพอดี๊พอดี
"มึงลากศพกูมาส่งหรอ ขอบใจนะ...เอ่อ แล้วน้องฝันอะไรนั่นไม่ได้นอนค้างที่ห้องมึงเรอะ อยู่ไหนล่ะ?" ผมถามพร้อมกับหันซ้ายหันขวา เผื่อคนจะเห็นคนที่ทำให้ไอ้หมอเย็นชาเมื่อคืนที่เอาแต่นั่งยิ้ม เดินโต๋เต๋ตามมาจากซอกตึก
"กูต้องขนมึงมาสิ ไม่งั้นจะมีใครล่ะ ส่วนน้องฝันกูไปส่งเขาก่อน แล้วค่อยลากศพมึงมา รำคาญชิบหาย นั่งรถมาเอาแต่ร้องลิเกไอ้เปรต กูนี่อายน้องเขาจะแย่" ไอ้ไปป์บ่นขณะที่เราสองคนรีบจ้วงตีนเข้าเขตโรงพยาบาลเพื่อจะตรงไปโรงอาหารเจ้าประจำ เพื่อหาอะไรรองท้องก่อนที่จะเริ่มการตรวจแต่เช้านี้ก่อน
"แหมทำเป็นอาย สมัยนิสิต เล่นละครมึงก็เล่นลิเกคู่กับกูมั๊ย ดัดจริต" ผมด่ามัน พร้อมกับจ้วงตีน ต้องถึงร้านกาแฟก่อน จะได้สั่งก่อนมัน
"กูเล่นเป็นต้นไม้ ไอ้เหี้ย มึงนั่นแหละเสือกเสนออะไรก็ไม่รู้ กูร้องลิกงลิเกเป็นที่ไหน มึงก็เสือกจู้จี้จะเอากูขึ้นไปเล่นบ้า ๆ บอ ๆ กับมึงให้ได้" ไอ้ไปป์บ่นต่อ
"ก็แหม กูเขินหนิ มีเพื่อนอยู่ใกล้ ๆ มันค่อยอุ่นใจ" ผมยิ้มกะเรี่ยกะราด นึกถึงเรื่องตอนสิบปีก่อนตอนเป็นนิสิตแพทย์ปีหนึ่ง รุ่นพี่ให้ออกมาแสดงความสามารถ ผมก็เลยจะเล่นลิเกโชว์ ไปคนเดียวมันเขินก็เลยต้องลากเพื่อนรักไปยืนด้วย จะได้ไม่ประหม่า
เรากินกาแฟเข้ม ๆ กินข้าวราดแกง แล้วก็แยกย้ายกันไปทำงาน คณะไอ้ไปป์อยู่อีกตึกทางฝั่งตะวันออก ส่วนผมอยู่ไกลสุดหล้า ทางฝั่งตะวันตก ที่อยู่ขอบโรงพยาบาล แถมข้าง ๆ ยังเสือกเป็นโรงเรียนเสียอีก ถ้าวันอารมณ์ดี ๆ ก็ดีไป แต่ถ้าเป็นวันอารมณ์ไม่ดี ผมก็โคตรรำคาญ
เริ่มตั้งแต่ตอนก่อนแปดโมงเช้าที่เด็กเวรนี่วิ่งเล่นส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดเจี๊ยวจ๊าว พอแปดโมงปุ๊บ เสียงกริ่งก็ดัง แล้วก็ตามด้วยเพลงชาติ อีเด็กเปรตพวกนี้ก็จะถูกบังคับให้ร้องเพลงชาติเสียงดัง ๆ ราวกับเป็นการประกาศเอกราชของชาติไทย ประมาณว่าใครร้องดังคนนั้นก็รักชาติเยอะกว่าคนอื่น กูนึกว่ากูอยู่เกาหลีเหนือ หรือพวกชาวบ้านบางระจันกลับชาติมาเกิด
ยังไม่พอ หลังจากนั้นก็สวดมนต์ แล้วครูใหญ่ซึ่งเป็นผู้ชายตัวอ้วน ๆ หน้ากลม ๆ ผมเริ่มบางจนต้องเอาผมด้านข้างหวีมาแปะกลางกบาลเป็นทรงบาร์โค้ด ดูเป็นทรงผมทรงเดียวกับพี่โอลีฟ คิดแล้วก็ตลก
อีตาครูใหญ่อะไรนี่ก็จะพูดพล่ามอะไรของแกไปเรื่อย คิดแล้วก็สงสารเด็ก ๆ ที่ต้องยืนตากแดดฟังตาแก่พูดเรื่อยเจื้อยอะไรก็ไม่รู้ แต่ที่สำคัญ กูสงสารตัวเองด้วยทำไมต้องมีตึกที่ติดกับโรงเรียนประถมอย่างนี้กันด้วยหนอ ส่วนอีครูใหญ่บ้าน้ำลาย แน่นอนว่ายืนอีตรงที่มันร่ม ๆ ถ้ากูกลับไปเป็นเด็ก กูจะประท้วงให้ครูใหญ่มายืนตากแดดร้อน ๆ พร้อมกับพวกกูเลยจ้า
หลังจากนั้นก็เดินแถวแยกย้ายกันไปเรียน หมดเวรหมดกรรมกันสักที แล้วผมก็จะกลับมามีสมาธิในการทำงาน ตรวจคนไข้ ซึ่งก็วุ่นวายอยู่กับ ตาหูคอจมูก เพราะมันเป็นระบบที่เกี่ยวข้องกัน
งานของผมก็เพลน ๆ พื้น ๆ ประเภทตรวจคนเป็นตาแดง ตาอักเสบ หูอักเสบ หูน้ำหนวก ไซนัสอะไรประมาณพวกนี้ ถ้าเป็นวันจันทร์ถึงวันพุธ ก็ต้องสอนนิสิตในช่วงบ่าย ๆ และถ้าเป็นวันพฤหัสกับวันศุกร์ ก็อาจจะมีสอนคลาสเย็น ๆ ซึ่งไม่หนักหนาอะไรมาก คนไข้ก็มีทั้งเด็ก ๆ ประเภทเด็กซนเอาอะไรยัดจมูก หรือเด็กเล่นน้ำจนเป็นหูน้ำหนวก หรือคนแก่ที่หูตาฝ้าฟาง
พอเลิกงานกลับถึงห้อง ผมหิ้วท้องกลับมาเพื่อมากินมื้อเย็นคนเดียวที่ห้องดีกว่า ซื้อกับข้าวและข้าวเปล่าตุนเอาไว้แล้ว ผมชอบอยู่คนเดียว และเวลาแห่งความสุขของผมก็คือการได้อยู่คนเดียวนี่แหละ กินอะไรแซ่บ ๆ แล้วแต่จะซื้อมาได้ อาจจะเปิดเพลงเบา ๆ หรือเปิดดูหนังในเน็ตฟลิกซ์ตอนกินข้าวไปด้วย จากนั้นก็ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยจนประมาณสองทุ่มก็ต้องอ่านงานวิจัย อ่านตำรา หรือเตรียมหัวข้อลำดับการสอนสำหรับวันพรุ่งนี้
เท่านี้ก็หมดไปหนึ่งวันสำหรับผม ซึ่งจะว่าน่าเบื่อมันก็มีบ้าง เพราะเป็นอย่างนี้มาชั่วนาตาปี แต่ก็ไม่ถึงกับเลวร้ายนักเพราะมันเป็นงานที่ผมรัก
ต้นเหตุที่ผมมาเรียนหมอ ก็เกิดจากสมัยเด็ก ๆ ผมที่โตมากับครอบครัวใหญ่ แม่ของผมมีลูกหลายคน ผมคนที่สาม และมีน้องชายกับน้องสาวอีกสองคน แต่คนที่ผมสนิทด้วยที่สุดก็คืออาม่า แกเคยเปรย ๆ กับคนอื่นว่าตัวของอาม่าก็เป็นลูกคนกลางเหมือนกันก็เลยออกจะสงสารผมมากกว่าพี่น้อง แต่พี่น้องอาม่าน่ะมีกันตั้งสิบคนเชียวนะ มากกว่าบ้านผมตั้งเท่าตัว
แต่จริง ๆ ผมว่าอาม่าก็เลี้ยงหลาน ๆ เหมือนกันหมดนั่นแหละแต่ผมสนิทกับอาม่ามากกว่าคนอื่น นั่นเพราะอาม่าชอบพูดกับใคร ๆ ว่าผมนี่มันหลานอาม่าแท้ ๆ เพราะเราสองคนชอบดูลิเกเหมือนกัน ไม่เหมือนพี่ ๆ น้อง ๆ ของผมที่ไม่สนใจลิเกเลยสักคน
นครสวรรค์ เมืองปากน้ำโพ นอกจากจะเป็นดินแดนเมืองสี่แคว คือเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสายหลักอย่างแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของแม่น้ำ ปิง วัง ยม น่าน และเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนครสวรรค์ ก็คือเทศกาลตรุษจีน แห่มังกรนครสวรรค์ ซึ่งสมัยเด็ก ๆ ผมกับพี่ ๆ น้อง ๆ ชอบดูที่สุด นึกถึงเสียงหัวใจของเด็ก ๆ ที่มันเต้นตึก ๆ ตามเสียงกลอง ไหนจะเสียงฉาบ เสียงประทัดโอ๊ยสนุกจะตายไป
"เมืองสี่แคว แห่มังกร พักผ่อนบึงบอระเพ็ด ปลารสเด็ดปากน้ำโพ" นี่คือคำขวัญประจำจังหวัดนครสวรรค์อันแสนภาคภูมิใจของผม
อาม่าของผมเป็นหญิงแกร่ง ขับรถเป็น และผมก็จำได้ว่าถ้าเป็นวันเสาร์ หรือวันอาทิตย์ที่ว่าง ๆ ตอนเย็น ๆ ก่อนแดดร่มลมตก อาม่าก็จะพาพวกเราหลาน ๆ ทั้งห้าคน พาขับรถไปนั่งเล่นถึงบึงบอระเพ็ด ถ้าไม่ทำอะไรไปกินกัน หลัก ๆ ก็หมูแดดเดียวกับข้าวเหนียว ก็ไปหาซื้ออะไรกินกันแถว ๆ บึงบอระเพ็ดนั่นแหละ
นั่งกินนั่งเล่นมันขอบบึง โดยเอาเสื่อผืนใหญ่ไปปูนอนเล่นกัน พวกเราพี่น้องก็วิ่งเล่นกันเป็นที่สนุกสนาน ส่วนอากงของผมหนีไปเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้หลายปีดีดักแล้ว ทิ้งอาม่าให้ปั้นขนมโมจิขายกับแม่ ตั้งแต่ผมจำความได้
อาม่านั้นถึงจะเก่งและแกร่งแต่ก็ไม่ค่อยสบาย และเสียตาไปหนึ่งข้างด้วยผลจากเบาหวาน นี่ขนาดตาดีข้างเดียว ยังขับรถได้เลยเก่งชะมัด
"โตขึ้นเบียร์จะเป็นหมอ จะได้รักษาอาม่าให้หายนะ" ผมซึ่งถูกอาม่ากอดอยู่พูดอ้อน จนอาม่าโยกตัวของผมไปมา และหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
"ดี ๆ พี่น้องห้าคนลื้อเรียนเก่งที่สุด เรียนจนเป็นหมอเลยนะ รักษาอาม่าแล้วก็รักษาคนอื่น ๆ ด้วยนะอาเบียร์" อาม่าพูดจนผมหัวใจพองฟู รู้สึกตัวเองสลักสำคัญเสียเต็มที แต่กลายเป็นว่าพอผมเรียนจบรับปริญญา อาม่ากลับตามอากงไปเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้เสียฉิบ
คิดถึงอาม่าแล้ว ผมก็อดจะเอาขนมโมจิของแม่ออกมาจากตู้เย็น เอามากินพอให้ได้รำลึกถึงความหลัง ผมเดินไปยืนพิงกระจกที่ระเบียงคอนโด ไม่ออกไปยืนริมระเบียงหรอกนะ เพราะฝุ่น PM 2.5 แม่งครอบจนมองไปไกล ๆ ฟ้าหม่นไปหมด ผมขออยู่แต่ในห้อง เปิดเครื่องฟอกอากาศแบบนี้นี่แหละ ปลอดภัยกว่า สงสารคนที่ต้องอยู่กลางแจ้ง อนาคตสุขภาพจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ
คิดแล้วก็เบื่อ ทนกับฝุ่นพิษกันมาตั้งแต่ยังคิดว่ามันเป็นหมอกทุมเกตุ จนมารู้กันในภายหลังว่ามันคือฝุ่นพิษ แต่ร้าบานตะหานจนมาถึงยุค มีกินมีใช้ มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้น นี่ยังไม่นับรวม ข่าววันก่อนที่ กทม. เอารถน้ำไปพ่นหน้าน้ำที่หน้าเครื่องวัดสภาพอากาศ กูล่ะเบื่อระบบราชการไทยเสียจริง ๆ แต่ก็ทำยังไงได้ แม้แต่งานของผมเองก็ยังอยู่กับระบบรัฐเหมือนกัน เพราะที่ทำงานของผมมันเป็นโรงพยาบาลรัฐบาล แม้จะถือว่าเป็นโรงพยาบาลที่ค่อนข้างทันสมัย เพราะเป็นมหาวิทยาลัยแพทย์ก็เถอะ
ชีวิตซ้ำซากของผมดำเนินมาเรื่อย ๆ จนผมคิดถึงวันที่พวกเราเพื่อน ๆ จะนัดรวมตัวกันอย่างน้อยเดือนละหนึ่งหน เพราะทำให้ผมได้ปลดปล่อยความเป็นเด็ก เหมือนครั้งเรายังเป็นเด็กกะโปกกันอยู่ แก่กันจนหัวเริ่มหงอก พอเจอกันก็ยังบ้า ๆ บอ ๆ แม้ว่าสมัยนั้นผมจะคิดว่าพวกผมนี่แม่งโคตรคูลเพราะเป็นก๊วนหัวกะทิ เป็นแก๊งเด็กเนิร์ดห้องคิง ของโรงเรียนเตรียมเชียวนะ แต่พอมาตอนนี้สิ ถึงแต่ละคนจะได้ดิบได้ดี ในแบบของตัวเอง แต่ผมว่าลึก ๆ ในหัวใจใคร ๆ ก็มีความเป็นเด็กซ่อนอยู่ทั้งนั้นแหละ
อย่างตัวผมเอง ความเด็กของผม ก็ยังมีอยู่ ผมชอบหนัง เกี่ยวกับอวกาศ หนังไซไฟ เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว และงานอดิเรกของผมก็คือสะสม ฟิกเกอร์ ซึ่งสะสมอย่างไม่จริงจังอะไรมากนัก เรียกว่ามีก็ยังไม่มาก แต่ถึงอย่างนั้นตู้กระจกของผมก็ปาเข้าไป หกตู้เข้าแล้วนั่น
เช้านี้ผมนั่งรอคนไข้ โดยมีแก้วกาแฟแอบอยู่ข้าง ๆ โต๊ะ เอาไว้จิบระหว่างตรวจ เด็ก ๆ โรงเรียนข้าง ๆ หายเข้าห้องเรียนไปหมดแล้ว จนทำให้ผมนึกถึงช่วงปิดเทอมที่ชีวิตของผมจะสงบไปได้สักพัก
"อาจารย์คะ คนไข้รายแรกให้เข้ามาได้เลยนะคะ" น้องพยาบาลพูด และผมก็พยักหน้ารับ คนไข้คนแรก ผมก็อ่อนใจเลย เพราะไม่ใช่ใครที่ไหน เด็กโรงเรียนข้าง ๆ นี่แหละ รู้ได้จากชุด และตัวอักษรสีน้ำเงินที่ปักที่หน้าอก
"สวัสดี ๆ เป็นอะไรมาล่ะ?" ผมตั้งคำถาม หลังจากรับไหว้ และเปิดดูแฟ้มประวัติ เจ้าหนูท่าทางซน ๆ นั่งยิ้มแห้ง ๆ พร้อมกันนั้น ก็มีผู้ชายที่น่าจะเป็นครู เคาะประตูและเดินมานั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ
ตรวจอาการและพูดคุยกับคุณครูจนอธิบายเข้าใจแล้ว ผมก็เขียนใบสั่งยาและนัดวันตรวจในอีกสามวันข้างหน้า
"คุณหมอครับ คุณหมอเป็นเพื่อนของ รัตนาหรือครับ ผมเห็นนามสกุลเดียวกัน ?" คุณครูถามและผมก็พยักหน้าหงึกหงัก
"รู้จักกับยายรัตด้วยหรือ" ผมถามเพราะรัตนานั้นเป็นชื่อน้องสาวคนเล็กของผม ซึ่งเจ้าหล่อนเรียนที่ปากน้ำโพจนถึงมัธยมปลายแล้วมาสอบเข้าได้ที่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ไม่เหมือนผมที่โดนส่งมาเรียนที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่มัธยมต้น
"ผมกับรัตนาสนิทกันมาก ๆ เลย ดีใจจัง คิดถึงขนมโมจิฝีมืออาม่ากับคุณแม่ สมัยเรียนวันจันทร์ รัตนาชอบหอบขนมโมจิมาฝากเพื่อน ๆ" คุณครูท่าทางเห็นแก่กินพูดไปยิ้มไป จนผมนึกขำ
"ยายรัตเขากลับไปสอนหนังสือที่นครสวรรค์ เอาอย่างนี้ ไว้หมอกลับบ้าน ขากลับจะเอาโมจิมาฝากก็แล้วกันนะ" ผมปากพล่อยพูดพล่ามไปเรื่อย โดยไม่รู้เลยว่าไอ้โมจิและคำสัญญาที่ไม่จริงจังของผม จะก่อปัญหาให้ผมในวันข้างหน้าจนได้