แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว - 30 ชาววัง โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ



อ้าอุไรพธูพบูพิบูลย์ เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ  เจริญภาส


ตูสวิงสวายเพราะสายสวาดิ์ ระทวยบ่ปลดระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก


แสนจะเสียวจะส้านณวารวิโยค จะข้ามห้วงบ่ล่วงอโฆ ก็อกกรม


ใคร่เสน่หะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิทร์จะชิดจะชม ณเชิงรัก


เชิญสมรสุมาลย์สมานสมัค ประสานประสงค์ประจง ประจวบใจ ประจักษ์




ผมค่อย ๆ พับกระดาษที่มีลายมือหวัดแกมบรรจงแล้วอมยิ้ม พลางถามมันไปเบา ๆ ว่า


"มึงจีบกูหรอ?" 


"เปล่า" มันตอบอย่างว่องไว แต่หน้าแดง คนแปลกประหลาดอย่างนี้ก็มีด้วย

สารบัญ

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-1 ทีโมนกับพุมบ้า,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-2 เจ้าชายน้อย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-3 จุดเริ่มต้นความสนิท,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-4 ลูกไม้หล่นไกลต้น,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-5 ตัวโวยวาย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-6 สิบปี,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-7 เปลี่ยน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-8 ห่าง,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-9 ใจเอ๋ยใจ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-10 วันธรรมดา,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-11 อยู่ด้วยกัน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-12 หมอดอย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-13 หมอดอยใจดี,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-14 พระเอก,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-15 สมิง,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-16 จอมวางแผน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-17 Supporter,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-18 พ่อค้าออนไลน์,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-19 เกลียมัว,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-20 ป๊อปอาย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-21 โอลีฟ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-22 Change ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-23 Twin Flame ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-24 Starseed,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-25 ต่อมไพเนียล,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-26 Dream,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-27 ตื่นรู้,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-28 โลกแห่งความฝัน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-29 หนุ่มปากน้ำโพ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-30 ชาววัง,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-31 ทำคะแนน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-32 ความทรงจำในอดีต,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-33 โลกหมุนด้วยความรัก

เนื้อหา

30 ชาววัง

โดย Chavaroj




"จ๊ะม๊า อือ...อืม...จ๊ะ....จ้า...." ผมที่กำลังคุยโทรศัพท์กับม๊า ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อน ซึ่งผมก็ได้แค่รับคำอือ ๆ ออ ๆ เท่านั้นแหละ ไม่ได้มีโอกาสพูดแทรกแกหรอก เพราะแกคงอัดอั้นเหลือคน เนื่องจากลูกชายสุดที่รักไม่ค่อยได้กลับบ้านนั่นเอง มีเรื่องให้เม้าตั้งแต่เรื่องของพี่ชายคนโตไปจนถึงน้องสาวคนเล็ก และเพื่อนบ้านใกล้เคียง จนท้ายที่สุดก็เรื่องของตัวแกเอง


ส่วนใหญ่ม๊าก็จะชอบบ่นเรื่องสุขภาพ ปวดนั่นเมื่อยนี่อารมณ์อ้อนให้ลูกที่เป็นหมออยู่คนเดียวกลับบ้านไปดูแลแกบ้าง แต่พอกลับบ้านทีไร โอ๊ยม๊าผมน่ะเรอะ ตื่นแต่เช้าก่อนไก่โห่ ไปรำไท่เก๊กกับสมาคมแม่บ้านอะไรของแกโน่น แล้วเย็น ๆ ก็ไปเดินแกว่งแขนตรงลานออกกำลังกายริมแม่น้ำ ไม่มีทีท่าว่าจะป่วยไข้อะไรสักนิดเดียว เผลอ ๆ จะแข็งแรงกว่าผมด้วยซ้ำ เพราะไม่ค่อยจะได้มีโอกาสออกกำลังกายเลย


"เขาป่วยใจย่ะ เขาคิดถึงเฮียไง" น้องสาวคนเล็กของผมเฉลย หลังจากคุยกับม๊าเสร็จน้องสาวของผมก็ขอคุยต่อ แล้วก็เลยถือโอกาสนี้เรียกน้องชายของผมมาคุยด้วยกันเสียเลย ส่วนพี่ชายกับพี่สาวของผมโน่นเลี้ยงลูกหัวโตอยู่โน่น


"คิดถึงกับผีอะไร ลูกอยู่ด้วยตั้งสี่คนหลานอีกสี่คน แค่นี้ยังวุ่นวายไม่พออีกเรอะ" ผมถามกลับ


"แหม มันก็ไม่เหมือนกันโว้ยเฮีย" น้องชายคนถัดไปของผมท้วง


"ทำอย่างกะเฮียว่างมาก ๆ อย่างนั้นแหละ ทำงานก็แทบไม่ได้พัก แต่ก็ต้องหาทางกลับบ้านทุกเดือนอยู่แล้วน่า" ผมคุยต่อกับน้องชายน้องสาวซึ่งถูกเรียกให้มาคุยด้วยกันเลย


"เออเฮีย เดี๋ยวสิ้นเดือนน้องไปนอนค้างบ้านเฮียสามสี่วันนะ ไปอบรมน่ะ เขาส่งไปอบรมที่กรุงเทพฯ" น้องสาวของผมพูดซึ่งผมก็กึ่ง ๆ ดีใจกึ่ง ๆ ระอาใจ เพราะน้องสาวของผมมันชอบเปลี่ยนสถานะของตัวเองจากน้องสาวกลายเป็นแม่ ตอนเด็ก ๆ ผมอุ้มมันเข้ากะเอวพาไปเดินเล่นแท้ ๆ ตอนนี้จู้จี้กูอย่างกูลูกกะหลาน


"เออ ๆ บอกล่วงหน้าก็แล้วกันตอนใกล้ ๆ มาน่ะ จะได้ให้แม่บ้านเขามาทำความสะอาดห้องให้หล่อนอีกที" ผมพูดกลับ เพราะน้องสาวของผมมันเป็นคนค่อนข้างเคร่งเรื่องความสะอาด เชื่อเถอะถึงผมจะให้แม่บ้านมาทำความสะอาดห้อง ยายรัตก็ต้องบ่นเรื่องความสะอาดแล้วเจ้าหล่อนก็ต้องทำความสะอาดซ้ำอีกรอบอยู่ดี แต่ก็ช่างมัน อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ทำ เพราะไหน ๆ ผมก็จ้างแม่บ้านให้มาทำความสะอาดห้องให้เดือนละสองหนอยู่แล้ว


พอคุยกับน้อง ๆ เสร็จผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าวันพรุ่งนี้เจ้าเด็กซนโรงเรียนข้าง ๆ ต้องมาตรวจซ้ำ และครูที่พามาซึ่งก็เป็นเพื่อนของยายรัตก็คงจะมาด้วย เห็นบ่นว่าชอบกินโมจิที่บ้านของผมนัก ดีเลย ยังเหลือโมจิอีกตั้งหกกล่อง จัดให้ครูคนนั้นสักสองกล่อง แล้วให้เจ้าเด็กซนนั่นสักกล่องหนึ่งก็แล้วกัน ที่เหลือก็เอาไปฝากน้อง ๆ พยาบาลขนมจะได้หมด ๆ ไปให้สักที กลับบ้านทีไร ม๊าชอบขนให้ผมเอาขนมโมจิที่บ้านเอามาแจกคนโน้นคนนี้


จนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นน่าแปลกที่เช้าวันนี้ไปโรงอาหารไม่ยักเจอไอ้ไปป์ ซึ่งมันจะไปทำอะไรก็ช่างหัวมันเถอะ ตั้งแต่มีแฟนนี่ชักจะตามตัวเจอยาก ปกติก็เจอตัวยากอยู่แล้ว ผมกินข้าวไปเพลิน ๆ พร้อมกับฟังยูทูบไปด้วย หัวข้อซึ่งผมสนใจคือเรื่องของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเขาเกิดระลึกชาติได้ ไม่ใช่แค่ชาติเดียวนะ และไม่ใช่แค่ชาติที่เขาเกิดเป็นคนบนโลก 


แต่มีชาติหนึ่งซึ่งเขาเป็นบีอิ้งบนดวงจันทร์ของดาวอะไรสักดวงนี่แหละ ซึ่งฟังแล้วโคตรสนุกจินตนาการตามที่เขาเล่าก็เหมือนเรื่อง อวาตาร์ชะมัด และที่น่าตื่นเต้นก็คือ ผมจองตั๋วที่จะไปเข้าสัมมนาทางจิตวิญญาณซึ่งอีตาคนที่ระลึกชาติได้คนนี้จะมาให้สัมภาษณ์ด้วย...ตื่นเต้นชะมัด ผมก็เลยฟังแล้วก็พยายามจดคำถามที่ผมอยากรู้ไปด้วยเสียเลย


เหลียวมองนาฬิกาที่อยู่มุมซ้ายบนหน้าจอโทรศัพท์ก็เห็นว่าใกล้เวลาเข้างานแล้ว ผมก็เลยเตรียมตัวไปทำงานเข้าห้องตรวจ ซึ่งรอเจ้าเด็กซนที่มาตรวจอาการซ้ำ วันนี้ได้คิวที่สาม 


"เอาล่ะ หายดีแล้ว กินยาต่อจนหมดนะ แล้วต่อไปก็อย่าซนมากล่ะ" ผมพูดสำทับตอนท้าย และมองคุณครูที่นั่งยิ้มเหงือกแห้งเอาแต่จ้องหน้าผมเป๋งเลยทีเดียว


"คุณครู หมอจำได้ว่าชอบกินโมจิที่บ้านหมอ เอ่อ...หมอก็เลยเอามาฝาก เอ้าจอมซนกับคุณหมอเอาไปแบ่งกันกินนะ" ผมพูดพร้อมกับเดินไปหยิบขนมโมจิเอามายื่นให้เขา เจ้าเด็กยิ้มดีใจแต่คุณครูดูจะดีใจเสียยิ่งกว่า ไม่ใช่แย่งขนมเด็กกินจนหมดล่ะนะ


เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ระหว่างพักเที่ยงเสียงโทรศัพท์ปริศนาก็ดังขึ้น ผมนั่งกินข้าวอยู่คนเดียว ช่วงนี้เพื่อนหายหัวอย่างไร้ร่องรอย สงสัยติดพันแฟน ยายรัตนาน้องสาวของผมนั่นเอง เจ้าหล่อนโทรศัพท์แจ้งว่านั่งรถมาถึงโรงพยาบาลแล้ว ผมก็เลยให้เจ้าหล่อนเดินมาหาผมที่โรงอาหารได้เลย


"หิวไหม กินข้าวก่อนสิ" ผมทักทายน้องสาวของผมที่เดินหน้ามุ่ยเข้ามาหา


"หิว เฮียเลี้ยงด้วยนะ" 


"อาไรวะ กินเองก็จ่ายเองสิ" ผมท้วง แต่สุดท้ายผมก็ต้องเลี้ยงหล่อนอยู่ดี ก็ใครเสือกใช้ให้เกิดมาเป็นน้องคนเล็กกันเล่า 


"เอาคีย์การ์ดไป เฮียทำเผื่อไว้ให้แล้ว เดี๋ยวตอนเย็นเจอกัน" ผมยื่นคีย์การ์ดของคอนโดให้ และเจ้าหล่อนก็รับไปอย่างว่องไว


"เย็นนี้อยากกินอะไร?" น้องสาวคนดีของผมถาม


"อะไรก็ได้จ๊ะ" ผมตอบและลูบหัวน้องสาวตัวแสบเบา ๆ ถ้าจะจุ้นจ้านเหมือนม๊า แต่ข้อดีก็คือ รับฝีมือการทำอาหารของม๊ามาด้วย ผมจะได้กินกับข้าวอร่อย ๆ ที่คุ้นเคยเหมือนสมัยเด็ก ๆ เสียที 


"เอ้าเฮียให้พันนึงเอาไปซื้อวัตถุดิบ" ผมใจป้ำโอนเงินเข้าบัญชีของหล่อน และนึกภาวนาให้ถึงช่วงเวลาเย็นเร็ว ๆ แต่คนเราน่ะ ยิ่งรอก็ยิ่งช้า และพอรู้ตัวว่ากลับไปจะได้กินอาหารอร่อย ๆ ท้องมันก็ร้องจ๊อก ๆ ตั้งแต่เลิกงานทีเดียว


เดินข้ามถนนจนมาถึงคอนโด ไม่ใช่อุปาทานแน่ ๆ ผมได้กลิ่นอาหารหอม ๆ หนึ่งในนั้นก็คือปลาช่อนแดดเดียวทอด ของโปรดของผมแน่ ๆ จนเมื่อเปิดประตูห้องของตัวเอง ก็ออกจะแปลกใจที่ไม่ใช่มีแค่น้องสาวของผมคนเดียว แขกที่ไม่ได้รับเชิญยืนวุ่นวายตรงหน้าเตาไฟฟ้าเล็ก ๆ ด้วย


"มาแล้วเรอะ" น้องสาวของผมทัก


"เอ่อ...สวัสดีครับพี่หมอ" เขาเอ่ยปากทักและยกมือไหว้ผม 


"เอ่อสวัสดีจ๊ะ ...สวัสดีคุณครู" ผมยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน


"คนกันเอง น้องลืมแนะนำ เฮียเบียร์พี่ชายเราเอง ส่วนนี่ยายครูเมี่ยง เพื่อนน้อง เคยเจอกันแล้วหนิ" ยายรัตเจ้ากี้เจ้าการ 


"ทำอะไรกันเนี่ย?" ผมถามเพราะออกจะทึ่ง ๆ ก็กลิ่นอาหารมันหอมฟุ้งไปทั้งห้อง


"ก็พอดีน้องรู้เพิ่งรู้ไงว่าเฮียกับเมี่ยงทำงานอยู่ใกล้ ๆ กันที่เฮียเล่าให้น้องฟัง น้องก็เลยชวนเมี่ยงมาทำกับข้าวเย็นกินด้วยกันซะเลย อ๊ะ...อย่าเพิ่งโวยวาย ฝีมือเมี่ยงน่ะไม่ธรรมดานะจ๊ะ ฝีมือชาววังเชียวนะ" ยายรัตสาธยาย ส่วนผมขมวดคิ้ว อะไรกันกะอีแค่กับข้าวง่าย ๆ มันชาววังเชียวรึ หรือว่าวังเวง วังตะไคร้ หรือเว่อวัง


"แน่ะไม่เชื่อน้องล่ะสิ นี่น่ะ หม่อมหลวงอุณากรรณ คชสีสุวรรณ ณ อยุธยาเชียวนะคะ" ยายรัตพูดพร้อมกับสะบัดมือเร่า ๆ เหมือนตัวการ์ตูน


"เอ่อ หม่อมหลวงก็ถือเป็นสามัญชนแล้ว อีกอย่าง บ้านผมก็บ้านคนธรรมดานี่แหละครับ" ครูเมี่ยงแก้ตัวแต่จะแก้ตัวอะไรก็ไม่ว่ากัน แต่ระวังหม้อไหม้ด้วยเน้อ ชักจะได้กลิ่นแปลก ๆ 


"ว๊ายตาเถรตกใต้ถุน" ครูเมี่ยงอุทาน และรีบยกกระทะขึ้นจากเตา ผมอดขำซะไม่ได้ นี่มันปีไหนแล้ว ยังมีคนอุทานแบบนี้อีกด้วยเหรอวะ


"ยังดีไม่ไหม้...เอ่อ ไม่ไหม้มาก" ครูเมี่ยงยิ้มแห้ง ๆ แล้วก็ใช้ตะหลิวตักปลาช่อนแดดเดียวที่สีเข้มสักหน่อยมาใส่จาน


"เฮียอย่ามาวุ่นวายเลย ไปอาบน้ำไป๊ เดี๋ยวทำกับข้าวเสร็จแล้วจะเรียกนะ" ยายรัตนาไล่ผม และผมก็ไม่อยากจะเกะกะ เลยเดินเข้าห้องของตัวเอง อาบน้ำอาบท่า ให้เรียบร้อย กำลังนั่งฟังยูทูบต่อเรื่องคนระลึกชาติอยู่เพลิน ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น


"พี่หมอครับกับข้าวเสร็จแล้วครับ" เสียงครูเมี่ยงดังอยู่หน้าประตูหลังเสียงเคาะประตูเบา ๆ ผมวางโทรศัพท์ และเดินออกไปอย่างว่องไว


"แม่เจ้าโว้ย อะไรกันเนี่ย" ผมอุทานเสียงดัง เพราะบนโต๊ะอาหารมีแต่ของกินน่าอร่อย 


"ฝีมือเมี่ยงเขาล่ะ น้องทำแค่เจียวไข่ กับทอดปลา" ยายรัตนาแจง


"แล้วนี่แกงอะไรเนี่ย?" ผมถามพร้อมกับยื่นหน้าไปมองชามแกง


"อันนี้แกงเลียงกุ้งสดครับ ส่วนอันนี้แกงคั่วสัลปะรดใส่หอยแมลงภู่ พอดีผมเจอไข่แมงดาด้วยก็เลยใส่ไข่แมงดาเพิ่มเข้าไปด้วยเลย ส่วนอันนี้ก็ยำแตงกวาธรรมดา ๆ ครับ" ครูเมี่ยงอธิบาย ส่วนผมน้ำลายไหลจนต้องกลืนลงคอ 


"เอาล่ะ กินกันเถอะ" ผมพูดพร้อมรับประทาน แต่ก็เสือกมีเสียงดังที่หน้าประตู ...มารคอหอย


"เฮียไปป์แน่ ๆ เลย" ยายรัตนาพูดพร้อมกับกุลีกุจอเดินไปเปิดประตูห้อง


"สวัสดีค่ะเฮีย แหม ไม่เจอน้านนาน คิดถึงมาค่ะกินข้าวด้วยกัน เสร็จพอดี  เฮียมาตรงเวลาเสมอเลยนะคะ อ่า...ไม่พาแฟนมาด้วยหรอ?" ยายรัตนาพูดเจื้อยแจ้ว ส่วนไอ้ไปป์ เจอหน้าน้องสาวของผมก็ยิ้มเสียตาปิด  


"ไอ้เปรต ทำไมไม่รับโทรศัพท์" ไอ้ไปป์มาถึงก็ด่ากูเลย


"กูทิ้งโทรศัพท์ไว้ในห้องนอน นั่ง ๆ แล้วแดก ๆ ซะ" ผมด่ามัน ยายรัตนาเดินไปหยิบจานพร้อมกับตักข้าว จากนั้นมื้อเย็นแสนอร่อยก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ


"อร่อยที่สุดในโลก" ผมกินไปก็พูดไป ก็เกิดมาก็ไม่เคยกินอะไรเอร็ดอร่อยขนาดนี้ ขนาดว่ากับข้าวบ้านไอ้สมิงผัวอีดอยว่าอร่อยแล้ว เจอฝีมือครูเมี่ยงเข้าไป ไอ้สมิงชิดซ้ายตกกระป๋องไปเลย


"ลาออกจากการเป็นครูเถอะ ไปเปิดร้านอาหาร ไปเปิดแข่งกับร้านไอ้สมิง เอาให้มันเจ๊งไปเลย" ผมบ่นเพ้อพร้อมกับเคี้ยวหยับ ๆ ส่วนตัวคนทำกับข้าวแสนอร่อยได้แต่นั่งอมยิ้มไม่พูดไม่จา


ผมเถียงกับไอ้ไปป์บ้าง เถียงกับน้องสาวบ้าง โดนไอ้สองคนรุมด่าผมบ้าง แต่ครูเมี่ยงเอาแต่นั่งยิ้มแล้วก็นั่งหัวเราะ ไม่แทรก ไม่เสริมอะไรทั้งนั้น นี่สินะ ที่เขาว่ากิริยาชาววัง ส่วนกูกินไปพูดไป กิริยาไพร่สถุลสุด ๆ


"กินข้าวเสร็จแล้วก็อย่าเพิ่งลุกไปไหน ตามด้วยของหวานล้างปากด้วยค่ะ" ยายรัตนาพูด พร้อมกับเดินไปตักขนมใส่ถ้วยเล็ก ๆ เอามาประเคนถึงโต๊ะ ส่วนอาหารและจานที่กินเสร็จแล้ว ครูเมี่ยงเก็บเอาไปล้างอย่างละมุนละม่อม


"อะไรเนี่ย?" ไอ้ไปป์ถามพร้อมกับอมยิ้ม


"กล้วยบวชชีค่ะ เมี่ยงทำเหมือนเดิม เจ้าตัวบ่นใหญ่ว่าเสียดายไม่ได้กะทิแท้ ๆ ทำด้วยกะทิกล่องแต่น้องชิมแล้วก็อร่อยดี ไม่หวานมาก ติดเค็มนิด ๆ อร่อยจะตาย" ยายรัตนาว่า แล้วก็กลับไปช่วยล้างจานล้างชาม ผมก็เลยนั่งกินกล้วยบวชชีกับไอ้ไปป์สองคน


เรานัดแนะกันเรื่องจะไปฟังสัมมนาสัปดาห์หน้า ซึ่งไอ้ไปป์ก็ออกจะตื่นเต้น แน่สิ เรื่องแบบนี้ไม่ได้จะมีมาให้ฟังกันบ่อย ๆ ที่ไหน 


งานเลี้ยงเลิกราผมไล่ไอ้ไปป์ให้รีบกลับไปที่ห้องของมัน เพราะงานของพวกเราต้องตื่นแต่เช้า แล้วยังไม่นับจะเจอเคสด่วนในช่วงเวลาที่คาดไม่ถึง ส่วนยายรัตน้องสาวของผม ก็คุยหงุงหงิงกับครูเมี่ยง และผมก็หนีเข้าห้องนอน อ่านตำรับตำรา เตรียมการสอนสำหรับวันพรุ่งนี้ซึ่งเป็นเรื่องปกติ


ห้าวันผ่านไปไวเหมือนโกหก ทุกวันผมจะรีบกลับมาที่ห้องของตัวเอง ถึงผมจะเป็นอินโทรเวิร์ด แต่การได้กลับมากินข้าวอร่อย ๆ ฝีมือชาววัง การได้พูดคุยกับน้องสาวที่ผมเลี้ยงมาตั้งแต่เกิด มันก็ทำให้ผมรู้ตัวเองว่าพอผมกลับมาอยู่คนเดียวผมก็เหงานิด ๆ เหมือนกัน 


แต่โชคดีความเหงามันอยู่กับผมไม่นาน เพราะชีวิตของผมมันยุ่งวุ่นวายทุกวี่วันอยู่แล้ว ทำงานจนลืมวันลืมคืน และวันที่ผมตั้งตารอก็มาถึง 


ผมกับไอ้ไปป์ ไปถึงสถาบันที่จัดงานซึ่งอยู่ไกลถึงพุทธมณฑล เราไปถึงกันราว ๆ เก้าโมงเช้า โดยแวะกินอาหารเช้าระหว่างทาง น่าหมั่นไส้ที่ไอ้ไปป์พาว่าที่แฟนของมันมาด้วย คุยกันกะหนุงกะหนิง น่าหมั่นไส้ เหม็นเบื่อความรักชะมัด


ราว ๆ เก้าโมงกว่า ๆ พวกเราก็ถูกเรียกให้เข้าห้องประชุมซึ่งมีคนที่สนใจอยู่ราว ๆ ครึ่งร้อย แค่นี้ก็เต็มห้องประชุมเสียแล้ว อาจารย์เจ้าของสถาบัน แกเป็นหญิงวัยคุณป้าซึ่งเป็นอาจารย์สอนธรรมะ สอนนั่งสมาธิด้วย แต่ถึงอย่างนั้นแกก็สนใจเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว เรื่องลึกลับต่าง ๆ ด้วยเหมือนกัน 


แต่ตอนที่พวกเรากำลังจะเข้าไปผมเลือกที่จะนั่งที่หน้า ๆ โชคดีที่คนไทยชอบนั่งที่นั่งหลัง ๆ แต่ผมและเพื่อน ๆ ตั้งแต่สมัยเรียน ชอบที่หน้าสุด ก็เลยสบายไป ไม่ต้องแย่งที่นั่งกับใคร แต่เอ๊ ใครคนนั้นหน้าคุ้น ๆ นั่นมันครูเมี่ยงไม่ใช่หรือนั่น


"อ้าวครูเมี่ยง" ผมโบกมือทักทาย และคนหน้าแป้นก็เดินเร็ว ๆ ด้วยสีหน้าตกใจระคนดีใจพุ่งมานั่งข้าง ๆ ผม 


"มากับเขาด้วยหรือ?" ผมไม่วายจะถาม


"ผมมาเป็นเพื่อนเขาน่ะครับ" ครูเมี่ยงพูดแล้วก็ชี้ไปที่แขกรับเชิญที่นั่งยิ้มอยู่ข้าง ๆ อาจารย์เจ้าสำนัก


"เป็นเพื่อนกันหรอ?" ผมซักอีกเพราะชักอยากรู้


"เป็นญาติกันน่ะครับ" เขาตอบ และเราก็พูดคุยอะไรกันอีกนิดหน่อย ครูเมี่ยงหันไปยกมือไหว้ไอ้ไปป์ และพยักหน้าทักทายกับแฟนไอ้ไปป์มัน แล้วเราก็ไม่ได้พูดคุยกันอีกแล้วเพราะการสัมมนากำลังเริ่มต้น


เรื่องราวการสัมภาษณ์ ถูกเล่ามาเรื่อย ๆ เริ่มตั้งแต่ชาติที่แล้ว เขาเป็นพราหมณ์ในประเทศอินเดีย ซึ่งเล่าเรียนเรื่องการสถาปัตยกรรม นั่งเรือข้ามทะเลมาขึ้นฝั่งที่นครชัยศรี เดินทางด้วยเกวียนไปจนถึงประเทศกัมพูชา และเป็นคนออกแบบตลอดจนเป็นผู้คุมการก่อสร้างปราสาทเขาพระวิหาร แค่ชาติที่แล้วก็โคตรสนุกแล้ว ระหว่างพักเรื่องเล่า ก็จะเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมสัมมนาได้เขียนคำถามให้พิธีกรได้ทำการซักถามเป็นระยะ ๆ 


จนมาถึงชาติที่เขาเป็นมนุษย์จากดาวอีกดวง อีทีนี้ล่ะยิ่งสนุก เขาว่า ดวงอาทิตย์ที่เขาอาศัยให้แสงสว่าง ไม่ได้มีแสงสีส้มเหมือนโลกของเรา มันเป็นแสงสีฟ้า ๆ แล้วก็เล่าไปถึงอารยธรรมต่างดาว วิถีความเป็นอยู่ ชนเผ่า และภูมิประเทศ ซึ่งไอ้เรื่องนี้แหละ กว่าจะเล่าจบก็ใช้เวลาอยู่สักพัก และเวลาที่ถูกใช้เนิ่นนานกว่านั้นก็คือเวลาของการตอบคำถาม


ตอนท้ายของการสัมมนา พวกเราก็ยังไม่อยากให้จบอีกเพราะมีคำถามอยู่ในหัวมากมายเหลือเกิน แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันสิ้นสุด ครูเมี่ยงเดินไปหาญาติของเขา และพาพวกเราทั้งสามคนเข้าไปพูดคุยกับเขาด้วย ท่าทางเขาจะเหนื่อยเพราะตอบคำถามมาตั้งแต่สาย ๆ นี่ก็เย็นย่ำแล้ว น้ำลายน่าจะแห้ง


"ยินดีที่ได้พบกันนะครับ หวังว่าคงจะได้พบกันอีก" ไอ้ไปป์พูดและยื่นมือไปจับมือกับเขา น่าแปลกที่ทั้งคู่จับมือกันยาวนานกว่าปกติ เหมือนสื่อสารอะไรกัน แต่ผมคงจะคิดไปเอง พวกเราจะเดินทางกลับแต่ผมก็ชวนครูเมี่ยงเดินทางกลับด้วยกัน เพราะไหน ๆ ก็ทางผ่านอยู่แล้ว


"ขากลับมึงขับนะ กูเหนื่อย" ไอ้ไปป์พูดพร้อมกับหน้าซีดเล็กน้อย


"มึงเป็นอะไรป่าวเนี่ย สีหน้าไม่ค่อยดี" ผมถามมันกลับเพราะเป็นห่วง


"ไม่เป็นอะไรเลย ขอนอนพักแค่ครู่เดียวเท่านั้น" ไอ้ไปป์ตอบ และพาตัวไปนั่งที่ด้านหลัง อ้อนด้วยการทิ้งตัวของมันไปนอนบนตักแล้วทั้งคู่ก็เอาแต่จับมือกัน ...หมั่นไส้อีกแล้ว


ผมเกรงใจครูเมี่ยงเพราะเมื่อไอ้ไปป์ทิ้งตัวลงนอน ก็ไม่มีเสียงพูดของใครสักคน ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรเสียด้วยสิ ก็ผมกับครูเมี่ยงไม่ได้สนิทอะไรกันมากขนาดนั้น เขาก็แค่เพื่อนของน้องสาว


ขับรถด้วยความเงียบงันจนเข้ามาสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯ พระมหานคร ไอ้ไปป์ที่หลับไปหนึ่งตื่น พอมันลุกขึ้นมานั่ง ก็ดูสดชื่นขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ยังไม่ทันจะพูดคุยอะไรกันเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฟังข้อความที่คุยกันก็คือ อีดอยชวนไอ้ไปป์ให้ไปกินอะไรที่บ้านของมัน ซึ่งผมก็เห็นดีเพราะหิวพอดี 


"ครูไม่รีบกลับใช่ไหม?" ผมหันไปถามคนข้าง ๆ 


"ไม่ครับ" เขาตอบเหมือนกลัวดอกพิกุลทองจะร่วงออกจากปาก 


และเมื่อถึงบ้านของอีดอย น่าเสียดายที่อีรวีกับไอ้สินไม่มากินข้าวด้วยเพราะมันว่ามันกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่ของอีรวีมัน


อีดอยพูดคุยกิ๊วก๊าวดีอกดีใจ และคุยอวดที่ฝันแฟนของไอ้ไปป์มาช่วยทำสวน ประเภทผักสวนครัวรั้วกินได้ ซึ่งผมว่าผมก็ไม่ได้มาบ้านมันแค่ไม่กี่อาทิตย์ ทำไมต้นไม้ต้นไร่มันสวยงามอะไรขนาดนั้น ผักเต่ง ๆ สารพัดที่ถูกปลูกเป็นแถวเป็นแนวอย่างกะสวนในนิตยสาร หรือโฆษณาโครงการโคกหนองนาหนองแน


"เห้ยมีมะม่วงสุกด้วย เก็บมะม่วงไว้กินล้างปากด้วยสิ" ผมตาไว บอกไอ้สมิงให้เก็บมะม่วงลูกที่สุกจนมีสีเหลืองทองสี่ห้าลูกห้อยระย้าอยู่ต้นข้างสวนพอดี


ตามประสาอีดอยที่ช่างพูดช่างซัก แม้จะไม่ถึงขั้นพูดมากเหมือนอีรวี แต่ก็ทำให้บรรยากาศในห้องครึกครื้นพอสมควร ฝันก็หัวเราะร่วน ส่วนครูเมี่ยงก็ยิ้มแหย ๆ คุยกันไปคุยกันมาก็เลยรู้ว่า ครูเมี่ยงกับฝันเกิดปีเดียวกันเสียด้วย พวกเราเพื่อน ๆ ก็พูดคุยกันไปตามประสา และกลายเป็นว่า ฝันกับครูเมี่ยงสนิทกันไวกว่าที่คิด


"เดี๋ยวผมปอกมะม่วงให้พวกพี่หมอกินดีกว่า" ครูเมี่ยงว่าและถือวิสาสะเดินไปตรงซิงก์ล้างจาน ซึ่งข้าง ๆ มีมีดสารพัดขนาดสารพัดชนิด ไอ้พวกผมก็คุยเถียงกันไปทะเลาะกันมาและเอาแต่คุยโม้เรื่องคนระลึกชาติอย่างสนุกปาก จนเมื่อครูเมี่ยงเอาจานใส่มะม่วงที่ถูกหั่นแล้วมาวางที่โต๊ะ พวกเราก็ตาเหลือกกันเป็นแถว


เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ก็เพิ่งจะเคยเห็นอะไรแบบนี้ ไอ้พวกรูปสวย ๆ จากในเวป หรือจากนิตยสารก็ยกไว้อย่างหนึ่งแต่นี่มันของจริงไง มะม่วงสุกปากตะกร้อ ถูกหั่นมาอย่างเรียบร้อย แถมสลักเสลาเป็นรูปใบไม้ซะด้วย 


"เก่งจัง" ไอ้สมิงพูดแล้วก็ทำตาเหลือก หันไปมองหน้าอีดอยเลิกลัก


"แบบธรรมดา ๆ เองครับ มีดยังไม่ค่อยคมเท่าไร ถ้าเป็นมีดแกะสลักของคุณย่าผมจะคมกว่านี้ทำจากทองเหลือง คุณย่าผมแกะสลักผลไม้เป็นดอกกุหลาบเอาไปวางกับดอกกุหลาบจริง ๆ ถ้าไม่จับดูจะไม่รู้เลยว่าอันไหนของจริงอันไหนของปลอม" ครูเมี่ยงพูดเหมือนพยายามอวดตัวเองนิด ๆ ก็เอาเถอะอวดได้ไม่ว่ากันเลย


"ครูเมี่ยงปอกมะปรางริ้วเป็นไหม?" ไอ้สมิงถามท่าทีตื่นเต้น


"พอทำได้ครับ แต่ได้ไม่กี่ลาย" ครูเมี่ยงตอบ แล้วไอ้สมิงก็กุลลีกุจอเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบถุงมะยงชิดออกมาให้พวกเราดู


หายไปครู่หนึ่งพวกเราเกี่ยงกันว่าใครจะเป็นคนกินใบไม้จากมะม่วงสุกก่อน เพราะสวยจนไม่กล้ากิน แต่ครู่ต่อมาครูเมี่ยงก็เดินยิ้ม ๆ เอามะยงชิดที่ถูกปอกเปลือกแล้วยังคว้านเม็ดจนเสร็จเรียบร้อยใส่จานมาอวดพวกเรา


"ครูเมี่ยงไว้สอนผมทำบ้างได้ไหม ?" ไอ้สมิงคงอยากทำคลิปวิดีโออาหารสูตรชาววัง


"ได้ครับ ตอนเด็ก ๆ คุณย่าชอบทำมะปรางเอามาริ้วเป็นดอกกระดังงา แล้วเอามาทำลอยแก้ว" ครูเมี่ยงพูดเหมือนเราพูดเรื่องกินกะเพราไก่ไข่ดาว แค่ฟังผมก็ทึ่งชิบหายแล้ว


"เชี่ย...ฝีมือชาววัง" ผมอดอุทานเบา ๆ ให้ได้ยินแค่ตัวเองไม่ได้ จนมือที่สั่นเทาของผมซึ่งจับช้อนส้อมจิ้มไปที่มะยงชิดที่ถูกปอกเปลือกพร้อมคว้านเมล็ด แล้วก็เอาส่งเข้าปาก เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ กูไม่เคยกินอะไรแบบนี้เล๊ย บุญปากไอ้เบียร์แท้ ๆ