แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาวแฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
อ้าอุไรพธูพบูพิบูลย์ เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ เจริญภาส
ตูสวิงสวายเพราะสายสวาดิ์ ระทวยบ่ปลดระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก
แสนจะเสียวจะส้านณวารวิโยค จะข้ามห้วงบ่ล่วงอโฆ ก็อกกรม
ใคร่เสน่หะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิทร์จะชิดจะชม ณเชิงรัก
เชิญสมรสุมาลย์สมานสมัค ประสานประสงค์ประจง ประจวบใจ ประจักษ์
ผมค่อย ๆ พับกระดาษที่มีลายมือหวัดแกมบรรจงแล้วอมยิ้ม พลางถามมันไปเบา ๆ ว่า
"มึงจีบกูหรอ?"
"เปล่า" มันตอบอย่างว่องไว แต่หน้าแดง คนแปลกประหลาดอย่างนี้ก็มีด้วย
โดย Chavaroj
"เห้ย...สุดยอดเลยอ่ะ" เสียงชื่นชมจากปากของพี่หมอเบียร์น่ะไม่เท่าไร แต่สีหน้าแกที่ปลาบปลื้ม ตอนได้หม่ำมะยงชิดที่ผมตั้งหน้าตั้งตาปอกนี่สิ มันทำให้ผมใจฟูไปยิ่งกว่า มะยงชิดหนึ่งกิโลเรอะ กระจอก เอามาทั้งสวนเลยก็ยังไหว แม้ว่าตอนนี้นิ้วของผมเกร็งจนจะเป็นตะคริวแล้วก็เถอะ
พวกพี่ ๆ เขากินมะยงชิดไปชมผมไป ไอ้เรื่องปอกมะยงชิดแค่นี้มันของหมู ๆ เพราะตอนเด็ก ๆ ผมก็ถูกเลี้ยงโดยท่านย่าซึ่งเชี่ยวชาญงานครัวอยู่แล้ว มะปรางลูกเล็กกว่านี้ เนื้อน้อยกว่านี้ ผมยังริ้วมันได้ นี่มะยงชิดลูกเท่าไข่ไก่ สบายมาก ๆ แต่เสียดายที่มีดของพี่สมิงถึงจะคมแต่มันก็ใหญ่เทอะทะไปหน่อย ก็มันไม่ใช่มีดแกะสลักนี่นะ
"ค่อย ๆ สิเจ้าเมี่ยง นี่ทำตามย่า...อย่างนั้น...ใช่แล้ว...ช้า ๆ ตามรอยแบบนี้เลยอย่างนี้เรียกลายเปลือกหอยแครง" ท่านย่าที่สอนผมไปค่อย ๆ พูดไปอย่างใจดี ปลอบบ้างดุบ้าง ไอ้ที่กว่าจะทำได้อย่างนี้ก็ปอกมะปรางเสียเป็นกิโล ๆ แต่ก็ไม่เสียของเพราะลูกไหนเสียผมก็ยัดเข้าปากเท่านั้น
แต่ผมไม่ใช่คนเห็นแก่กิน ใจที่อยากจะเอาชนะ และอยากจะทำให้มันสวย ๆ เหมือนของท่านย่า ในที่สุดผมก็ทำได้ ถึงขนาดริ้วมะปรางเป็นดอกกระดังงา ก็ทำได้ในเวลาต่อมาไม่กี่วัน แต่มีข้อแม้นิดหนึ่งว่าขอใช้มีดดี ๆ คือเป็นมีดทองเหลืองซึ่งถูกลับจนคมกริบ
ถ้าลองริ้วมะปรางได้แล้ว ไอ้การแกะสลักอย่างอื่นก็ไม่ใช่จะยากเย็น ผมจำได้ว่าเริ่มแรกของผมก็คือการแกะกระชายเป็นดอกจำปา เพื่อใส่ในสำรับข้าวแช่
ท่านย่านั้นเคยเล่าให้ผมฟังว่า หม่อมยายของท่านเคยเป็นต้นเครื่องในวังตั้งแต่สมัยรัชกาลที่หกเลยเชียวล่ะ ตามสมัยนั้น ผู้ใหญ่ก็ให้แต่งงานกันในหมู่เครือญาติ ท่านปู่กับท่านย่า ซึ่งเป็นราชนิกุลเหมือนกันก็เลยถูกดองกันมาตั้งแต่ยังเด็ก ๆ แต่พอแต่งงานกันแล้วก็รักใคร่กันดี ท่านปู่นั้นสมัยยังมีชีวิตอยู่ท่านเป็นถึงนายตำรวจยศอัศวิน
แม้จะมีชื่อเสียงว่าเจ้าชู้เพราะความจำใจเนื่องจากท่านปู่นั้นหล่อเหลาเป็นอันมาก และความที่เป็นตำรวจต้องเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ ไม่แปลกเลยที่จะได้เจอแม่หญิงสาวชาวเหนือที่ผิวขาวเหมือนไข่ปอก หรือเจอสาวใต้ที่สวยคมขำ
แน่ล่ะว่าท่านปู่เคยนอกลู่นอกทางมาบ้างแต่สุดท้ายก็กลับมาตายรัง
"ท่านย่าไม่โกรธท่านปู่หรือคะ ที่แอบมีอีเล็ก ๆ" ผมเคยถามตอนเด็ก ๆ เพราะพอถึงคุณพ่อแล้วท่านก็มีคุณแม่แค่คนเดียว ไม่มีวอกแวกเพราะท่านย่าท่านย้ำนักย้ำหนาว่าให้รักเดียวใจเดียว
"ก็โกรธสิใครเล่าจะไม่โกรธ แต่สมัยย่ายังเด็ก ๆ น่ะ ตอนเกิดมา บ้านของย่าก็มีบ้านเล็ก ๆ อยู่ในอาณาเขตเดียวกันตั้งหกหลัง ย่าก็เลยชินเสียละกระมัง" ท่านย่าเล่าพร้อมเบ้ปากนิด ๆ
ท่านปู่เป็นนายตำรวจ และท่านย่าท่านก็เป็นคุณครูโรงเรียนสตรีเก่าแก่ ซึ่งขึ้นชื่อนักหนาว่าอบรมความเป็นผู้ดีให้แก่บรรดานักเรียนหญิงล้วน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นลูกท่านหลานเธอ ท่านทำหน้าที่สอนหนังสือมาตั้งแต่สาวจนเกษียณเลยทีเดียว แม้จะออกเรือนแต่ก็ยังทำงานอยู่ไม่ยอมลาออกไปเป็นแม่บ้าน
ดูสิจู่ ๆ ก็มาคิดถึงท่านย่า แต่พอกลับมาอยู่กับปัจจุบัน ผมก็ได้แต่ยิ้มอย่างปลื้มใจ ไม่เสียแรงที่ลงทุนร่ำเรียนแม้จะโดนดุโดนว่าและโดนหยิกเอาเจ็บ ๆ อยู่เป็นหลายที แต่รอยยิ้มจนตาปิดของพี่เบียร์ก็คุ้มแล้วสำหรับผม
สนุกจริง ๆ สำหรับก๊วนเพื่อนกลุ่มนี้ พี่ดอยที่ใจดีและชวนผมคุยอย่างเป็นกันเองทำให้ผมหายเกร็ง ทวงสัญญาว่าให้ผมมาหาบ่อย ๆ
"ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้น มากับไอ้เบียร์มันนั่นแหละ คนอื่นมีแฟนหมดแล้วเหลือมันคนเดียว มันก็คงว่างแหละ เพราะคนอื่นเขาไม่ว่างแล้ว มาเหอะไม่ต้องเกรงใจ ถ้าพี่นัดมันจะให้เรามาด้วยนะ อ้อ ท่าทางสมิงคงอยากให้เมี่ยงมาช่วยสอนทำอาหารชาววังด้วย ไว้มาถ่ายคลิปด้วยกันสิสนุกดี" พี่ดอยพูดเพราะเห็นว่าผมลำบากใจ หรือพูดเพราะจะให้ผมมาช่วยสอนพี่สมิง หรือเพราะอยากให้ผมมากับพี่เบียร์กันนะ แต่เอาเถอะ ผมยินดีทั้งหมดนั่นแหละ ...ก็ผมแอบชอบพี่เบียร์เสียแล้ว
นับตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน ไม่ใช่ตอนที่ผมพานักเรียนของผมไปหาเขาแน่ ๆ พี่เบียร์คงจำไม่ได้หรอก เพราะมันเป็นเรื่องเมื่อสามปีก่อนต่างหาก ตอนนั้นผมย้ายจากโรงเรียนแห่งหนึ่งมาสอนที่โรงเรียนนี้ใหม่ ๆ
"โรงเรียนติดโรงพยาบาลเลย ตรงข้ามเป็นวัดอีก พร้อมจังแฮะ" ผมคิดนินทาโรงเรียนและเดินสำรวจรอบ ๆ โรงเรียน ฝั่งหนึ่งของสนามฟุตบอล ติดกับโรงพยาบาล และตรงหน้าต่างบานนั้น ผู้ชายสูงโปร่งใส่แว่นกลมหนาผมหน้าม้า นิด ๆ กำลังยืนจิบกาแฟ และเหมือนเขากำลังบ่นอะไรกับตัวเอง ผมจ้องเขาอยู่หลายนาทีจนเขาหายไป
แต่นี่มันสเปคผู้ชายในวันของผมชัด ๆ ผมจึงมักหาโอกาสไปมองตรงนั้นโดยเฉพาะช่วงเช้า ๆ แม้แค่ได้เห็นเงาของเขาสักนิดก็ยังดี
ผมนั้นเป็นคนชอบเล่นกับเด็ก ๆ จนครั้งหนึ่งเด็ก ๆ ที่กำลังเล่นกระโดดยางกันอย่างสนุกสนาน เห็นผมมาเดินปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ ก็เลยมีแก่ใจชวนผมเล่นกระโดดยางด้วยซะเลย
"พวกเธอไม่รู้อะไรเสียแล้ว ครูน่ะ แชมป์กระโดดยางเก่านะ" ผมว่าและถอยกรูดไปตั้งท่า ขยับกางเกงให้มันกระชับ แล้วก็กระโดดแผล็วอย่างสวยงาม เด็ก ๆ ที่เห็นว่าครูหน้าซื่อ ๆ มากระโดดยางด้วยก็เลยเฮกันใหญ่ และผมเองก็กระโดดโลดเต้นอย่างยินดี เพราะพลอยสนุกไปกับเด็ก ๆ ด้วย
บังเอิ๊ญ บังเอิญ หน้าของพี่หมอเบียร์โผล่ออกมาพอดี คิ้วขมวดเหมือนไม่ค่อยพอใจ ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่าเขาคงมองผมสักพัก ผมก็เลยตั้งท่ากระโดดอีอก ซึ่งแน่ล่ะผมกระโดดข้ามหนังยางได้อย่างสวยงามจนพวกนักเรียนส่งเสียงเฮอีกหน ตาของผมหันไปป๊ะกับหน้าต่างบานเดิมอีกที จนประสานสายตากัน เขาอมยิ้มและส่ายหน้าดิกเหมือนตำหนิกลาย ๆ ว่าผมไม่น่ามาเล่นอะไรอย่างนี้เลย
ผมละอายแทบแทรกแผ่นดินหนี รีบวิ่งจู๊ดกลับเข้าห้องพักครูในทันทีเกิดมาในชีวิตก็ไม่เคยจะอายและเขินอะไรขนาดนี้ นี่หลุดทำตัวเปิ่นจนเขาต้องนึกนินทาแน่ ๆ
โลกมันกล๊มกลมจนผมได้รู้ว่าพี่หมอเบียร์เป็นพี่ชายแท้ ๆ กับยายรัตนาเพื่อนซี้ของผมตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ก็นามสกุลนี้ยายรัตนาหล่อนเล่าถึงที่มาที่ไปจนผมจำได้ขึ้นใจ ยิ่งมองเค้าหน้าก็เห็นว่าคล้าย ๆ กัน ผมก็เลยโพล่งถามว่าทั้งสองเป็นญาติกันหรือไฉน
"เป็นพี่น้องกันหรือครับ?" ผมถามและยิ้มอย่างยินดี จนเมื่อพานักเรียนกลับห้องพยาบาล ผมก็ส่งข้อความหายายรัตนาเลยทีเดียว
"ตัวเจอพี่ชายเค้าละหรอ?" ยายรัตนาโทรศัพท์มาหาผมทันที
"อืม..." ผมตอบกลับ เขินนิด ๆ แต่เขินทำไมกันนะ
"พี่ชายเค้าหล่อมั๊ย ยังโสดนะจ๊ะ จีบได้ หรือถ้าตัวไม่กล้าจีบ เดี๋ยวเขาเป็นแม่สื่อให้ ใส่พานถวายเลยค่ะ สามสิบกว่าแล้วเกิดมายังไม่เคยมีแฟนสักคนเดียว ไม่เคยชอบใครด้วย ถ้าไม่เป็นหมอ นึกว่าจะไปบวชซะแล้ว" ยายรัตนาว่า และบ่นถึงพี่ชายของหล่อนอยู่อีกพักใหญ่ ๆ ผมก็ได้แต่หัวเราะกิ๊ก ๆ
จนเรื่องบังเอิญหลังจากนั้น ซึ่งมันก็ไม่บังเอิญหรอก เพื่อนรักที่ตั้งท่าจะเป็นแม่สื่อให้ ถึงขนาดยอมลางานเพื่อมาสัมมนา โดยจะได้หาข้ออ้างเพื่อที่จะมานอนค้างคอนโดของพี่หมอเบียร์ โดยหล่อนนัดแนะกับผมว่าให้มาทำกับข้าวเย็นด้วยกัน จะได้มีโอกาสได้ดูใจพี่เบียร์ไปด้วยในตัว และเป็นการแสดงฝีมือให้พี่เบียร์รู้ว่าผมน่ะมีเสน่ห์ปลายจวัก
"เสน่ห์ปลายจวัก...ผัวรักจนตาย" ได้ยินมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นจริงไปได้ แต่โอกาสแม้เพียงน้อยนิด ผมก็ต้องคว้ามันไว้ ก็เขาเป็นคนที่ผมได้แต่แอบมองมาตั้งสามปีนี่นา
ผมงัดสูตรอาหารไทยง่าย ๆ ที่เคยทำที่บ้านกับท่านย่า ใส่ฝีไม้ลายมือเข้าไปให้เต็มที่ และระหว่างนั้นก็พยายามสำรวจห้องของพี่เบียร์ไปด้วยในตัว ว่ามีชิ้นส่วนของคนอื่นอยู่ในห้องบ้างหรือเปล่า
จากการประเมินก็รู้สึกว่าพี่หมอเบียร์นั้น ในชีวิตแกนอกจากเรื่องงานก็ดูจะไม่ได้สนใจอะไรอย่างอื่นเลย แต่ฟิกเกอร์พวกมนุษย์ต่างดาว เอเลี่ยน และยานบินในตู้กระจกหลายใบนั้นก็พอจะทำให้ผมมีมุมมองกับคุณหมอคนนี้เปลี่ยนไปสักหน่อย
โลกกลมอีกแล้วเพราะผมแอบฟังจนได้ยินพี่หมอเบียร์กับพี่หมอไปป์คุยกันว่าจะไปงานสัมมนาอะไรสักอย่าง จับใจความดูก็ขนลุกเพราะสาเหตุที่จะไปฟัง คนนั้นไม่ใช่ใครอื่นไกล ญาติผมนี่เอง อะไรมันจะเข้าทางน้องเมี่ยงขนาดนั้นกันหนอ
เวลาห้าวันกับการแสดงฝีไม้ลายมือเสน่ห์ปลายจวัก พี่เบียร์ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะคิดกับผมเกินเลยไปไหน มองผมว่าเป็นเพื่อนกับน้องสาวก็เพียงเท่านั้น แต่ไอ้ของอย่างนี้มันต้องสู้ ไม่เข้าถ้ำเสือจะได้ลูกเสือได้ยังไง ถือเสียว่าอย่างน้อยก็สนิทกันมากกว่าเดิม จากเดิมที่ได้แค่แอบมองอยู่ห่าง ๆ ก็นับว่ามีพัฒนาการที่ดีพอใช้
ผมโทรศัพท์ไปหาญาติของผม ซึ่งเมื่อนัดแนะกันเป็นอย่างดี ผมก็ไปยืนปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ในงานกับเขาจนได้ ออกจะงง ๆ และทึ่ง ๆ สักหน่อยเพราะในชีวิตก็ได้เคยสนใจเรื่องมนุษย์ต่างดาว เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดเลยสักนิด ถึงจะฟังจากปากคำของญาติผมบ่อย ๆ แต่มันฟังบ่อยเกินไปจนคิดว่าเป็นเรื่องปกติและไม่ได้ใส่ใจ
นั่นไงพี่หมอเบียร์กับพี่หมอไปป์เดินเข้ามาแล้ว ผมเห็นแต่ไกลเพราะตาของผมเอาแต่เฝ้ามอง แต่ผมก็ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จนพี่หมอทั้งสองเดินมาทักทาย...มันดูบังเอิญบังเอิญ บังเอิญกับผีสิ ผมพักอยู่ในตัวเมืองกรุงเทพฯ แต่งานสัทมนานี่จัดถึงพุทธมณฑล นั่งรถออกมาตั้งแต่เช้ามืดโน่น อะไรจะทำให้น้องเมี่ยงพยายามได้ขนาดนี้ถ้าไม่ใช่เรื่องของผู้ชายคนที่ผมแอบหมายปอง
แผนต่อไปของผมลงล๊อกอีกแล้ว ผมซึ่งเริ่มตีสนิทกับฝันแฟนของพี่หมอไปป์ และพูดคุยอ้อม ๆ เพราะสอบถามแล้วว่าหลังจากงานนี้จะไปไหนกันต่อ ยังไงผมก็ต้องขอกลับรถกับเขาด้วยแหละ ถ้าเขาไม่ชวนผมก็จะเอ่ยปากขอติดรถเขามาเอง แต่โชคดีที่เขาชวนผมก็เลยได้นั่งรถมากับเขาด้วยแบบไม่ต้องพูดอะไรมาก จนสุดท้ายผมก็ได้มาแสดงฝีมือการริ้วมะยงชิดอยู่ตอนนี้แหละ
"ไอ้เบียร์ วันนี้อีรวีไม่มา ไม่มีใครชวนมึงก๊งเหล้านะ" พี่หมอป๊อบ ซึ่งพี่ดอยนินทาว่าเหมือนป๊อปอายพูด
"ปกติกูกินแต่นมปั่น" พี่หมอเบียร์เถียงกลับ
"ดีแล้วขืนมึงเมาอายเขาแย่ไอ้เปรต" พี่ป๊อปว่ากลับอีก
"อายเอยอาราย?"
"อายน้องเมี่ยงเขา นี่น้องเมี่ยงรู้ไหม ไอ้เวรนี่หน้าตี๋ ๆ ตาตี่ ๆ แต่พอตอนเมาแล้วมันชอบร้องลิเก" พี่หมอป๊อปฟ้อง
"บร๊ะ...ไม่เมากูก็ร้องได้เฟ้ย" พี่หมอเบียร์เถียงกลับและขยับตัวมานั่งกระหย่งขาข้างหนึ่งบนเก้าอี้
"เลิกงานแล้วลับกลับบ้าน มาชมรายการชวนชื่น ยุคเศรษฐกิจ เต็มกลืน เราต้องสดชื่นเข้าไว้ เกิดมาหล่อลากดิน ต้องกินยาลดความหล่อ กลุ้มใจ กลุ้มใจจริงหนอ เช้ามาเช้ามาคุณเชื่อไหม ผมต้องไปรีบหาหมอ ต้องกินทั้งยาเม็ดยาหม้อ แต่ความหล่อก็ยังเต็มกลืนนนน" พี่หมอเบียร์ร้องเพลงลิเกลงลูกคอ มือรำแบบควักกะปิ จนทุก ๆ คนหัวเราะแทบแย่ ผมเองก็หัวเราะแทบตายเหมือนกัน ไม่นึกว่าคนเป็นครูบาอาจารย์ก็จะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้
"มึง...อายเขา" พี่ดอยทำหน้าเบ้ และหันมายิ้มแหยให้กับผม
"พี่หมอร้องเพราะออกครับ แหมถ้ามีระนาดด้วยก็ดีเดี๋ยวผมตีระนาดรับให้" ผมพูดออกไปพร้อมกับยิ้มกว้าง
"ครูเมี่ยงตีระนาดเป็นด้วยหรือ?" พี่หมอเบียร์หันมาถามผมแล้วก็ยิ้มกว้าง
"เป็นสิครับ ระนาด ขลุ่ย ซอด้วย ซออู้ ขิม จะเข้ ผมเล่นเป็นเกือบหมดนั่นแหละ ก็ผมเป็นครูสอนวิชาดนตรีนี่ครับ" ผมตอบออกไปแล้วก็ยิ้มกว้างตอบเขา ตอบแบบนี้ไม่รู้จะทำคะแนนได้เท่าไร แต่ก็เชื่อว่าทำให้คะแนนของผมในสายตาของพี่หมอเบียร์น่าจะตีตื้นขึ้นมาบ้างแหละ
"ร้องเพลงไทยเดิมเป็นด้วยไหมล่ะ?" พี่เบียร์ถามไอ้อย่างนี้ก็เข้าทาง ผมก็เลยขยับตัวเป็นนั่งหลังตรงและเอื้อนเอ่ยเสียเลย
อายุ เยาว์ วเรศ รุ่น เออ...เจริญศรี
พระเพื่อน พี่เออ...แพง น้อง เออ...สองสมอง
เอ๋ย งาม องค์...งามทรง เออ... อ่อนซ้อนเออ
ดังอัปสร หยาด...ฟ้าเอ๋ย...ลงมาเอย
ผมเอื้อนไม่ถึงกับสุดพลังเพราะไม่อย่างนั้นมันจะยาวเกินไป ทุกสายตาหันมามองผมเป็นตาเดียวทุกคนอมยิ้มและผมก็ยิ้มกว้าง แต่ไป ๆ มา ๆ พอมีสติรู้ตัวรอยยิ้มของผมกลับแห้งลงถนัด เหลือแต่พี่หมอเบียร์ที่ยิ้มตาปิดอยู่ เอาวะ ถือเสียว่าคงทำคะแนนได้ไม่มากก็น้อยแหละเน้อ
"ไม่ยักรู้ว่าร้องเพลงไทยเดิมเพราะขนาดนี้นะ" พี่หมอเบียร์กล่าวชม ผมนี่ใจฟูเลยแต่ก็ต้องแอบกลั้นยิ้มและก้มหน้า
จนขากลับ พี่หมอไปป์เป็นคนขับรถ ผมก็เลยต้องนั่งคู่มากับฝันที่เบาะหลัง ทิ้งให้พี่หมอสองคนนั่งข้างหน้าด้วยกัน ฟังทั้งสองคนคุยกันบ่นกันด่ากันไปตามรายทาง ซึ่งพี่หมอไปป์แจ้งว่าต้องไปส่งฝันที่บ้านเสียก่อน แน่ล่ะผมยินดีอยู่แล้วให้นั่งรถถึงเที่ยงคืนตีหนึ่งก็ยังไหว ขอให้ได้อยู่ในชายคาเดียวกันกับพี่หมอเบียร์เถอะ แค่แอบมองเงาหลังของเขาผมก็ยิ้มจนตาปิดได้เหมือนกัน
เราออกนอกเขตกรุงเทพฯ ไปนิดหน่อยชานเมืองสักแห่ง ทั้งสองคู่รักเอ่ยคำร่ำลากันนิดหน่อย พี่หมอไปป์ก็ขับรถกลับสักที
"ตกลงครูเมี่ยงพักที่ไหนน่ะ ?" พี่หมอไปป์ผู้ขับถาม
"ขับไปจอดที่คอนโดของพี่หมอได้เลยครับ บ้านผมก็อยู่แถว ๆ นั้น" ผมพูดอย่างเกรงใจ
"ดึกแล้ว ไม่ดี เดี๋ยวขับไปส่งถึงบ้านเลย" พี่หมอเบียร์พูดเสียงดุ ๆ แต่แหม มันเป็นการดุที่ทำให้ผมดีใจเสียเหลือเกิน
"เดี๋ยวผมบอกทางให้ครับ จริง ๆ ก็อยู่ใกล้ ๆ โรงเรียนนั่นแหละครับห่างไปสองซอยเท่านั้น" ผมตอบและในที่สุดรถของพี่หมอไปป์ก็มาจอดที่หน้าบ้านของผม
"พี่เบียร์ครับ พรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวผมเอากับข้าวไปฝากได้ไหมครับ พอดีคุณย่าผมชอบทำกับข้าวทีละเยอะ ๆ จะได้แบ่งไปฝากกันรับประทาน" ผมพูดไปก็ต้องกำมือตัวเองแน่น ๆ ไปเพราะเขินเต็มที
"เกรงใจ...แต่เอามาก็ได้ ถ้าเราไม่ลำบากน่ะนะ" พี่หมอเบียร์เปลี่ยนเสียงเมื่อเห็นว่าผมหน้าม่อยลงเมื่อเขาปฏิเสธในทีแรก
รถของพี่หมอไปป์ขับกลับไปแล้วแต่ผมยังยืนอยู่หน้าบ้านอยู่เลย ปกติคนบ้านผมนอนไว สามทุ่มก็หลับกันหมดแล้ว โดยเฉพาะผมก็เข้านอนตั้งแต่สามทุ่มเหมือนกัน เพราะต้องตื่นตอนเช้ามืดมาช่วยท่านย่าทำครัว หน้าบ้านของผมเงียบจนวังเวง ลมพัดกลิ่นดอกสายหยุดซึ่งปลูกอยู่หน้าบ้านลอยมาจนได้กลิ่นหอมสดชื่น
ผมอดจะเอื้อมไปเด็ดมันมาสักสี่ห้าดอกเสียไม่ได้ แต่พอตัวเองเผลอหาวออกมาจนน้ำตาเล็ด ผมก็รีบพาตัวเองกลับเข้าไปในบ้านอย่างว่องไว รีบอาบน้ำและเข้านอน แต่ตื่นเต้นจนเกือบจะนอนไม่หลับ นึกอยากให้ถึงเช้ามืดไว ๆ เพื่อจะได้ลงครัวไปช่วยท่านย่าทำอาหาร
พี่หมอเบียร์ชอบกินปลา ผมนอนคิดเมนูที่ทำจากปลาสี่ห้าอย่าง จะทำฉู่ฉี่ ทำแกงส้ม หรือจะทำพริกขิงด้วยก็เข้าที แต่ไม่เป็นไร คิดไว้หลาย ๆ เมนูไปก่อน จนเสียงนาฬิกาปลุกดังผมก็กระเด้งตัวตื่นขึ้นมาทันใด
ล้างหน้าล้างตาบ้วนปาก แล้วผมก็รีบลงมาในครัว ไฟในครัวเปิดสว่าง ท่านย่าเปิดวิทยุซึ่งดีเจเจ้าประจำก็กำลังเล่าอะไรไปเรื่อย ท่านย่าฟังคลื่นวิทยุธรรมะ อย่างนี้มาตั้งแต่เกษียณ
"กลับเสียดึกเลยย่าได้ยินเสียงรถมาจอดที่หน้าบ้านราว ๆ สองยาม" ท่านย่าท้วงนิด ๆ ค้อนให้อีกหนึ่งวง
"เมี่ยงไปรับประทานอาหารกับพวกพี่ ๆ เขาต่อน่ะค่ะ ท่านย่าคะ วันนี้ท่านย่าจะทำอะไรดี เมี่ยงอยากทำฉู่ฉี่ปลาช่อนดีไหมคะ เมี่ยงเห็นท่านย่ามีปลาช่อนอยู่ในตู้เย็น" ผมอ้อน
"เราอยากกินเองรึยังไง?" ท่านย่าถามและอมยิ้ม
"ก็อยากรับประทานเองด้วยค่ะ แล้วก็เอ่อ...จะขอแบ่งใส่กล่องไปฝากพี่ เขาสักนิดด้วยนะคะ" ผมอ้อมแอ้มตอบ
"เอาสิ เป็นไรมี ถ้าอย่างนั้นก็ทำเยอะหน่อย เอาปลาช่อนมาทำให้หมดนั่นแหละ ว่าแต่ตัวจะเอาไปทำคะแนนกับพี่เขาล่ะสิ" ท่านย่าพูดแล้วมองผมด้วยหางตา
"ก็ประมาณนั้นแหละค่ะ เธอชอบกินปลา" ผมตอบแล้วก็ขยับไปยืนกอดท่าน เอาหัวซุกไปที่บ่าแห้ง ๆ ของท่านย่า จนท่านลูบหัวของผมเบา ๆ
แล้วเราสองคนก็ช่วยกันทำกับข้าว ทำไปคุยกันไป ผมไม่เคยมีความลับกันท่านย่าเลย เล่าให้ท่านฟังได้ทุกเรื่อง ทุกเรื่องจริง ๆ แม้แต่เรื่องคนที่ผมได้แต่แอบชอบ
จนในที่สุด ปลาช่อนที่สุกดี มันก็นอนแอ้งแม้งในกล่องอาหารโดยมีใบตองนอนรองพื้น ส่วนน้ำฉู่ฉี่เดี๋ยวเราค่อยราดอีกที ไม่อย่างนั้นจะแฉะเกินไป แล้วยังใบมะกรูดที่หั่นจนเป็นฝอยซึ่งแยกใส่ถุงเล็ก ๆ อีกเอาไว้โรยตอนจะรับประทานอีกรอบ ถ้าไม่รักกันก็เห็นจะใจดำกันเกินไปละ
"เอาล่ะ ถ้าอีตาหมอตาถั่วนั่นไม่รักหลานย่า ก็เห็นทีจะต้องไล่ให้ไปบวชเสียแล้วอุตส่าห์ปรุงเสียสุดฝีมือขนาดนี้" ท่านย่าล้อ
จนฟ้าสว่างแล้วนั่นแหละ ผมไปอาบน้ำแต่งตัว และลงมารับประทานอาหารกับคุณพ่อคุณแม่และคุณย่า ตอนออกไปทำงานก็ง่ายหน่อย เพราะผมติดรถของคุณพ่อออกมาเลย
"ขอเมี่ยงลงหน้าโรงพยาบาลนะครับท่านพ่อ" ผมบอกจุดหมาย และเมื่อลงที่หน้าโรงอาหารของโรงพยาบาลผมก็อดจะสั่น ๆ ไม่ได้ ยืนก้มหน้ามองตัวเองที่วันนี้แต่งตัวได้เรียบร้อยดี แถมวันนี้ผมใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวกับกางเกงสแลคที่ค่อนข้างจะดูดีเสียด้วย แอบขโมยน้ำหอมแพง ๆ ของคุณแม่มาฉีดนิดหน่อย เอาล่ะสู้ ๆ
ผมถือถุงใส่อาหารซึ่งมีปิ่นโตอยู่ด้านใน ที่เตรียมมา ความบังเอิญไม่มีอยู่จริง ผมต้องพยายามทำให้มันเกิดขึ้นทั้งนั้น ผมสืบมาแล้วว่าพี่หมอมักจะมาทานอาหารที่โรงอาหารนี้เวลา เจ็ดโมงสิบห้านาที ตรงที่นั่งเดิม ๆ ด้วย และนั่นไงพี่หมอไปป์นั่งอยู่คนเดียว เป็นโอกาสที่ดีเลยจะได้ไม่เก้อ ผมถือกล่องอาหารไปและยิ้มทักทาย
"เอ๊าครูเมี่ยง เอาอาหารมาให้ไอ้เบียร์หรอ?" พี่หมอไปป์ถามและผมก็ยิ้มแห้ง ๆ เพราะผมว่าใคร ๆ ก็คงดูออกกันทั้งนั้นแหละว่าผมทอดไมตรีให้พี่เบียร์มากแค่ไหน
"ใช่ครับ เอามาฝากพี่หมอทั้งสองคนแหละครับ พี่หมอรับประทานด้วยกันนะครับผมทำมาเสียเยอะแยะเลย"
"นั่นไงพ่อตัวดีมาแล้ว เร่งทำคะแนนหน่อยนะ" พี่หมอไปป์แซว
"ครับ" ผมรับคำ และคิดว่าการทำคะแนนด้วยเสน่ห์ปลายจวักน่าจะช่วยผมได้บ้างไม่มากก็น้อยแหละน่า