แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว - 32 ความทรงจำในอดีต โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ



อ้าอุไรพธูพบูพิบูลย์ เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ  เจริญภาส


ตูสวิงสวายเพราะสายสวาดิ์ ระทวยบ่ปลดระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก


แสนจะเสียวจะส้านณวารวิโยค จะข้ามห้วงบ่ล่วงอโฆ ก็อกกรม


ใคร่เสน่หะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิทร์จะชิดจะชม ณเชิงรัก


เชิญสมรสุมาลย์สมานสมัค ประสานประสงค์ประจง ประจวบใจ ประจักษ์




ผมค่อย ๆ พับกระดาษที่มีลายมือหวัดแกมบรรจงแล้วอมยิ้ม พลางถามมันไปเบา ๆ ว่า


"มึงจีบกูหรอ?" 


"เปล่า" มันตอบอย่างว่องไว แต่หน้าแดง คนแปลกประหลาดอย่างนี้ก็มีด้วย

สารบัญ

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-1 ทีโมนกับพุมบ้า,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-2 เจ้าชายน้อย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-3 จุดเริ่มต้นความสนิท,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-4 ลูกไม้หล่นไกลต้น,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-5 ตัวโวยวาย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-6 สิบปี,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-7 เปลี่ยน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-8 ห่าง,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-9 ใจเอ๋ยใจ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-10 วันธรรมดา,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-11 อยู่ด้วยกัน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-12 หมอดอย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-13 หมอดอยใจดี,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-14 พระเอก,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-15 สมิง,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-16 จอมวางแผน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-17 Supporter,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-18 พ่อค้าออนไลน์,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-19 เกลียมัว,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-20 ป๊อปอาย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-21 โอลีฟ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-22 Change ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-23 Twin Flame ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-24 Starseed,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-25 ต่อมไพเนียล,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-26 Dream,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-27 ตื่นรู้,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-28 โลกแห่งความฝัน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-29 หนุ่มปากน้ำโพ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-30 ชาววัง,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-31 ทำคะแนน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-32 ความทรงจำในอดีต,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-33 โลกหมุนด้วยความรัก

เนื้อหา

32 ความทรงจำในอดีต

โดย Chavaroj




"ไอ้เบียร์ มะไหร่มึงจะใจอ่อนสักทีวะ ?" เสียงไอ้เพื่อนจอมสาระแนถามแบบกระซิบ ๆ เพราะตัวต้นเรื่องเพิ่งเดินจากไปยังไม่พ้นสายตา


"มึงนี่พูดเหมือนน้องสาวกูเปี๊ยบ" ผมบ่นและพานอยากจะเลิกกิน ถึงอาหารตรงหน้าจะแสนอร่อยแต่พอเจอคำถามที่น่ารำคาญ มันก็พาลทำให้ต่อมความอยากอาหารหยุดทำงานเสียดื้อ ๆ


"แล้วเมื่อไรมึงจะใจอ่อนล่ะ กูว่าเขาทำอาหารมาให้มึงกินทุกเช้า ๆ นี่หมดปลาไปทั้งแม่น้ำแล้วมั้ง กูนี่แดกจนครีบจะขึ้นแล้วเนี่ย แต่ไม่ได้บ่นนะ อาหารโคตรอร่อยทุกอย่าง มีเมียทำอาหารเก่ง ๆ ดีนะมึง ได้กินของอร่อย ๆ ทุกวันดีจะตาย" ไอ้ไปป์ใส่ไฟอีก


"มึงก็เอาเขาเป็นเมียเองสิ" ผมว่า


"ไอ้สัส กูมีแฟนแล้ว จะไปชอบคนอื่นได้ยังไง" ไอ้ไปป์ค้านอีก


"ก็เหมือนกันแหละ กูก็ไม่ได้ชอบเขา จะไปบังคับให้กูชอบเขาได้ยังไงวะ" 


"งั้นมึงก็ควรจะทำอะไรให้ชัดเจน ไม่ชอบก็บอกเขาเลยตรง ๆ ว่าไม่ชอบ เขาจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลากับคนใจหินอย่างมึง" ไอ้ไปป์ด่าจนผมชักจะฉิวเสียแล้ว เลยเป็นอันว่าไม่ดงไม่แดกมันละ ผมฉวยแก้วกาแฟมาดื่ม แล้วเดินตรงกลับไปตึกที่ทำงานของผมเสียเลย ปล่อยให้ไอ้คนเห็นแก่กินแดกของอร่อยของมันต่อไป 


จะว่าไม่ชอบครูเมี่ยง ผมก็ไม่ได้ถึงกับเกลียด แต่จะบอกว่าชอบว่ารัก ก็ยืนยันว่าไม่ใช่ แต่ผมก็ไม่ได้อะไร คุยได้ปกติ คุยได้เรื่อย ๆ เอ็นดูเขาเหมือนเขาเป็นน้องคนนึง ก็เขาเป็นเพื่อนกับยายรัตนานี่นา 


คนเรามันก็พอจะดูออกแหละ ผมก็ไม่ได้ตาบอด เขาแสดงอาการมาขนาดนั้น แต่ผมก็บอกไม่ได้ว่าทำไมผมไม่คิดประทับใจกับความทุ่มเทของเขา แม้จะประทับใจในฝีมือและรสชาติอาหารมาก ๆ ก็เถอะ 


มันเหมือนกับว่า ผมเบื่อการที่จะมีความรัก ไม่อยากรักใคร ไม่อยากที่จะทุ่มเทเวลาให้ใคร อยากจะอยู่แต่กับตัวเองและเพื่อน ๆ มองเห็นเพื่อน ๆ ที่ต่างก็มีผัวมีเมียกันไปเกือบหมดแล้ว บางครั้งผมก็อาจจะแอบอิจฉา แต่หลาย ๆ ครั้งผมก็รำคาญมากกว่า ตอนมันดี ๆ กัน อะไรมันก็สวยงาม


แต่อีตอนทะเลาะหรืองอนกันสิ โอ๊ย วุ่นวายน่าปวดหัว ผมไม่เอาด้วยหรอก เอ....หรือเป็นเพราะว่าผมไม่เหงากันหนอ ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเหงา ไม่เลยสักนิด เพราะปกติผมก็ค่อนข้างจะเป็นอินโทรเวิร์ดอยู่แล้ว ไปไหนทำอะไรคนเดียวผมกลับสบายใจมากกว่า 


แม้แต่การกลับบ้าน อยู่กับพี่ ๆ น้อง ๆ และหลาน ๆ แค่สองวันผมก็คิดว่ากำลังดี แต่จะให้อยู่นานไปกว่านั้นผมว่าผมอาจจะเส้นเลือดในสมองแตกไปก่อนก็ได้ 


คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย พอกลับถึงห้องทำงาน คราวนี้ก็ไม่ได้มีเวลาคิดเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ ไร้สาระอีกแล้ว สมาธิของผมต้องโฟกัสกับอาการของคนไข้ และทำการรักษาให้ดีที่สุด ด้วยจรรยาบรรณแพทย์ ยิ่งวันนี้มีนักศึกษามานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ในห้องตรวจอีกสามคน ผมก็ต้องซักอาการไปด้วย สอนลูกศิษย์ไปด้วย เหนื่อยเป็นสองเท่า


พอกลับมาว่างผมก็คิดถึงคำพูดของไอ้ไปป์อีกหน ผมควรบอกเขาไปตรง ๆ จะดีไหม แต่พอคิดจะพูดทีไร ผมก็กลัวว่าจะทำให้เขาเสียใจเสียทุกที แม้ว่าผมจะเคยพูดอ้อม ๆ ไปแล้วว่าไม่ต้องทำอาหารมาให้ผมกินบ่อย ๆ แต่เจ้าตัวก็ยืนยันว่าทำเยอะเป็นปกติเลยเอามาฝาก


"พรุ่งนี้ไม่ต้องทำอะไรมาเผื่อพี่ก็ได้นะครับ พรุ่งนี้พี่หยุด พอดีมีพักร้อน" ผมพูดกับครูเมี่ยง ในวันหนึ่ง


"เอ่อ... แล้วพี่หมอจะหยุดไปไหนหรือครับ ?" ครูเมี่ยงถามและหน้าม่อยเหมือนหมาโดนทิ้ง


"ก็ไม่รู้เลย อาจจะไปเดินเล่นในห้างหรือไม่ก็นอนอ่านหนังสืออยู่กับห้อง ก็ไม่แน่" ผมตอบและบรรยากาศมันเริ่มมาคุ ครูเมี่ยงเมื่อเอาอาหารมาให้ผมก็ขอตัวกลับไปที่โรงเรียน เวลาเดือนกว่า ๆ เขาก็ช่างตื๊อทำอาหารมาให้ผมเกือบทุกวันแต่เราก็ไม่ค่อยจะได้คุยอะไรกันเลย 


ตรงกันข้ามไอ้ไปป์เสียอีกกลับคุยกับครูเมี่ยงมากกว่า ก็ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มคุยอะไรนี่หว่า


จนถึงวันหยุดที่ว่าจริง ๆ วันนี้ขอลองไม่ตั้งนาฬิกาปลุก ผมอยากจะรู้เหมือนกันว่าจะตื่นได้สายสักเท่าไร ปรากฏว่าผมมาตื่นอย่างสดชื่นเอาตอนเกือบสิบโมงทีเดียว 


"เก่งวุ๊ย ได้นอนตั้งเกือบสิบชั่วโมงเลยนะ" ผมชมตัวเองเพราะเมื่อคืนได้นอนเอาเกือบตีหนึ่ง เป็นครั้งแรกในรอบหลาย ๆ ปีก็ว่าได้ที่ผมได้นอนยาว ๆ แบบนี้ พอตื่นปุ๊บท้องก็ชักจะร้องปั๊บ ก็ปกติของผมมื้อเช้าจะเริ่มที่เจ็ดโมงนี่นา พยายามมองโลกในแง่ดีว่าทำไอเอฟ แต่ท้องมันเริ่มประท้วง


ผมจึงรีบอาบน้ำแต่งตัว ไหน ๆ วันหยุดแล้วก็ขอทำตัวให้สบาย ๆ แต่จะให้ลากอีแตะเสื้อยืดเก่า ๆ กับกางเกงย้วย ๆ ก็เห็นจะไม่ได้การ เกิดเดินลงไปข้างล่างเจอพวกพยาบาลหรือพวกนักศึกษา เห็นผมในสภาพนั้นจะพาลไม่นับถือกัน 


ผมก็เลยแต่งตัวให้พอดูได้สักหน่อย คือสวมเสื้อโปโลสีเขียวอ่อนแบบพื้น ๆ กับกางเกงผ้าสีกรม เดาะรองเท้าผ้าใบสีขาว ดูแล้วก็เด็กลงเป็นกองสองกอง แต่จะมามัวชมโฉมตัวเองอยู่ก็ไม่ใช่เรื่อง ผมรีบหยิบคีย์การ์ด กระเป๋าสตางค์ และโทรศัพท์มือถือ เดินออกมาจากห้องอย่างว่องไว


ระหว่างที่อยู่ในลิฟต์ ก็คิดไปด้วยว่าจะหม่ำอะไรดีหนอ จู่ ๆ ก็นึกอยากกินอาหารแบบแขก ๆ สักหน่อย อยากกินโรตีกับแกงเขียวหวานแห้ง ๆ คุ้น ๆ ว่าเคยผ่านตาว่ามีร้านที่ว่าอยู่ไม่ไกล เพื่อความว่องไวเลยเรียกแท็กซี่เข้าสักหนึ่งคัน และใช้เวลาเพียงสิบห้านาที ก็ถึงร้านที่ว่า


กินอาหารแขกไปก็เห็นว่า อาหารของครูเมี่ยงน่าจะอร่อยกว่าหลายเท่า แต่ในเมื่อมันเป็นอาหารที่นาน ๆ จะกินสักที ถึงจะไม่ถูกปากแต่ผมก็ซัดจนเกือบหมด เริ่มตั้งแต่ข้าวหมกเนื้อ ซึ่งทางร้านใช้ข้าวบาสมาติกเมล็ดยาว ๆ กินกับเนื้อหมักอันนี้ถือว่าผ่าน เพราะหอมเนื้อดีชะมัด 


จานต่อไปก็เป็นแป้งโรตีหรือแป้งนานอะไรสักอย่างนี่ล่ะ กินกับแกงเขียวหวานอย่างที่ว่า รสชาติไม่เป็นสับปะรด ยิ่งเคยได้กินแกงเขียวหวานฝีมือชาววัง แกงแขกก็ตกกระป๋องในทันใด ตบท้ายด้วยขนมที่หวานแสบไส้และมีแต่แป้ง คาดว่าไอ้ป๊อปน่าจะชอบกิน โชคดีผมสั่งมาไม่เยอะ กินแบบเหลือ ๆ พอให้คนทำไม่เสียน้ำอกน้ำใจ ผมก็รีบจ่ายเงิน


ตรงร้านที่ผมกินอยู่ไม่ห่างจากห้างสรรพสินค้าเล็ก ๆ ที่นั่นมีร้านหนังสือพอดีผมก็เลยไปจมอยู่ที่ร้านหนังสือเกือบชั่วโมงได้หนังสือมาอ่านเล่น ๆ สองเล่ม ไม่ลืมที่จะไปซื้อฟิกเกอร์ตัวใหม่ ถูกอกถูกใจถือว่าภารกิจวันหยุดของผมคอมพลีตพอใช้ได้


ระหว่างกำลังจะกลับ ต้องข้ามทางม้าลาย ผมยืนละล้าละลังอยู่ครู่ใหญ่ เพราะแม้ว่าสี่แยกนี้จะมีทางม้าลาย แต่มันก็เป็นม้าที่ใกล้วางวายชีวิตเพราะสีซีดเหลือเกิน แถมตีนผีแถวนี้ก็ขับแบบไม่ยอมเหยียบเบรค จังหวะที่เห็นว่ารถกำลังชะลอ ผมก็เดินข้ามในทันใด 


กำลังจะผ่านหน้ารถส่งของซึ่งต่อแคปด้านหลังจนสูง มันบังทัศนวิสัยสิ้นดี ผมไม่รู้ว่าผมพลาดแล้ว เพราะเสียงเอี๊ยดที่ดังจนทำให้ผมตกใจจนก้าวขาไม่ออก ภาพของมอเตอร์ไซค์ที่ตรงดิ่งมาทางผมไม่มีทีท่าว่าจะเป็นอื่นไปได้ ตัวของผมลอยคว้าง ท้องจุกจนพูดไม่ออก และก่อนที่จะรู้สึกอะไรไปมากกว่านั้น หูของผมคล้าย ๆ กับได้ยินเสียงโพล๊ะเหมือนคนผ่าลูกมะพร้าว แล้วผมก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย


นานเท่าไรก็สุดจะรู้ บางครั้งเหมือนกับตัวเองอยู่ในฝัน หรือเมายา มันคล้าย ๆ กับว่าจะรู้ตัว แต่ก็ไม่สามารถบังคับให้มือหรือเท้าของผมขยับได้ เงาลาง ๆ ผ่านสายตาทำให้รู้ว่ามีคนอยู่รายรอบแต่ผมก็ยกเปลือกตาของตัวเองไม่ได้สักนิด ได้ยินเสียงคนพูด เสียงตะโกน ช่างแสนวุ่นวาย


จนวันหนึ่งผมรู้สึกตัวเองว่าผมกำลังยืนอยู่ในห้องมืด ๆ ผมพยายามกะพริบตาถี่ ๆ เพื่อปรับสายตาให้ชินกับมัน จนเห็นว่าผมกำลังยืนอยู่ในห้องมืด ๆ ห้องหนึ่ง เสียงเครื่องมือทางการแพทย์ดังตี๊ด ๆ ผมเห็นคนไข้ที่มีผ้าพันแผลคลุมไปหมดทั้งตัวตั้งแต่หัว ที่แขนและที่เท้า 


"ใครกันนะ" ผมถามตัวเองอย่างแสนสงสัย แต่จู่ ๆ ผมก็เกิดรับรู้ได้ว่าไอ้หมอที่นอนแซ่วอยู่นั่นมันคือตัวของผมเองนี่หว่า 


"อะไรกันวะเนี่ย" ผมปรารภกับตัวเอง และตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่แล้วประตูห้องก็เปิดออก เงาดำ ๆ ของใครคนหนึ่งค่อย ๆ เดินย่องเข้ามา มันคุ้นแต่นักแต่ผมก็ไม่เห็นหน้าของเขาชัด แต่ทรงแบบนี้คงเป็นหมอสักคนแน่ ๆ 


เขาเดินมาจนถึงข้าง ๆ กับร่างของผม เอ๊ะ ไอ้ทรงผมแบบนี้ ความสูงแบบนี้มันคงเป็นไอ้ไปป์เกลอรักของผมไม่มีผิด นี่มึงจะมาทำอะไรกับร่างกายของกูกันวะเนี่ย 


ผมยืนคุมเชิง เพราะได้แต่ดู ทีแรกตะโกนเรียกมันเสียงดัง แต่มันก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะได้ยินเสียงของผมสักนิด มันยื่นมือมาแตะที่หัวกะโหลกของผม แล้วหลับตาลงครู่ใหญ่ ๆ ลำดับต่อมามันก็ค่อย ๆ ยื่นมือมาแตะตามแขนและขาของผมที่ถูกผ้าพันแผลจนเป็นมัมมี่ ผมรับรู้ได้ถึงความอุ่นร้อนแต่สบายแผ่มาถึงตัวของผมที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เตียงด้วย


มันหอบหายใจแรง ๆ สามสี่ครั้ง แล้วก็ยื่นมือมาแตะที่หน้าผากของผมเบา ๆ จนเมื่อมันหลับตาลง ร่างของผมก็คล้ายกับโดนดูดลงไปในหลุมลึก ๆ ผมได้แต่หลับตาเพราะลมแรง ๆ ที่พัดกรีดผิวหน้ามันแรงจนไม่อาจต้านทานได้ แต่หูของผมได้ยินเสียงคนพูดเหมือนพร่ำบ่น หรือฟังดูอีกทีก็คล้าย ๆ กับเป็นเสียงคำสวดภาวนา


นานจนผมไม่รับรู้แต่รู้สึกตัวอีกที ผมก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น และมองเห็นตัวเองอยู่ในชุดยาวรุ่มร่าม ผมนอนอยู่บนพรมขนสัตว์ ข้างกายมีเด็ก ๆ ห้าคนทั้งชายหญิงนอนกองอยู่รายรอบ ในห้วงความจำ ผมจำได้ว่าพวกเด็ก ๆ พวกนี้คือลูก ๆ ของผมนั่นเอง ลูกดกชะมัด แต่ละคนขี้มูกขี้ตากรังแต่เด็ก ๆ ก็นอนหลับอย่างมีความสุขและยิ้มละไม


ที่ปลายเท้าของผมมีกองไฟกองย่อม ๆ ก่อไว้ ใครคนหนึ่งนั่งผิงไฟอยู่ตรงนั้นคล้าย ๆ กับจะคอยเฝ้ายามและคอยเติมฟืนไฟเพื่อให้กองไฟนั้นยังคงสามารถให้ความอบอุ่นและปลอดภัยแก่พวกเรา


"มารีเธอไม่นอนอีกสักหน่อยล่ะ นอนเสีย พรุ่งนี้ก็จะถึงทะเลแดงแล้ว ท่านโมเสสท่านสัญญากับพวกเราว่า หลังจากข้ามทะเลแดงไปได้ พวกเราชาวยิวก็จะได้พบกับดินแดนแห่งพันธสัญญา ดินแดนที่มีทั้งนมและน้ำผึ้ง" เขากล่าวและยิ้มปลอบใจมาให้ผม ดวงตาของชายผู้นั้นอบอุ่นพอสองสายตาของเราประสานกัน ผมกลับจำได้ว่านั่นคือครูเมี่ยงชัด ๆ และเมื่อผมมองไปที่เด็กน้อยลูก ๆ ของผมที่หลับสนิท ผมก็รับรู้ได้ว่าพวกเขาก็คือ อีรวี อีดอย ไอ้ไปป์ ไปสิน และไอ้ป๊อป 


"เธอเองก็มานอนพักสิยาโคป เดี๋ยวให้ข้าได้เฝ้ากองไฟเอง ข้าจะได้เตรียมอาหารเช้าสำหรับลูก ๆ ด้วย" ผมพูดและขยับตัวลุกขึ้น เด็ก ๆ พากันเบียดตัวมานอนกอดกันเพราะที่เราอยู่ตรงนี้คือผืนทะเลทราย กลางวันร้อนราวกับนรก แต่เมื่อถึงเวลาค่ำคืนกลับหนาวเหน็บจนถึงกระดูกดำ


ภาพตัดไปไว ๆ ว่าท่านโมเสส ผู้นำชาวยิวของพวกเราพาพวกเราไปจนถึงชายหาดของทะเลแดง เมื่อท่านขอพรจากพระเจ้า ปรากฏวัตถุทรงกลมใหญ่โตสามอันเรียงตัวกันและเมื่อมันส่องแสงสีขาวสว่างน้อย ๆ ลงมา ผืนทะเลของทะเลแดงก็ค่อย ๆ แยกออก น้ำที่สูงท่วมหัว กลับเหลือเพียงแค่ข้อเท้าเท่านั้น


ท่านโมเสสเดินนำทางพวกเราไป และพวกเราชาวยิวก็ค่อย ๆ เดินตามท่าน เด็ก ๆ พากันตื่นเต้นและสนุกที่จะได้ดูกำแพงน้ำ นี่คือพระพรจากพระเจ้า แต่ผมที่เฝ้ามองอยู่กลับคิดว่าไอ้วัตถุใหญ่โตทรงกลมขนาดเท่าสามฟุตบอลพวกนั้นมันคือยานอวกาศชัด ๆ 


รอจนชาวยิวคนสุดท้ายข้ามทะเลแดงจนผ่านพ้น จานบินนั้นส่งอะไรสักอย่างลงมา ตรงเบื้องหน้า กองเท่าภูเขาขนาดย่อม ๆ 


"พี่น้องชาวยิวทั้งหลาย นี่คือมานา นี่คืออาหารจากพระยะโฮวา พวกเราจงหยิบไปเท่าที่พออิ่ม ไม่จำเป็นต้องเผื่อสำหรับมื้ออื่น เพราะพระเจ้าของพวกเรา พระเจ้าของชาวยิวจะทรงดูแลพวกเราเสมอ" เสียงของท่านโมเสสประกาศ และพวกเราที่เดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อยโหยหิว คนที่อยู่ด้านหน้าค่อย ๆ หยิบมานานั้นส่งต่อให้แก่กันและกัน จนผมก็ได้รับชิ้นหนึ่ง


มันดูคล้าย ๆ ขนมปังแห้ง ๆ สีครีมแต่หอมกลิ่นคล้าย ๆ น้ำนม เมื่อกัดเข้าคำแรก รู้สึกได้ถึงรสชาตินุ่มลิ้นและแม้ว่าขนาดของมันจะมีขนาดเท่าฝ่ามือเด็ก แต่เมื่อเรากินจนหมดกลับอิ่มและมีพลัง ผมรู้สึกอิ่มจนเหมือนไม่ต้องกินอะไรไปทั้งวันหรือสองวันก็ยังได้ ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ความเมื่อยล้าจากการเดินเท้า พลันหายไปเสียสิ้น พวกเราหลังจากกินกันจนอิ่มหนำแล้วต่างก็พากันขับบทเพลงสรรเสริญพระเจ้าไปตลอดทาง เสียงเพลงเส้นทางจากการร้องขอบคุณพระเจ้าไม่หยุดเลยตลอดเก้าวันเก้าคืนที่พวกเราเดินทาง


จนในที่สุด ท่านโมเสสก็บอกให้พวกเรารออยู่ที่เบื้องล่างของภูเขา เพราะท่านได้รับคำสั่งจากพระเจ้าให้ขึ้นไปรับฟังคำสั่งของพระองค์ที่เบื้องบน


ท่านโมเสสหายไปถึงสามวันและกลับลงมาพร้อมกับพระบัญญัติสิบประการจากพระเป็นเจ้า แต่กลายเป็นว่าพวกเราชาวยิวที่รออยู่เบื้องล่างกลับสูญเสียศรัทธาต่อพระยะโฮวาไปเสียแล้ว กระทิงทองแดงซึ่งถูกหล่อขึ้นมาสด ๆ ร้อน ๆ ถูกตั้งอยู่กลางลานและถูกบูชา ท่านโมเสสโกรธจนถึงกับทำลายเทวรูปบ้า ๆ นั้น ผมที่ไม่เห็นด้วยกับการบูชาเทวรูป ก็ปรี่ไปอยู่ฝั่งท่านโมเสส และตะโกนด่าทอคนที่ไม่ศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า


เหมือนจะมีศึกย่อม ๆ อาวุธใกล้มือที่สุดก็คือก้อนหิน ผมซึ่งในตอนนั้นเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กผอมเกร็ง ยืนปกป้องลูก ๆ ทั้งห้าคน ราวกับแม่ไก่ที่กางปีกปกป้องลูกน้อย หินก้อนหนึ่งลอยคว้างมาและมันตรงมาเรื่อย ๆ จนผมเห็นมันคล้าย ๆ ภาพสโลว์โมชั่น 


เสียงดังคล้าย ๆ ลูกมะพร้าวแตกดังขึ้นอีกแล้ว และผมก็รู้สึกว่าร่างของผมล้มระทวยลง ลูก ๆ ทั้งห้าของผมพากันห้อมล้อมตัวของผมไว้ เลือดอุ่นร้อนไหลลงมาอาบผิวหน้า เข้ามาในลูกตาจนผมต้องหลับตาลงข้างหนึ่ง มือของผมเอื้อมคว้าไปในอากาศ เสียงลูก ๆ พากันร้องไห้เหมือนหัวใจจะขาด


"มารี ๆ เจ้าต้องไม่เป็นไร เจ้าต้องไม่เป็นอะไรนะ ที่รักของข้า ถ้าเจ้าไม่อยู่ใครจะคอยดูแลลูก ๆ ที่รักของเรากันเล่า มารี" เสียงคุ้นเคยของสามี เสียงของยาโคป คนที่ผมรักสุดหัวใจ ภาพจำเล็ก ๆ ที่เราเคยวิ่งเล่นด้วยกันในทุ่งหญ้ากว้าง ยาโคปเป็นเด็กเลี้ยงแกะ ส่วนผมเป็นสาวชาวบ้านธรรมดาที่ทำหน้าที่เป็นสาวใช้ในบ้านเศรษฐีชาวอียิปต์ เรารักกันมาตั้งแต่เด็กจนได้ลงเอยกันและมีลูกเล็ก ๆ น่ารักถึงห้าคน


ภาพลูก ๆ ที่พากันกอดร่างของผมที่กำลังเย็นชืด แสงแดดเริ่มแผดร้อน แต่ร่างกายของผมกลับหนาวเหน็บเหมือนถูกเปลือยกายแล้วโยนร่างลงในทะเลสาบยามเที่ยงคืน


"ยาโคป ดูแลลูก ๆ ให้ดี...." ผมจะพูดสั่งเสียกับเขาต่อแต่มันก็ไม่ทันเสียแล้ว ภาพตัดไปเป็นสีดำสนิทผมยืนน้ำตาหลั่งไหล อารมณ์เสียใจที่ต้องมาตายทั้ง ๆ ที่ยังมีแต่ห่วง ถ้าผมตายไปลูก ๆ ทั้งห้าของผมจะเป็นอย่างไรกันหนอ จิตวิญญาณแห่งความเป็นแม่ทำให้ผมทิ้งตัวลงกองกับพื้นร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับจะขาดใจ


เสียงตื๊ด ๆ ดังเป็นจังหวะ และผมกลับมาหยุดยืนที่เดิมตรงข้าง ๆ เตียงคนไข้ ไอ้ไปป์ยังคงยืนหลับตาและใช้มือแตะที่หน้าผากของผมอยู่อย่างนั้น เหมือนเวลามันผ่านไปแค่ไม่กี่วินาที มันถอนมือออกและยืนเหนื่อยหอบ สูดหายใจเข้าปอดสี่ห้าที แล้วมันก็ยื่นมือมาแตะที่หน้าผากของผมใหม่อีกหน 


สีหน้าของมันเหมือนคนที่กำลังทำงานหนัก และแทบไร้เรี่ยวแรง ผมได้ยินถึงหายใจหอบของมันดูมันเหนื่อยที่จะต้องอยู่ในท่านี้ หรือว่ามันกำลังทำการรักษาผมกันนะ ผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในร่างกายอีกหน รับรู้ได้เลยว่าอวัยวะที่บอบช้ำข้างในกำลังสมานตัวดีขึ้น ความเจ็บอึดอัดเหมือนหายใจไม่ทั่วท้องค่อย ๆ ดีขึ้นเป็นลำดับ


เท้าของผมหมุนคว้างอีกครั้งและตัวของผมก็จมดิ่งลงไปในความมืดอีกหน เพียงแต่ครั้งนี้ผมพอจะคุ้น ๆ ว่าลมพัดผ่านหน้าอัดอู้ ๆ เหมือนตกลงมาจากที่สูง แต่ใช้เวลาแค่อึดใจไม่ถึงสามวินาที ผมก็รู้สึกว่าผมนอนอยู่ที่ใดที่หนึ่งอีกแล้ว 


แสงจากดวงตะเกียงน้ำมันวับวามพอเห็นได้ในที่มืด ตัวของผมนอนอยู่บนแคร่ คลุมด้วยผ้าผืนเก่า ๆ บาง ๆ กลิ่นเหม็นอับชอบกล 


"พี่ไม่นอนอีกสักหน่อย" เสียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมเห็นเป็นเงาตะคุ่ม ๆ อยู่หน้าประตูร้องทัก


"พี่นอนพอแล้ว" ผมตอบและผู้หญิงคนนั้นก็คลานปราดเข้ามานั่งใกล้ ๆ


"อย่าไปคิดมากเลยพี่ ศึกคราวนี้ ก็ไม่น่าจะร้ายแรงเท่าคราวก่อน อีกเดือนเศษก็จะถึงหน้าน้ำ อ้ายพวกม่านมันก็ต้องหนีกลับบ้านกลับเมืองมันเหมือนเมื่อคราวก่อนแหละ พี่หิวหมากไหม?" ผู้หญิงคนนั้นพูดไม่ให้ผมได้ตอบแล้วหล่อนก็หยิบกล่องที่สานจากไม้ไผ่ แล้วก็ทำอะไรหยุกหยิก จากนั้นก็ยื่นมาให้ผม ไอ้ผมก็ใจง่าย ได้รับก็คว้าเข้าปากเคี้ยวหยับ ๆ อี๋ นี่กูกินหมากด้วยเหรอวะ แถมเคี้ยวอย่างเอาเป็นเอาตายทีเดียว


และเมื่อพูดกันอีกสองคำ ผมก็รับรู้ได้อีกแล้วว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ใครที่ไหน ครูเมี่ยงอีกแล้ว ชาติก่อนเขาเป็นยาโคปสามีของผม มาชาตินี้เขาเป็นเมียของผมชื่ออำแดงเช้า เราสองคนอยู่กินกันมาสามสิบกว่าปี ไม่มีลูกไม่มีเต้า อยู่กันสองคนผัวเมีย แต่ก็มีความสุข เราทำไร่ทำนา อยู่กันอย่างสุขสบาย จนเมื่อสามปีก่อน พวกม่านมาตั้งทัพแต่ก็กลับไปเมื่อหน้าหน้า แต่มาปีนี้พวกมันกลับมาอีกหนใคร ๆ ในเมืองต่างก็พากันหวาดกลัวเพราะเสียงลือว่าครั้งนี้มันเตรียมกำลังมากมากกว่าเดิม แถมยังมีพระเจ้าชนะสิบทิศเป็นผู้นำทัพเสียด้วย


และเมื่อฟ้ากำลังจะเริ่มสว่าง เสียงไก่ขันวังเวงรับกันเป็นทอด ๆ เสียงคนเริ่มเดินผ่านหน้าเรือนของผมจนรู้สึกได้


"พี่ทิดตื่นหรือยัง ?" เสียงดังทักอยู่หน้าเรือนเหมือนเป็นคนคุ้นเคย


"เออข้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว" ผมตอบและกระชับร่างกายให้มั่น ด้านหลังของผมสะพายดาบเก่าแก่โบราณที่รับตกทอดมาจากปู่จากพ่อ สองบ่าสะพายห่อผ้าที่อัดแอไปด้วยของกินล้วนแต่เป็นอาหารแห้ง 


"พี่ไปแล้วนะ เจ้าก็รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี พี่ไม่อยู่เจ้าก็ไปอาศัยอยู่กับหมู่ญาติเจ้าที่อีกบ้านหนึ่งเข้าใจไหมพี่จะได้ไม่เป็นห่วงเจ้า" ผมสั่งเสียล่ำลาเมียเพราะลึก ๆ รู้อยู่ในใจว่าไปศึกครั้งนี้ผมจะไม่ได้กลับมาพบหน้าแม่เช้าเมียรักของผมอีกแน่ ๆ 


ยายเช้ายังคงร้องไห้กระซิก ๆ ผมตัดใจและทำใจแข็ง เกิดเป็นลูกผู้ชายก็ต้องรักษาบ้านรักษาเมือง แต่ลึก ๆ ผมก็แค่อยากจะอยู่อย่างสงบ ๆ กับเมีย ทำไมคนเราต้องรบราฆ่าฟันกันด้วยหนอ อยู่กันดี ๆ ต่างคนต่างอยู่กันไม่ได้หรือไร


ผมกลืนก้อนแข็ง ๆ ในลำคอ และห้ามใจไม่ให้หันกลับไปมองยายเช้าที่เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย เพราะกลัวว่าผมจะใจอ่อน หมดเรี่ยวแรงจะก้าวเดิน 


ผู้ชายหกคนยืนรออยู่ตรงหน้า ในกลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านี้ผมอายุมากที่สุด มองหน้ากันแล้วผมก็พยักหน้าให้พวกมันเบา ๆ และเมื่อดวงตาประสานกัน ผมก็รับรู้ได้ว่า ทั้งหมดก็คือเพื่อน ๆ ของผมในชาตินี้อีกแล้ว นี่พวกมึงกับกูเป็นเพื่อนเป็นเกลอ เป็นลูกเต้ากูมาตลอดรึนี่ ผมคิดระลึกแต่เท้าก็ก้าวไปเรื่อย ๆ 


ศึกสงครามไม่ใช่จะสบาย เมื่อตั้งกองรับข้าศึก ผมทนอยู่ในกองทัพได้สองเดือนเศษ น้ำเหนือไหลบ่าจนเราต้องสร้างแพ แต่ผมกลับเป็นไข้ป่าเสียก่อน แม้ว่าตายแล้ว ก็ไม่มีที่กลบฝัง เพื่อน ๆ พากันลอยศพผมลงแม่น้ำ อนิจจาชีวิต