แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาวแฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
อ้าอุไรพธูพบูพิบูลย์ เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ เจริญภาส
ตูสวิงสวายเพราะสายสวาดิ์ ระทวยบ่ปลดระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก
แสนจะเสียวจะส้านณวารวิโยค จะข้ามห้วงบ่ล่วงอโฆ ก็อกกรม
ใคร่เสน่หะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิทร์จะชิดจะชม ณเชิงรัก
เชิญสมรสุมาลย์สมานสมัค ประสานประสงค์ประจง ประจวบใจ ประจักษ์
ผมค่อย ๆ พับกระดาษที่มีลายมือหวัดแกมบรรจงแล้วอมยิ้ม พลางถามมันไปเบา ๆ ว่า
"มึงจีบกูหรอ?"
"เปล่า" มันตอบอย่างว่องไว แต่หน้าแดง คนแปลกประหลาดอย่างนี้ก็มีด้วย
โดย Chavaroj
ผมกำลังจะตื่น ผมกำลังจะเริ่มรู้ตัว มันเหมือนเรากำลังจะตื่นแต่ก็ยังงัวเงีย ตื่นแต่ยังไม่มีเรี่ยวแรงจะลุก ครั้นทอดเวลาอีกพักใหญ่ ๆ เริ่มกลับมามีสติ แต่พออยากจะขยับเนื้อตัว ร่างกายของผมมันก็เจ็บปวดราวกับแก้วที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ปวด....ปวดเหลือเกิน เจ็บไปหมดทุกส่วนของรูขุมขน
ตั้งแต่หัวของผมที่ปวดหนึบ รอบเจ็บวิ่งเป็นระลอกที่หัวเหมือนถูกช็อตด้วยไฟฟ้าเป็นเส้น ๆ ที่ท้ายทอย ตามมาด้วยรอยเจ็บที่ด้านข้างของใบหน้า ที่มันปวดหนึบเหมือนโดนทุบหรือโดนเหยียบ ผมยังลืมตาไม่ขึ้นแต่รับรู้ได้ว่ามีผ้านุ่ม ๆ ประคบที่หน้าของผมอยู่
เรื่อยลงมาจากคอที่แข็งจนเมื่อยขบ ครั้นพอจะขยับหันคอสักนิดให้ความเมื่อยล้านั้นคลาย ผมก็ปวดแปลบเหมือนโดนมีดเฉือน ที่บริเวณไหปลาร้า ปวด เจ็บปวดเหมือนโดนเราะกระดูก
เมื่อเจ็บปวดอย่างนี้ผมพยายามกลั้นหายใจ แต่พอจะสูดหายใจเข้าไปลึก ๆ ทั้งท้องของผมก็ปวดเจ็บตามมาอีก มันปวดแม้เพียงแค่หายใจแรง ๆ ก็ปวดราวกับกระดูกจะหลุด และท้องไส้เหมือนจะฉีกขาด พอขยับจะหนี ขาของผมก็ปวดอีก
"ม๊า.......ม๊า.......เจ็บ......." ผมครางออกมาและรู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กตัวน้อย ๆ หมดไร้เรี่ยวแรงอยากจะทิ้งตัว แล้วให้ม๊าคอยอุ้มและคอยปลอบ
"ไอ้เบียร์....เบียร์ ฟื้นแล้วเหรอลูก ม๊าอยู่ตรงนี้นะ" เสียงคุ้นเคยดังอยู่ไม่ไกลท่าทางตกอกตกใจ ผมดีใจคล้ายกับความฝัน พลันความอบอุ่นและกลิ่นกายที่คุ้นเคยก็มาอยู่ใกล้ ๆ ตาของผมยังลืมไม่ขึ้นแต่ผมรับรู้ได้ว่าหน้าของม๊าแนบอยู่ที่หน้าของผมอย่างแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าผมจะเจ็บ
อะไรเปียก ๆ สัมผัสกับผิวหน้ามันอุ่นร้อน แต่ก็เต็มตื้น
"ม๊าาา" ผมครวญคราง
"ไม่เป็นอะไรแล้วนะลูก เบียร์เอ๊ย ขวัญเอ๊ยขวัญมานะ" ม๊าพูดอีกและพรมจูบที่หน้าผาของผมซ้ำ ๆ ด้วยพรแห่งความรักอันบริสุทธิ์ หรือเพราะความอุ่นใจ ผมรู้สึกว่าตัวของผมอาการดีขึ้น ความเจ็บปวดนั้นยังคงมีปรากฏ แต่มันเลือนรางพอทนไหว
"ม๊าอยู่นี่นะลูกนะ ไม่เจ็บแล้วนะลูก" ม๊ายังคงกระซิบพร่ำพูดและจูบหน้าผาก จนในที่สุดดวงตาของผมค่อย ๆ ปรือขึ้นน้อย ๆ ภาพใบหน้าของม๊า อยู่ตรงหน้าผม ม๊าดูแก่ชราลงไปเยอะ ผิดจากที่ผมเป็นใบหน้าของม๊าเมื่อตอนเด็ก ๆ แต่ผมก็อุ่นใจ
พยายามจะลืมตาให้มันกว้างกว่านี้จะได้เห็นภาพใบหน้าของม๊าให้ชัด ๆ แต่ผมก็ทำได้แค่นี้เอง
"หมอ...หมอมาพอดีเลย เบียร์ฟื้นแล้วฮ่ะ หมอฮะ" ม๊าพูดอย่างดีอกดีใจ และผละตัวออกจากผม ทันทีที่ร่างของม๊าห่างออกไปผมก็หมดแรงใจ ทิ้งตัวนอนต่อและหลับต่อไปเพราะไม่อาจฝืนร่างกายต่อความเจ็บปวด
การหลับของผมยังคงอยู่เป็นข้อดี ผมฝันไปเลื่อนเปื้อน เรื่องราวมากมายราวกับผมดูหนังไม่รู้จบ ผมแสดงเป็นตัวละครต่าง ๆ ทั้งเด็กทั้งแก่ ทั้งหญิงทั้งชาย ทั้งร่ำรวยเป็นพระราชา จนถึงยากจนเป็นยาจกเข็ญใจ ทั้งสุขภาพแข็งแรง และป่วยพิการ ผมเป็นมาหมดแล้ว
แต่ในทุก ๆ ความฝัน ทุกผู้คนที่ปรากฏ ก็จะอยู่รอบ ๆ ผมเสมอ อยู่เป็นคนใกล้ชิดบ้าง หรือพบพานแล้วลาจาก แต่ในทุก ๆ ความฝัน ม๊าจะอยู่กับผมเสมอ ม๊าจะเป็นม๊าของผมเสมอ เหมือนกับเมี่ยง ที่ไม่ว่าจะฝันใด ๆ เขาไม่เป็นสามี ก็เป็นภรรยา หรือในครั้นที่ผมไม่มีคู่ เราก็จะเป็นเกลอ เป็นพี่น้องที่สนิทกันมาก ๆ
ผมยังคงระเริงอยู่ในความฝัน จนในที่สุด ผมก็กลับมีสติรู้ตัวตื่นขึ้นมาอีก ไม่รู้ยาวนานแค่ไหนกันนะ แต่ผมรู้สึกว่าผมกำลังจะตื่น และผมรู้ตัวเสียด้วยว่าหลังจากนี้ผมน่าจะตื่นอย่างสดใส เพราะผมหลับมาจนอิ่ม หลับมาเพียงพอแล้ว
ดวงตาของผมค่อย ๆ ปรือขึ้นทีละน้อย มองไปรอบ ๆ กาย ก็ไม่มีใครสักคน ผมพยายามประมวลทุก ๆ สิ่งที่เห็น และความทรงจำสุดท้ายที่จำได้ก็คือผมถูกไอ้ตีนผีนั่นชนจนสุดแรง ตัวของผมปลิวคว้างเหมือนว่างที่สายป่านขาด ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ผมก็คงอยู่ที่โรงพยาบาลแต่ไม่ใช่ในฐานะหมอ หรืออาจารย์ แต่เป็นในฐานะคนป่วย
เหลือบตาต่ำลงมาอีกนิด ร่างกายของผมโดนผ้าพันแผลพันไว้หลายที่ ที่แขนถูกแขวนมีเหล็กดาม ที่ขาก็มีผ้าพันแผล อ้อที่ท้องด้วยเพราะเมื่อผมหายใจลึก ๆ มันตึง ๆ จนรู้ได้ว่ามีผ้าพันธนาการอยู่
ผมกะพริบตาถี่ ๆ จนน้ำตาของผมไหลออกมานิด ๆ ซึ่งเป็นสิ่งดี เพราะเมื่อน้ำตาไหลออกจากลูกตา ผมก็มองภาพในห้องได้ชัดเจนถนัดตา
ม๊ายังอยู่ นอนคุดคู้งอก่องอขิงอยู่ที่โซฟาข้าง ๆ ผมเห็นหน้าของม๊าแล้วก็อุ่นใจ พยายามจะเรียกม๊าเบา ๆ แต่เมื่อเปล่งวาจา เสียงของผมกลับแหบแห้งเสียสนิท ปากของผมแห้งไม่เหลือน้ำลายเลย ผมพยายามปิดปากให้สนิท และกลืนน้ำลาย ทำอยู่ครู่ใหญ่ ๆ ต่อมน้ำลายจึงค่อย ๆ ทำให้ปากของผมชุ่มชื้น
"ม๊าาาาาาาาา" ผมเรียกม๊า เสียงยังคงแหบแห้ง แต่ก็พอจะเปล่งเสียงออกมาได้ พยายามตะโกนแต่ก็เจ็บแผล จนผมเหนื่อยอ่อน ไม่เรียกแล้วล่ะ ปล่อยให้ม๊าตื่นมาเจอผมเองก็แล้วกัน ให้ม๊านอนต่ออีกหน่อย เพราะผมมองออกไปที่หน้าต่าง แสงเงินแสงทองกำลังเริ่มส่องจนท้องฟ้าเริ่มเป็นสีชมพูอมม่วงน้อย ๆ
ตาของผมยังคงจ้องมองม๊า ภาพจำตอนเด็ก ๆ ที่ถูกม๊ากอด ลูบหัวอย่างเอ็นดู บ่นไปเรื่อยเปื่อย เมื่อเห็นว่าผมซุกซน ภาพหน้าของม๊าที่ดีใจเมื่อรู้ว่าผมสอบเข้าโรงเรียนมีชื่อได้ แล้วก็ภาพดีใจของม๊าอีกเหมือนกันที่รู้ว่าผมสอบเข้าเรียนหมอได้ ภาพวันรับปริญญาของผมที่ม๊ายังคงดีใจหน้าบาน แม้แต่วันที่ผมรับปริญญาใบที่สอง ม๊าก็ยังยิ้มกว้างเหมือนเดิม
ทุกความสำเร็จของผม ไม่ใช่เพื่อตัวของผมเอง แต่มันเป็นของขวัญสำหรับม๊า เพราะผมจะไม่มีวันหยืนหยัดอยู่ตรงนี้ได้เลยถ้าไม่มีผู้หญิงแกร่งที่คอยเฝ้ามองผมอยู่ตรงนั้น ผมนึกเสียใจนิด ๆ ที่ไม่ค่อยได้มีเวลาอยู่กับม๊ามากนัก งานที่รัดตัว ภารกิจที่วุ่นวาย แต่ม๊าก็ไม่เคยจะบ่นหรือร้องขอให้ผมมาเจอแกมากกว่าที่เคย
จนถึงตอนนี้ตอนที่ผมพูดได้เลยว่าผมเจ็บปวดที่สุดในชีวิต คนที่อยู่เคียงข้างแม้จะทำอะไรไม่ได้ แต่แค่ผมรู้ว่ามีม๊าอยู่ใกล้ ๆ มันก็เพียงพอแล้ว
ม๊าขยับตัว บิดขี้เกียจ แล้วก็ลุกขึ้นนั่งผลุง พอหันมาเจอหน้าผมที่กำลังลืมตาแป๋ว ม๊าก็ยิ้มอย่างยินดี รีบลุกมานั่งที่ข้างเตียง เราไม่ได้พูดอะไรกันเลยสักคำ ม๊าคงพูดไม่ออก น้ำตาจากสองแก้มไหลอาบแต่ผมรู้ว่ามันเป็นน้ำตาแห่งความยินดี เพราะตอนนี้น้ำตาของผมเองก็ไหลอาบแก้มเหมือนกัน
"เบียร์เอ๊ย..." ม๊าเรียกชื่อของผมเบา ๆ จูบที่หน้าผากองผมเบา ๆ เหมือนกลัวว่าสัมผัสเพียงน้อยนิดจะทำให้ผมเจ็บ
"ม๊า.......เบียร์เจ็บ" ผมหลุดคำพูดอ้อนเหมือนตัวเองเป็นเด็กที่หกล้มร้องไห้จ้า แล้วก็ต้องวิ่งไปหาม๊า
"พ๊วง....หายเจ็บหายไข้นะลูกนะ" ม๊ายังคงทำเหมือนตอนผมเด็ก ๆ อีกครั้ง แต่มันเหมือนมนต์วิเศษ มันยังเจ็บปวดอยู่ทั้งร่างแต่น่าแปลกที่ผมกลับทนมันได้
"หิวน้ำมั๊ย ?" ม๊าถาม เสียงสั่นน้อย ๆ ผมพยักหน้านิดหนึ่ง แล้วม๊า ก็ขยับไปหยิบแก้วน้ำซึ่งมีช้อนชาคันน้อย ๆ ม๊าตักมันมาป้อนผมทีละน้อย ๆ แล้วก็ใช้ผ้าเช็ดให้
"แม่ครับ มาแล้วครับ" เสียงดังสอดแทรกบรรยากาศม๊าขยับตัวไปยืนตรงแล้วหันไปทางต้นเสียง ผมก็สอดสายตาไปด้วยเหมือนกัน ครูเมี่ยงนี่ เขาจะมาทำไมกันนะ นี่เพิ่งเช้าเอง มาทำไมกัน ผมนึกฉงน
"พี่หมอ พี่เบียร์ฟื้นแล้วหรือครับแม่" เสียงครูเมี่ยงพูดอย่างตื่นเต้น วางปิ่นโตเถาใหญ่โตไว้บนโต๊ะใกล้ ๆ ประตูอย่างรวดเร็ว แล้วรีบเดินมาประชิดติดตัวม๊า คว้ามือของม๊ามากำไว้แน่น ๆ แล้วก็เอาแต่ร้องไห้ เอ๊าอะไรกันวะ ผมคิด แล้วทั้งสองคนก็กอดกันแล้วก็ร้องไห้ใหญ่เลย
"ม๊า..." ผมเรียกม๊าอีก เพราะรู้สึกงง ๆ กับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า
"พี่หมอเป็นยังไงบ้างครับ เมี่ยงดีใจจังที่พี่หมอฟื้นสักที ต่อจากนี้ก็หายไว ๆ เลยนะครับ เดี๋ยวเมี่ยงจะทำของบำรุงให้กินทุกวันเลยจะได้หายเร็ว ๆ" ครูเมี่ยงพูดเร็วปรื๋อ ผมก็ได้แต่อมยิ้ม ไม่รู้จะตอบรับหรือปฏิเสธอย่างไร
ผมเหลือบไปมองนาฬิกา เห็นเป็นเวลาประมาณหกโมงครึ่ง คุณพยาบาลยื่นหน้าเข้ามาทักทาย และกล่าวคำยินดีที่ผมฟื้นสักที
"เช็ดตัวกันนะดีกว่าครับแม่" ครูเมี่ยงพูดแล้วก็เดินไปหยิบกะละมังพร้อมด้วยผ้าขนหนู รูดม่านรอบเตียงคนไข้ แล้วก็มาถอดเสื้อของผมอย่างชำนิชำนาญ
"เอ่อ ให้ม๊าพี่ทำก็ได้" ผมพูดอย่างเขิน ๆ อันที่จริงถึงจะเป็นม๊าผมก็เขินเหมือนกันนั่นแหละ แต่ยังไงนั่นก็เป็นแม่
"ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ" ครูเมี่ยงพูดและมือก็ยังคงลอกคราบของผมต่อไป ผมเปลือยกายล่อนจ้อน อายชะมัด แต่ครูเมี่ยงก็ยังมีแก่ใจ เอาผ้าขนหนูมาปิดส่วนสงวนของผมไว้ แต่ไม่ทันแล้วมั๊ยล่ะเห็นหมดแล้ว
"แม่ไปเตรียมตัวกินข้าวเถอะครับ เดี๋ยวผมจัดการพี่หมอให้เอง" ครูเมี่ยงว่าผมกำลังจะท้วงแต่ครูเมี่ยงก็ยื่นหน้ามาใกล้ ๆ แล้วกระซิบ
"ให้เมี่ยงทำให้เถอะ แม่พี่หมอทำให้จนปวดหลังปวดตัวไปหมดแล้ว พี่หมอไม่ใช่คนตัวเล็ก ๆ นะ แล้วเอ่อ เมี่ยงก็ชินแล้วด้วย" พูดไปก็เช็ดตัวผมไป ไม่ช้าแต่ก็ไม่เร็ว ทำอย่างตั้งอกตั้งใจ ผมอายจะแย่ เลยได้แต่ปิดตา
ครู่ใหญ่ ๆ ร่างกายของผมก็หอมฉุย ก็เดาะทาแป้งเด็กด้วย และมันก็สบายเนื้อสบายตัวขึ้นจมเลย จนเมื่อเสื้อผ้าอยู่ครบตัว ม่านก็ถูกรูดเปิดออก
"มาจ๊ะมากินข้าวด้วยกัน" ม๊าพูดอย่างเป็นกันเอง แล้วทั้งสองคนก็นั่งหม่ำข้าวด้วยกัน ไม่สนใจผมอีกสักนิด อะไรกันวะเนี่ย
"มองอะไรหิวเรอะ ?" ม๊าหันมาถามและผมก็เอาแต่อมยิ้ม
"ข้าวต้มหมูใส่เห็ดหอม ลองหน่อยไหมล่ะครับ ?" ครูเมี่ยงพูดแล้วก็ตักใส่ถ้วยใบน้อย ๆ ยื่นให้ม๊า แต่ไป ๆ มา ๆ ก็จะป้อนผมเสียเอง
"แม่รับประทานต่อเถอะครับ เดี๋ยวเมี่ยงป้อนให้พี่หมอเองก็ได้" เขาพูดแล้วก็ค่อย ๆ ตักพอดีค่ำ ท่าทางจะยังร้อน เพราะควันฉุย กลิ่นหอมโชยมาแตะจมูกจนผมชักจะหิว และน้ำลายสอ
"เป่านิดหนึ่งนะ" เขาพูดแล้วก็เป่าเบา ๆ พอไอร้อนเริ่มคลาย ข้าวต้มอุ่น ๆ ก็ไหลเข้าปากผมทีละน้อย อร่อย...หอม ชุ่มชื่นไปทั้งร่างกายและหัวใจ ทำให้ผมรู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นอีกมากทีเดียว
แต่พอผมเผลอสายตาไปจ้องที่หน้าของครูเมี่ยง แววตาของเราประสานกันแล้วภาพความฝันนับร้อย ๆ เรื่องก็ปะทุขึ้นมาเหมือนเราเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อไม่นานนี้เราทำอะไรมาบ้าง ความรู้สึกจุกที่คอหอยมันตื้อจนผมแทบกลืนอาหารไม่ลง น้ำตาของผมไหลลงมาน้อย ๆ คล้ายกับดีใจ เสียใจ น้อยใจ โกรธ รัก มันตีกันวุ่นวายกันไปหมด
เพราะความรู้สึกจากฝันที่ผ่านมา ผมตระหนักได้ว่าที่ในปัจจุบันชาตินี้ผมไม่เคยนึกสนใจใคร ไม่เคยอยากจะคิดรักใคร มันเป็นเพราะผมรักคนแค่คนเดียว แต่อีกด้านของความรักมันก็มีความเสียใจ ที่เราทั้งสองคนต่างทำความเสียอกเสียใจให้กันและกันจนผมอธิษฐานไม่อยากเจอไม่อยากรักใครอีกแล้ว แต่แล้วผมก็รู้ว่าผมแพ้
ผมแพ้แล้วให้กับความรักที่แล้วมา รักที่บวกผสานไปทั้งโลภ โกรธ หลง มันปนเปทำให้เกิดทั้งเรื่องดีและร้าย
"ดื่มน้ำหน่อยนะครับ ท่าทางจะติดคอ" ครูเมี่ยงพูดและหลบสายตาของผม หน้าของเขาแดงร้อน และเสสายตาไปทางอื่น จนเมื่ออาหารมื้อแรกของผมเสร็จลง ผมค่อย ๆ เอื้อมมือไปจับมือของเขา พร้อมกับกล่าวคำขอบคุณเบา ๆ
"ขอบคุณนะครับ" ผมกล่าว แต่สำนึกขอบคุณของผมมันคงไหลบ่าไปตามสัมผัส ครูเมี่ยงอมยิ้ม ริมฝีปากสั่นเทิ้มแล้วน้ำตาของเขาก็ไหลออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ค่อย ๆ คลี่บาน
ครูเมี่ยงจากไปแล้ว เพราะมีหน้าที่การงานต้องไปต่อ แต่เจ้าตัวก็หันมาบอกกับผมว่าตอนเย็น ๆ จะมาเยี่ยมผมใหม่ ม๊าเอาแต่นั่งข้าง ๆ และใช้มือลูบหัวของผมเบา ๆ จ้องที่หน้าของผมแล้วก็นั่งอมยิ้ม
จนไอ้ไปป์มาเยี่ยมนั่นล่ะ ผมถึงได้รู้เรื่องราวทั้งหมด เริ่มจากอาการของผมที่ผมฟังจากที่มันเล่า อาการที่ผมได้รับนั้นมันค่อนข้างหนักหนามากทีเดียว แต่ผมก็ผ่านมันมาได้แล้ว เหลือเพียงแค่พักฟื้นให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงดีผมก็น่าจะกลับไปใช้ชีวิตได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
ความทรงจำบางอย่างวูบขึ้นมาผมเอื้อมมือไปจับมือของมันไว้
"ขอบใจมึงมากนะเพื่อน" ผมพูดและจ้องหน้ามัน ถ้าไม่ได้มันผมคงต้องจากโลกนี้ไปแล้ว ผมรู้
"กูเพื่อนมึงนี่ ยังไงก็ต้องทำสุดความสามารถ แต่กูยังไม่อนุญาตให้ไอ้พวกบ้านั่นมาเยี่ยมมึงนะ เดี๋ยวเกิดกวนประสาทแล้วมึงหัวเราะ แผลที่เย็บไว้จะฉีก รออีกสักอาทิตย์สองอาทิตย์ แต่กูว่า มึงฟื้นแล้วน่าจะหายเร็วล่ะว๊า ก็แหม นะ...เช้าถึงเย็นถึงกำลังใจท่าจะดี" ไอ้ไปป์พูดแล้วก็ซ่อนยิ้ม
ผมมารู้จากม๊าอีกว่า หลังจากที่รู้ว่าผมประสบอุบัติเหตุ ตั่วเฮียพาม๊ามาจากปากน้ำโพ ม๊าอาสามาอยู่เฝ้าผม อีกคนที่มาเยี่ยมไข้ผมทุกวันก็คือครูเมี่ยง เขามาด้วยเหตุผลว่ามาอยู่เป็นเพื่อนม๊า มาอยู่เป็นเพื่อนคุย มาช่วยดูแลผม แม้แต่เช็ดขี้เช็ดเยี่ยว ไม่มีความรังเกียจสักนิด
จนเมื่อเหลือผมกับม๊ากันแค่สองคน ม๊านั่งข้างเตียงเอามือเท้าคางมองหน้าผมแล้วก็อมยิ้ม
"หายไปนี่ไม่ต้องบวชหรอก เบียดเลยดีกว่า ม๊ามีคนดี ๆ ที่มอง ๆ ไว้แล้วถ้าเบียร์ไม่เอาม๊าก็จะตัดแม่ตัดลูก" ม๊าพูดทำหน้าจริงจังแต่แอบกลั้นยิ้ม
"เบียดเบิดอะไรกันม๊า จะเดินยังเดินไม่ได้เลย" ผมตอบเพราะอาการกล้ามเนื้อฉีกขาดที่ต้นขา
"ม๊าเห็นสายตาของอาเมี่ยงตอนดูเบียร์ ม๊าคิดนะว่าถ้าเบียร์ตาย เมี่ยงคงตายตามแน่ ๆ เขารักเบียร์เหลือเกิน ไปรักกันตอนไหน ?" ม๊าถามแล้วก็ยิ้มกว้างออกมา
"ยังไม่เคยรักกันเลยม๊า เอ่อ...คือเอาตรง ๆ เบียร์รู้แหละว่าเขาชอบเบียร์แต่เบียร์ยังไม่คิดอะไรกับเขาตอนนั้น" ผมตอบและหลบตา รู้สึกที่หน้าของผมมันเห่อร้อนเพราะความเขินยังไงชอบกล
"แสดงว่าตอนนี้เบียร์ก็ชอบเขาแล้วสิ" ม๊าหันมาถาม ผมเงียบม๊าก็เลยแกล้งดึงหูผม ผมก็แกล้งร้องเสียงดังจนม๊าตกใจ
"เป็นอะไรหรือเปล่าลูก ม๊าขอโทษ" ม๊าพูดละล่ำละลัก
"ไม่เป็นอะไรหรอก แกล้งเจ็บ" ผมว่าและทำหน้าทะเล้น
"ไอ้ผี" ม๊าด่าแต่ก็หัวเราะตามหลัง ม๊ายังคงนั่งเท้าคางมองหน้าผม อีกมือของม๊าก็จับมือของผมไปด้วยแล้วลูบคลำเบา ๆ
สัมผัสของม๊าอบอุ่นชะมัด แล้วจู่ ๆ ผมก็เกิดนึกถึงสัมผัสแบบนี้ขึ้นมาได้ มันลึกล้ำเหมือนตอนผมยังนั่งขออยู่ในที่มืด ๆ อุ่น ๆ สัมผัสของม๊าที่ลูบท้องตัวเองเบา ๆ ผมตื่นเต้นดีใจจนใช้เท้าเตะตวัดไปรอบ ๆ ผนังที่หุ้มรัดร่าง ผมได้ยินเสียงม๊าอุทานแล้วก็หัวเราะร่า
"ม๊า..." ผมเรียกม๊าเบา ๆ ค่อย ๆ ยกมือของม๊ามาวางแนบไว้ที่ข้างแก้ม หลับตา แล้วใช้แก้มของผมแนบไปที่มือสาก ๆ ของม๊าเบา ๆ พร้อมกันนั้นผมก็สูดหายใจลึก ๆ จนได้กลิ่นหอม ๆ จากแป้งเก่าแก่โบราณที่ม๊าใช้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ผมเคยบ่นว่าม๊าใช้แป้งอะไรก็ไม่รู้เหมือนจะตาย แต่ตอนนี้เมื่อผมได้กลิ่น ผมก็พูดได้เต็มปากว่ากลิ่นแป้งที่ผสมกับกลิ่นตัวของม๊ามันหอมกรุ่นอะไรเช่นนี้
เวลาอีกสามอาทิตย์ที่ผมต้องนอนรักษาร่างกายที่โรงพยาบาล ครูเมี่ยงยังคงมาหาผมทุกเช้าและทุกเย็น เมื่อมาก็จะไม่มามือเปล่า เอาอาหาร ขนม หรือผลไม้มาด้วย ผมรู้นอกจากมาเอาใจผม ก็มาเอาใจม๊าด้วย ก็เล่นแกะสลักผลไม้อยู่ข้าง ๆ เตียง อวดฝีมือ ใครก็ดูออกว่าอยากอวดฝีมือชาววัง
แล้วยังไม่นับกับข้าวกับปลาแสนอร่อยที่เอามาฝากไม่วันแต่ละวัน แถมทำมาอย่างตั้งอกตั้งใจ
"อันนี้เมี่ยงไม่ได้ทำเองหรอกครับ คุณย่าทำ แต่พรุ่งนี้เสาร์อาทิตย์ มันวันหยุด เดี๋ยวเมี่ยงเข้าครัวทำเองจะทำให้สุดฝีมือ แม่อยากรับประทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ พี่หมอล่ะอยากรับประทานอะไรอีกบอกเมี่ยงได้เลย" จะเห็นใจกันก็อีตรงนี้
แม้ว่าร่างกายของผมจะค่อนข้างดีแต่ก็ยังใช้งานได้ไม่ถนัด ม๊ากลับไปปากน้ำโพแล้ว แต่ทุกวันสามเวลาเมี่ยงก็จะมาหาผม เพราะต้องมาป้อนข้าว ก็แขนของผมดันหักซ้ายซึ่งเป็นข้างถนัดเสียนี่
ยังดีที่ข้างขวายังใช้การได้ดี ผมพยายามหัดทำอะไร ๆ ด้วยมือขวา แต่เมี่ยงก็ยังยืนยันจะมาป้อนข้าวให้ผมสามมื้อเหมือนเดิม
เมื่อหายแล้วก็ยังคงกลับมาทำงานแม้ว่าจะได้ไม่เต็มร้อย แต่ก็ใช้ปากจัดการได้ พวกนักศึกษาแพทย์โดนผมดุเยอะหน่อยเพราะผมก็แอบใจร้อนด้วยความที่ไม่ได้ดั่งใจ ทำอะไรเงอะ ๆ เงิ่น ๆ ก็เลยโดนผมบ่น
งานสอนก็ทำได้ตามปกติ เพียงแต่ต้องนั่งสอนเพราะยืนนาน ๆ ไม่ค่อยไหว
ทุก ๆ ช่วงสาย ๆ ก็ต้องไปกายภาพบำบัด ซึ่งผมก็จะตั้งใจทำไม่บิดพลิ้วหรือเกียจคร้าน ไม่ใช่ทำเพื่อตัวเองแต่ผมอยากจะทำให้ตัวของผมหายไว ๆ เพื่อคนรอบ ๆ ตัวจะได้สบายใจ
"พี่เสียโฉมแล้ว ดูแผลเป็นสิ" ผมบ่นและใช้มือลูบแผลเป็นปื้นใหญ่ที่ผิวหน้าด้านซ้าย
"ไม่เท่าไรหรอกพี่หมอ แต่ก่อนก็ไม่ใช่จะหล่ออะไรมาก" ครูเมี่ยงที่ตอนนี้ผมเรียกเขาว่าน้องเมี่ยงพูดแล้วก็ทำหน้าเปิ่น
"อ้าว" ผมร้องอ้าวออกมาจนเขาหัวเราะเห็นฟันขาว
"ขนาดไม่หล่อยังมีคนมาตามตื๊อเล๊ยเช้าถึงเย็นถึง" ผมล้อเข้าบ้าง
"เขาสงสารร๊อก" เมี่ยงยั่ว
"เอ๊าหรอ นึกว่ารัก" ผมยั่วกลับ
"รักเริกอะไร วุ่นวาย"
"เอ๊าไม่รักหรอกเหรอ ถ้ารักจะขอเป็นเมียสักหน่อย ดูเพื่อน ๆ พี่สิ มีเมียมีผัวไปหมดแล้ว เหลือแค่พี่คนเดียว...เห้อ..." ผมถอนหายใจยาว และเมี่ยงก็ขยับมากอดเอวผมเอาหน้ามาแนบที่หัวไหล่
"รักก็ได้ครับ...เมี่ยงรักพี่หมอนะ...รักมาตั้งนานแล้ว" ครูเมี่ยงพูดอู้อี้พร้อมกับซุกหน้าไปที่อกของผมด้านที่ไม่มีบาดแผล
"ครับ" ผมตอบรับและก้มหน้าลงไปจูบที่ผมนุ่ม ๆ ของเขาเบา ๆ ผมก็รักเขาตั้งแต่แรกพบมาหลายภพชาติแล้วเหมือนกัน ยกเว้นชาตินี้แค่นั้นแหละ
เรื่องราวหลังจากนี้ก็ออกจะวุ่นวายนิด ๆ เพราะหม่อมย่าของน้องเมี่ยง ถึงจะเป็นคนแก่ทันสมัยแต่ก็ ติดพิธีรีตองอยู่ไม่ใช่น้อย แต่เมื่อคนของเราเป็นใจเสียอย่าง สุดท้ายมันก็ลงตัวไปเอง
ร่างกายของผมกลับมาใช้ได้ดี รอยแผลเป็นที่ใบหน้า ก็ได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนของผมที่เป็นสุดยอดหมอศัลย์ กระดูกหักที่แขนใช้การได้เป็นปกติ บาดแผลที่ขาก็สมานใช้การได้เป็นอย่างดี แม้จะมีอาการปวดแปลบบ้างในวันที่อากาศเย็นจัด แต่ก็กลับมาเดินและวิ่งได้เป็นปกติ
ในวันหยุดของผม พี่ชายคนโตของผมยังคงมารับผมกลับไปเยี่ยมบ้าน เยี่ยมม๊า และพี่ ๆ น้อง ๆ เยี่ยมหลาน ๆ เพียงแต่จะมีเมี่ยงติดรถไปด้วยอีกคน ม๊าทั้งรักทั้งหลง และเอาแต่เข้าข้างเมี่ยงในทุก ๆ เรื่อง รวมถึงพี่น้องและหลาน ๆ ของผมด้วยที่พากันหลงรักเมี่ยง ก็พ่อไปบ้านแต่ละทีทำอาหารอร่อย ๆ อวดฝีมือใครกันจะไม่รักไม่หลง
ว่าไม่ได้ชาววังเขาก็ขี้งอนเหมือนกัน และผมก็ขี้เกียจจะง้อ แต่พอม๊าด่าหนัก ๆ ง้อก็ต้องง้อละวะ ไม่อย่างนั้นเรื่องไม่จบ
บ่ายของวันอากาศดี ๆ ผมกับเมี่ยงนั่งอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ น่าสบาย ผมมาบ้านนี้บ่อยจนขี้เกียจจะเกรงใจมันแล้ว
"พี่เบียร์เดี๋ยวเมี่ยงมานะคะ" เมี่ยงกระซิบและผมก็พยักหน้ารับ ไอแพดในมือของผมยังคงเรียกร้องความสนใจเพราะงานวิชาการมันอัพเดทอยู่ทุก ๆ วัน เมี่ยงพูดจ้อย ๆ เป็นต่อยหอย กับไอ้สมิง คลิปวิดีโอ การสอนทำอาหาร ซึ่งไอ้สมิงเป็นเจ้าของรายการโดยมีเมี่ยงเป็นแขกรับเชิญ ใคร ๆ ก็อยากรู้ตำรับอาหารชาววัง
กลเม็ดเคล็ดลับกับอีแค่ ทำกับข้าวง่าย ๆ เมี่ยงก็สามารถอธิบายให้ของยากกลายเป็นของง่าย และของที่ง่าย ๆ ก็ดูมีเรื่องราวพิสดารขึ้นมาได้
กลิ่นอาหารหอมฉุยลอยจนยั่วน้ำลาย เสียงหมาปากเปราะเห่าดัง ๆ จนเมื่อประตูบ้านเปิดออกมันก็กระดิกหางแล้วก็วิ่งแจ้นไปหาผู้มาเยือน
เพื่อน ๆ ของผมค่อย ๆ ทยอยมากันจนครบ เริ่มจากอีรวีกับไอ้สิน ที่มาเป็นคู่แรก อีดอยที่ตามาสมทบ และไอ้ป๊อปกับพี่โอลีฟ
มื้ออาหารที่เราตกลงกันเดือนละครั้งว่าต้องมาให้ครบทุกคน เสียงพูดเซ็งแซ่ ไม่มีใครฟัง เมี่ยงทิ้งตัวนั่งเบียดผม อะไรที่ดูน่ากินเจ้าตัวก็จะคุยอวดแล้วใช้ช้อนตักมาป้อนผมถึงปาก
"อร่อยมั๊ย ?"
"อร่อยครับ" ผมตอบและยิ้มกว้าง ยื่นหน้าไปหอมแก้มเมี่ยงเบา ๆ แน่ล่ะว่าผมหวานขนาดนี้ ไอ้คู่อื่นก็ไม่ยอมแพ้กัน อีรวีขยับไปนั่งตักไอ้สิน เพราะเริ่มเมาเรื้อน อ้อนให้ไอ้สินจูบโชว์ ไอ้ไปป์กับฝันก็แทบจะสิงกันอยู่แล้วนั่งเบียดกันตัวไม่ยอมแยกจากกันเลยสักวินาที
ส่วนไอ้สมิงกับอีดอย โน่นไปกอดกันกลมอยู่ในครัวอย่านึกว่ากูไม่เห็น ส่วนไอ้ป๊อปกับพี่โอลีฟ ก็กินขนมกันไปกระซิบกระซาบกันไป รู้สึกว่าบ้านนี้มันอบอวลด้วยความรักอย่างไรชอบกล
ความรักมันมีกลิ่นหอม ๆ อย่างไรก็ไม่รู้อาจจะหอมสดชื่น หรือหอมจนหลงใหล หรืออาจจะหอมจนเราถอนหายใจอย่างสบาย ๆ และโล่งอก
พัดลมสองสามตัวถูกเปิดเพื่อพัดวีให้พวกเราเย็นสบาย ยิ่งหลังบ้านของไอ้สมิงครึ้มไปด้วยต้นไม้ บ้านนี้ก็เลยไม่อบอ้าว
โคมไฟโมบายที่ทำจากแก้วคริสตัลถูกแขวนอยู่เหนือโต๊ะกินข้าว ผมเงยหน้าไปมองมัน ก็เห็นว่ามันคอย ๆ แกว่งไกว ในบางขณะที่ลมจากพัดลมพัดเอื่อย ๆ จนแก้วคริสตัลกระทบกันจะเกิดเสียงกรุ๋งกริ๋งน่าเอ็นดู
ผมเหม่อมองมันและเพื่อน ๆ ของผมก็ค่อย ๆ เงยมองมันตามมาทีละคน แก้วคริสตัล ถูกจำลองเป็นรูปดวงดาวต่าง ๆ ในจักรวาลของเรา เริ่มจากดวงตรงกลางซึ่งเป็นโคมไฟ สีส้มสว่างจ้าจากดวงอาทิตย์ ถัดออกมาเป็นดวงดาวกลมลูกจิ๋วสีส้มคือดาวพุธ
เลยจากดาวพุธมาก็คือโลก เพราะเป็นดวงดาวสีน้ำเงิน แซมเขียว ข้าง ๆ ลูกโลก คือพระจันทร์ที่เป็นสีขาวสว่าง ดาวอังคารสีส้มอมชมพู ดาวเสาร์ที่มีวงแหวนอยู่รายรอบ ดาวพฤหัสที่ใหญ่ที่สุดสีครีมปนน้ำตาล ดาวยูเรนัสสีฟ้าอ่อน และดาวเนปจูนสีฟ้าอมม่วง
ผมมองพวกมันอย่างเพลิน ๆ มองพวกมันที่หมุนไปหมุนมาช้า ๆ นึกถึงพวกเราที่นั่งกันอยู่ตรงนี้ก็เหมือนดวงดาวคนละดวง บางทีก็หมุนมาโคจรเจอกัน บางทีก็ห่างกันไป แต่พวกเราก็ยังอยู่ในสุริยจักรวาลเดียวกัน
แต่อะไรกันนะที่เป็นแรงผลักดันให้พวกมันยังคงเดินหน้าหลายแสนหลายพันล้านปี
"โลกหมุนด้วยอะไร ?" ผมโพล่งคำถามออกมา
"แรงดึงดูดสิ" ไอ้ไปป์ตอบแบบนักวิทยาศาสตร์
"ไม่อ่ะ กูว่าโลกหมุนด้วยความรัก" ผมตอบและดึงตัวของเมี่ยงมากอดไว้หลวม ๆ ผมรักเมี่ยงเหลือเกิน รักมานาน ผมรักเพื่อน ๆ ของผมเหลือเกิน เพราะพวกมันรักหวังดีและอยู่เคียงข้างผมเสมอมา ผมรักม๊า อาม่า ป๊าและพี่น้อง รักหลาน ๆ เพราะเราเป็นสายเลือดเดียวกัน
"กูรักพวกมึงนะ เมี่ยงพี่รักเมี่ยงนะ" ผมพูดออกมาอย่างซึ้ง ๆ ยิ้มให้ทุก ๆ คน
"เออกูก็รักมึง"
"เมี่ยงก็รักพี่ครับ" เมี่ยงกระซิบตอบ พวกเราทุกคนได้แต่อมยิ้ม สุขอะไรจะดีไปกว่านี้สุขที่ได้รักและทุกรัก แม้ว่าความรักจะมาจากคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวคนละดวงแต่พวกเราก็อยู่ในสุริยจักรวาลเดียวกัน