ดอกไม้งาม น้ำชาดี ดนตรีไพเราะ อาหาร ขนมหวานทุกจานอร่อย

โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง - ตอนที่ 1 ลอบวางเพลิง โดย มู่จิ่น 木槿 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ปลูกผัก,เกิดใหม่,ครอบครัว,จีน,รัก,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ปลูกผัก,เกิดใหม่,ครอบครัว,จีน,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง โดย มู่จิ่น 木槿 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ดอกไม้งาม น้ำชาดี ดนตรีไพเราะ อาหาร ขนมหวานทุกจานอร่อย

ผู้แต่ง

มู่จิ่น 木槿

เรื่องย่อ

ชีวิตเก่าแม้จะไม่อาจเรียกได้ว่าสบายแต่ก็ไม่เคยลำบากเข้าถึงขั้นยากจนข้นแค้น ฟางข้าวเป็นเพียงหญิงสาวที่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยมีงานหลักคือเรียนหนังสือและมีงานอดิเรกเป็นการแบมือขอเงินพ่อแม่ใช้จ่ายไปวันๆ แต่ก็ยังดีที่เจ้าตัวยังช่วยเหลืองานของที่บ้านเพียงแค่ติดจะขี้เกียจเล็กน้อยถึงปานกลางเท่านั้นต้องใช้ระบบคำสั่งถึงจะยอมขยับตัวออกห่างจากเว็บอ่านนิยายออนไลน์และเกมปลูกผักที่เจ้าตัวติดหนึบติดหนับ

แต่เมื่อบังเอิญถูกรถชนตายและได้มาเกิดใหม่โดยไม่ทันได้ตั้งตัวชีวิตนี้กลับต้องมาลำบากคล้ายกับถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ให้ผ่านด่านเคราะห์ทั้งต้องผจญกับหมู่มารที่มาในรูปแบบของญาติพี่น้อง อีกทั้งยั้งต้องดิ้นรนเพื่อช่วยบิดา มารดากอบกู้กิจการเดียวที่มีของครอบครัวคือโรงน้ำชาเล็กๆ ให้สามารถยืนหยัดต่อไปได้

 

หมายเหตุ นิยายเรื่องนี้ไม่อิงประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะ สถานที่ เหตุการณ์ หรือตัวบุคคลในเรื่องล้วนเกิดจากจินตนาการของผู้เขียนทั้งสิ้นค่ะ

สารบัญ

โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 1 ลอบวางเพลิง,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 2 ฟางข้าว,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 3 ตั้งสติ,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 4 ชีวิตใหม่,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 5 การรักษาและบำรุงร่างกาย,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 6 ยาพิษ,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 7 จะกอบกู้ร้านชาด้วยมือของข้าเอง,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 8 หาทุนสร้างโรงน้ำชา,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 9 ในป่าล้วนมีแต่ของดี

เนื้อหา

ตอนที่ 1 ลอบวางเพลิง

ในยามค่ำคืนที่มืดสนิทเปลวเพลิงสีแดงฉานที่กำลังลุกโชนท่วมหัวเป็นตัวปลุกคนบ้านสกุลหยวนที่กำลังหลับใหลด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานหนักมาทั้งวันให้ลุกขึ้นมาคว้าถังน้ำดับไฟไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่อีกทั้งยังได้ชาวบ้านละแวกใกล้เคียงมาร่วมด้วยช่วยกันด้วยความมีน้ำใจส่วนหนึ่งและอีกส่วนหนึ่งก็เพราะกลัวว่าเพลิงนั้นจะลุกลามไปยังพื้นที่ข้างเคียงที่ล้วนแต่เป็นร้านค้าที่สร้างมาจากไม้ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี

“ฟางเอ๋อร์ เสี่ยวหลิน ถอยออกมาลูก ถอยออกมาก่อน เด็กๆ ถอยออกมาให้หมดออกไปอยู่ไกลๆ ร้านค้า” หยวนตงหยางร้องบอกบุตรสาวทั้งสองคนและบรรดาหลานๆ ที่กำลังช่วยกันส่งถังที่ตักน้ำจากบ่อส่งต่อให้ผู้ใหญ่และก็กำลังเข้าใกล้กองเพลิงไปมากขึ้นทุกทีหรือจะพูดให้ถูกก็คือเพลิงนั้นยิ่งลุกท่วมหนักขึ้นตามเวลาที่ผ่านไปน่าจะถูกต้องเสียกว่า

“ท่านพ่อ ร้านชา ร้านชาของเรา” หยวนเยี่ยนฟางที่ทั้งหวาดกลัวและเสียขวัญแต่ก็ยังคงกัดฟันช่วยเหลือบรรดาลูกพี่ลูกน้องตักน้ำใส่ถังไม้ไม่หยุดมือร้องเรียกท่านพ่อด้วยความเสียใจ

“ฟางเอ๋อร์เจ้าต้องไปนั่งพักแล้วใบหน้าเจ้าซีดเซียวมากหากยังฝืนก็จะป่วยเอาได้” เป็นหยวนเชียนชิงมารดาของเด็กหญิงรีบถลาเข้ามาประคองใบหน้าที่ซีดขาวของบุตรสาวคนโตเอาไว้ด้วยฝ่ามือที่หยาบกร้านของนางโดยตั้งแต่เกิดมาหยวนเยี่ยนฟางก็เจ็บออดๆ แอดๆ แม้จะผ่านช่วงวิกฤติมาได้แล้วแต่นางก็ยังมีร่างกายที่อ่อนแอกว่าเด็กในวัยเดียวกันอยู่พอสมควรให้มายกถังน้ำหนักๆ วิ่งไปวิ่งมาแบบนี้นานๆ จะไม่เป็นผลดีต่อร่างกายของเด็กหญิงตัวน้อยได้

“ท่านแม่ ตำราใบชาของท่านตาท่านยายอยู่ในร้านชาเจ้าค่ะลูกต้องไปเอามันมา ลูกต้องเข้าไปหยิบมัน” หน้าที่สำคัญของหยวนเยี่ยนฟางหลานสาวของร้านจำหน่ายใบชาสกุลหยวนคือจดบันทึกวิธีการผลิตใบชาสูตรต่างๆ เก็บไว้เพราะท่านยายและท่านตานั้นรู้หนังสือน้อยแค่พออ่านออกแต่ไม่สามารถเขียนตัวอักษรได้จึงเป็นหน้าที่ของเด็กหญิงที่ได้เข้ามาช่วยครอบครัวตั้งแต่อายุได้เพียงสิบหนาวโดยนางจะช่วยจดบันทึกและเก็บรักษาตำรานั้นเอาไว้ด้วยวิธีการเปลี่ยนที่ซ่อนมันไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ใครล่วงรู้เพราะสูตรการทำใบชานั้นนับว่าเป็นความลับที่มีค่าและจะส่งต่อให้เฉพาะทายาทหรือคนในตระกูลเดียวกันเท่านั้น

และครั้งนี้เหมือนจะเป็นคราวเคราะห์ใหญ่ของครอบครัวสกุลหยวนร้านใบชากำลังถูกเพลิงไหม้อีกทั้งตำราที่เป็นความรู้เดียวที่ทั้งคนบ้านใช้หาเลี้ยงชีพ เป็นมรดกตกทอดของครอบครัวก็กำลังจะสูญสลายไปในกองเพลิงซึ่งนั่นมันเป็นสิ่งที่หยวนเยี่ยนฟางไม่อาจทำใจยอมรับได้เลยแม้แต่น้อย

“ฟางเอ๋อร์ อย่าไปนะลูก” ไม่ทันที่มารดาจะห้ามอะไรได้ทันแม้แต่จะคว้าชายกระโปรงของบุตรสาวเอาไว้ก็มิอาจทำได้เพราะหยวนเยี่ยนฟางใช้กำลังเฮือกสุดท้ายของนางวิ่งฝ่ากองเพลิงเข้าไปยังร้านขายใบชาที่กำลังถูกไฟโหมกระหน่ำโดยมีจุดหมายเป็นที่ซ่อนตำราที่นางเป็นคนรับผิดชอบและรู้แต่เพียงผู้เดียว

หากมีใครล่วงรู้ว่าครอบครัวสกุลหยวนยกหน้าที่สำคัญให้เด็กสาวที่ทั้งบอบบางและอ่อนแอเป็นคนดูแลคงมีแต่จะหัวเราะด้วยความขบขันแต่สำหรับคนในครอบครัวที่รู้ว่าหยวนเยี่ยนฟางแม้จะมีร่างกายไม่แข็งแรงแต่นางกลับมีสิ่งทดแทนคือมันสมองที่ชาญฉลาดและความจำที่ดีเยี่ยมเมื่อครั้งอดีตบิดาสอนให้คัดตัวหนังสือนางก็ทำได้ดีกว่าพี่น้องทุกคนการได้รับหน้าที่นี้ไปมันจึงไม่แปลกอะไรเลย

ร้อน ร้อนเหลือเกินความร้อนเป็นสิ่งเดียวที่เด็กหญิงสัมผัสได้แต่เพราะนางไม่มีเวลามากมายอะไรนักจึงรีบพุ่งตัวไปหาที่ซ่อนตำราเมื่อเจอแล้วก็รีบคว้ามันมาซ่อนเอาไว้ข้างในอกเสื้อก่อนที่จะหันหลังเตรียมวิ่งออกมาจากจุดนั้นแต่ก็นับว่าโชคยังดีที่ครั้งนี้หยวนเยี่ยนฟางซ่อนตำราไว้ที่ชั้นล่างของร้านชาจึงไม่ต้องเสี่ยงวิ่งขึ้นไปหาบนชั้นสองที่เริ่มจะถล่มลงมาแล้ว

แต่แล้วโชคก็ไม่ได้เข้าข้างหยวนเยี่ยนฟางเลยแม้แต่น้อยเด็กสาวสำลักควันไฟและล้มลงไปกองกับพื้นแต่ก่อนที่สติจะดับวูบลงก็เป็นหยวนตงหยางผู้เป็นบิดาที่มาช่วยอุ้มนางออกไปก่อนที่ร่างเล็กๆ นั้นจะถูกเผาไปพร้อมกับร้านขายใบชา

หลังจากที่ช่วยกันดับไฟมาเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วยามในที่สุดน้ำถังสุดท้ายก็ถูกราดลงไปบนซากไม้และกองเถ้าถ่านท่ามกลางความรู้สึกโล่งใจของครอบครัวสกุลหยวนและบรรดาเพื่อนบ้านที่มาช่วยเหลือแต่กระนั้นคนทั้งบ้านก็สบายใจได้ไม่นานเนื่องจากหยวนเยี่ยนฟางหลานคนที่สามของสกุลหยวนยังนอนไม่ได้สติอยู่ในเรือนด้านหลังโดยมีท่านหมอที่ถูกปลุกขึ้นจากเตียงกลางดึกมาช่วยดูแล

ในตอนนี้คนสกุลหยวนต่างก็กำลังถูกเจ้าหน้าที่ของทางการซักถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่แล้วก็ไม่ได้เบาะแสอะไรมากเพราะเหตุเกิดในยามวิกาลที่ผู้คนต่างก็หลับใหลโดยเรื่องของสาเหตุของเพลิงไหม้นั้นยังคงต้องให้เวลาเจ้าหน้าที่ของทางการได้สืบสวนสอบสวนแต่สำหรับหยวนตงหยางนั้นกลับมีธงตั้งอยู่ในใจโดยเขาคิดว่าเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งนี้นั้นคนจากสกุลกู่ที่ตัดขาดกันมานานจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน

โดยแต่เดิมนั้นหยวนตงหยางเป็นคนในครอบครัวสกุลกู่ที่ทางบ้านมีอาชีพค้าขายมีร้านค้าขนาดใหญ่อยู่ในเขตชั้นในของเมืองหลวงซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างก็เหมือนจะดำเนินไปได้ด้วยดีจนเมื่อหยวนเยี่ยนฟางบุตรสาวคนโตมีอายุได้ราวเก้าขวบปีก็มีปัญหาเนื่องจากเขาเป็นบุตรชายคนโตย่อมต้องเป็นผู้ที่ได้สืบทอดสกุลกู่ต่อไปแต่กลับยังไม่มีบุตรชายเลยสักคนและในตอนนั้นก็มีแต่บุตรสาวตนโตกู่เยี่ยนฟางและบุตรสาวคนเล็กกู่เล่อหลินที่เป็นโซ่ทองคล้องใจ

ปัญหาที่ว่าไม่เพียงมารดาจะกดดันให้กู่ตงหยางในขณะนั้นมีบุตรชายแต่นางยังขู่ว่าจะให้กู่หย่งเหิงน้องชายคนรองขึ้นเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปแทนที่เขา ซึ่งเรื่องนี้นั้นทั้งตัวกู่ตงหยางและภรรยาต่างก็ไม่มีปัญหาเพราะการมีบุตรสาวสองคนไม่ได้ทำให้ทั้งสองคนผิดหวังเสียใจอะไรอีกทั้งการจะให้น้องชายขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรอยู่แล้ว

พี่ใหญ่บ้านกู่ยอมง่ายๆ แต่น้องชายคนรองและภรรยากลับไม่ได้คิดอย่างนั้นหลังจากที่มารดาเรียกลูกๆ บ้านกู่ทุกคนไปรับทราบการตัดสินใจของนางเรียบร้อยแล้วหลังจากวันนั้นกู่หย่งเหิงและภรรยากู่หงฮวาก็มีนิสัยเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงโดยในช่วงแรกเริ่มก็ทำตัวข่มครอบครัวของพี่ชายคนโต หยามเหยียดหยวนเชียนชิงว่าเป็นภรรยาที่บกพร่องไม่สามารถมีบุตรชายให้สามีได้ รวมไปถึงปล่อยให้ลูกๆ มากลั่นแกล้งรังแกบุตรของพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องอยู่บ่อยๆ จนในที่สุดกู่ตงหยางก็อดทนต่อไปอีกไม่ได้จึงขอแยกบ้านซึ่งมารดากลับให้หนังสือตัดขาดมาแทน

หลังจากนั้นครอบครัวพี่ชายคนโตของบ้านกู่ก็พากันกลับมาพึ่งพาสกุลหยวนอันเป็นครอบครัวบ้านเดิมของภรรยาที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองหลวงชั้นนอกทั้งเปลี่ยนแซ่มาเป็นคนสกุลหยวนกันทั้งครอบครัวและช่วยกันทำงานซึ่งคนสกุลหยวนมีอาชีพเก็บใบชาป่าและผลิตใบชาขายทำรายได้ให้มากพอสมควร

และการที่คนสกุลเดิมกลับมาวุ่นวายอีกก็น่าจะเป็นเพราะในยามนี้ร้านชาสกุลหยวนมีการพัฒนาไปมากขึ้นจากครั้งอดีตที่มีใบชาขายเพียงไม่กี่ชนิดแต่ปัจจุบันมีการอบใบชาร่วมกับดอกไม้หอมต่างๆ ออกมาบ้างทำให้การค้ายิ่งเจริญรุ่งเรืองก็อาจทำให้คนทางนั้นยังฝังใจที่อดีตพี่ใหญ่สกุลกู่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีมากกว่าคนสกุลเดิมจึงต้องการที่จะทำลายร้านขายใบชาไปให้สิ้นซาก

และหลังจากที่หยวนตงหยางพาครอบครัวออกมาจากบ้านกู่ได้ไม่นานก็ได้ทราบเรื่องสำคัญว่าในท้องของภรรยามีเจ้าก้อนแป้งก้อนเล็กๆ กำลังถือกำเนิดอยู่อีกถึงสองคนและเมื่อถึงกำหนดคลอดคนทั้งบ้านหยวนถึงกับต้องเปิดโรงทานแจกหมั่นโถวให้ชาวบ้านแถวนั้นไปถึงสามวันเหตุเพราะหยวนเชียนชิงให้กำเนิดบุตรชายฝาแฝดเป็นคู่แรกของครอบครัวสกุลหยวนถือว่าสามารถลบคำสบประมาทจากครอบครัวสกุลกู่ไปได้อย่างสิ้นเชิง

“ฟางเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้างน้องหญิง” หลังจากที่ส่งเจ้าหน้าที่ทางการกลับไปแล้วหยวนตงหยางก็รีบเข้ามาดูบุตรสาวด้วยความเป็นห่วงแต่เมื่อพบภรรยานั่งร้องไห้อยู่ข้างเตียงแล้วก็ใจเสียแต่ยังคงฝืนทำเข้มแข็งไม่แสดงความอ่อนแอออกมาด้วยเข้าใจว่าครอบครัวยังต้องการให้ตนเองเป็นหลักและเป็นขวัญกำลังใจอยู่

“ท่านหมอบอกว่าหากฟางเอ๋อร์ฟื้นขึ้นมาภายในสามวันนางก็จะรอดเจ้าค่ะแต่ร่างกายก็ไม่อาจแข็งแรงไปได้มากกว่านี้ถ้าพวกเราดูแลนางดีๆ ลูกก็จะอยู่กับเราได้อีกนาน” ถ้อยคำที่ท่านหมอบอกนั้นกรีดหัวใจคนเป็นแม่เสียเหลือเกินแต่แม้ว่าจะเสียใจและใจเสียแค่ไหนหยวนเชียนชิงก็ยังต้องพยายามเข้มแข็งไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครได้เห็นโดยเฉพาะลูกชายฝาแฝดที่ยังเล็กอีกสองคนส่วนทางด้านบุตรสาวคนรองอย่างหยวนเล่อหลินนั้นพอจะวางใจได้ว่าท่านยาย ท่านตารวมไปถึงท่านลุง ท่านน้าและพี่น้องที่มีอยู่จะช่วยดูแลนางได้ระหว่างที่มารดาต้องมาเอาใจใส่ดูแลปฐมพยาบาลพี่สาวคนโตเป็นพิเศษ

“ฟางเอ๋อร์จะต้องไม่เป็นอะไร ลูกของเราจะต้องเติบโตต่อไปได้อย่างแน่นอนน้องหญิงเจ้าอยู่กับลูกไปก่อนนะพี่ขอไปคุยกับท่านพ่อ ท่านแม่แล้วก็พี่ใหญ่สักหน่อย”

ทุกย่างก้าวที่หยวนตงหยางเดินไปยังห้องโถงของเรือนหลักแข้งขาของเขานั้นมันทั้งหนักและอ่อนล้าและเมื่อมายืนอยู่ตรงหน้าบิดา มารดา และพี่ชายคนโตของภรรยาท่อนขาแข็งแรงนั้นก็ทรุดลงคุกเข่ากับพื้นในทันที

“ข้าขออภัยท่านพ่อ ท่านแม่และพี่ใหญ่ขอรับ” แม้ในหัวจะมีถ้อยคำมากมายเป็นร้อยพันแต่เป็นเพราะความละอายที่เต็มตื้นอยู่ภายในจิตใจจึงทำให้หยวนตงหยางไม่อาจกล่าวอะไรออกไปได้มากกว่าคำว่าขอโทษ

“ลุกขึ้นเถอะอาหยางมันเป็นอุบัติเหตุใช่ว่าจะเป็นความผิดของเจ้าเสียเมื่อไหร่” ผู้เฒ่าหยวนช่างพูดออกมาจากใจจริงพร้อมทั้งส่งสายตาให้บุตรชายคนโตอย่างหยวนจ้านช่วยไปประคองบุตรเขยของตนขึ้นมาจากพื้นเพื่อที่จะได้มานั่งหารือกันดีๆ

“ฟางเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้างหลานสาวของข้าได้รับอันตรายอะไรหรือไม่” ในมือท่านย่าหยวนยังถือตำราสองเล่มที่บันทึกข้อมูลต่างๆ ด้วยลายมือของหลานสาวเอาไว้โดยถ้าเลือกได้นางก็อยากให้หยวนเยี่ยนฟางมานั่งยิ้มหวานให้นางอยู่ตรงนี้แทนที่ตำราสองเล่มในมือ

“ท่านหมอบอกว่าหากฟางเอ๋อร์สามารถตื่นขึ้นมาได้ภายในสามวันนางก็จะรอดแต่ไม่อาจแข็งแรงไปได้มากกว่าที่เป็นอยู่ขอรับท่านแม่” แม้จะไม่ตั้งใจจะแสดงความอ่อนแอออกมาแต่น้ำตาของคนเป็นพ่อก็ไม่อาจกลั้นเอาไว้ได้อีกต่อไปเมื่อได้เอ่ยถึงอาการของบุตรสาวผู้น่าสงสาร

“นางจะต้องหายดีแน่นอนขอรับท่านพ่อ ท่านแม่ ตงหยาง ข้าได้ยินมาจากท่านหมอว่าที่เขตเมืองหลวงชั้นในมีท่านหมอชราฝีมือการรักษาดีเยี่ยมหากจัดการธุระที่บ้านของเราเสร็จเรียบร้อยแล้วข้าจะเดินทางไปเชิญท่านหมอมารักษาหลานด้วยตัวเอง

ตัวเจ้าช่วงนี้ก็ช่วยเชียนชิงดูแลลูกๆ ไปก่อนเถอะเรื่องที่ร้านข้ากับมี่เจียงและอาคุนจะจัดการให้เองไม่ต้องเป็นห่วง แล้วก็ไม่ต้องโทษว่าเป็นความผิดของเจ้าด้วยเพราะข้าเองก็เห็นว่ามีคนสนิทของน้องชายเจ้าอยู่ที่นี่เมื่อคืนนี้ด้วย ข้ามั่นใจว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน” ลุงใหญ่บ้านหยวนให้คำสัญญาต่อหน้าบิดามารดาและน้องเขยเพราะตัวเขาเองก็รักหลานสาวคนนี้ไม่ต่างจากบุตรของตนเองและยิ่งเห็นสิ่งที่นางทำด้วยความกล้าหาญแล้วก็นับว่าคนสกุลหยวนในยามนี้เป็นหนี้บุญคุณของหยวนเยี่ยนฟางด้วยซ้ำไป