ดอกไม้งาม น้ำชาดี ดนตรีไพเราะ อาหาร ขนมหวานทุกจานอร่อย

โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง - ตอนที่ 2 ฟางข้าว โดย มู่จิ่น 木槿 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ปลูกผัก,เกิดใหม่,ครอบครัว,จีน,รัก,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ปลูกผัก,เกิดใหม่,ครอบครัว,จีน,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง โดย มู่จิ่น 木槿 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ดอกไม้งาม น้ำชาดี ดนตรีไพเราะ อาหาร ขนมหวานทุกจานอร่อย

ผู้แต่ง

มู่จิ่น 木槿

เรื่องย่อ

ชีวิตเก่าแม้จะไม่อาจเรียกได้ว่าสบายแต่ก็ไม่เคยลำบากเข้าถึงขั้นยากจนข้นแค้น ฟางข้าวเป็นเพียงหญิงสาวที่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยมีงานหลักคือเรียนหนังสือและมีงานอดิเรกเป็นการแบมือขอเงินพ่อแม่ใช้จ่ายไปวันๆ แต่ก็ยังดีที่เจ้าตัวยังช่วยเหลืองานของที่บ้านเพียงแค่ติดจะขี้เกียจเล็กน้อยถึงปานกลางเท่านั้นต้องใช้ระบบคำสั่งถึงจะยอมขยับตัวออกห่างจากเว็บอ่านนิยายออนไลน์และเกมปลูกผักที่เจ้าตัวติดหนึบติดหนับ

แต่เมื่อบังเอิญถูกรถชนตายและได้มาเกิดใหม่โดยไม่ทันได้ตั้งตัวชีวิตนี้กลับต้องมาลำบากคล้ายกับถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ให้ผ่านด่านเคราะห์ทั้งต้องผจญกับหมู่มารที่มาในรูปแบบของญาติพี่น้อง อีกทั้งยั้งต้องดิ้นรนเพื่อช่วยบิดา มารดากอบกู้กิจการเดียวที่มีของครอบครัวคือโรงน้ำชาเล็กๆ ให้สามารถยืนหยัดต่อไปได้

 

หมายเหตุ นิยายเรื่องนี้ไม่อิงประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะ สถานที่ เหตุการณ์ หรือตัวบุคคลในเรื่องล้วนเกิดจากจินตนาการของผู้เขียนทั้งสิ้นค่ะ

สารบัญ

โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 1 ลอบวางเพลิง,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 2 ฟางข้าว,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 3 ตั้งสติ,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 4 ชีวิตใหม่,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 5 การรักษาและบำรุงร่างกาย,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 6 ยาพิษ,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 7 จะกอบกู้ร้านชาด้วยมือของข้าเอง,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 8 หาทุนสร้างโรงน้ำชา,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 9 ในป่าล้วนมีแต่ของดี

เนื้อหา

ตอนที่ 2 ฟางข้าว

“ฟางข้าวมาหาแม่หน่อยลูก” เสียงมารดาตะโกนเรียกบุตรสาวคนเดียวที่นอนไถโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียงผ้าใบภายในร้านขายอุปกรณ์ทางการเกษตรของครอบครัวด้วยช่วงนี้มหาวิทยาลัยปิดภาคเรียนทำให้ที่ร้านมีแรงงานเพิ่มมาอีกหนึ่งคนแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่ามาช่วยหรือจะมาเป็นภาระเพราะกว่าเจ้าตัวขยับลุกไปตามคำสั่งก็เล่นเอาเมื่อยปากเมื่อยคอ

“ฟางข้าวไปซื้อน้ำแข็งให้แม่หน่อยลูก ไปเร็วๆ เลยนะ ลุกจากที่นอนเร็วๆ ด้วยมันร้อน รีบไปซื้อไว้ถ้าพ่อเรากลับมาจะได้มีน้ำเย็นกิน”

“แป๊บเดียวจ้ะแม่มันหยุดมือไม่ได้ได้พลังงานฟรีมาสิบนาทีหนูต้องใช้ให้หมดก่อน” เจ้าของชื่อฟางข้าวตะโกนบอกมารดาพร้อมเหตุผลที่คนฟังก็ได้แต่เกาศีรษะแกรกๆ แต่ก็ยังนั่งรอให้ลูกสาวเดินออกมาหาตนเอง

สิบนาทีผ่านไปพอดิบพอดีฟางข้าวก็เดินออกมาหามารดาที่โต๊ะคิดเงินหน้าร้านพร้อมกับส่งยิ้มหวานๆ จนคนมองถึงกับใจอ่อนบ่นต่อไม่ลงอีกต่อไปแล้ว

“ไปซื้อน้ำแข็งให้แม่สิบบาทนะเอามาไว้ใส่น้ำให้พ่อเรากินเมื่อวานแม่ลืมทำน้ำแข็งไว้ในตู้เย็นวันนี้เลยไม่มีกินเลย แล้วถ้าหนูอยากกินอะไรก็ซื้อมาแต่อย่ากินให้มันมากเก็บท้องไว้กินข้าวด้วยถ้าพ่อมาถึงเราก็ได้จะกินข้าวกลางวันกันพอดี”

“แม่พูดเหมือนหนูอายุเจ็ดแปดขวบนี่โตเป็นสาวแล้วนะใครมันจะไปกินขนมแทนข้าว ว่าแต่วันนี้ยังไม่เห็นแม่กินกาแฟเลยจะเอาไหมเดี๋ยวหนูเดินไปซื้อให้เอง” ร้านน้ำแข็งนั้นอยู่ตรงหัวมุมถนนถัดจากร้านขายอุปกรณ์ทำการเกษตรของพ่อกับแม่ไปไม่ถึงห้าสิบเมตรแล้วถ้าเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงกันข้ามก็จะพบกับตลาดเล็กๆ ที่มีร้านกาแฟโบราณเจ้าโปรดของมารดาขายอยู่

“ไม่เอาแล้วลูกครึ่งวันแล้วไม่อยากกินกาแฟเดี๋ยวนอนไม่หลับหนูอยากไปซื้ออะไรมากินก็ซื้อมาเถอะแต่จะเดินไปฝั่งนู้นก็ดูรถดีๆ นะลูกคนสมัยนี้มันขี่รถกันไม่ค่อยระวัง” นางกานดาบอกกับแก้วตาดวงใจก่อนจะหันไปสนใจลูกค้าที่เข้ามาซื้อของส่วนทางฝั่งฟางข้าวก็ยิ้มหวานส่งให้ผู้เป็นมารดาอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากร้านไปอย่างอารมณ์ดี

ช่วงนี้มหาวิทยาลัยปิดภาคเรียนนักศึกษาชั้นปีที่สี่อย่างฟางข้าวจึงว่างงานเป็นอย่างมากแต่จะให้อยู่บ้านคนเดียวมันก็เหงาจึงตั้งใจมาที่ร้านเผื่อว่าจะช่วยงานของพ่อกับแม่ได้แต่เท่าที่ตามพวกท่านมาขายของเป็นสัปดาห์กลับรู้สึกว่าเรื่องขายของนั้นตัวเธอไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่ส่วนมากจะเป็นม้าเร็วคอยวิ่งซื้อข้าวซื้อของกินให้พ่อกับแม่มากกว่า

ถ้าเทียบไปแล้วร้านขายอุปกรณ์การเกษตรแห่งนี้ก็ใหญ่โตเป็นอันดับต้นๆ ของอำเภอขายตั้งแต่เมล็ดพันธุ์พืช ดิน ปุ๋ย กระถางและอุปกรณ์จอบเสียมไปจนถึงเมล็ดพันธุ์ข้าว เมล็ดพันธุ์พืชไร่และพืชสวน มีแม้แต่เครื่องยนต์ทุ่นแรงอย่างเครื่องตัดหญ้าแล้วก็เครื่องพ่นยาไปจนถึงรถไถขนาดเล็กก็ยังมีจำหน่ายเรียกได้ว่ามาที่เดียวก็ได้ครบถ้วนทุกอย่างที่เกี่ยวกับการเกษตร

“ป้าจ๋าซื้อน้ำแข็งสิบบาทแล้วก็โค้กใส่น้ำแข็งถุงนึงเอาแบบเย็นเจี๊ยบๆ เลยน้ำแข็งฝากไว้ก่อนเอามาแต่น้ำถุงนะจ๊ะ” มาถึงร้านขายของชำที่หัวมุมถนนหญิงสาวก็ตะโกนสั่งสิ่งของที่ตนต้องการด้วยความเคยชินเพราะช่วงระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์มานี้เธอก็วนเวียนอยู่กับร้านขายของชำแล้วก็ตลาดฝั่งตรงข้ามแค่นั้น

“โค้กได้แล้วลูกจะข้ามไปซื้อของกินอีกสิเราน่ะดีจังสาวๆ นี่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนลองมาอายุเยอะเท่าป้านี่สิแค่เผลอดมกลิ่นกับข้าวน้ำหนักก็ขึ้นมาแล้วสองกิโล” ป้าจ๋าสาวโสดลูกสองเจ้าของร้านขายของชำพูดอย่างอารมณ์ดี

“แม่บอกว่าที่ฟางไม่โตเหมือนคนอื่นเพราะกินแต่ขนมไม่ชอบกินข้าวแต่ฟางว่าแม่พูดผิดแหละช่วงนี้กินปลาหมึกย่างมากกว่าขนมอีกแต่ก็ไม่เห็นมันจะโตขึ้นตัวก็จ่อยอยู่เหมือนเดิม ป้าจ๋าเอาอะไรไหมจ๊ะฟางจะไปตลาดฝั่งนู้นหน่อย” หลังจากดูดน้ำอัดลมใส่น้ำแข็งเย็นชื่นใจไปหนึ่งอึกใหญ่ๆ แล้วหญิงสาวก็หันไปถามป้าจ๋าตามประสาคนมีน้ำใจ

“ไปเลยลูกป้าไม่เอาอะไรแล้วเมื่อเช้าพี่จอยเขาทำกับข้าวไว้ให้เสร็จสรรพดูท่าจะกินไปได้ยันเย็นจะข้ามถนนไปก็ดูรถดีๆ นะลูกนะต่อให้ไฟแดงก็ต้องระวังคนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเคารพกฎจราจร” ป้าจ๋าเองก็เตือนด้วยความหวังดีและเป็นห่วงหญิงสาวที่เห็นหน้าค่าตากันมาตั้งแต่เจ้าตัวตีนเท่าฝาหอย

“ฟางจะระวังนะจ๊ะ ไปก่อนละจะรีบไปซื้อปลาหมึกย่างเดี๋ยวกลับมาไม่ทันพ่อเข้าร้าน” ว่าแล้วฟางข้าวก็เดินถือถุงน้ำอัดลมเดินดูดไปสบายใจเฉิบจากนั้นก็ไปหยุดยืนรอสัญญาณไฟจราจรอยู่ที่ทางม้าลายซึ่งแม้ถนนเส้นนี้จะอยู่แถบชานเมืองแต่ก็นับว่ามีรถสัญจรไปมาค่อนข้างจะพลุกพล่านไม่ต่างจากถนนในตัวเมืองเลยแม้แต่น้อย

เมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดงให้รถหยุดและให้คนข้ามหญิงสาวไม่วายที่จะชะเง้อคอมองทั้งซ้ายขวาดูว่าปลอดภัยหรือไม่และเมื่อเห็นว่าไม่มีรถอยู่ในรัศมีเธอจึงก้าวขาลงไปบนถนนและรีบสับเท้าเดินไปยังเกาะกลางถนนในทันทีโดยไม่ไว้ใจสัญญาณไฟและคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเลยแม้แต่น้อย

ข้ามถนนครึ่งแรกผ่านมาได้สบายๆ และช่วงที่สองก็เหมือนว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่ในจังหวะที่เธอมองแล้วว่าไม่มีรถอะไรอยู่บนท้องถนนเท้าเล็กๆ ที่กำลังก้าวเดินอย่างรีบเร่งจู่ๆ ก็ลอยหวือขึ้นไปจากพื้นซึ่งเป็นผลมาจากแรงกระแทกที่พุ่งเข้ามากลางลำตัวภายในหูของหญิงสาวอื้ออึงไปด้วยเสียงกรีดร้องและเสียงจ้อกแจ้กจอแจของผู้คนโดยก่อนที่สติสัมปชัญญะของเธอจะดับวูบอาทิตยาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดและอึดอัดอยู่ข้างในอกแล้วจากนั้นภาพทุกอย่างก็ตัดไป

ข่าวลูกสาวป้ากานดาร้านขายปุ๋ยโดนรถชนทำเอาผู้คนแตกตื่นกันทั้งตลาดและภาพที่หญิงวัยกลางคนโอบประคองร่างที่ไร้วิญญาณของบุตรสาวคนเดียวที่โซมไปด้วยเลือดเข้ามากอดไว้แนบอกก็ทำให้ผู้คนที่ได้พบเห็นถึงกับใจสลายจนป้าจ๋าที่ตั้งสติได้ก่อนต้องมาช่วยแยกตัวคนเป็นแม่ออกจากลูกเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและกู้ภัยจะได้พาร่างของอาทิตยาไปโรงพยาบาลตามขั้นตอน

ส่วนคนที่ขับรถมาชนนั้นเป็นผู้ชายอายุไม่น่าจะเกินสี่สิบปีที่อ้างว่ารถเกิดคันเร่งค้างจึงไม่สามารถควบคุมได้แต่จากสภาพเจ้าตัวที่ตาแดงก่ำและร่างกายมีแต่กลิ่นแอลกอฮอล์ก็ทำให้ข้อแก้ตัวนั้นมันฟังไม่ขึ้นเลยแม้แต่น้อย

 

“อื้อ เจ็บจังวะ” อาทิตยานอนดิ้นอยู่บนพื้นเย็นๆ ด้วยความอึดอัดที่บอกไม่ถูกโดยเธอรู้สึกตัวขึ้นมานานแล้วแต่ไม่สามารถลืมตาขึ้นมามองอะไรได้เลย อีกทั้งร่างกายก็เจ็บปวดคล้ายกับถูกจับโยนใส่กระสอบแล้วทุบจนน่วมโดยเฉพาะที่หน้าอกและท้องที่มันจุกๆ แน่นๆ หายใจเข้าไปได้ไม่เต็มปอดแถมศีรษะก็ปวดตุบๆ จนอยากจะทึ้งหัวตัวเองสักทีสองทีถ้าสามารถทำได้

“พี่สาวท่านอย่าเพิ่งดิ้นสิเจ้าคะ ทำใจให้สบายๆ ก่อนแล้วท่านจึงจะลืมตาขึ้นมาได้” จู่ๆ ก็มีเสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งดังเข้ามาในโสตประสาทซึ่งทำเอาฟางข้าวขนลุกแต่เธอก็ไม่ได้ดื้อด้านเลิกดิ้นรนแล้วหันมานอนนิ่งๆ อยู่แบบนั้นจนกระทั่งเธอเริ่มสัมผัสได้ถึงลมหายใจของตัวเองที่เข้าออกภายในร่างกายซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำอยู่นานเท่าไหร่แต่เพราะรู้สึกว่าร่างกายเริ่มจะเบาสบายคลายความอึดอัดเธอจึงทำมันต่อไปเรื่อยๆ

ในตอนแรกร่างเล็กของอาทิตยานอนอยู่บนพื้นที่เย็นเยียบและมืดมิดไม่มีแสงสว่างลอดผ่านเข้ามาเลยแม้แต่น้อยแค่เมื่อเธอลองกำหนดลมหายใจเข้าออกช้าๆ จนเข้าสู่สมาธิรอบๆ กายของเธอก็คล้ายจะมีแสงสว่างเรืองรองขึ้นมาแม้ไม่ได้มากเหมือนในยามเราเปิดไฟแต่มันก็พอทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวได้มากขึ้นแต่กระนั้นมันก็ไม่มีอะไรให้มองนอกจากพื้นที่กว้างขวางแต่โล่งสุดลูกหูลูกตา

“อะไรเนี่ย” ในที่สุดฟางข้าวก็สามารถบังคับตัวเองให้เปิดเปลือกตาขึ้นมาได้โดยในตอนแรกเธอต้องใช้เวลาทำใจอยู่ครู่หนึ่งเมื่อสิ่งที่มองเห็นเบื้องหน้านั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากความมืดมัวแต่ก็มีแสงสว่างทอดมาเป็นลำแสงอยู่ที่มุมหนึ่ง

ไม่รู้ว่าอะไรที่ดลใจให้หญิงสาวรวบรวมกำลังของตัวเองแล้วหยัดกายให้ลุกขึ้นนั่งบนพื้นอย่างเชื่องช้าหลังจากนั่งได้มั่นคงแล้วเธอก็ยังพยายามลุกขึ้นยืนด้วยสองขาที่ค่อนข้างอ่อนแรงของตัวเองแม้ครั้งแรกที่ฝ่าเท้าเปล่าเปลือยทั้งสองข้างสัมผัสพื้นมันจะยังสั่นๆ ไม่ค่อยมั่นคงแต่เมื่อยืนนิ่งๆ ไปสักพักหนึ่งเธอก็รู้ตัวแล้วว่าตัวเองต้องก้าวขาออกเดินสักที

การก้าวเดินไปข้างหน้าครั้งนี้อาทิตยาไม่รู้เลยว่าอะไรคือจุดหมายหรือปลายทางที่เธอต้องการหรือจะไปพบเจอนั้นมันเป็นอะไรสิ่งเดียวที่รู้คือเธอต้องเดินตามแสงสว่างที่ตัวเองเห็นไปเรื่อยๆ แล้วจึงจะพบกับคำตอบและจุดหมายที่ตามหา

จากที่ตอนแรกแข้งขาอ่อนล้าคล้ายจะยืนไม่อยู่ไปๆ มาเมื่อได้เดินหลายก้าวเข้าสองขาของอาทิตยาก็ดูจะมั่นคงมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งความรู้สึกอ่อนแรงในยามที่ลืมตาตื่นก็ค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ จนท้ายที่สุดแล้วเธอก็เดินตามแสงสว่างเบื้องหน้าไปโดยที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแต่กระนั้นก็มีคำถามหลายหลากมากมายผุดเข้ามาในหัวทั้งคำถามที่ว่าเธอมาทำอะไรที่นี่และที่นี่มันเป็นที่ไหนแล้วมันเกิดอะไรขึ้น

“เดี๋ยวเถอะ นี่ไม่มีเวลามาเล่นด้วยทั้งวันนะต้องกลับไปเอาน้ำแข็งที่ร้านป้าจ๋าไม่อย่างนั้นโดนแม่บ่นจนหูชาแน่” จู่ๆ อาทิตยาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้เธอกำลังไปซื้อน้ำแข็งให้มารดาและกำลังจะไปซื้อปลาหมึกย่างที่ตลาดแต่ไหงตัวเธอถึงมาโผล่อยู่ที่นี่ได้เธอไม่ควรที่จะต้องมาเดินตามแสงอยู่เช่นนี้แต่เธอควรจะเดินตามกลิ่นปลาหมึกย่างหอมๆ อยู่ไม่ใช่หรือไงกัน

“นี่ มันไม่ตลกเลยนะ” สองเท้าเล็กหยุดการก้าวเดินกะทันหันเมื่อในหัวของอาทิตยาอื้ออึงไปด้วยเสียงกรีดร้องของผู้คนและเสียงดังเหมือนอะไรสักอย่างกระแทกชนกัน

“ที่นี่มันที่ไหนกันวะ แม่ พ่อ อยู่แถวนี้หรือเปล่าได้ยินเสียงหนูไหม” ฟางข้าวที่กำลังหวาดกลัวกรีดร้องเรียกหาบิดามารดาแต่ก็ไม่มีอะไรตอบกลับมาเลยนอกจากเสียงสะท้อนของตัวเอง

“ยายกานดา ตาเปรมไปอยู่ไหนกันนะมีใครได้ยินเสียงฟางข้าวบ้างไหมเนี่ย” หลังจากตะโกนจนเสียงแหบเสียงแห้งแล้วอาทิตยาก็ทรุดกายลงไปนั่งกับพื้นเย็นๆ แข็งๆ ที่ไม่รู้ว่าเป็นพื้นดิน พื้นหญ้าหรือว่าพื้นอะไรเพราะความมืดมัวทำให้ไม่สามารถมองอะไรได้ชัดเจนได้เลย

“นี่ฟางกลัวจริงๆ แล้วนะแม่ ไม่เอาที่นี่แล้วมารับหนูกลับบ้านทีต่อไปหนูจะไม่ขี้เกียจแล้วจะตั้งใจทำงานอย่ามาแกล้งกันแบบนี้เลย” เมื่อความกลัวเกาะกุมไปทั้งดวงใจอาทิตยาก็ได้แต่นั่งร้องไห้เรียกหาบิดามารดาที่เจ้าตัวยังไม่รู้เลยว่าชีวิตนี้เธอจะไม่สามารถกลับไปพบเจอพวกท่านได้อีกต่อไปแล้ว