ดอกไม้งาม น้ำชาดี ดนตรีไพเราะ อาหาร ขนมหวานทุกจานอร่อย

โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง - ตอนที่ 3 ตั้งสติ โดย มู่จิ่น 木槿 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ปลูกผัก,เกิดใหม่,ครอบครัว,จีน,รัก,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ปลูกผัก,เกิดใหม่,ครอบครัว,จีน,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง โดย มู่จิ่น 木槿 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ดอกไม้งาม น้ำชาดี ดนตรีไพเราะ อาหาร ขนมหวานทุกจานอร่อย

ผู้แต่ง

มู่จิ่น 木槿

เรื่องย่อ

ชีวิตเก่าแม้จะไม่อาจเรียกได้ว่าสบายแต่ก็ไม่เคยลำบากเข้าถึงขั้นยากจนข้นแค้น ฟางข้าวเป็นเพียงหญิงสาวที่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยมีงานหลักคือเรียนหนังสือและมีงานอดิเรกเป็นการแบมือขอเงินพ่อแม่ใช้จ่ายไปวันๆ แต่ก็ยังดีที่เจ้าตัวยังช่วยเหลืองานของที่บ้านเพียงแค่ติดจะขี้เกียจเล็กน้อยถึงปานกลางเท่านั้นต้องใช้ระบบคำสั่งถึงจะยอมขยับตัวออกห่างจากเว็บอ่านนิยายออนไลน์และเกมปลูกผักที่เจ้าตัวติดหนึบติดหนับ

แต่เมื่อบังเอิญถูกรถชนตายและได้มาเกิดใหม่โดยไม่ทันได้ตั้งตัวชีวิตนี้กลับต้องมาลำบากคล้ายกับถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ให้ผ่านด่านเคราะห์ทั้งต้องผจญกับหมู่มารที่มาในรูปแบบของญาติพี่น้อง อีกทั้งยั้งต้องดิ้นรนเพื่อช่วยบิดา มารดากอบกู้กิจการเดียวที่มีของครอบครัวคือโรงน้ำชาเล็กๆ ให้สามารถยืนหยัดต่อไปได้

 

หมายเหตุ นิยายเรื่องนี้ไม่อิงประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะ สถานที่ เหตุการณ์ หรือตัวบุคคลในเรื่องล้วนเกิดจากจินตนาการของผู้เขียนทั้งสิ้นค่ะ

สารบัญ

โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 1 ลอบวางเพลิง,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 2 ฟางข้าว,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 3 ตั้งสติ,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 4 ชีวิตใหม่,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 5 การรักษาและบำรุงร่างกาย,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 6 ยาพิษ,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 7 จะกอบกู้ร้านชาด้วยมือของข้าเอง,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 8 หาทุนสร้างโรงน้ำชา,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 9 ในป่าล้วนมีแต่ของดี,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 10 พบเจอคนที่ไม่อยากเจอ,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 11 คนงานใหม่,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 12 เป็นรูปเป็นร่าง,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 13 โค้งสุดท้าย,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 14 ฤกษ์ยามมงคล,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 15 อยู่ดีไม่ว่าดี,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 16 ขายหน้า,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 17 ร้านขายยาสมุนไพรสกุลฝูสาขาสอง,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 18 การเติบโต,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 19 ข่าวลือ,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 20 ของขวัญ,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 21 ท่านหมอผู้โปรดปรานการดื่มชา,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 22 ครอบครัวข้าใครก็แตะต้องมิได้,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 23 ขอบคุณจากใจ,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 24 ความห่วงใย,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 25 หัวใจของฟางเอ๋อร์,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 26 รางวัลของคนขยัน,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 27 มีแต่เรื่องที่น่ายินดี,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 28 เจ้าอยากแต่งงานตอนไหน,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 29 มั่งคั่งร่ำรวย,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 30 ความสุขของฟางเอ๋อร์ (จบ)

เนื้อหา

ตอนที่ 3 ตั้งสติ

“พี่สาวท่านจงเดินตามแสงตะวันมาอีกสักนิดเถิดแล้วท่านก็จะเจอจุดหมาย” เสียงเล็กๆ ที่เคยได้ยินเมื่อครั้งที่ยังไม่ลืมตาตื่นดังขึ้นอีกครั้งซึ่งมันทำให้ฟางข้าวต้องลนลานมองหาต้นเสียงแต่เพราะคล้ายว่าเสียงนั้นมันดังอยู่ภายในหัวข้างในหูของเธอเองจึงไม่มีทางที่จะหาแหล่งกำเนิดเสียงได้เลย

ดวงตาที่รื้นไปด้วยหยาดน้ำกำลังจ้องมองไปที่แสงสว่างเบื้องหน้าของตนเองด้วยความรู้สึกที่หลากหลายโดยสิ่งแรกเลยก็คือความหวาดกลัวแต่ในขณะเดียวกันลึกๆ แล้วฟางข้าวก็ยังรู้สึกมีความหวังหากตนเองจะก้าวเดินต่อไปแต่เมื่อคิดทบทวนดูแล้วว่าการจะหยุดอยู่ตรงนี้ต่อไปมันก็คงไม่มีอะไรที่ดีเกิดขึ้นหญิงสาวจึงรวบรวมพลังใจและกำลังกายเพื่อก้าวเดินไปข้างหน้าอีกครั้งแม้จะคงยังไม่รู้เลยว่าปลายทางของแสงสว่างนั้นคือที่ใด

ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่บรรยากาศรอบกายเริ่มจะมีสีสันปรากฏขึ้นมามากขึ้นนอกจากสีดำและสีขาวแม้จะยังไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนแต่ก็พอจะเดาได้ว่าตนเองกำลังเดินอยู่บนทุ่งหญ้าที่ไม่มีแม้แต่ถนนสายเล็กๆ จนเมื่อภาพรอบตัวแจ่มชัดขึ้นในครรลองสายตาอาทิตยาก็เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าตัวเองนั้นยืนอยู่บนทุ่งหญ้าสีเขียวที่กว้างใหญ่มีทั้งดอกไม้ และผีเสื้อบินไปบินมาคล้ายว่ามันไม่ได้เห็นเธอเป็นส่วนเกินหรือสิ่งที่เป็นอันตรายต่อพวกมันเลย

“มาแล้วเหรอนังหนู ขอโทษนะที่ทำให้ต้องเดินเสียไกลแต่เป็นเพราะข้าต้องเตรียมการอะไรมากมายหลายอย่างให้กับพวกเจ้าทั้งสองคนจึงทำให้ล่าช้า” จู่ๆ ตรงหน้าของอาทิตยาก็มีชายชราผมขาวเคราขาวยาวเฟื้อยปรากฏตัวขึ้นอีกทั้งข้างๆ ตัวเธอก็มีเด็กผู้หญิงร่างกายผอมบางอีกคนหนึ่งยืนอยู่ซึ่งไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนแถมคนทั้งคู่ยังแต่งกายแปลกประหลาดสวมชุดยาวรุงรังรุ่มร่ามผิดกับเธอที่ยังอยู่ในชุดเสื้อยืดและกางเกงยีนตัดขาธรรมดาๆ แต่คล่องตัวมากเวลาที่ต้องช่วยแม่ทำงานอยู่ที่ร้าน

“เดี๋ยวก่อนนะคุณตาอย่าหาว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยแต่ช่วยบอกก่อนได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น ช่วยอธิบายมาทีเถอะค่ะหนูค่อนข้างสับสนแล้วก็กลัวมากด้วย” อาทิตยายกมือขึ้นห้ามชายชราที่กำลังจะอ้าปากพูดต่อ จู่ๆ ก็มาพูดเรื่องอะไรที่เธอไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยมันก็ไม่ถูกต้องคุณตาควรเล่าที่มาที่ไปของสิ่งที่ทำให้เธอมาโผล่อยู่ตรงนี้ก่อนเป็นอันดับแรกมันถึงจะถูกต้อง

“ในชาติก่อนเจ้าชื่อฟางข้าวบุตรสาวคนเดียวของครอบครัว มีบิดาชื่อเปรมและมารดาชื่อกานดาตายตกไปก่อนวัยอันควรด้วยอุบัติเหตุถูกคนเมาขับสิ่งที่เรียกว่ารถชนเข้า แต่สิ่งที่ทำให้เข้ามาโผล่ที่นี่ได้คงเป็นโชคชะตานั่นแหละแต่ไม่ต้องตกใจไปเพราะจักรวาลนี้มันกว้างใหญ่ยิ่งนักเรื่องที่ไม่คาดฝันจึงสามารถเกิดขึ้นมาได้เสมอ

ข้างตัวเจ้าคือแม่นางน้อยหยวนเยี่ยนฟางที่ตายตกไปพร้อมความกตัญญูแต่เพราะนางยังมีห่วงจึงทำให้ข้าต้องเข้ามาข้องเกี่ยวในเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชะตาชีวิตของผู้คนมากหน้าหลายตาในครั้งนี้”

“...” ได้ยินคุณตาเคราขาวว่ามาแบบนั้นอาทิตยาก็เริ่มสับสนแต่ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรออกไปภาพเหตุการณ์ที่ตัวเองเดินออกจากร้านในวันที่แม่กานดาใช้ให้ไปซื้อน้ำแข็งก็ฉายซ้ำเข้ามาในหัวจากเหตุการณ์ที่ร้านดำเนินไปเรื่อยๆ จนถึงร้านขายของชำที่รสชาติของน้ำอัดลมเย็นซ่านั้นยังติดอยู่ที่ปลายลิ้นของเธออยู่จนถึงตอนนี้

แต่ภาพเหตุการณ์ถัดไปก็ทำให้เธอถึงกับสะดุ้งและภายในใจวูบโหวงเมื่อจู่ๆ มีรถเก๋งคันหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาหาตัวเธอและชนเข้าอย่าแรงก่อนที่รถคันนั้นจะไปหยุดอยู่ที่เสาไฟฟ้าบนเกาะกลางถนน

“ทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นแม้จะยังไม่ใช่เวลาของเจ้าแต่เพราะว่าร่างเดิมนั้นถูกทำพิธีทางศาสนาของเจ้ารวดเร็วมากข้าจึงไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกส่งผลให้วิญญาณดวงนี้ยังคงล่องลอยไม่มีที่ไปและนั่นก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ข้าพาเจ้าสองคนมาพบกันในวันนี้”

หลังจากที่ท่านตาพูดจบภาพที่เห็นในหัวของอาทิตยาก็เปลี่ยนไปเป็นภาพการเสียชีวิตของเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ ที่เห็นว่าตัวแค่นี้แต่ก็ใจเด็ดมากนักที่วิ่งฝ่าเข้าไปในกองเพลิงเพื่อหยิบของสำคัญของครอบครัวออกมาและหลังจากที่วิญญาณเธอออกจากร่างแล้วก็ได้อ้อนวอนต่อฟ้าดินขอโอกาสให้ได้กลับไปดูแลครอบครัวอีกครั้งทำให้คุณตาเคราขาวคนนี้จึงต้องเข้ามาจัดการช่วยเหลือด้วยการส่งวิญญาณของเธอเข้าไปสวมอยู่ในร่างของคนข้างๆ เพื่อให้วิญญาณของเด็กหญิงได้ไปเกิดใหม่

“คุณตาคะเท่าที่ฟังดูคือหนูตายทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาตอนนี้เหลือแต่วิญญาณแถมยังไม่มีร่างกายให้กลับไปอาศัยอยู่แต่น้องคนนี้ตายตามเวลาแต่สามารถต่อเวลาได้ อะไรมันคือความยุติธรรมล่ะคะทางนี้มีแต่เสียกับเสียไม่ได้อยู่กับพ่อแม่แถมยังต้องไปใช้ชีวิตเป็นคนอื่นแบบนี้น่ะเหรอ” อาทิตยาปากแจ๋วใส่คุณตาเคราขาวอย่างไม่เกรงใจเรื่องอะไรเธอต้องไปเป็นลูกของคนอื่นในขณะที่พ่อแม่ของเธอต้องทนใช้ชีวิตอยู่กับความสูญเสีย

“เพราะอำนาจของข้าสามารถจัดการชะตาชีวิตได้ในเส้นทางนี้เท่านั้นเจ้าที่เป็นดวงวิญญาณต่างถิ่นแต่ความเป็นจริงแล้วมีส่วนเกี่ยวพันกับหยวนเยี่ยนฟางอยู่ไม่ใช่น้อยถ้าจะพูดสั้นๆ ให้เข้าใจง่าย เจ้าก็คือนาง นางก็คือเจ้าจะใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาใดก็ล้วนเป็นคนคนเดียวกัน เอาเป็นว่าเจ้าสองคนมีเวลาทำความเข้าใจกันและกันอีกสามราตรีหลังจากนั้นข้าจะมาเอาคำตอบ

ถ้าตกลงวิญญาณของฟางข้าวก็จะได้ไปใช้ชีวิตใหม่ส่วนดวงวิญญาณของหยวนเยี่ยนฟางก็แค่รอไปเกิดตามกงล้อของโชคชะตาแต่ถ้าหากฟางข้าวไม่ตกลงเจ้าทั้งสองคนก็แค่รอเวลาที่ต้องไปเกิดใหม่กันทั้งคู่หากแต่ฟางข้าวอาจจะต้องรอนานสักนิดเพราะอันที่จริงเจ้ายังไม่หมดอายุขัยในโลกนั้น ลองปรึกษากันดูก่อนก็ได้ข้าไม่รีบแต่จำเอาไว้ว่าเยี่ยนฟางแค่รอได้ไม่เกินสามราตรีเท่านั้นเอง” เมื่อพูดจบแล้วคุณตาเคราขาวก็หายไปจากตรงนี้ทิ้งไว้แต่อาทิตยาที่ยืนจ้องตาอยู่กับเด็กผู้หญิงที่ชื่อหยวนเยี่ยนฟาง

“ข้าหยวนเยี่ยนฟางต้องขออภัยพี่สาวที่คิดอะไรไม่รอบคอบแต่ข้าไม่ได้มีความตั้งใจจะเห็นแก่ตัวแม้แต่น้อยเพียงแต่ไม่ได้นึกถึงเลยว่าท่านและครอบครัวก็สูญเสียไม่ต่างกัน” หลังจากที่ฟังพี่สาวฟางข้าวโต้เถียงกับท่านตาเด็กหญิงวัยเพียงสิบสี่หนาวก็รู้ตัวแล้วว่านางเป็นคนที่เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจอยากให้ครอบครัวมีคนดูแลให้สุขสบายแต่กลับไม่ได้คิดถึงครอบครัวและจิตใจของคนอื่น

“ไม่เป็นไรหรอกครอบครัวของใครคนนั้นก็ต้องรักเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วถ้าเยี่ยนฟางอยากกลับไปดูแลครอบครัวพี่ก็อยากกลับไปเหมือนกันแต่มันทำไม่ได้ป่านนี้ร่างกายคงถูกเผาจนเป็นขี้เถ้าไปหมดแล้วมั้ง แต่ไม่เป็นไรหรอกครอบครัวพี่ตกลงกันไว้เองว่าถ้าหากมีใครบังเอิญจากไปก่อนคนที่ยังอยู่จะไม่เสียใจนานและก็จะไม่จัดงานศพแบบสิ้นเปลืองด้วย” เพราะครอบครัวเรามีอยู่กันเพียงสามคนพ่อ แม่ ลูกเรื่องข้อตกลงพวกนี้จึงคุยกันไว้ตั้งแต่เมื่อตอนที่อาทิตยาสามารถดูแลรับผิดชอบตัวเองได้ตามกฎหมายแต่ในตอนที่คุยกันนั้นมันก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายต้องจากพ่อแม่มาเร็วถึงขนาดนี้

“ถ้าพี่สาวไม่เต็มใจและไม่มีความสุขที่จะต้องไปใช้ชีวิตเป็นข้า ข้าก็เข้าใจเจ้าค่ะ” เรื่องนี้หยวนเยี่ยนฟางเข้าใจแล้วว่าหากไม่เต็มใจต่อให้ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งก็คงจะไม่มีความสุขทั้งตัวนางเองคนใหม่ในอนาคตและครอบครัวที่สำคัญยังอาจจะพากันทุกข์ยากไปด้วยกันมากกว่าที่เป็นอยู่ก็เป็นได้

“แต่คุณตาบอกว่าถ้าพี่ไม่ไปก็ต้องรอแล้วจะต้องรอนานแค่ไหนล่ะที่สำคัญคือรออยู่ที่ไหนจะให้อยู่ที่นี่คนเดียวก็ไม่ไหวนะถึงทุ่งหญ้าจะสวยดีแต่มันก็วังเวงชะมัดแค่เป็นวิญญาณก็แย่แล้วอย่าต้องให้เป็นวิญญาณที่ว้าเหว่อีกเลย คิดแล้วก็เวทนาตัวเองอยู่เหมือนกันนะเนี่ย” มองซ้ายมองขวาแล้วไม่เห็นถึงสิ่งมีชีวิตใดๆ บนทุ่งหญ้ากว้างใหญ่นี้นอกไปเสียจากผีเสื้อและวิญญาณน้อยๆ สองดวงที่กำลังนั่งปรับทุกข์กันอยู่

“ข้าก็ไม่รู้เลยเจ้าค่ะว่าถ้าพี่ฟางข้าวรอจะต้องใช้เวลามากน้อยเพียงใดถ้าหากเป็นไปได้ข้าก็อยากอยู่รอเป็นเพื่อนท่านพี่นะเจ้าคะ” เมื่อคิดว่าพี่สาวที่เพิ่งได้รู้จักต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวแม้จะเป็นแค่ดวงวิญญาณหยวนเยี่ยนฟางก็คิดเห็นใจและอยากจะอาสามาอยู่เป็นเพื่อนถ้าหากท่านตานั้นอนุญาตก็คงจะดีมิใช่น้อย

“ถึงทำได้ก็ไม่ควรทำเพราะคุณตาบอกเองว่าเราน่ะหมดอายุขัยแล้วก็ต้องไปตามทางไปตามโชคชะตาแต่กับพี่มันไม่ใช่แบบนั้นแค่บังเอิญตายก่อนวัยอันควรเลยเป็นเรื่องขึ้นมา ว่าแต่ที่บ้านของเยี่ยนฟางเปิดร้านขายชาเหรอ เป็นยังไงขายดีไหม” ไหนๆ ก็ยังมีเวลาอยู่กับวิญญาณเด็กน้อยหยวนเยี่ยนฟางอีกหลายวันก็ถือเสียว่าใช้เวลาว่างที่มีทำความรู้จักกันจะดีกว่าแม้ว่าจะเจอกันแค่ตอนที่เป็นวิญญาณก็ตาม

“ครอบครัวของท่านแม่ทำใบชาขายมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษแล้วเจ้าค่ะในการทำการค้าถือว่ารายได้ยังค่อนข้างดีเพราะว่าท่านยายและท่านตาของข้าขยันคิดค้นการผสมใบชากับดอกไม้ต่างๆ ทำให้แตกต่างจากใบชาที่มีขายทั่วไปในท้องตลาดอยู่พอสมควร” เมื่อพูดถึงครอบครัวแล้วความภาคภูมิใจก็ถูกแสดงออกผ่านทางสีหน้าและแววตาของดวงวิญญาณเด็กน้อยได้อย่างชัดเจนทั้งๆ เป็นร่างที่ค่อนข้างจะโปร่งแสงแต่สีหน้าของนางนั้นก็ฟ้องทุกอย่างที่คิดออกมาจนหมดสิ้นแล้ว

“พี่ก็รู้จักชาดอกไม้อยู่บ้างนะที่บ้านของพี่มีชาสูตรแปลกๆ เยอะเลยล่ะทั้งชาตัวหอม ชาบำรุงเลือดลม ชาช่วยให้ผอมเพราะจะทำให้ไม่อยากกินข้าวรวมไปถึงชาสมุนไพรที่ไม่ได้ใช้ใบชาเลยแต่ใช้สมุนไพรตากแห้งมาชงกับน้ำร้อนดื่มแทนใบชาสรรพคุณไม่ต่างจากกินยาสมุนไพรต้มเลยแต่มีรสชาติดีกว่ามาก” คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกมีของดีอยู่กับตัวถ้ามีโอกาสก็ขอเล่าให้ใครสักคนฟังสักหน่อยเพราะสมัยที่คุณยายของอาทิตยายังอยู่ท่านก็เป็นคนสอนให้เธอรู้จักการรักษาตัวเองด้วยสมุนไพรพื้นบ้านที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินไปซื้อเพียงแค่ต้องออกแรงเสาะหาสักหน่อยก็เท่านั้นเอง

จากการพูดคุยกันในเรื่องของครอบครัวพาไปสู่บทสนทนาเรื่องอื่นๆ ได้อย่างราบรื่นไม่มีฝืดเฝือต่อให้ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่กันคนละช่วงเวลากันก็ตามแต่หรือไม่ก็อาจจะเป็นตามคำที่เคยได้ยินมาว่าคนไทยคนจีนก็ล้วนเป็นพี่น้องกันแม้จะแตกต่างแต่ก็กลับเข้ากันได้โดยไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย

การเป็นดวงวิญญาณนี่ก็ดีอยู่อย่างคือไม่หิว ไม่เหนื่อย ไม่ง่วงทั้งหยวนเยี่ยนฟางและอาทิตยาจึงนั่งคุยกันไปเรื่อยๆ จบเรื่องนั้นก็เริ่มเรื่องนี้หาเรื่องคุยกันไปได้เรื่อยๆ ไม่รู้จักเมื่อยปากเมื่อยคอแต่ในความสนุกสนานนั้นพี่สาวที่อายุมากกว่าก็สังเกตเห็นว่าทุกครั้งที่มีการพูดถึงครอบครัวน้องสาวคนใหม่ของเธอดูจะซึมลงไปเรื่อยๆ อย่างเห็นได้ชัด

และหลังจากได้ฟังเรื่องราวของบ้านสกุลกู่และสกุลหยวนมาหลายเรื่องก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเด็กผู้หญิงที่มีอายุเพียงแค่นี้จึงทุ่มเทแรงกายแรงใจให้ครอบครัวของตัวเองมากผิดกับเธอที่เกิดมายี่สิบกว่าปียังไม่รู้ราคาของที่มีขายในร้านของพ่อแม่เลยว่าแต่ละอย่างมันมีราคาเท่าไหร่บ้าง เมื่อเทียบความขยันแล้วอาทิตยาคงเรียกได้ว่าติดลบแต่จะไปแก้ตัวก็ทำไม่ได้แล้วเพราะป่านนี้ร่างกายของเธอคงเหลือเพียงแค่กองเถ้าถ่านและอาจจะนอนอยู่อย่างสงบที่ก้นแม่น้ำสักแห่งแล้วก็ได้