ดอกไม้งาม น้ำชาดี ดนตรีไพเราะ อาหาร ขนมหวานทุกจานอร่อย

โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง - ตอนที่ 4 ชีวิตใหม่ โดย มู่จิ่น 木槿 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ปลูกผัก,เกิดใหม่,ครอบครัว,จีน,รัก,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ปลูกผัก,เกิดใหม่,ครอบครัว,จีน,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง โดย มู่จิ่น 木槿 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ดอกไม้งาม น้ำชาดี ดนตรีไพเราะ อาหาร ขนมหวานทุกจานอร่อย

ผู้แต่ง

มู่จิ่น 木槿

เรื่องย่อ

ชีวิตเก่าแม้จะไม่อาจเรียกได้ว่าสบายแต่ก็ไม่เคยลำบากเข้าถึงขั้นยากจนข้นแค้น ฟางข้าวเป็นเพียงหญิงสาวที่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยมีงานหลักคือเรียนหนังสือและมีงานอดิเรกเป็นการแบมือขอเงินพ่อแม่ใช้จ่ายไปวันๆ แต่ก็ยังดีที่เจ้าตัวยังช่วยเหลืองานของที่บ้านเพียงแค่ติดจะขี้เกียจเล็กน้อยถึงปานกลางเท่านั้นต้องใช้ระบบคำสั่งถึงจะยอมขยับตัวออกห่างจากเว็บอ่านนิยายออนไลน์และเกมปลูกผักที่เจ้าตัวติดหนึบติดหนับ

แต่เมื่อบังเอิญถูกรถชนตายและได้มาเกิดใหม่โดยไม่ทันได้ตั้งตัวชีวิตนี้กลับต้องมาลำบากคล้ายกับถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ให้ผ่านด่านเคราะห์ทั้งต้องผจญกับหมู่มารที่มาในรูปแบบของญาติพี่น้อง อีกทั้งยั้งต้องดิ้นรนเพื่อช่วยบิดา มารดากอบกู้กิจการเดียวที่มีของครอบครัวคือโรงน้ำชาเล็กๆ ให้สามารถยืนหยัดต่อไปได้

 

หมายเหตุ นิยายเรื่องนี้ไม่อิงประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะ สถานที่ เหตุการณ์ หรือตัวบุคคลในเรื่องล้วนเกิดจากจินตนาการของผู้เขียนทั้งสิ้นค่ะ

สารบัญ

โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 1 ลอบวางเพลิง,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 2 ฟางข้าว,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 3 ตั้งสติ,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 4 ชีวิตใหม่,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 5 การรักษาและบำรุงร่างกาย,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 6 ยาพิษ,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 7 จะกอบกู้ร้านชาด้วยมือของข้าเอง,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 8 หาทุนสร้างโรงน้ำชา,โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่าง-ตอนที่ 9 ในป่าล้วนมีแต่ของดี

เนื้อหา

ตอนที่ 4 ชีวิตใหม่

“เอาล่ะ ได้เวลาที่พวกเจ้าสองคนต้องตัดสินใจแล้ว” เมื่อครบกำหนดเวลาสามราตรีตามที่คุณตาเคราขาวบอกเอาไว้ท่านก็มาปรากฏตัวให้เห็นอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่นไร้สิ้นความกดดันแต่เมื่อมาถึงท่านก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงให้มากความมุ่งมั่นมาถามหาคำตอบเลยในทันที

“คุณตาคะ ถ้าหากหนูไปใช้ชีวิตแทนน้องเยี่ยนฟางแล้วมันจะมีอะไรที่พิเศษให้หนูบ้างหรือเปล่าเผื่อว่าครอบครัวน้องจะได้สบายได้เร็วขึ้นอย่างเช่นของวิเศษหรือพรวิเศษอะไรพวกนี้” อาทิตยาไม่ได้ตอบคำถามแต่เลือกที่จะต่อรองเพื่อหาสิ่งแลกเปลี่ยนเพราะเธอก็อ่านมาเยอะนักพวกนิยายทะลุมิติ เกิดใหม่ สลับร่างจึงอยากจะลองขอดูเผื่อๆ เอาไว้ถ้าหากไม่ได้ก็ไม่เป็นไรแต่ถ้าได้ก็จะขอบพระคุณมากๆ ถ้าบวชได้เธอก็อยากจะบวชให้คุณตาสักพรรษาหนึ่ง

“ชีวิตใหม่ของหยวนเยี่ยนฟางจะเป็นคนที่ฟ้าดินเข้าข้างไม่ว่าเดินทางไปที่ใดก็จะประสบพบเจอแต่โชคดี หากคิดหรือปรารถนาสิ่งใดที่เป็นเรื่องดีงามไม่ได้เบียดเบียนผู้อื่นก็จะได้สมดังที่ใจปรารถนาทุกประการและถ้ายิ่งขยันหมั่นเพียรและใฝ่เรียนใฝ่รู้ก็จะยิ่งประสบความสำเร็จได้ในเร็ววันซึ่งสิ่งนี้ไม่ใช่ข้อแลกเปลี่ยนหรือของรางวัลแต่มันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนผันไปตามดวงชะตาของเจ้าด้วยนะแม่หนูฟางข้าว”

“คุณตาพยายามจะบอกว่าจริงๆ แล้วพื้นฐานหนูเป็นคนโชคดีแต่ว่าขี้เกียจสินะคะ ก็นับว่าไม่แย่เข้าใจได้ว่าในโลกนี้มันไม่ได้มีอะไรได้มาฟรีๆ ถ้าเหงื่อไม่ออกก็คงไม่มีทางจะได้เงิน

หนูตัดสินใจแล้วค่ะคุณตาว่าต่อจากนี้ไปหนูจะไปใช้ชีวิตแทนน้องเยี่ยนฟางเอง ไม่เป็นไรพี่ตัดสินใจดีแล้วการไปใช้ชีวิตให้มันมีประโยชน์มากกว่าที่เคยทำมันต้องดีกว่าอยู่เฉยๆ แล้วรอให้ตัวเองหมดอายุขัยแน่นอนแล้วน้องเยี่ยนฟางก็ไม่ต้องเป็นห่วงนะพี่ฟางข้าวคนนี้เต็มใจแล้วก็ยินดีที่จะไปใช้ชีวิตเพื่อดูแลครอบครัวและคนในสกุลหยวนแทนเรา” เพราะเรื่องนี้ฟางข้าวไม่ได้พูดกับหยวนเยี่ยนฟางมาก่อนเลยเมื่อเธอตอบคุณตาไปอย่างนั้นเด็กสาวก็รีบมากุมมือของเธอไว้ประหนึ่งว่าจะรั้งไม่ให้เธอทำในสิ่งที่พูดออกมาเมื่อครู่

“ถ้าหากว่าพี่ฟางข้าวเต็มใจข้าก็ขอฝากครอบครัวด้วยนะเจ้าคะต่อจากนี้ไปอนาคตของคนสกุลหยวนอยู่ในมือของท่านแล้ว” หยวนเยี่ยนฟางเองก็ไม่คิดว่าพี่สาวที่คอยนั่งพูดคุยอยู่กับนางตลอดสามราตรีนั้นจะเปลี่ยนใจมารับหน้าที่ที่นางบอกตั้งแต่แรกว่าไม่ต้องการแม้เด็กหญิงจะมีความรู้สึกว่าเรื่องนี้มันค่อนข้างจะเห็นแก่ตัวและไม่ยุติธรรมกับพี่สาวฟางข้าวแต่นางก็อดที่จะดีใจไม่ได้เลยจริงๆ

และที่หยวนเยี่ยนฟางอยากให้พี่สาวคนนี้มาดูแลร่างกายและครอบครัวเพราะว่านางได้รับรู้มาจากท่านตาว่าพี่สาวนั้นมาจากดินแดนที่เรียกว่าโลกอนาคตซึ่งที่นั่นมีความเจริญก้าวหน้ากว่าบ้านเมืองของนางในขณะนี้มากซึ่งความรู้ต่างๆ ที่พี่สาวฟางข้าวมีนางน่าจะนำมาช่วยครอบครัวสกุลหยวนที่ในตอนนี้หากจะเรียกว่าสิ้นเนื้อประดาตัวก็ไม่ผิดนักเพราะทั้งความหวัง ความฝัน ความเป็นอยู่ในปัจจุบันและอนาคตของครอบครัวถูกเผาไปในกองเพลิงเรียบร้อยแล้ว

“ถ้าเช่นนั้นก็อย่าเสียเวลาเลยเจ้าทั้งสองจงนั่งลงทำใจให้ว่างและผ่อนคลายให้มาก หยวนเยี่ยนฟางข้าจะส่งเจ้าไปรอยังที่ที่เจ้าสมควรจะไป ส่วนเจ้านังหนูฟางข้าวข้าจะส่งเจ้าไปใช่ชีวิตที่เหลือของแม่หนูหยวนเยี่ยนฟาง

ชายชราเช่นข้าไม่มีอะไรจะให้เจ้าทั้งสองนอกจากคำอวยพรให้นับจากนาทีนี้เป็นต้นไปขอให้เจ้าทั้งคู่ประสบพบเจอแต่เรื่องดีงามถึงแม้จะได้พบเจอเรื่องยุ่งยากอยู่บ้างแต่ทุกอย่างก็จะคลี่คลายไปภายในเวลาอันรวดเร็ว”

เมื่อคุณตาเคราขาวบอกให้นั่งลงและทำใจให้ว่างฟางข้าวก็จับมือน้องเยี่ยนฟางให้นั่งอยู่ข้างๆ กันหลังจากนั้นก็พยายามทำใจให้ว่างไม่คิดเรื่องใดๆ ผ่อนคลายทุกอย่างและทำใจให้พร้อมกับการเริ่มต้นใหม่ในโลกที่เธอไม่เคยได้รู้จักโดยในขณะที่อาทิตยาและหยวนเยี่ยนฟางนั่งหลับตาอยู่นั้นท่านตาก็กำลังดึงความทรงจำของเด็กหญิงออกมาแล้วใส่กลับให้คนที่กำลังจะได้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่

 

เสียงสวดมนต์เบาๆ ที่รายล้อมอยู่รอบตัวแม้จะไม่ดังมากแต่คนที่นอนอยู่บนเตียงกลับได้ยินมันอย่างชัดเจนซึ่งในตอนนี้อาทิตยากำลังรวบรวมสติเพราะเธอยังสามารถจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสามราตรีก่อนหน้านี้ได้ชัดเจนไม่ได้ลืมเลือนสิ่งใดไปไม่ว่าจะเป็นท่านตาลึกลับหรือว่าเด็กผู้หญิงที่มีชื่อว่าหยวนเยี่ยนฟาง

หญิงสาวที่แสร้งนอนหลับตาอยู่บนเตียงกำลังรื้อคนความทรงจำข้างในหัวที่ตอนนี้มีทั้งของตัวเธอเองในชีวิตก่อนตอนที่ยังเป็นฟางข้าวนักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นปีที่สีที่ต้องตายไปก่อนวัยอันควรเพราะอุบัติเหตุบนท้องถนนกับความทรงจำอีกส่วนที่เป็นของเด็กผู้หญิงอายุเพียงสิบสี่หนาวที่มีชื่อว่าหยวนเยี่ยนฟางบุตรสาวคนโตของหยวนตงหยางและหยวนเชียนชิง

ซึ่งอาทิตยานึกดีใจมากที่ความทรงจำทุกอย่างของหยวนเยี่ยนฟางนั้นยังคงชัดเจนซึ่งมันจะทำให้ง่ายขึ้นมากถ้าหากต้องการให้คนในครอบครัวไม่รู้สึกถึงความผิดปกติแต่ถึงอย่างไรแล้วหยวนเยี่ยนฟางคนใหม่คนนี้ก็มีข้อแก้ตัวเอาไว้ให้ความเปลี่ยนแปลงของตัวเองหากว่าเกิดเผลอทำอะไรที่ผิดจากในอดีตออกมา

“อื้อ” ริมฝีปากเล็กๆ ส่งเสียงครางออกมาแผ่วเบาแต่มันก็ทำให้มารดาที่นั่งสวดมนต์อยู่ข้างเตียงตลอดเวลานั้นได้ยินหยวนเชียนชิงรีบวางลูกประคำในมือลงบนโต๊ะข้างเตียงแล้วรีบมาดูลูกสาวที่กำลังขยับเปลือกตาเปิดขึ้น

“ฟางเอ๋อร์ เจ้าได้ยินแม่หรือไม่เป็นอย่างไรบ้างลูกรัก” มือที่สั่นเทาของมารดาลูบไล้ไปตามใบหน้าที่ซูบตอบของบุตรสาวคนโตซึ่งก่อนหน้านี้หยวนเยี่ยนฟางก็มีร่างกายผอมบางมากพออยู่แล้วแต่หลังจากนอนหลับไม่ได้สติมาถึงสามคืนร่างกายนางยิ่งซูบซีดมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าไม่ว่ามองกี่ครั้งคนเป็นแม่ก็รู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจ

“ทะ ท่านแม่” เด็กหญิงไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้มากเพราะลำคอของนางนั้นแห้งผากแทบเป็นผงแม้จะได้ดื่มยาที่ท่านแม่คอยป้อนวันละสามเวลาอยู่บ้างก็ตาม

“เอาล่ะเจ้ายังไม่ต้องพูดเดี๋ยวจะแย่ไปมากกว่านี้ ใครอยู่ข้างนอกช่วยไปต้มยาของฟางเอ๋อร์ให้ข้าทีนางตื่นขึ้นมาแล้ว เยี่ยนฟางของเรานางฟื้นขึ้นมาแล้ว” หยวนเชียนชิงตะโกนออกไปนอกห้องนอนของบุตรสาวโดยที่ไม่คิดจะสำรวมกิริยาเลยแม้แต่น้อยซึ่งด้านนอกน้องสาวของนางกำลังจะเข้ามาตามให้ไปกินข้าวเช้าด้วยกันพอดีจึงรีบวิ่งเข้ามาไถ่ถามแล้วกลับออกไปต้มยาให้หลานสาวอย่างรวดเร็ว

ท่านหมอที่มารักษาเขียนเทียบยาเอาไว้ให้สองชุดโดยชุดแรกเป็นยาบำรุงร่างกายที่จะต้องป้อนให้เด็กสาวที่ยังนอนหลับไม่ได้สติวันละสามมื้อติดต่อกันจนเมื่อนางฟื้นแล้วก็ให้เปลี่ยนยาอีกเทียบต้มให้ดื่มสี่เวลาที่เพิ่มขึ้นมาคือเวลาก่อนนอนและช่วงนี้ต้องให้นางกินอาหารอ่อนๆ และรสไม่จัดไปสักระยะหนึ่ง

“พี่ใหญ่ท่านเจ็บปวดตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ” หยวนเล่อหลินน้องสาวคนรองที่คอยเฝ้าพี่ใหญ่เคียงข้างมารดาแทบจะตลอดเวลาเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าพี่สาวนั้นลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วจริงๆ

“พี่ใหญ่เมื่อยเหลือเกินเสี่ยวหลิน ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะออกไปเดินยืดเส้นยืดสายสักหน่อย” หลังจากได้ดื่มน้ำอุ่นๆ ที่มารดาเตรียมให้ลำคอที่เคยแห้งผากก็พลันชุ่มชื้นขึ้นทำให้สามารถตอบคำถามน้องสาวได้บ้างแล้ว

“ท่านหมอบอกว่าเจ้ายังต้องนอนอยู่บนเตียงไปก่อนนะลูกรักเอาไว้ให้แข็งแรงดีกว่านี้ก่อนแม่จะพาเจ้าออกไปเดินเล่นเอง” เป็นมารดาที่พูดแทนเพราะในตอนนี้อาการของหยวนเยี่ยนฟางยังไม่อาจเรียกว่าวางใจได้

หลังจากลืมตาตื่นมาไม่ถึงสองเค่อท่านพ่อหยวนตงหยางก็พาท่านหมอมาตรวจร่างกายของบุตรสาวคนโตและก่อนที่ท่านหมอจะขอตัวกลับก็ยังไม่ลืมที่จะเตือนให้ครอบครัวหยวนไปเชิญท่านหมอจากร้านขายยาสมุนไพรสกุลฝูมาทำการรักษาเด็กหญิงแม้จะรับประกันไม่ได้ว่านางจะหายขาดแต่ก็เชื่อได้ว่าร่างกายนางจะต้องมีโอกาสหายดีมากกว่าเจ็ดส่วน

ในเวลานี้เลยเวลารับประทานอาหารเช้าของคนในบ้านสกุลหยวนมาพักใหญ่แล้วแต่กระนั้นคนทั้งบ้านกลับไม่มีแก่ใจจะไปนั่งรับประทานข้าวด้วยเพราะต้องการให้เห็นกับตาของตนเองว่าหยวนเยี่ยนฟางฟื้นขึ้นมาจริงๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งท่านตาท่านยายก็ยังลำบากเดินมาเยี่ยมหลานสาวที่เรือนด้วยตนเอง

“ท่านตาท่านยายเจ้าขาเวลานี้พวกท่านควรต้องรับประทานอาหารเช้ากันแล้ว ข้าตื่นมาแล้วจริงๆ เจ้าค่ะแล้วคงจะไม่นอนหลับไปนานๆ เช่นนั้นอีกแล้วพวกท่านไม่ต้องเป็นห่วง” หยวนเยี่ยนฟางไม่อยากทรมานผู้อาวุโสโดยที่ไม่ได้ตั้งใจจึงขอให้ท่านตาท่านยายรวมไปถึงทุกๆ คนออกไปรับประทานอาหารเช้ากันเสียก่อน

“ในเรือนมีข้าป่วยคนเดียวก็พอแล้วเจ้าค่ะพวกท่านตาและท่านยายต้องดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี หากท่านไม่วางใจก็ให้ใครสักคนอยู่เป็นเพื่อนข้าก็พอแล้วเจ้าค่ะ” ในครั้งนี้เด็กหญิงไม่ได้พูดแค่กับเพียงท่านตาแต่นางหมายถึงทุกคนในครอบครัวที่มาเยี่ยมจนห้องนอนเล็กๆ ของนางแทบจะไม่มีพื้นที่ให้หายใจแต่ยังดีที่พี่ๆ น้องๆ ถูกกันอยู่ด้านนอกไม่เช่นนั้นคงจะต้องมีคนเป็นลมล้มพับไปจริงๆ แน่

“ถ้าเช่นนั้นท่านพ่อพาทุกคนไปกินข้าวเถิดเจ้าค่ะข้าจะคอยเฝ้าน้องให้เอง ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะหากมีอะไรเกิดขึ้นข้าจะรีบวิ่งไปบอกพวกท่านทันที” เป็นพี่หยวนลี่ซือบุตรสาวคนโตของท่านลุงหยวนจ้านอาสาดูแลน้องสาวที่เพิ่งจะฟื้นขึ้นมาจากอาการป่วยด้วยตนเองไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีใครยอมออกไปกินข้าวกันเลยสักคน

“ถ้าเช่นนั้นน้าจะไปเตรียมอาหารให้เจ้านั่งกินที่นี่นะ”

“เชียนชิงเจ้าเองก็ไปกินข้าวเถอะเดี๋ยวพี่สะใภ้จัดการเรื่องอาหารให้ลี่ซือเอง ไปกินข้าวเยอะๆ เจ้าจะได้มีเรี่ยวแรงมาดูแลฟางเอ๋อร์” แล้วก็เป็นท่านป้าสะใภ้ที่ขออาสาดูแลเรื่องอาหารเช้าของพี่สาวเองเนื่องจากมารดาของหยวนเยี่ยนฟางก็นั่งเฝ้าลูกสาวตลอดทั้งวันทั้งคืนแทบไม่ได้กินไม่ได้นอนนางจึงควรจะต้องเป็นคนที่ได้รับประทานอาหารดีๆ ให้มากเหมือนกัน

ทางด้านคนที่นอนทำตาปริบๆ อยู่บนเตียงก็ได้แต่ซึมซับความประทับใจที่มีต่อครอบครัวหยวนเอาไว้เงียบๆ สิ่งนี้มันทำให้นางพอที่จะสบายใจได้ว่าภาพความทรงจำของหยวนเยี่ยนฟางที่มีอยู่ในหัวนางนั้นคือเรื่องจริงการที่ครอบครัวสกุลหยวนรักใคร่กลมเกลียวกันนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องเสแสร้งอะไรเลย

เมื่อครอบครัวมีพื้นฐานมาจากความรักหยวนเยี่ยนฟางคนใหม่ก็มั่นใจว่าสิ่งที่นางคิดจะลงมือทำนับจากวันนี้ไปย่อมจะได้รับการสนับสนุนที่ดีและเต็มใจจากคนในครอบครัวอย่างแน่นอน แต่การคิดจะทำอะไรคงต้องรอให้ร่างกายได้พักฟื้นจนหายดีก่อนเพราะถ้าหากตัวนางยังผอมบางเป็นกระดาษเอสี่แบบนี้มีหวังคนในบ้านคงร้องห้ามถ้าหากจะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างหนึ่ง

ซึ่งดูจากมือไม้ของตัวเองที่มองเห็นอยู่ในขณะนี้ที่มันทั้งผอมและบอบบางก็ไม่แปลกใจเลยที่คนสกุลหยวนจะทะนุถนอมหยวนเยี่ยนฟางไม่ต่างจากไข่ในหินอีกทั้งชีวิตนี้ได้เคยประสบกับเหตุการณ์เฉียดตายมาถึงสองครั้งสองคราโดยครั้งแรกเมื่อตอนคลอดที่นางเกิดไม่หายใจในตอนแรกเกิดกับครั้งที่สองที่นางฝ่ากองไฟเข้าไปหยิบตำราของครอบครัวถ้าคนในบ้านไม่ยิ่งเพิ่มเป็นห่วงก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว