ดอกไม้งาม น้ำชาดี ดนตรีไพเราะ อาหาร ขนมหวานทุกจานอร่อย
ปลูกผัก,เกิดใหม่,ครอบครัว,จีน,รัก,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โรงน้ำชาบุปผาพราวพร่างดอกไม้งาม น้ำชาดี ดนตรีไพเราะ อาหาร ขนมหวานทุกจานอร่อย
ชีวิตเก่าแม้จะไม่อาจเรียกได้ว่าสบายแต่ก็ไม่เคยลำบากเข้าถึงขั้นยากจนข้นแค้น ฟางข้าวเป็นเพียงหญิงสาวที่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยมีงานหลักคือเรียนหนังสือและมีงานอดิเรกเป็นการแบมือขอเงินพ่อแม่ใช้จ่ายไปวันๆ แต่ก็ยังดีที่เจ้าตัวยังช่วยเหลืองานของที่บ้านเพียงแค่ติดจะขี้เกียจเล็กน้อยถึงปานกลางเท่านั้นต้องใช้ระบบคำสั่งถึงจะยอมขยับตัวออกห่างจากเว็บอ่านนิยายออนไลน์และเกมปลูกผักที่เจ้าตัวติดหนึบติดหนับ
แต่เมื่อบังเอิญถูกรถชนตายและได้มาเกิดใหม่โดยไม่ทันได้ตั้งตัวชีวิตนี้กลับต้องมาลำบากคล้ายกับถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ให้ผ่านด่านเคราะห์ทั้งต้องผจญกับหมู่มารที่มาในรูปแบบของญาติพี่น้อง อีกทั้งยั้งต้องดิ้นรนเพื่อช่วยบิดา มารดากอบกู้กิจการเดียวที่มีของครอบครัวคือโรงน้ำชาเล็กๆ ให้สามารถยืนหยัดต่อไปได้
หมายเหตุ นิยายเรื่องนี้ไม่อิงประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะ สถานที่ เหตุการณ์ หรือตัวบุคคลในเรื่องล้วนเกิดจากจินตนาการของผู้เขียนทั้งสิ้นค่ะ
หลังจากที่บุตรสาวลืมตาตื่นฟื้นคืนมาในวันที่สามตามที่ท่านหมอคาดการณ์เอาไว้บิดาของหยวนเยี่ยนฟางและท่านลุงหยวนจ้านก็เดินทางเข้าไปเขตเมืองหลวงชั้นในเพื่อไปเชิญหมอจากร้านขายยาสมุนไพรสกุลฝูมารักษานางที่บ้านภายในเย็นวันนั้นเลยแม้ในตอนแรกจะไม่ค่อยเข้าใจว่าร้านขายยาสมุนไพรเหตุใดจึงได้มีท่านหมอที่มีความสามารถมาอยู่ประจำแต่ท่านหมอที่มารักษาบุตรสาวให้ก็ช่วยอธิบายขยายความให้คลายความข้องใจ
ท่านหมอเล่าว่าก่อนหน้านี้ท่านหมอฝูชุนนั้นเป็นถึงหนึ่งในหมอหลวงที่อยู่ประจำในวังหลวงจนเมื่อถึงวัยชราก็กราบทูลลาฮ่องเต้ออกมาดูแลกิจการของครอบครัวซึ่งก็คือร้านขายยาสมุนไพรสกุลฝูโดยปัจจุบันมีบุตรชายคนโตของอดีตหมอหลวงฝูดูแลอยู่ซึ่งนอกจากท่านหมอชราจะทำหน้าที่รักษาคนไข้โดยคิดค่ารักษาเพียงไม่กี่อีแปะแล้วยังมีหลานชายที่สืบทอดวิชาสายตรงจากผู้เป็นปู่ซึ่งผู้คนในเมืองหลวงต่างก็ขนานนามคุณชายใหญ่ฝู ฝูเจียวลู่ว่าหมอฝังเข็มอัจฉริยะเนื่องจากสามารถฝังเข็มรักษาคนไข้ให้หายจากอาการป่วยได้ตั้งแต่ตนเองมีอายุได้เพียงสิบสี่ปีเท่านั้น
การเดินทางเข้าเมืองหลวงชั้นในมาครั้งนี้แม้จะไม่ได้พบท่านหมอทั้งสองคนแต่ทั้งหยวนตงหยางและหยวนจ้านก็ไม่ได้แบกความผิดหวังกลับมาที่บ้านเพราะหลงจู๊ร้านขายยาสมุนไพรแจ้งว่าท่านหมอทั้งสองเดินทางไปรักษาคนไข้ที่เมืองข้างๆ จะมีกำหนดกลับมาในอีกเจ็ดวันหลังจากนั้นเมื่อท่านหมอกลับมาได้พักผ่อนสักเล็กน้อยก็จะมาช่วยดูอาการของคนป่วยให้และไม่ลืมที่จะขอชื่อและที่อยู่ของหยวนตงหยางเอาไว้ด้วย
และเนื่องจากท่านหมอยังไม่ว่างมาดูอาการช่วงนี้หยวนเยี่ยนฟางจึงได้แต่ใช้ชีวิตอยู่ในเรือนโดยต้องกินยาตามเทียบยาเก่าของท่านหมอในเขตเมืองชั้นนอกไปพลางๆ เนื่องจากมันเป็นเพียงยาบำรุงร่างกายจึงไม่มีโทษแต่มันก็มีบ้างที่จะรู้สึกเบื่อเล็กน้อยเพราะว่ายังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปนอกห้องนอนแม้ว่าในตอนนี้นางจะต้องการไปสำรวจความเสียหายของร้านชามากแค่ไหนก็ตาม
“ได้เวลาดื่มยาแล้วเจ้าค่ะ” เป็นน้องรองหยวนเล่อหลินอายุสิบหนาวที่ได้รับหน้าที่นำยามาให้พี่สาวดื่มตามเวลาเช้า กลางวัน เย็นส่วนในเวลาก่อนนอนนั้นจะเป็นหน้าที่ของท่านแม่เพราะท่านจะเข้ามาดูความเรียบร้อยภายในห้องนอนของลูกสาวคนโตด้วย
“ขอบใจเจ้ามากนะเสี่ยวหลินโชคดีที่ยาบำรุงนี้ไม่ค่อยมีรสชาติขมเท่าไหร่ไม่อย่างนั้นพี่คงจะกินข้าวไม่อร่อยเป็นแน่” แม้จะไม่มีส่วนผสมของสมุนไพรที่มีรสขมมากนักความเหม็นเขียวของพืชแน่นอนว่ายังคงอยู่อย่างเต็มเปี่ยมโดยในสองสามวันแรกๆ หยวนเยี่ยนฟางก็ใช้วิธีบีบจมูกและกลั้นใจดื่มยาลงไปให้หมดแต่ก็มีเคล็ดลับอีกอย่างที่นางเพิ่งค้นพบหลังจากผ่านมาได้สองสามวันคือยานี้ต้องกินทันทีตอนที่มันยังอุ่นๆ จะช่วยบรรเทากลิ่นเหม็นเขียวของสมุนไพรไปได้มากเลยทีเดียว
“พี่ใหญ่ต้องอดทนนะเจ้าคะข้ารู้ว่ามันอาจจะน่าเบื่อแต่เพื่อร่างกายที่แข็งแรงแล้วท่านพี่ก็ต้องกินยาให้หมดเทียบตามที่ท่านหมอสั่งเอาไว้ มื้อเที่ยงนี้น้องสามน้องสี่จะขอมากินข้าวกับพี่ใหญ่ด้วยนะเจ้าคะตอนนี้ข้าให้พี่ซูเลี่ยงพาพวกเขาไปล้างมือกันก่อนเพราะไปเล่นกันมาจนมอมไปหมด”
พูดไม่ทันขาดหยวนซูเลี่ยงบุตรชายคนเล็กของท่านลุงใหญ่ก็พาน้องชายฝาแฝดของหยวนเยี่ยนฟางมาส่งอีกทั้งยังแวะถามอาการของนางด้วยความเป็นห่วงจากนั้นก็รีบขอตัวกลับไปที่เรือนใหญ่หรือเรือนหลักของสกุลหยวนเพราะได้เวลากินข้าวกลางวันของคนในบ้านด้วยเหมือนกัน
เรือนสกุลหยวนนั้นมีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มีเรือนหลักที่ท่านตาท่านยายอาศัยอยู่กับครอบครัวของท่านลุงใหญ่หยวนจ้านหนึ่งหลังและยังมีเรือนแยกออกมาอีกสามเรือนกับอีกหนึ่งเรือนรับรองโดยเรือนแยกเรือนแรกนั้นเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวหยวนเยี่ยนฟางที่มารดาเป็นบุตรคนที่สองของครอบครัว เรือนแยกเรือนที่สองเป็นของท่านน้าหยวนมี่เจียงและบุตรสาวโดยสามีนางเพิ่งตายไปเมื่อไม่นานมานี้และเรือนแยกหลังสุดท้ายนั้นเป็นเรือนของท่านน้าเล็กหยวนคุนที่ยังคงครองตัวเป็นโสดอยู่
“พี่ใหญ่ขอยับ” เจ้าก้อนแป้งแก้มกลมที่หน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะรีบวิ่งเข้ามาเกาะขาพี่สาวกันคนละข้างโดยใบหน้าเล็กๆ นั้นช่างจิ้มลิ้มน่ารักจนหยวนเยี่ยนฟางอดใจไม่ไหวต้องรีบก้มลงไปหอมแก้มน้องๆ คนละหนึ่งทีอย่างเท่าเทียมกัน
“เจ้าสองคนอยู่กับพี่ใหญ่ก่อนนะพี่รองจะไปเอาข้าวมาให้ ห้ามดื้อ ห้ามซนด้วยเพราะพี่ใหญ่ยังไม่หายดี” หยวนเล่อหลินสั่งความน้องชายทั้งสองก่อนที่จะรีบวิ่งไปยังห้องครัวในเรือนใหญ่ของบ้านเพื่อมายกอาหารที่มีผู้ใหญ่จัดเตรียมไว้ให้กลับไปที่เรือนของตนเอง
ครอบครัวสกุลหยวนแม้จะอยู่กันหลายคนแต่ไม่ได้มีบ่าวรับใช้หรือว่าคนงานในบ้านเพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นงานบ้านหรืองานครัวสมาชิกในบ้านก็จะช่วยกันทำซึ่งเรื่องการทำความสะอาดเรือนและการซักผ้านั้นแต่ละครอบครัวจะทำกันเองส่วนเรื่องงานครัวจะมีป้าสะใภ้ มารดาของหยวนเล่อหลินและน้ารองหยวนมี่เจียงเป็นแรงกำลังหลักและมีพี่ๆ น้องๆ ของนางคอยเป็นลูกมือและฝึกหัดงานครัวไปด้วยในตัว
เมื่อมาถึงครัวก็พบกับท่านแม่และป้าสะใภ้จัดถาดอาหารรออยู่แล้วโดยในวันนี้มื้อกลางวันของคนบ้านหยวนเป็นบะหมี่เนื้อตุ๋นชามโตที่น้องๆ ได้เห็นก็คงจะชอบใจเพราะพวกเขาล้วนชอบการกินเนื้อตุ๋นยิ่งนักแต่ส่วนของหยวนเยี่ยนฟางจะเป็นข้าวต้มที่ต้มจนเมล็ดข้าวอ่อนนุ่มมีกับข้าวเป็นปลานึ่งกับผักและเนื้อตุ๋นแค่เพียงเล็กน้อยเพราะนางยังคงต้องรับประทานอาหารที่ย่อยง่ายอยู่ในช่วงนี้
“ป้ากำลังจะให้พี่ซูเลี่ยงช่วยยกไปให้เจ้าพอดีเลยเสี่ยวหลินมายกแค่ถาดข้าวต้มของพี่สาวไปนะเพราะชามบะหมี่มันหนักกว่า” อย่าได้ประมาทว่าเป็นมื้อกลางวันของเจ้าก้อนแป้งเพียงสองคนและเด็กหญิงอีกหนึ่งเพราะน้องชายฝาแฝดของนางนั้นกินเก่งมากและปริมาณที่พวกเขากินเข้าไปในแต่ละมื้อนั้นเทียบเท่ากับเด็กผู้ชายวัยห้าหกขวบเข้าไปแล้ว
“ขอบคุณป้าสะใภ้เจ้าค่ะ” เด็กหญิงยิ้มหวานให้ป้าสะใภ้ก่อนจะรับถาดข้าวต้มมาถือเอาไว้ในมือวันนี้พี่ใหญ่ของนางจะต้องชอบที่ได้กินอาหารที่มีรสชาติมากขึ้นไม่ต้องทนกินปลานึ่งหรือว่าไข่ต้มใบชาจืดๆ อีกต่อไป
“เลี้ยงง่ายกันเสียจริงนะน้องสามกับน้องสี่เนี่ย กินอิ่มแล้วก็นอนหลับตื่นมาก็ออกไปวิ่งเล่นแต่แบบนี้แหละร่างกายพวกเขาจะได้แข็งแรง” หลังจากกินมื้อกลางวันเสร็จกันไปได้พักใหญ่ๆ ทั้งหยวนเฉินอวี้และหยวนเฉินซิ่วก็มาอ้อนขอนอนกลางวันกับพี่ใหญ่ในเมื่อน้องชายน่ารักแบบนี้แล้วใครมันจะไปใจร้ายได้ลง
หยวนเยี่ยนฟางยกเตียงนอนให้น้องชายชั่วคราวส่วนตัวเองก็ลุกขึ้นมาเดินเหยียดแข้งเหยียดขาอยู่ภายในห้องนอนครู่หนึ่งจากนั้นก็มานั่งอ่านตำราสมุนไพรที่ท่านพ่อหามาให้เป็นการแก้เบื่อแต่นางก็ตั้งใจอ่านและจดจำสรรพคุณรวมทั้งหน้าตาของสมุนไพรต่างๆ เอาไว้ให้ขึ้นใจเพราะคิดว่าอย่างไรแล้วความรู้พวกนี้มันต้องมีประโยชน์ต่อนางและครอบครัวในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน
“ท่านพ่อกับท่านแม่บอกว่าอีกไม่กี่วันท่านหมอก็น่าจะมารักษาท่านพี่ได้แล้วนะเจ้าคะ” ระหว่างที่พี่สาวอ่านตำราสมุนไพรน้องสาวก็หัดปักผ้าเช็ดหน้าเป็นการฆ่าเวลาเพราะในตอนนี้ยังไม่มีงานที่ร้านขายใบชาให้ทำเช่นเมื่อก่อนและก็คงต้องรอให้ท่านตาสร้างร้านใหม่เสร็จถึงจะกลับมามีงานให้ทำกันคึกคักดังเช่นเมื่อก่อนได้
เนื่องจากบ้านสกุลหยวนไม่ได้มีคนงานกิจการร้านขายชาสมุนไพรจึงเป็นสมาชิกในครอบครัวที่ต้องช่วยกันดูแลโดยทุกคนล้วนมีงานประจำเว้นแต่เจ้าก้อนแป้งฝาแฝดที่ยังอายุน้อยอยู่มากแต่รอให้รู้ความมีอายุได้สักเจ็ดแปดขวบก็น่าจะช่วยคัดแยก ตากสมุนไพรและใบชาได้แล้ว
“พี่ก็นั่งนับวันรอเลยล่ะเสี่ยวหลินถ้าได้โอกาสรักษาตัวครั้งนี้แล้วพี่ก็หวังว่าตัวเองจะได้มีร่างกายที่แข็งแรงขึ้นจะได้ช่วยงานทุกคนได้มากกว่านี้ อีกอย่างหากพี่รักษาตัวจนหายดีพี่ก็มีเรื่องจะปรึกษากับท่านพ่อท่านแม่อีกด้วย”
ระหว่างที่นางใช้เวลาพักรักษาตัวจากอาการป่วยหยวนเยี่ยนฟางก็คิดหาแผนการต่างๆ ในการแสดงออกให้ท่านพ่อท่านแม่รู้ถึงแนวคิดในการพัฒนาร้านขายใบชาของครอบครัวแต่กระนั้นก็ยังต้องพยายามใช้คำอธิบายให้พวกท่านไม่ตื่นตกใจซึ่งนางอาจจะใช้ข้ออ้างเรื่องของบรรพบุรุษไม่ก็เทพเซียนที่คนทั่วไปและครอบครัวเคารพนับถือมาเป็นข้ออ้างสนับสนุนพฤติกรรมและความคิดความอ่านที่เปลี่ยนแปลงไปของนางได้
แต่ไม่ว่านางคิดจะทำอะไรขึ้นมาก็ตามขั้นแรกนางต้องสำรวจทุนรอนทั้งหมดที่ครอบครัวสกุลหยวนมีเก็บไว้เสียก่อนแต่กว่าจะถึงตอนนั้นก็คงต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้ได้ นางต้องทำให้ทุกคนสามารถเชื่อว่ามือเล็กๆ ของนางจะพาสกุลหยวนไปอยู่ในจุดที่ร่ำรวยและรุ่งเรืองกว่านี้ให้จงได้
วันรุ่งขึ้นนับว่าเป็นครั้งแรกเลยที่หยวนเยี่ยนฟางมีโอกาสได้เดินออกมานอกเรือนแม้จะยังไม่ได้รับอนุญาตให้เดินไปไกลกว่าบริเวณสวนหน้าเรือนและหลังเรือนแต่การที่ได้เห็นใบไม้สีเขียวและดอกไม้หลากสีสันที่ปลูกอยู่ทั่วบริเวณบ้านก็ทำให้เด็กหญิงรู้สึกมีชีวิตชีวาเหมือนกับต้นข้าวได้น้ำยามฝนตก
“ในสวนนี้ล้วนเป็นสมุนไพรทั้งหมดเลยนี่นา ต้นหญ้าเล็กๆ ตรงนี้ก็ใช่ ดอกไม้ทางนั้นก็ด้วย” สิ่งที่ทำให้หยวนเยี่ยนฟางตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุดก็คือสวนบริเวณหน้าเรือนของตัวเองที่ล้วนแต่มีพืชพรรณสมุนไพรขึ้นปะปนอยู่เต็มไปหมดจนนางแปลกใจและพยายามค้นความทรงจำว่าตัวเองนั้นทราบได้อย่างไรซึ่งก็พบว่าข้อมูลความรู้เหล่านี้นั้นรวมอยู่ในตำราสมุนไพรหลายต่อหลายเล่มที่ท่านพ่อนำมาให้อ่านแก้เหงา
เพียงแค่นางอ่านข้อมูลสรรพคุณและได้เห็นภาพวาดเพียงแค่หนึ่งครั้งเมื่อมาเห็นของจริงนางจะสามารถรู้ได้ทันทีว่าต้นพืชหรือว่าต้นหญ้านั้นมีชื่อและสรรพคุณอะไรบ้างนับว่าเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจเหลือเกินโดยเรื่องนี้มันคงเป็นหนึ่งในความโชคดีที่ท่านตาชายชราเคราขาวได้กล่าวไว้ก่อนที่จะลาจากกัน
แต่จะว่าไปแล้วก็คิดถึงดวงวิญญาณของหยวนเยี่ยนฟางไม่รู้ว่าตอนนี้นางจะไปเกิดใหม่หรือยังถ้าได้เกิดใหม่แล้วก็ได้แต่หวังว่าชีวิตใหม่ของนางนั้นจะได้ไปเกิดในครอบครัวที่รักและเข้าใจนางไม่ต่างไปจากครอบครัวสกุลหยวนและพี่สาวคนนี้ก็จะภาวนาให้ทุกย่างก้าวในชีวิตของน้องสาวได้ประสบพบเจอแต่เรื่องราวที่ดีและคนดีๆ ด้วยเช่นกัน ขอให้คนใจร้ายอย่างคนสกุลกู่อย่าได้วนเวียนมาพบเจอกันอีกเลย
“พี่ใหญ่ขอยับ ท่างแม่ให้เข้าบ้าง” ระหว่างที่นั่งพิจารณาต้นหญ้าหน้าเรือนไปทีละต้นสองต้นเจ้าก้อนแป้งก้อนขาวๆ ก็มาเรียกพี่สาวกลับเข้าไปในเรือนเนื่องจากมารดาให้มาตามอีกทั้งวันนี้หยวนเยี่ยนฟางก็ใช้เวลาอยู่นอกเรือนเกือบจะหนึ่งชั่วยามแล้วด้วย
“ได้เลยน้องสี่พี่ใหญ่จะกลับเข้าเรือนเดี๋ยวนี้แหละ” หยวนเยี่ยนฟางตอบกลับน้องชายอย่างไม่มีอิดออดโดยเด็กสาวค่อยๆ หยัดกายขึ้นมาจากพื้นจากนั้นก็ปัดเศษดินเศษหญ้าออกจากเสื้อผ้าที่สวมใส่เมื่อเห็นว่าสะอาดดีแล้วนางก็ยื่นมือเล็กๆ ให้น้องชายจับก่อนที่จะจับจูงพากันกลับเข้าเรือนไปหาท่านแม่