อดีตดาราสาวผู้โด่งดังได้ตัดสินใจลาออกจากวงการบันเทิงและมุ่งหน้าตามหาความฝันยังบ้านเกิดของตน แต่แล้วทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป สิ่งเก่าใกล้เลือนหายแต่สิ่งใหม่กำลังเข้ามา

เมื่อรักซัดเข้าฝั่ง - 0 บทนำ โดย ดาวพลอย @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-หญิง,ยุคปัจจุบัน,ไทย,ตลก,โรแมนซ์,โรแมนติก,รัก,รักโรแมนซ์,ตลก,ความฝัน,ความรัก,ความสัมพันธ์,ครอบครัว,นิยายชายหญิง,นิยายรัก,นิยายรักชายหญิง,นิยายโรแมนติก,ชาย-หญิง,ชายหญิง,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เมื่อรักซัดเข้าฝั่ง

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-หญิง,ยุคปัจจุบัน,ไทย,ตลก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

โรแมนซ์,โรแมนติก,รัก,รักโรแมนซ์,ตลก,ความฝัน,ความรัก,ความสัมพันธ์,ครอบครัว,นิยายชายหญิง,นิยายรัก,นิยายรักชายหญิง,นิยายโรแมนติก,ชาย-หญิง,ชายหญิง,ดราม่า

รายละเอียด

เมื่อรักซัดเข้าฝั่ง โดย ดาวพลอย @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อดีตดาราสาวผู้โด่งดังได้ตัดสินใจลาออกจากวงการบันเทิงและมุ่งหน้าตามหาความฝันยังบ้านเกิดของตน แต่แล้วทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป สิ่งเก่าใกล้เลือนหายแต่สิ่งใหม่กำลังเข้ามา

ผู้แต่ง

ดาวพลอย

เรื่องย่อ

 

เมื่อรักซัดเข้าฝั่ง | Waves To Luv

เขียน : ดาวพลอย

ภาพ : Aumaim

---------------------------------------------

 

เรื่องย่อ

อดีตดาราสาวผู้โด่งดังได้ตัดสินใจลาออกจากวงการบันเทิงและมุ่งหน้าตามหาความฝันยังบ้านเกิดของตน แต่แล้วทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป สิ่งเก่าใกล้เลือนหายแต่สิ่งใหม่กำลังเข้ามา

 

อัปเดตตอนทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 18.00น.

---------------------------------------------

 

Trigger warning

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เนื้อหาบางส่วนอาจใช้ถ้อยคำพูดหรือพฤติกรรมที่มีความรุนแรงไม่เหมาะสมกับผู้อ่านอายุต่ำกว่า 18ปี ควรมีผู้ใหญ่ให้คำแนะนำ

อ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น...

สารบัญ

เมื่อรักซัดเข้าฝั่ง-0 บทนำ,เมื่อรักซัดเข้าฝั่ง-บทที่ 1 วันสุดท้าย,เมื่อรักซัดเข้าฝั่ง-บทที่ 2 วันสำคัญ,เมื่อรักซัดเข้าฝั่ง-บทที่ 3 คลื่นทะเล,เมื่อรักซัดเข้าฝั่ง-บทที่ 4 กลับบ้าน

เนื้อหา

0 บทนำ

หลังจากจบการเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ประจำปีพุทธศักราช 2547 ชุมชนแก้วใสก็กลับเข้าสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง ไฟหลากสีที่ถูกนำมาตกแต่งทั่วทั้งถนนคนเดินกำลังได้รับการรื้อถอนออกไป ชาวบ้านภายในชุมชนต่างก็รวมตัวกันเก็บกวาดขยะทั่วทุกอาณาบริเวณตั้งแต่ริมชายหาดตลอดไปถึงตลาดจำหน่ายสินค้าทะเลที่เป็นจุดสร้างรายได้ให้แก่พวกเขาทุกคน มีหลายครั้งที่ชาวบ้านเขาคิดกันว่าถึงแม้ช่วงเทศกาลประจำปีจะสามารถสร้างเม็ดเงินให้แก่พวกเขามากเท่าไหร่ แต่สุดท้ายหากต้องมาเก็บกวาดขยะที่มีอยู่เป็นกองพะเนินเทินทึกเช่นนี้ ก็คงไม่ไหวเช่นกัน

“จะว่าไป ป้ามณีกับพวกนางพิมพ์ใจหายไปไหนกันเรอะ ไม่เห็นมาช่วยกันบ้าง” หญิงวัยกลางคนพูดขึ้นมาท่ามกลางชาวบ้านนับสิบบนชายหาด

“ก็เห็นเขาว่าครอบครัวนั้นเขาถูกหวยเป็นร้อยล้าน เลยจะย้ายไปอยู่กรุงเทพฯ โน่น เขาไม่มาเก็บขยะเหม็น กุยแบบนี้หรอกนะยะ!” 

“ต๊าย... คางคกขึ้นวอ!”

เสียงซุบซิบนินทาของคนในหมู่บ้านเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนเคยชินไปแล้ว ตอนนี้ชาวบ้านออกมารวมตัวกันทุกจุดของชุมชนเว้นเสียแต่บ้าน 2 หลังที่อยู่ติดกันเพียงกั้นรั้ว โดยมีรถกระบะสี่ประตูที่ด้านหลังเต็มไปด้วยข้าวของมากมายที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตจอดอยู่หน้าบ้าน

“ย้ายไปแล้วอย่าลืมหาเวลากลับมาแก้วใสบ้างนะแม่พิมพ์” 

“จ้ะ ยังไงที่นี่ก็บ้านเกิดฉัน แต่คงมาได้นาน ๆ ครั้ง” 

หญิงชราโค้งตัวลงเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือซึ่งถือกำไลอันน้อย ๆ ทั้งสองขอนให้แก่เด็กน้อยวัยประถมสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“เอ้านี่เด็ก ๆ ย่าให้ไว้เป็นของที่ระลึกนะ ย่าร้อยลูกปัดนี้ให้เองกับมือ หินพวกนี้เขาเชื่อว่ามันเป็นเสมือนเครื่องราง นำพาทั้งโชคลาภและปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้ไกลจากตัว หาซื้อนี่แพงโขเลยล่ะ” 

เธอพูดด้วยสำเนียงเหน่อ ๆ ก่อนที่เด็กน้อยทั้งสองจะรับของชิ้นนั้นไว้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม กำไลสองขอนนี้ได้รับการบรรจงร้อยเรียงโดยใช้ลูกปัดที่ผ่านการปลุกเสก ทำขึ้นจากหินสีชมพูและสีเขียวอ่อน ดูบริสุทธิ์เปรียบได้กับความใสสะอาดภายในจิตใจเด็กน้อยทั้งสองคน

“ขอบคุณย่ามณีเขาสิลูก” 

“ขอบคุณนะคะ คุณย่า”

หญิงชรายิ้มแป้นอย่างเอ็นดู ก่อนจะยื่นถุงกระดาษสีน้ำตาลอ่อนขนาดใหญ่ถึง 3 ใบให้แก่พิมพ์ใจ ซึ่งภายในนั้นเต็มไปด้วยอาหารทะเลอบแห้งและขนมขบเคี้ยวอันเป็นสินค้าโอท็อปของชุมชนแห่งนี้

“เอาไว้ให้เด็ก ๆ ไปกินในช่วงแรกนะพิมพ์ เผื่อเขาปรับตัวกันยังไม่ได้ กินอาหารชาวเลให้พอหายคิดถึงบ้าน”

“ขอบใจมากเลยนะคะ แต่ไม่เห็นจะต้องให้ของมากมายขนาดนี้เลย ดูแล้วหลายบาท”

“ก็ฉันไม่ได้เลี้ยงส่งพวกเธอนี่ อีกอย่างของพวกนี้ฉันรวบรวมมาจากพวกพ่อค้าแม่ขายในตลาดทั้งนั้น แกล่ะก็บอกฉันกะทันหันเกินไป นี่ล่ะเป็นของขวัญเลี้ยงส่ง”

พิมพ์ใจโผเข้ากอดคุณมณีด้วยความตื้นตันใจ ก่อนที่ชายหนุ่มในชุดสูทดูภูมิฐานจะเดินออกมาจากภายในบ้านซึ่งมีรถกระบะ 4 ประตูจอดไว้เตรียมพร้อมออกเดินทางอยู่แล้ว

“คุณมณี ครอบครัวผมต้องขอตัวก่อนนะครับ ขอบคุณที่เป็นเพื่อนบ้านของเรามานานซ้ำยังช่วยดูแลเด็ก ๆ จนอายุได้เกือบ 10 ขวบทั้งสองคน” 

“จ้า เดินทางปลอดภัยตั้งใจขับรถนะธรรม์” 

“ไปจ้ะเด็ก ๆ ขึ้นรถกันได้เลยครับ” 

เด็กน้อยทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะตัดสินใจก้าวไปข้างหน้าเพื่อกอดคุณมณี ผู้ที่คอยเป็นเสมือนพี่เลี้ยงพวกเขาตั้งแต่ลืมตาดูโลกเป็นวันแรก

“หนูจะกลับมาหาคุณย่าบ่อย ๆ นะคะ” 

“จ้า แต่อย่านั่งรถมาเองคนเดียวเชียวนะ เดี๋ยวพ่อแม่เขาจะตกใจเอา” 

“ผมก็เหมือนกันครับ!” 

“ย่าจะรอนะลูก เอ้าไปก่อนไป เดี๋ยวจะถึงที่โน่นดึก” 

เธอคลายอ้อมกอดลงช้า ๆ มองภาพเด็ก ๆ ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเดินขึ้นรถไปพร้อมกับมารดาของตน แต่ในขณะเดียวกันธรรม์ก็ได้เดินเข้าไปหาคุณมณีพร้อมซองกระดาษสีขาวในมือ 

“นี่ครับคุณย่า ถือซะว่าเป็นของขวัญจากครอบครัวผม” 

เธอเปิดซองนั้นดูจนพบว่าเป็นเงินก้อนใหญ่ มันมากเสียจนเธอรับไว้ไม่ได้ด้วยความเกรงใจ เพราะทั้งชีวิตเธอไม่เคยได้จับเงินสดมากเท่านี้มาก่อน

“ตาย... ฉันรับไว้ไม่ได้หรอกพ่อ เก็บไว้เถอะ” คุณมณียื่นซองนั้นกลับคืนให้แก่ธรรม์

“รับไว้เถอะนะครับ พวกผมให้จากใจ ถ้าคุณย่าเจ็บไข้จะได้มีเงินไว้รักษา” 

“พ่อคุณเอ๊ย... ขอบน้ำใจมาก ไปดีมาดีนะจ๊ะ” 

ธรรม์ไหว้ลาคุณมณีด้วยความเคารพในขณะที่เธอเองก็ใช้มือตบไหล่เขาเบา ๆ อย่างโอบอ้อมเอ็นดู ผู้ที่นั่งอยู่บนรถมองภาพเหตุการณ์นั้นด้วยความประทับใจ ก่อนที่ธรรม์จะเดินมายังตัวรถและเปิดประตูที่นั่งฝั่งคนขับในทันที

รถกระบะสีดำเคลื่อนตัวออกไปช้า ๆ เด็กหญิงตัวน้อยมองภาพคุณมณีเดินกลับเข้าบ้านผ่านกระจกบังลมด้านหลังจวบจนขับเลยมาไกลเสียแล้วจึงได้กลับมานั่งในตำแหน่งเดิม พร้อมคาดเข็มขัดนิรภัยตามที่ผู้เป็นบิดาคอยสอนสั่งอยู่ตลอด

รถคันใหญ่ขับผ่านเส้นทางถนนคนเดินของชุมชนที่ยังคงพลุกพล่านไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศ แสงไฟสีเขียวจากเรือไดหมึกที่กำลังเตรียมตัวออกเรือในค่ำคืนนี้ก็ส่องสว่างอยู่รำไรไปทั่วทะเล ตลาดสดของชุมชนก็ยังคงคละเคล้าไปด้วยพ่อค้าแม่ขายเสียงเจี๊ยวจ๊าว กอหญ้ามองทุกสถานที่ที่ได้เดินทางผ่านมาอย่างละเอียดลออ เพื่อบันทึกภาพความทรงจำเหล่านี้เอาไว้ เพราะตัวเธอเองก็รู้ดีว่าคงไม่ได้กลับมาที่นี่อีกนานหลายปี!

ด้านผู้เป็นพี่ชายซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังฝั่งซ้ายมือของเธอ เขาเอาใจจดจ่อแต่กับการเล่นโทรศัพท์มือถือเครื่อง ใหม่ ทั้งยังสวมหูฟังไร้สาย ไม่สนใจเสียงนกเสียงกา

“ทุกคน เดี๋ยววันพรุ่งนี้เราออกไปเที่ยวสำรวจเมืองกันดีไหม จะได้ทำความคุ้นเคย ไปไหนมาไหนอาจจะพอ ช่วยให้ไม่หลงทางได้บ้าง” 

“ก็ดีนะคะคุณ ฉันอยากขึ้นรถไฟฟ้าจะแย่ เด็ก ๆ ล่ะจ๊ะว่าไง” 

“หนูอยากไปค่ะคุณแม่!” 

“แล้วพี่ไผ่ล่ะจ๊ะ” 

ผู้เป็นแม่ถามลูกชายของตนที่อยู่ด้านหลัง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงความเงียบงันที่ไร้ซึ่งคำตอบ ผู้เป็นพ่อสังเกต พฤติกรรมลูกชายผ่านกระจกมองหลังภายในรถ เขาทำสีหน้าละเหี่ยใจแต่ก็ยังคงขับรถไปอยู่อย่างนั้น 

“พี่ไผ่..... พี่ไผ่!” 

กอหญ้าทักท้วงเสียงดังก่อนจะดึงหูฟังไร้สายออกจากหูข้างขวาของกอไผ่ เด็กชายสะบัดมือใส่น้องสาวอย่างรุนแรง พร้อมจ้องหน้าตาเขม็ง! ทำเอากอหญ้าชะงักไปชั่วขณะ

“ไอ้ไผ่!” 

ธรรม์อุทานเสียงแข็งพลันเหลือบตามอง พิมพ์ใจนำมือทั้งสองข้างวางไว้ที่ตักของสามีอย่างอ่อนโยนเพื่อหวังให้เขาใจเย็นลง 

“กอไผ่ เอาโทรศัพท์มาให้แม่ก่อนดีไหมลูก”

“ครับ ครับ ครับ!” 

กอไผ่วางโทรศัพท์ลงตรงตักพร้อมถอดหูฟังทั้งสองข้างใส่กลับเข้าไปในเคสชาร์จ ก่อนจะหยิบมาวางไว้ข้างตัวพลางกอดอกมองออกไปที่หน้าต่างของรถ กอหญ้ารับรู้ถึงความต้องการของพี่ชายจึงได้ส่งโทรศัพท์และหูฟังของเขาให้แก่พิมพ์ใจ 

“ถ้าไปอยู่กรุงเทพแล้วแข็งข้อใส่พ่อแม่แบบนี้เดี๋ยวจะส่งกลับไปอยู่ที่ชุมชนบ้านนอกนั่นให้ตัวเหม็นกลิ่นคาวปลาเหมือนเดิมเสีย!” 

ธรรม์พูดเตือนเสียงดัง แต่ดูเหมือนจำเลยผู้ทำผิดจะข่มตาหลับไปจนไม่รับรู้สิ่งใดเสียแล้ว

“กอหญ้า เพื่อนของแม่เขาชวนลูกให้ลองไปแคสต์โฆษณาซุปไก่สกัดผสมนม ถ้าผ่านการคัดเลือกเห็นว่ารายได้ดีเชียวแถมได้ออกทีวี ลองหน่อยไหมลูก” 

พิมพ์ใจทึกทักถามกอหญ้าขึ้นมาเพื่อหวังเปลี่ยนสถานการณ์ภายในรถให้ผ่อนคลายขึ้น เธอยื่นไอแพดให้กอหญ้าเพื่อดูรายละเอียดของงานแคสติ้งนี้ 

“ก็ได้ค่ะ ถ้าคุณแม่เห็นว่าดีหนูก็พร้อมลอง” 

“ดีเลยลูก เขาให้ไปคัดเลือกวันที่ 15 สิงหาคม อาจจะแค่ดูตัวหมุนไปมา แสดงแอคติ้งนิดหน่อยล่ะมั้ง” 

“บ้านนอก ชีวิตจริงไม่ใช่ละคร สมัยนี้เขาวัดทัศนคติ คำพูดคำจาการวางตัว แม้แต่ท่าเดินยังมีคะแนน ลูกเราจะสู้ คนในเมืองเขาได้เรอะ” 

“ถ้าปากคุณมันเชยชมคนอื่นยากนักหนา ก็ตั้งใจขับรถให้มันดีเถอะไป” 

พิมพ์ใจพูดเบา ๆ พอให้สามีรู้ตัวว่าตอนนี้ตนนั้นได้ถูกโทสะครอบงำจนโงหัวไม่ขึ้นเสียแล้ว

“แม่ส่งชื่อไปแล้วนะลูก ไว้ถึงวันนั้นแม่จะไปเป็นเพื่อนหนูเอง ลูกเราสวยหล่อจะตายไป ยิ่งโตขึ้นยิ่งน่ารัก” 

กอหญ้ายิ้มเบา ๆ ก่อนจะมองออกไปที่หน้าต่างของรถ เห็นป้ายบิลบอร์ดที่มีภาพใบหน้าของเหล่าดาราใหญ่เต็มกระดาน แค่จินตนาการว่าสักวันจะมีภาพของตนเองอยู่บนนั้นบ้าง พ่อแม่คงภาคภูมิใจในตัวเธอไม่น้อย

“กอหญ้า อยู่กรุงเทพแล้วอย่าดื้อนะลูก คนที่นั่นเขาเย่อหยิ่ง จะโดนล้อเอาได้ ดู ๆ พี่ไผ่เขาด้วย พ่อจะให้เข้าโรงเรียนเดียวกัน” 

“คุณนี่นะ พูดไปเรื่อยจริง ถ้าสังคมในมหานครนี่มันเลวร้ายนัก ก็เลี้ยวรถกลับประจวบฯเลย ไป!” 

“ก็ฉันเคยเจอมาแล้วน่ะสิถึงกล้าเตือนลูกของเรา ตั้งใจเรียนนะลูกโตมาจะได้มีฐานะมั่นคงกับเขาบ้าง” 

เด็กหญิงพยักหน้ารับทราบถึงสิ่งที่พ่อได้มอบหมายพลันหันไปมองพี่ชายของตนที่กอดอกนอนหลับอย่างไม่สนโลก เธอเหนื่อยใจเอามากที่ตัวเองและพี่ชายมีนิสัยต่างกันสุดขั้วได้ถึงเพียงนี้

 

 

“ตื่นได้แล้วทุกคน เข้าตัวเมืองแล้ว เตรียมเนื้อเตรียมตัวให้ดี” 

เสียงของผู้เป็นพ่อที่ได้ปลุกภรรยาและลูก ๆ ที่ผล็อยหลับไปตั้งแต่ชั่วโมงแรกของการเดินทางรถคันใหญ่ของพวกเขาได้เคลื่อนตัวเข้าสู่เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร แสงสีนีออนทำเอาคนในรถต่างตื่นตาตื่นใจกับความยิ่งใหญ่ของเมืองหลวง

“นี่เขตแดนผู้ดีเชียวนะ ถ้าเราไม่ถูกหวยกัน 100 ล้าน ชาตินี้คงไม่มีปัญญามาอาศัย!” 

ธรรม์กล่าวเสียงดังด้วยความดีใจ แสงไฟนับพันเปล่งปลั่งสะท้อนผ่านผิวกระจกของตึกระฟ้า เบื้องล่างมีรถยนต์แล่นผ่านไปมานับคันไม่ถ้วน

เมืองหลวงแห่งนี้เป็นจุดศูนย์กลางที่รวบรวมไว้ซึ่งความหลากหลายของผู้คน วัฒนธรรมและการดำรงชีวิต ทุกสรรพสิ่งล้วนขับเคลื่อนไปตามกระแสสังคมที่หมุนเวียนดั่งกังหันลมอยู่ร่ำไป หากแต่ผู้ที่อยู่อาศัยไม่สามารถควบคุมสติและรักษาความเป็นตัวตนของเขาเอาไว้ได้ อำนาจด้านมืดภายในเมืองใหญ่ก็จะครอบงำเข้าให้ในสักวัน....