อดีตดาราสาวผู้โด่งดังได้ตัดสินใจลาออกจากวงการบันเทิงและมุ่งหน้าตามหาความฝันยังบ้านเกิดของตน แต่แล้วทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป สิ่งเก่าใกล้เลือนหายแต่สิ่งใหม่กำลังเข้ามา
รัก,ชาย-หญิง,ยุคปัจจุบัน,ไทย,ตลก,โรแมนซ์,โรแมนติก,รัก,รักโรแมนซ์,ตลก,ความฝัน,ความรัก,ความสัมพันธ์,ครอบครัว,นิยายชายหญิง,นิยายรัก,นิยายรักชายหญิง,นิยายโรแมนติก,ชาย-หญิง,ชายหญิง,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เมื่อรักซัดเข้าฝั่งอดีตดาราสาวผู้โด่งดังได้ตัดสินใจลาออกจากวงการบันเทิงและมุ่งหน้าตามหาความฝันยังบ้านเกิดของตน แต่แล้วทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป สิ่งเก่าใกล้เลือนหายแต่สิ่งใหม่กำลังเข้ามา
เมื่อรักซัดเข้าฝั่ง | Waves To Luv
เขียน : ดาวพลอย
ภาพ : Aumaim
---------------------------------------------
เรื่องย่อ
อดีตดาราสาวผู้โด่งดังได้ตัดสินใจลาออกจากวงการบันเทิงและมุ่งหน้าตามหาความฝันยังบ้านเกิดของตน แต่แล้วทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป สิ่งเก่าใกล้เลือนหายแต่สิ่งใหม่กำลังเข้ามา
อัปเดตตอนทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 18.00น.
---------------------------------------------
Trigger warning
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เนื้อหาบางส่วนอาจใช้ถ้อยคำพูดหรือพฤติกรรมที่มีความรุนแรงไม่เหมาะสมกับผู้อ่านอายุต่ำกว่า 18ปี ควรมีผู้ใหญ่ให้คำแนะนำ
อ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น...
รุ่งอรุณหลังพายุผ่านพ้น ฟากฟ้าทางตะวันออกค่อย ๆ เปลี่ยนสี จากดำหม่นเป็นส้มทองอ่อน ๆ เสียงลมที่เคยโหมกระหน่ำในคืนพายุได้แปรเปลี่ยนเป็นเสียงเกลียวคลื่นอันแผ่วเบาที่คอยลูบไล้ไปตามแนวหาดทราย ปลายเส้นขอบฟ้าเบื้องไกลบรรจบกับผืนทะเลอันกว้างใหญ่ได้อย่างงดงาม น้ำทะเลในยามนี้กลับมาเงียบสงบ แต่ยังคงทิ้งร่องรอยแห่งความโหมกระหน่ำของคืนก่อนไว้บ้าง ไอเค็มจากผืนน้ำลอยละล่องในอากาศ ราวกับลมหายใจของท้องทะเลที่กำลังฟื้นตัวจากความเกรี้ยวกราดของธรรมชาติ
ชาวประมงผู้ดำรงชีวิตด้วยการออกเรือ ต่างรู้ดีว่าทะเลนั้นไม่เคยอ่อนโยนต่อใคร แม้ในวันที่ฟ้าดูสงบเงียบ มันก็อาจแฝงเร้นไปด้วยสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ พวกเขาเป็นเสมือนนักเต้นที่คอยจับจังหวะของเกลียวคลื่น แสงไฟจากเรือลำเล็กที่ล่องลอยอยู่กลางทะเลเปรียบเสมือนดวงดาวที่ระยิบระยับบนผืนน้ำแสนกว้างใหญ่ มันคือการสื่อสารระหว่างคนกับธรรมชาติเพราะอาชีพชาวประมงไม่ใช่เพียงแค่การจับสัตว์ทะเล แต่พวกเขายังต้องคอยปรับจังหวะชีวิตให้สอดคล้องกับคลื่นลมและฟ้าฝนที่ไม่สามารถคาดเดาได้ในแต่ละวันอีกด้วย
บนเรือไดหมึกลำหนึ่งซึ่งถูกทาด้วยสีแดงและขาว มีอุปกรณ์มากมายรวมถึงหลอดไฟที่ใช้สำหรับการล่อหมึกเต็มไปทั้งเรือ เรือลำนี้ได้บรรทุกชายห้าคนผู้รอดชีวิตจากพายุในค่ำคืนที่ผ่านมา มันเป็นโชคชะตาที่พวกเขาไม่อาจหลีกหนี แม้จะได้หมึกกลับมาบ้าง แต่ปริมาณที่จับได้ก็ยังน้อยนักเมื่อเปรียบเทียบกับวันอื่น ๆ ที่ไม่มีเหตุร้ายเช่นนี้
“อีกไม่นานเราก็จะถึงบ้านแล้วครับทุกคน”
ชายหนุ่มผู้ยืนอยู่ที่หัวเรือเอ่ยขึ้น ขณะที่มือของเขายังกำกล้องส่องทางไกลเพื่อสอดส่องเส้นทางข้างหน้า จนมองเห็นว่าอีกไม่กี่นาที เรือพวกเขาจะได้กลับถึงฝั่งและพร้อมที่จะกลับสู่อ้อมกอดของครอบครัวที่พวกเขาห่วงใยตลอดทั้งคืน ท้องฟ้าในเช้านี้แจ่มใส ราวกับว่าพายุเมื่อคืนเป็นเพียงฝันร้ายที่จางหายไป ท้องน้ำที่เคยสร้างความวุ่นวายกลับกลายเป็นคลื่นที่เบาสบายเหมือนคนละโลก
“โอเคแล้วใช่ไหมพี่วี อาการหนักหรือเปล่า”
“โถ่ เรื่องแค่นี้เล็กน้อย พี่กินยาเดี๋ยวเดียวก็หายเป็นปลิดทิ้งแล้วล่ะ สบายใจได้”
ชายหนุ่มทั้งสองนำกำปั้นชนกันเป็นสัญลักษณ์ของการให้คำสัญญา ก่อนที่จะไปเตรียมข้าวของบนเรือให้พร้อมก่อนที่จะถึงชายฝั่ง
ในขณะเดียวกัน ผู้คนที่ชุมชนริมทะเลต่างรอคอยด้วยความห่วงใย พวกเขาสวดมนต์ภาวนาขอให้คนที่ตนรักได้รอดพ้นจากมหันตภัยในครั้งนี้ โดยเฉพาะเหล่าภรรยาและลูก ๆ ที่ใช้เวลาทั้งคืนคอยอธิษฐานด้วยใจอันร้อนรุ่ม ขอพรให้สามีและพ่อของพวกเขากลับมาถึงฝั่งอย่างปลอดภัย เสียงลมคลื่นในทะเลในคืนก่อน ราวกับเสียงสะท้อนของความหวาดหวั่นที่แผ่ไปทั่วทั้งหมู่บ้าน แทบไม่มีใครข่มตาหลับลงได้ก็เนื่องด้วยความกังวลว่าคนที่ตนรักจะต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
“สาธุ๊ สาธุ คุณพระศรีรัตนตรัยดลบันดาลให้ผัวหนูกลับมาครบ 32 ด้วยเถิดด เพี้ยง ๆ”
“ฉันก็ขอให้แม่ย่านางช่วยคุ้มครองลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของฉันด้วยเถอะ”
“ฉันก็ขอให้พี่นาวีว่าที่สามีของหนูปลอดภัยอีกคนด้วยนะจ๊ะ”
เมื่อหญิงสาวคนสุดท้ายกล่าวจบ ทุกสายตาก็หันมาจับจ้องเธอด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอพูดถึงสิ่งที่ไม่เป็นความจริง
“จะมาสามงสามีอะไรคะหนู แค่หน้าเขายังไม่อยากจะมองเลยค่ะ”
เสียงหัวเราะดังกังวานทั่วทั้งตลาดสดที่คลาคล่ำไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่กำลังตั้งแผงจำหน่ายอาหารทะเลในเช้าวันนี้บรรยากาศเต็มไปด้วยความเร่งรีบและคึกคัก หากแต่บางร้านกลับเงียบเหงา ด้วยอิทธิพลของพายุฝนในคืนก่อน ซึ่งส่งผลให้หลายร้านต้องหยุดพักอย่างกะทันหัน เพราะไม่อาจหาสัตว์ทะเลมาได้เพียงพอต่อการจำหน่าย
“เวรกรรมจริง ๆ คนกำลังขาขึ้นแท้ ๆ”
“นั่นสิ กรมอุตุฯ ก็ไม่เห็นจะแจ้งอะไรล่วงหน้า พายุที่เข้ามาก็ไม่ใช่เล็ก ๆ ซะด้วย”
“ชีวิตพวกเรานี่มันช่างยากเย็นเหลือเกินนะพี่ บางวันก็ขายดี บางวันก็แทบจะขายไม่ออกเลย พอฟ้าฝนลงที ยิ่งไปกันใหญ่ เมื่อคืนพายุเข้าขนาดนั้น สัตว์ทะเลมันก็หนีหายไปหมด หาแทบไม่ได้ กะว่าจะตั้งแผงขายดี ๆ ก็ต้องหยุดซะงั้น เสียทั้งเวลา เสียทั้งรายได้ ชีวิตคนเรานี่จะต้องดิ้นรนไปถึงเมื่อไหร่เนอะ”
วาจาตัดพ้อของพ่อค้าแม่ขายยังคงดังก้องในตลาด พวกเขาน้อยใจในโชคชะตาที่ในแต่ละวันต้องคอยพึ่งพาการหาสัตว์ทะเลจากชาวประมง เพื่อนำมาจำหน่ายต่อในตลาดสด เพื่อสร้างรายได้เลี้ยงชีพ แต่เมื่อใดที่พวกเขาจำต้องหยุดขาย รายได้ก็พลันหดหายไปกับสายลม
เรือไดหมึกลำใหญ่เคลื่อนตัวมาจอดอย่างเงียบสงบที่ริมชายฝั่ง เหล่าชายหนุ่มบนเรือต่างรีบขนย้ายตะกร้าที่เต็มไปด้วยหมึกและของใช้จำเป็นลงจากเรือ พวกเขาต้องนำข้าวของทั้งหมดลงไปเพราะคงไม่ได้ออกเรือกันอีกหลายวันเนื่องจากพายุที่เข้ามาคงจะไม่จบแค่นี้
“เอ้า เร็วๆ หน่อย! หมึกสองตะกร้าเอาไปส่งร้านเจ๊ตุ๊กก่อนนะ” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งท่าทางคล่องแคล่ว เร่งสั่งการด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ครับลุง” เหล่าชายหนุ่มรีบตอบรับกันอย่างพร้อมเพรียงแต่ในขณะนั้นเอง ชายหนุ่มผู้หนึ่งกลับมีท่าทีแปลกไป
“เอ็งเป็นอะไรไปวะไอ้วี ปกติก็ไม่เคยเมาเรือสักที แต่วันนี้ดูไม่ค่อยดีเลยนะ” ลุงเล็กถามด้วยความสงสัย
“ผมไม่ได้เมาเรือหรอกครับลุง เพียงแต่...เอาเป็นว่ารีบเก็บของกันเถอะครับ ครอบครัวของทุกคนคงรออยู่”
เขาตอบอย่างเบี่ยงบ่าย แม้ภายในดวงตาของเขาดูเหมือนกำลังเก็บอะไรบางอย่างไว้ในใจ
เรือลำนี้ฝ่าฟันพายุมากมายมานับครั้งไม่ถ้วน ด้วยความช่ำชองของ ลุงเล็ก ชายผู้คร่ำหวอดในอาชีพประมงมากว่า 40 ปี เขาเคยออกทะเลล่าสัตว์น้ำในสภาพอากาศเลวร้ายจนแทบจะนับครั้งไม่ถ้วน และทุกครั้งเขาก็สามารถนำลูกเรือกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยเสมอ รวมถึงครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
ชาวประมงทุกคนเดินกลับเข้าไปในชุมชนอย่างเร่งรีบ หาดทรายที่เคยคึกคักกลับเงียบสงบเนื่องจากไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์ มีเพียงชายหนุ่มในชุดสีดำที่ยืนหลบมุมอยู่ริมชายหาด เขาตัดสินใจเดินเลี่ยงออกมาเพียงลำพังและมุ่งหน้าไปยังต้นตาลสามต้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมทะเล ลมทะเลพัดเอื่อย ๆ ชวนให้ชายหนุ่มเกือบจะผล็อยหลับไป
“อ้าวพี่ มานอนตรงนี้ทำไมหรือครับ แดดร้อนผ่าวขนาดนี้ เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะ”
“ไม่เห็นจะร้อนเลยสักนิด แดดแค่นี้ทนไม่ได้อย่าหวังจะเป็นนักเรียนนายร้อยกับเขาเลย”
“โถ ผมก็เหลือแค่ทดสอบสมรรถภาพร่างกายเท่านั้นล่ะครับ เขาให้ไปที่จปร. โน่น ผมคงต้องขอร่ำเรียนวิชาจากพี่แล้วล่ะ”
“เออ ไว้เดี๋ยวจะช่วยฝึกให้ก็แล้วกัน แล้วนี่กินข้าวหรือยังล่ะ ไปกินเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
“ถ้าพี่เลี้ยงผมก็พร้อมไปเสมอนั่นแหละ”
“ฮื่อ เลี้ยงก็เลี้ยง แต่เดี๋ยวข้ากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เอ็งไปเดินตลาดเล่นก่อนไป”
“ครับผม แต่อย่านานนักนะ ผมก็หิว”
“รับทราบครับคุณผู้ชาย”
ชายหนุ่มลุกขึ้นจากใต้ต้นตาลนั้นหลังจากที่พูดคุยกับ ฟอร์ด ลูกชายคนโตของผู้นำชุมชนคนปัจจุบัน เขากำลังเตรียมตัวสอบเข้าคัดเลือกเพื่อให้ได้ไปศึกษาในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า อันเป็นความฝันที่ตัวเขาอยากทำมาตั้งแต่น้อย รูปร่างกำยำล่ำสัน วาจาสุภาพอ่อนโยน บุคลิกภาพดีงามเหมาะสมกับอาชีพทหารที่เขาฝันใฝ่อย่างไร้ข้อกังขา
ชายหนุ่มในชุดสีดำกำลังเดินเท้ากลับไปยังบ้านพักของตนโดยใช้เส้นทางถนนคนเดินของชุมชนที่ในช่วงกลางคืนจะเต็มไปด้วยแผงขายอาหารต่าง ๆ เป็นจุดดึงดูดอีกหนึ่งอย่างที่ทำให้นักท่องเที่ยวตกหลุมรักที่นี่ เมื่อไม่นานมานี้ชาวบ้านได้ช่วยกันทาสีบริเวณลานกว้างริมชายหาดเป็นรูปสัตว์ทะเลหลากหลายชนิด ผู้คนในชุมชนทุกเพศทุกวัยต่างร่วมด้วยช่วยกันอย่างขะมักเขม้น ศิลปะที่สร้างขึ้นด้วยความสุขย่อมสวยงามเสมอ
เดินมาได้ไม่ถึง 10 นาทีเขาก็มาถึงหน้าบ้านของตนเอง บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากชายหาดมากนัก รอบข้างเต็มไปด้วยบ้านอีกหลายหลัง ส่วนใหญ่มักมีเพียงผู้สูงอายุอาศัยอยู่ เขาจึงได้รับอีกหน้าที่หนึ่งคือการดูแลและพูดคุยกับเหล่าคุณตาคุณยายในทุก ๆ วัน
“อ้าว... วี กลับบ้านแล้วหรอ ย่าเป็นห่วงมากนะ เมื่อคืนแย่เลยสิ พายุเข้าขนาดนั้น สาธุบุญที่ช่วยหนุนนำให้รอดกลับมาได้นะลูก”
“ครับผม ก็เกือบไม่รอดถ้าไม่มีลุงเล็กช่วยบังคับเรือไว้จนไม่จมลงทะเลไปเสียก่อน”
"ดีแล้วล่ะ แล้วนี่กินอะไรหรือยัง มากินข้าวไหมเดี๋ยวย่าทำให้"
“เกรงใจครับ ผมนัดไอ้ฟอร์ดไว้ว่าจะเลี้ยงข้าวเที่ยงมัน ไว้มื้อเย็นผมจะแวะมานะครับ”
“ได้จ้ะ เร่งไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ ดูมอมแมมจนแทบจำไม่ได้แล้ว”
“ครับผม ไว้เจอกันนะครับ”
ชายหนุ่มไหว้ลาคุณย่าที่อาศัยอยู่ข้างบ้านของเขา คุณมณีหญิงวัยชราอายุราว 78 ปี เธอเป็นคนเฒ่าคนแก่ของชุมชนที่ได้รับความนับถือเป็นอย่างมากเนื่องจากเธอเป็นอดีตผู้นำชุมชนเมื่อ30กว่าปีที่แล้ว
บ้านของนาวีถูกแวดล้อมไปด้วยบ้านอีกสองหลังที่อยู่ขนาบข้างกัน มีแต่เพียงรั้วกั้นที่ทำหน้าที่แบ่งอาณาเขตเท่านั้น โดยบ้านของคุณมณีอยู่ทางฝั่งซ้าย บ้านของนาวีอยู่ตรงกลาง ส่วนบ้านอีกหลังนั้นกลับไม่มีคนอยู่อาศัยมานานมากจนเริ่มทรุดโทรมเต็มที
ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเร่งคว้าผ้าขนหนูอย่างไวและก้าวเข้าไปในห้องน้ำเพื่อรีบชำระร่างกายของตน เขาเป็นคนตรงต่อเวลาและไม่อยากให้ใครต้องรอคอยเขานานเกินไป อีกทั้งยังเป็นผู้ชายเจ้าสำอางที่รักสะอาดและเจ้าระเบียบเป็นที่สุด
“โธ่เอ๊ย แชมพูจะมาหมดอะไรตอนนี้กัน คนเขาคันหัวจะแย่”
สีหน้าอารมณ์เสียจ้องมองขวดแชมพูที่อยู่ในมือ ก่อนที่เขาจะพยายามบีบแชมพูที่เหลืออยู่อย่างสุดความสามารถจนกระทั่งมันไหลออกมาบ้างเล็กน้อย เขาต้องจำใจใช้ไปก่อนเนื่องจากจะออกไปซื้อตอนนี้ก็คงช้าเกินไป
ไม่ถึง 30 นาทีเขาก็ทำธุระส่วนตัวเสร็จสิ้น เขาเช็ดตัวให้แห้งหมาดก่อนที่จะเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบกางเกงสแลคสีดำทรงสวยและเสื้อเชิ้ตสีเหลืองอ่อนออกมาสวมใส่ ทุกครั้งที่เขามีนัดเขามักจะแต่งตัวอย่างเป็นทางการอยู่เสมอ ชายหนุ่มเดินไปหยิบไดร์เป่าผมที่อยู่ในลิ้นชักของโต๊ะเครื่องแป้งและทำการเสียบปลั๊กที่อยู่ข้าง ๆ โต๊ะก่อนจะเริ่มเป่าผมด้วยเบอร์แรงที่สุดจนผมนุ่มสลวย
ก่อนจะออกจากบ้านเขาไม่ลืมที่จะทากันแดดที่ใบหน้าและฉีดน้ำหอมกลิ่นอ่อน ๆ ก่อนจะเดินไปหยิบรองเท้าผ้าใบสีดำในชั้นรองเท้ามาสวมใส่จนเรียบร้อย
“โอยย ช้ามาก ผมหิวจะตายแล้วนะ -_-” ข้อความที่ส่งมาจากฟอร์ดดังขึ้นจากโทรศัพท์ของเขา ก่อนที่ชายหนุ่มกำลังจะพิมพ์ตอบกลับไป
“แหม่ กินก็กินฟรี กำลังไปแล้ว รอก่อน”
“คร้าบบ พี่ชาย”
ชายหนุ่มเช็กการแต่งกายของตนเองอีกครั้งหนึ่งที่หน้ากระจกขนาดเท่ากับตัวที่ตั้งไว้ในห้องโถงของบ้าน ก่อนจะเดินออกไปพร้อมล็อกประตูจนเรียบร้อย แต่ยังไม่ทันจะเดินพ้นรั้วบ้านเขาก็เหลือบไปมองเห็นใครบางคนกำลังนำป้ายมาติดที่บ้านข้าง ๆ ของเขาที่ถูกทิ้งร้างมานาน จึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปทักทาย
“สวัสดีครับพี่ พี่มาติดป้ายอะไรหรอครับ”
“อ่อ สวัสดีน้อง พี่มาติดป้ายขายบ้านหลังนี้น่ะ เจ้าบ้านเขาขายทิ้งแล้ว”
“หือ น่าเสียดาย บ้านหลังนี้โครงสร้างสวยเชียว ดูท่าทางจะอยู่มาหลายปี เขาขายกี่บาทหรอครับพี่”
“พี่ก็ไม่ทราบมากหรอกครับ เขาให้มาติดป้ายเฉย ๆ น่ะ หรือว่าเอ็งสนใจ?” ชายหนุ่มถามคนตรงหน้าอย่างสงสัยว่าเหตุใดเขาจึงมาถามไถ่กับตนมากมายเช่นนี้
“เอ่อ บ้านหลังนี้ก็อยู่ข้างผมมานานน่ะครับ ก็เลยเสียดายที่เจ้าของเขาไม่เอาแล้ว แต่ผมคงยังไม่ซื้อหรอกครับ ท่าจะหลายบาท”
“แล้วไป ว่าแต่เอ็งชื่ออะไรหรือ”
“อ้อ ผมชื่อนาวีครับ นาวี สายสมุทร”
“อ้อ ไอ้น้องคนนี้นี่เอง พี่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาอยู่ พี่ชื่อ ปราบต์ ลูกชายยายป่าน ที่อยู่บ้านฝั่งตลาดโน่น พึ่งกลับมาจากกรุงเทพ ว่าจะย้ายมาอยู่นี่เลย”
“อ๋อ คุณยายป่าน ยายแกชวนผมคุยกับอยู่บ่อย ๆ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
“เช่นกัน”
“ยังไงผมขอตัวก่อนนะครับ มีนัด เขารอนานแล้ว”
“นัดที่ไหนหรือ เดี๋ยวนั่งซาเล้งพี่ไปไวกว่า”
“ไปตลาดครับ แต่ไม่เป็นอะไรเลยครับ ผมเกรงใจ”
“ไปเถอะไป เกรงใจอะไรกัน”
“ก็ได้ครับพี่ ขอบคุณนะครับ”