น้องสาวคนนี้ขอคว้าหัวใจพี่ได้ไหมคะ

รุ่นพี่ที่รัก - ตอนที่ 1 ฉลองวันเกิดโดยไม่มีของขวัญ โดย Minseoltang @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-หญิง,ยุคปัจจุบัน,รั้วโรงเรียน,วัยว้าวุ่น,ม.ปลาย,มหาลัย,มหาวิทยาลัย,นักศึกษา,รุ่นพี่ที่รัก,พี่น้อง,แอบรัก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

รุ่นพี่ที่รัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-หญิง,ยุคปัจจุบัน,รั้วโรงเรียน,วัยว้าวุ่น

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ม.ปลาย,มหาลัย,มหาวิทยาลัย,นักศึกษา,รุ่นพี่ที่รัก,พี่น้อง,แอบรัก

รายละเอียด

รุ่นพี่ที่รัก โดย Minseoltang @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

น้องสาวคนนี้ขอคว้าหัวใจพี่ได้ไหมคะ

ผู้แต่ง

Minseoltang

เรื่องย่อ

'สำหรับเขาเธอเป็นแค่น้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น แต่สำหรับเธอ เขาคือรักแรกที่จนถึงตอนนี้ก็ยังปักหมุดหัวใจเอาไว้ที่เขาเพียงคนเดียว

พอจะมีโอกาสบ้างไหมนะ ที่น้องน้อยจะได้ครอบครองหัวใจพี่ชายกำมะลอคนนี้ได้บ้าง'




เรื่องราวของ ของขวัญ เด็กสาวผู้แอบหมายปองพี่ชายข้างบ้านซึ่งเป็นลูกชายเพื่อนสนิทแม่ของตัวเองอย่างเซจิ ด้วยความที่เธอและเขาเกิดในวันที่และเดือนเดียวกัน ครอบครัวจึงจัดงานวันเกิดร่วมให้กับพวกเขาทั้งสองอยู่เสมอ ทุกปีในวันคล้ายวันเกิด เธอจะมีความสุขมาก ต่างจากเขาที่ดูเบื่อหน่าย แต่ถึงอย่างนั้น เธอเองก็ได้แต่เฝ้าอธิษฐานว่า คงมีสักวัน ที่ตัวเธอนั้นจะได้เป็นของขวัญสำหรับเขา…

แต่ดูเหมือนว่า…ชายหนุ่มจะไม่ค่อยชอบของขวัญชิ้นนี้สักเท่าไหร่เลยเนี่ยะสิ




เขียน : Minseoltang


ภาพปก : MuMx


ฝากกดใจ❤️+เพิ่มเข้าชั้น📚เพื่อการติดตามนิยายอย่างต่อเนื่องกันด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ🫶🏻

สารบัญ

รุ่นพี่ที่รัก-บทนำ นับตั้งแต่นั้น…,รุ่นพี่ที่รัก-ตอนที่ 1 ฉลองวันเกิดโดยไม่มีของขวัญ

เนื้อหา

ตอนที่ 1 ฉลองวันเกิดโดยไม่มีของขวัญ

10 years later...




ขอให้พี่เซจิรักฉัน




นั้นคือคำอธิษฐานของของขวัญ หญิงสาววัย 18 ปีที่ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน คำอธิษฐานของเธอก็ยังคงเป็นเช่นเดิมเสมอมา เธอหลงรักพี่เซจิ พี่ชายของเพื่อนสนิทตัวเองมาตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม เธอก็ยังรักเขาไม่เปลี่ยน เธอปิดบังความรู้สึกนี้กับเขามาโดยตลอดมา และก็หวังว่าสักวันเขาจะรับรู้ความรู้สึกของเธอบ้างไม่มากก็น้อยก็ยังดี และเธอก็ขอให้เขารู้สึกแบบเดียวกับเธอ แม้ความความเป็นจริงแล้วพี่เซจิแทบจะไม่ค่อยชอบเธอสักเท่าไรก็ตามที เธอรู้ดีว่าในการจัดงานวันเกิดทุกๆ ปี เขาไม่เต็มใจที่จะจัดร่วมกับเธอ แต่อย่างน้อยก็เธอได้เห็นหน้าเขาใน ทุกๆ ปี ไม่ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ให้เธอเห็นหน้าทุกวันแล้วก็ตาม ถึงอย่างนั้นทุกๆ วันเกิดของเขาก็ต้องกลับมาเป่าเค้กกับเธอตลอด




“อธิษฐานว่าอะไรครับคนสวย” เซนโตะ เพื่อนสนิทต่างเพศก็มักจะชะโงกหน้าเข้ามาถามเธอแบบนี้ประจำ แต่ว่าตอนนี้เซนโตะไม่ได้ดูเหมือนเด็กขี้สงสัยเหมือนแต่ก่อน พอโตขึ้นมาเขากลับมีออร่าโดดเด่นไม่แพ้พี่ชายตัวเอง แถมยังมีความทะเล้นเจ้าคารม จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ ไม่แพ้พี่ชายตัวเองเลยสักนิด ต่างกันตรงที่ว่าพี่ชายของเขาค่อนข้างเป็นคนเงียบขรึมไปสักหน่อย แต่เพราะว่าหน้าตาและฐานะล้วนๆ ทำให้เป็นที่ถูกใจของผู้หญิงหมู่มาก




“เอาหัวไปไกล ๆ เลยไอ้เซนโตะ กูจั๊กจี้หูเว้ย!”




“ก็กูอยากให้มึงจั๊กจี้ไง ฮ่าๆ อะ...” เซนโตะหัวเราะชอบใจใหญ่ที่ทำให้เพื่อนสนิทตัวเองจั๊กจี้หูได้สำเร็จ แล้วเขาก็แกล้งเธอเรื่อยๆ จนกระทั่ง…..




“เซนโตะ!” เสียงนั้นคือเสียงของเซจิ พี่ชายของเขานั่นเอง ใบหน้าหล่อเหลาที่ตอนนี้ดูบึ้งตึงไม่ต่างจากสมัยเด็กเท่าไหร่นัก ไม่สิ! เป็นแบบนี้ทุกปีอยู่แล้ว ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าเขาไม่ค่อยชอบวันเกิดตัวเองนักหรอก ส่วนสาเหตุนั้น ไม่มีใครทราบแน่ชัดนอกจากตัวของเซจิเอง




-ย้อนกลับไปสมัยเซจิยังเป็นเด็ก-




“คุณเซจิครับ ถึงเวลาเรียนพิเศษแล้วครับ” เสียงพ่อบ้านผู้ดูแลความเรียบร้อยดังขึ้น ก่อนจะปรากฎภาพเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งทานอาหารเย็นอยู่บนโต๊ะหรูตัวยาว เขามีนามว่า เซจิ หรือ ทากาฮาชิ เซจิ เขาลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น เติบโตมาในครอบครัวที่ถือได้ว่าค่อนข้างเพรียบพร้อม หากหมายถึงในด้านการเงินแหละนะ เรียกได้ว่าคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดกันเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้น ทางด้านความสัมพันธ์กับคนในตระกูลกลับเป็นเรื่องหนึ่งที่ตระกูลนี้ขาดตกบกพร่องเสียอย่างนั้น




ในทุกวัน เขาจะต้องตื่นนอนตั้งแต่ตีห้าเพื่อลุกขึ้นมาอ่านหนังสือเตรียมบทเรียน หลังรับประทานอาหารเช้าเสร็จ จะต้องมุ่งหน้าไปโรงเรียนก่อนใครอื่น เนื่องจากคุณพ่อและคุณแม่มักจะย้ำเสมอว่า การไปถึงก่อน แสดงให้เห็นถึงการมีความรับผิดชอบ และแม้จะถึงเวลาเลิกเรียนจากสถานศึกษาแล้ว ก็ยังไม่วายที่เขาจะต้องมานั่งเรียนพิเศษต่ออีก




และสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า เขาเป็นทายาทซึ่งมีหน้าที่ต้องสืบทอดโรงพยาบาลต่อจากตระกูลของตัวเอง หากจะกล่าวว่าทำไปเพราะใจรัก ก็คงเอ่ยไม่ได้อย่างเต็มปาก เขาทำไปเพราะหน้าที่ของวงศ์ตระกูลเสียมากกว่า




ตระกูลทากาฮาชิ เริ่มเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่รุ่นของคุณพ่อของคุณทวด ซึ่งในสมัยนั้น ท่านเป็นเพียงนักศึกษาแพทย์คนหนึ่งซึ่งทางตระกูลได้จับพลัดจับผลูมาอยู่ที่ประเทศไทยอย่างกะทันหัน หลังจากเขาศึกษาวิชาแพทย์จบแล้ว ก็เริ่มเข้าสู่วงการธุรกิจ โดยเริ่มแรกเปิดเป็นคลินิกเล็ก ๆ ก่อนจะขยายเป็นโรงพยาบาลทากาฮาชิ ที่ในปัจจุบันมีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศ




“ครับ” เซจิตอบกลับ ท่าทางของเขาเหนื่อยล้าเต็มทน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังฝืนเรียนต่อไป และในที่สุด ความพยายามของเขาก็เป็นผล เมื่อเขาสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยระดับท็อปของประเทศได้




แต่ถึงอย่างนั้น ทางครอบครัวก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นและแสดงความยินดีกับเขาแต่อย่างใด ซึ่งหากเป็นครอบครัวอื่น ซึ่งอยู่ในสังคมที่ค่านิยมในการเรียนวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ค่อนข้างสูงอย่างสังคมประเทศไทยแล้ว คงปิดซอยฉลองให้กับลูกหลานของตนกันเสียยกใหญ่ แต่กับทางตระกูลทากาฮาชินั้น การสอบเข้าคณะแพทย์ได้ พวกเขากลับมองว่าเป็นเรื่องปกติที่ทายาทประจำตระกูลของตนสามารถทำได้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว




ตั้งแต่เล็กจนโต ถึงแม้ว่า เซจิ จะสอบได้ที่หนึ่งของรุ่นในโรงเรียนระดับท็อปประเทศ แต่เขาก็ไม่เคยได้รับคำชมหรือของขวัญแต่อย่างใด มีเพียงในช่วงวันเกิดเท่านั้น ที่เขาจะได้รับของขวัญจากพ่อกับแม่ ซึ่งก็เป็นของขวัญที่พ่อกับแม่ไม่ได้ตั้งใจเลือกสักเท่าไหร่นัก นอกจากนี้ยังจัดงานเลี้ยงฉลองร่วมกับลูกสาวของเพื่อนแม่คนหนึ่งอยู่ตลอด




เขาไม่ชอบเลยสักนิด ไม่ใช่เพราะน้องของขวัญหรอกนะ แต่เป็นเพราะเขาไม่ชอบความใส่ใจที่แตกต่างกันระหว่างครอบครัวของพวกเขาทั้งสองต่างหาก ครอบครัวของของขวัญอบอุ่นและเลี้ยงลูกอย่างเอาอกเอาใจ ส่วนเขากับน้องชายนั้นต่างออกไปอีกขั้วหนึ่งเลยก็ว่าได้




นอกจากนี้ ของขวัญที่เขาได้รับก็เป็นเพียงแค่การเปิดสุ่มจากนิตยาสารรายเดือนเท่านั้น หากเปิดเจออันไหนก็จะซื้อสิ่งนั้นให้เป็นของขวัญกับเขา มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาเคยได้รถซุปเปอร์คาร์ตอนอายุเพียงสิบขวบเท่านั้น และถ้าหากพ่อกับแม่ใส่ใจจริง คงไม่ซื้อสิ่งของที่เด็กอายุสิบขวบไม่สามารถใช้การได้มาเป็นของขวัญให้กันหรอก ประหนึ่งไม่ได้ตั้งใจจะมอบของขวัญให้เขาเลยสักนิด




และคนที่ขึ้นชื่อว่าต้องเพอร์เฟ็กต์ทุกระเบียบนิ้วอย่างเซจิเอง ก็ไม่ชอบที่จะถูกนำจุดที่แตกต่างกันตรงนี้มาเปรียบเทียบนัก




‘สอบได้ที่หนึ่งไม่มีของขวัญให้ไม่เป็นไร แต่จัดงานเลี้ยงวันเกิดให้ทั้งที ตั้งใจจัดให้หน่อยก็ทำให้กันไม่ได้...’ สิ่งนี้เป็นความจริงที่อยู่ภายในเซจิมาตั้งแต่เด็ก




แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดีกว่าไม่ให้ความสำคัญกับวันคล้ายวันเกิดของเขาเลยแหละนะ




จนกระทั่งถึงวันคล้ายวันเกิด เมื่อเขาเข้าสู่ชีวิตมหาลัย เขาก็เริ่มไม่ต้องการความใส่ใจจากพ่อและแม่อีกต่อไปแล้ว...




“เซจิ อยู่ค้างบ้านสักคืนสิ ไหน ๆ ก็กลับบ้านมาแล้ว” อาน้ำ แม่ของหนุ่มหล่อทั้งสองเอ่ยขึ้นหลังจากที่งานเลี้ยงวันเกิดได้จบลงอย่างเป็นทางการเรียบร้อย ต่างคนต่างก็ต้องต่างแยกย้ายกันไป และเซจิเองก็ต้องกลับคอนโดตัวเองเช่นกัน เขาแยกออกมาอยู่คอนโดคนเดียวหลังจากที่เข้ามหาลัย เพราะต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ไม่บ่อยนักที่เขาจะได้กลับมาบ้าน




“วันนี้ผมคงค้างบ้านไม่ได้ ช่วงนี้สอบทุกอาทิตย์เลย ต้องนัดติวหนังสือกับเพื่อนน่ะครับ”




“น่าเสียดายจัง อาว่าจะให้ช่วยติวหนังสือให้ของขวัญซะหน่อย เห็นบอกว่าอยากเข้าเรียนมหาลัยเดียวกับเซจิด้วยนะ” อาพราวแม่ของของขวัญบอกขึ้นอีกแรง เผื่อว่าเซจิจะเปลี่ยนใจ เธอรู้ว่าเพื่อนสาวของตนคิดถึงลูกชายมากแค่ไหนแต่สุดท้ายก็ยังคงได้คำตอบแบบเดิมกลับมา




“ไว้วันหลังแล้วกันนะครับ…อาพราว ผมไปก่อนนะครับแม่” เซจิลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วหมุนตัวหันหลังเดินจากไปโดยไม่มีคำอำลา ก่อนจะเดินไปที่รถของตัวเองเพื่อรีบไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเขาเป็นสถานที่ที่เขานัดเพื่อน ๆ นัดเจอกันเอาไว้




อันที่จริงก็ไม่ได้ติวหนังสืออย่างที่บอกแม่กับอาพราวหรอก แต่เป็นการฉลองวันเกิดอีกรอบหนึ่ง แบบที่เขาต้องการมาตลอดยังไงล่ะ ฉลองวันเกิดโดยที่ไม่มี (น้อง) ของขวัญ…




“เซจิ ไอจัสตินว่างนะ ไปเจอกันที่ร้านเดิมแล้วกัน” ชายหนุ่มอายุรุ่นเดียวกันกับเขาเอ่ยขึ้น เขามีชื่อว่า มาร์ติน อีแวนสัน นักศึกษาจากคณะทันตะ และจัสตินที่เขาพูดถึงก็คือน้องชายฝาแฝดของเขาซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในรงเรียนเตรียมทหาร เรียกได้ว่าเป็นว่าที่นายร้อยอนาคตไกลนั่นเอง และเนื่องจากวันนี้เป็นวันเกิดของเพื่อนในกลุ่ม จัสตินจึงลงทุนขอเขียนใบลาเพื่อออกมาร่วมฉลองข้างนอกกันเลยทีเดียว “กูบอกพวกไอเป็นหนึ่งกับภีมละ เดี๋ยวน่าจะตามกันมา”




หากถามว่าคนโลกส่วนตัวสูงอย่างเซจิมีผองเพื่อนเยอะขนาดนี้ได้อย่างไรนั้น ก็คงต้องเกริ่นความไปถึงชั้นประถม พวกเขาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยยังแบเบาะ เนื่องด้วยที่บ้านค่อนข้างสนิทกันและจัดงานเลี้ยงค่อนข้างบ่อย พวกเขาจึงมีโอกาสได้เจอกันบ่อยครั้งจนเริ่มสนิทกันในที่สุด และทุกคนในที่นี้ก็รู้จักน้องของขวัญกันทั้งนั้น




“พวกมึงไม่ต้องแห่กันมาหรอก วันเกิดกูไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น” เขากล่าวเสียงเหนื่อยหน่ายตามประสาคนไม่ค่อยชอบเข้าสังคมนัก ลำพังแค่ตื่นไปเรียนตอนเช้าก็เหนื่อยมากพอแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากฉลองวันเกิดโดยไร้น้องของขวัญละครอบครัวของตน จึงยอมที่จะมาตามนัดหมายของผองเพื่อน




หากพบเจอแค่ผองเพื่อน เขาก็ไม่ติดใจอะไรอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ พวกเขากำลังจะไปฉลองในร้านซึ่งเต็มไปด้วยนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน และเกินกว่าครึ่งหนึ่งในนั้นรู้จักเขากันเกือบหมด เพียงแค่คิดก็เหนื่อยแล้วสำหรับพวกโลกส่วนตัวสูงดังเช่นเขา




“วันเกิดเดือนคณะแพทย์ทั้งทีเลยนะเว้ย” มาร์ตินกล่าวก่อนจะเข้ามาใช้แขนพาดคอของเซจิเอาไว้ แล้วเดินไปที่รถด้วยกัน




@CLUB JB




แสงไฟภายในผับสาดส่องไปทั่วประกอบกับเสียงเพลงที่ดังกระหึ่ม ทำเอาบีบจังหวะหัวใจคนในผับได้เป็นอย่างดียิ่งมีแอลกอฮอล์ในร่างกายด้วย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนถึงใจง่ายในสถานที่แบบนี้นัก




หลังจากมาถึงร้าน ก็พบว่าทุกคนในกลุ่มมารวมตัวกันหมดแล้ว และด้วยความที่ผองเพื่อนในกลุ่มนี้เป็นถึงหนุ่มป๊อปปูล่าร์ ถึงขนาดเคยครองตำแหน่งเดือนคณะทั้งห้าของมหาวิทยาลัย จึงเรียกเสียงฮือฮาในบรรดากลุ่มนักศึกษาเป็นอย่างมาก




“ไอจัส ไม่ทักทายพี่หน่อยเหรอวะ” มาร์ตินเอ่ยเรียกน้องชายฝาแฝดของตน ซึ่งรูปร่างหน้าตาของพวกเขาเรียกได้ว่าเหมือนกันอย่างกับจับวาง เหมือนกันถึงขนาดที่ว่าหากไม่ใช่พ่อ แม่ หรือเพื่อนที่สนิทกันมาก จะไม่สามารถแยกพวกเขาได้เลย




แต่สำหรับเซจิแล้ว การจะแยกพวกเขาออกจากกันนั้นช่างง่ายดายนัก เขาสามารถจับจุดสังเกตได้ตรงลักษณะนิสัย มาร์ตินคนพี่ค่อนข้างเฟรนด์ลี่และเข้าถึงง่าย รูปร่างเปราะบางกว่าคนน้อง ซึ่งเป็นถึงนักเรียนนายร้อยทหารที่มีบุคลิกขลึงขลังพร้อมลุยมากกว่า




“ก็คุยกันอยู่ทุกวัน จะให้ทักทายอะไรหนักหนา” จัสตินทำท่าเหนื่อยหน่ายใจใส่พี่ชายของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเดินมาแล้วสวมกอดเขา เป็นการทักทายตามสไตล์ลูกครึ่งอเมริกาของพวกเขา




หากพูดถึงเรื่องความเปราะบางของมาร์ตินคนพี่แล้วตอนช่วงมัธยมปลาย เขาเคยอ่อนแอถึงขนาดที่ว่าน้องชายฝาแฝดอย่างจัสติน ต้องสวมรอยมาเป็นตัวเขาเพื่อจัดการพวกที่มารังแกพี่ชายของตนในโรงเรียนเลยทีเดียว ส่วนเรื่องวิธีการสลับตัวนั้น เซจิก็ไม่อาจทราบได้เหมือนกัน




“แฮปปี้เบิร์ดเดย์เดือนคณะแพทย์ ดูจากสภาพมึงแล้ว กูขออวยพรให้มึงได้นอนครบแปดชั่วโมง เดี๋ยวใบหน้าหล่อ ๆ จะเสียหายหมด” เมื่อเห็นเจ้าของงานวันเกิด ชายหนุ่มอีกคนก็รีบกล่าวอวยพรทันที




“เดือนคณะแพทย์อะไรของมึง กูปีสามแล้ว”




“แต่ก็ยังครองตำแหน่งเดือนคณะแพทย์ขวัญใจของน้อง ๆ ถึงสามปีเลยนะ ถึงจะผ่านไปนานแล้ว แต่ก็ยังมีคนตามกรี๊ดพวกเรามากกว่าพวกเด็กปีหนึ่งที่มารับตำแหน่งต่อซะอีก”




คำพูดคำจาที่แสดงถึงความมั่นหน้าขนาดนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก โฮป ปพนธีร์ ปัญญารัศมิ์สกุล นักศึกษาจากคณะนิติศาสตร์ ความมาดมั่นและวาทศิลป์ถือเป็นหนึ่งในคาแรคเตอร์ของเขา จนบางครั้งเพื่อนในกลุ่มก็อยากจะพากันแทรกแผ่นดินหนีด้วยความอายแทน




“มึงเลิกจ้อเสียงดังได้แล้ว กูอายคนอื่นเขา รู้ว่าพวกกูหล่อ แต่มึงไม่ต้องนำเสนอขนาดนั้นก็ได้” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงโซฟาในห้องวีไอพีกล่าวขึ้น ท่าทางของเขาดูภูมิฐานและโตเป็นผู้ใหญ่มากที่สุดในห้องนี้ อีกทั้งชื่อเสียงของเขายังดังก้องไปในหมู่นักธุรกิจหลายคนด้วย




เพราะเขาคือ เป็นหนึ่ง อมรสิริโยธิน หรือที่เพื่อนชอบเรียกกันว่า ไอ้ที่หนึ่ง เพราะเขามักจะเป็นที่หนึ่งในทุกเรื่องที่ตัวเองสนใจ รวมไปถึงการเป็นที่หนึ่งของการแข่งขันประกวดเดือนมหาวิทยาลัยเมื่อสามปีก่อนด้วย นอกจากนี้เขายังถือเป็นทายาทของเคเอกรุ๊ปซึ่งครอบคลุมธุรกิจหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอสังหา ห้างร้าน หรือแม้แต่ธุรกิจการบินก็ตาม รวมถึงเป็นเจ้าของร้านนี้ด้วย…




“สรุปพวกมึงมาฉลองวันเกิดกูหรือมาทะเลาะกันวะ” เซจิที่เงียบอยู่นานเอ่ยปากขึ้น “ดูอย่างไอเท็มดิ ออกจะเรียบร้อย”




“นั่งเล่นเกมทั้งวันเนี่ยะนะ” โฮปกล่าวขึ้นก่อนจะปรายตามองไอเท็มซึ่งกำลังหมกมุ่นกับการเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือ




“กูศึกษารูปแบบเกมเว้ย” ไอเท็มสวนกลับ แล้วตั้งใจเล่นเกมต่อไป น้อยครั้งที่เขาจะเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ นอกเสียจากว่ามีสิ่งที่เรียกสายตาและความสนใจจากเขาได้จริง แต่ก็อย่างว่า เขาเป็นถึง ไอเท็ม ธนวินท์ วราเจริญภิวัฒน์ โปรเพลย์เยอร์เกมยิงชื่อดัง หากจะนั่งเล่นเกมตลอดเวลาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก




แต่ที่น่าฉงนก็คือ เขากลับสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์สาขาวิศวคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยระดับท็อปประเทศได้ ถึงแม้จะนั่งเล่นแต่เกมทั้งวันทั้งคืนก็ตาม




“แล้วไอภีมหายหัวไปไหนวะ”




“มันบอกว่าไปหาซื้อของอะไรก็ไม่รู้ เดี๋ยวคงมามั้ง”




“นินทากูอยู่เหรอวะ” ไม่นานชายหนุ่มที่ถูกเอ่ยถึงก็ปรากฎตัว และดูเหมือนว่าจะเป็นแขกคนสุดท้ายของงานนี้




“เปล่า กูคิดว่ามึงจะเบี้ยวนัด เห็นพูดซะดิบดี” จัสตินกล่าวสวน สองคนนี้ตอนเรียนมัธยมต้นถือว่าเป็นคู่อริกันเลยทีเดียว แต่ตีกันไปตีกันมา กลับกลายเป็นเพื่อนกันไปเสียอย่างนั้น เรียกได้ว่าสองคนนี้เป็นคู่ซี้กันเลยทีเดียว เพราะเลือดร้อนด้วยกันทั้งคู่ ตอนมัธยมปลายจึงชวนกันไปสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยด้วยกัน แต่ติดตรงที่ว่าสอบกันคนละเหล่าทัพ ภีม ภัครพล อัฎฐกรเมธา เลือกเข้ากองทัพเรือ ส่วนจัสตินเข้ากองทัพบก




“กูไปหาซื้อของขวัญมาเว้ย วันเกิดก็ควรมีของขวัญให้เจ้าของวันเกิดป่าววะ” หลังจากกล่าวจบ ชายหนุ่มผู้มีชื่อว่าภีมก็ยื่นกล่องของขวัญไปทางเซจิ




“ซึ้งใจว่ะ” เซจิกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะรับกล่องของขวัญไป “ขอบใจมากมึง”




“ไม่เห็นต้องลำบาก กูเตรียมไว้แล้ว มีให้พวกมึงทุกคนด้วยนะ” เป็นหนึ่งกล่าวพร้อมกับลุกขึ้นยืน หลังจากนั้นเขาก็เดินไปเปิดประตูห้องวีไอพีออก ก่อนจะมีขบวนสาว ๆ แห่กันเดินออกมา “และสำหรับมึงด้วย ไอโฮป”




สิ้นประโยคนั้นก็มีชายหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลาคนหนึ่งเดินเข้ามา เป็นหนึ่งทราบรสนิยมของเพื่อนทุกคน จึงสรรหาหญิงสาวและชายหนุ่มมาได้อย่างตรงใจ




หลังจากนั้น งานเลี้ยงฉลองวันเกิดโดยไม่มีของขวัญก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ....