ในปี 2136 โลกใกล้พังทลาย อเล็กซ์ คาเดนซ์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ศูนย์เสียทุกสิ่งได้ต่อสู้เพื่อหาหนทางรอดของมนุษยชาติ จนได้พบสิ่งสำคัญ ซึ่งนี่อาจจะเป็นความหวังสุดท้าย หรือ จุดเริ่มต้นของฝันร้ายของโลกในบี้
แฟนตาซี,ไซไฟ,ผจญภัย,สะท้อนปัญหาสังคม,สงคราม,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Nexus รอยเชื่อมจักรวาลในปี 2136 โลกใกล้พังทลาย อเล็กซ์ คาเดนซ์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ศูนย์เสียทุกสิ่งได้ต่อสู้เพื่อหาหนทางรอดของมนุษยชาติ จนได้พบสิ่งสำคัญ ซึ่งนี่อาจจะเป็นความหวังสุดท้าย หรือ จุดเริ่มต้นของฝันร้ายของโลกในบี้
1 ปีก่อนหน้านั้น…..
ปี 2135, โลกกำลังเผชิญวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ที่ไม่มีใครเคยคาดฝัน แสงอาทิตย์ที่เคยหล่อเลี้ยงชีวิตกลับค่อยๆ ลดลงทุกวัน สาเหตุยังคงเป็นปริศนา บางคนเชื่อว่าเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงในแกนพลังงานของดวงอาทิตย์เอง ขณะที่บางคนโทษมนุษย์ว่าเป็นผู้ทำลายโลกใบนี้ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ชีวิตบนโลกกำลังตกอยู่ในอันตราย
มหาสมุทรเย็นเฉียบจนสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว แผ่นดินเต็มไปด้วยความแห้งแล้ง แม้กระทั่งพืชพันธุ์ที่ทนทานที่สุดก็เริ่มไม่สามารถเติบโตได้อีกต่อไป ผู้คนในเมืองใหญ่พากันอพยพไปยังเขตที่ยังมีทรัพยากรเหลืออยู่ ขณะที่ชุมชนชานเมืองเต็มไปด้วยผู้ลี้ภัยที่ไม่มีแม้แต่สิ่งจำเป็นที่สุด
(อเล็กซ์)
ผมเดินผ่านโถงกระจกของสำนักงานใหญ่สภาโลก อาคารแห่งนี้เคยเป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือระหว่างประเทศ มันเคยสว่างไสวด้วยแสงแดดที่ลอดผ่านกระจก แต่ตอนนี้โถงทางเดินกลับดูมืดมนและเงียบเหงาแม้จะมีโคมไฟติดตั้งทุกมุม ความอึดอัดปกคลุมทุกคนในอาคาร ความหวังที่เคยมีถูกแทนที่ด้วยความสิ้นหวัง
เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องประชุมใหญ่ เสียงถกเถียงดังก้องไปทั่ว ห้องนี้เป็นที่ตั้งของ “สภาแห่งการฟื้นฟู” (Council of Restoration) ตัวแทนจากทุกประเทศนั่งล้อมรอบโต๊ะขนาดใหญ่ สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเครียดและความขัดแย้ง
“พวกเราจะเสียเวลาไปทำไมกับการทดลองไร้สาระของนักวิทยาศาสตร์พวกนี้!” ตัวแทนจากประเทศแถบเอเชียใต้ขึ้นเสียง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ
“ในขณะที่คนของผมไม่มีแม้แต่น้ำสะอาดดื่ม พวกคุณกลับโยนทรัพยากรที่เหลืออยู่ไปกับโปรเจกต์ที่ไม่มีวันสำเร็จ”
“แล้วคุณมีแผนอะไรที่ดีกว่านี้หรือเปล่า!?” ผู้แทนจากประเทศแถบยุโรปสวนกลับ น้ำเสียงของเขาไม่แพ้กัน
“หรือเราควรนั่งรอให้ทุกอย่างพังทลายลงตรงหน้า!? การทดลองพวกนี้อาจจะเป็นความหวังเดียวที่เรามี!”
“อย่าหลอกตัวเองเลย” เสียงเรียบนิ่งของชายวัยกลางคนจากประเทศแถบอเมริกาใต้ดังขึ้น เขานั่งอยู่ฝั่งขวาของโต๊ะด้วยท่าทางสงบนิ่ง
“เราเหลือทรัพยากรอีกไม่ถึงห้าปี คุณคิดว่าเราควรเสียมันไปกับการทดลองที่ไม่มีหลักฐานรองรับ หรือเก็บมันไว้ให้คนที่รอดชีวิต?”
คำพูดนั้นทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่ ก่อนจะมีเสียงโต้แย้งดังขึ้นมาอีกครั้ง
ผมยืนฟังอยู่ริมประตู แซม ผู้ช่วยของผมกระซิบเบาๆ “ด็อกเตอร์อเล็กซ์ พวกเขายังไม่พร้อมจะฟังเรา”
“เราต้องทำให้พวกเขาฟัง” ผมตอบกลับ น้ำเสียงของผมหนักแน่นแม้จะรู้สึกกดดัน
เมื่อถึงคิวของผมขึ้นพูด ผมสูดหายใจลึกก่อนจะก้าวไปยังแท่นกล่าวคำ
“ถ้าเรายังโต้เถียงกันแบบนี้ โลกของเราจะไม่รอด” ผมเริ่มด้วยน้ำเสียงสงบแต่หนักแน่น
“เราไม่มีเวลาเหลืออีกแล้ว ถ้าพวกเราไม่เริ่มลงมือทำอะไรสักอย่าง เด็กๆ ที่คุณรัก และครอบครัวของคุณจะไม่มีอนาคต เราทำงานกันอย่างหนักเพื่อสร้างต้นแบบเครื่องมือที่สามารถเก็บเกี่ยวพลังงานจากแสงแดดที่เหลืออยู่ได้ ผมรู้ว่ามันยังเป็นเพียงแนวคิด แต่ถ้าคุณให้โอกาสพวกเรา…”
เสียงกระซิบในห้องประชุมเริ่มดังขึ้น มีคนที่ดูสนใจ และบางคนที่ดูไม่พอใจอย่างชัดเจน
“แล้วถ้ามันล้มเหลวล่ะ?” หนึ่งในผู้แทนแทรกขึ้นมา น้ำเสียงของเขาเย็นชา
“เราจะยอมทิ้งทรัพยากรอันน้อยนิดของเรากับแนวคิดที่ไม่มั่นคงหรือ?”
ก่อนที่ผมจะตอบ แซมก็พูดขึ้นแทน “คุณคิดว่าการไม่ทำอะไรเลยจะช่วยให้โลกดีขึ้นหรือเปล่า?”
น้ำเสียงของเธอเด็ดขาด
“ถ้าเราล้มเหลว อย่างน้อยเราก็ได้ลอง แต่ถ้าคุณเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลย มันก็เหมือนกับการฆ่าคนทั้งโลกด้วยมือของคุณเอง”
หลังจบการประชุม ผมเดินกลับไปยังห้องแล็บ ข้อโต้แย้งของเหล่าผู้แทนยังคงดังก้องอยู่ในหัว
“คุณโอเคไหม?” แซมถามขณะที่เราก้าวเข้าสู่ลิฟต์
“ผมไม่รู้ว่าเรากำลังทำสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า” ผมสารภาพ
“แต่เราคงไม่มีทางรู้จนกว่าเราจะได้ลอง”
แซมพยักหน้า “บางครั้ง ความหวังเล็กๆ น้อยๆ ก็ดีกว่าไม่มีความหวังเลย”
ผมมองสมุดบันทึกในมือ สมการและสูตรที่ยังไม่สมบูรณ์เหล่านี้อาจเป็นเพียงเส้นด้ายบางๆ ที่เราเกาะเกี่ยวไว้ แต่มันก็เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมยังมีแรงเดินต่อไป…