ในปี 2136 โลกใกล้พังทลาย อเล็กซ์ คาเดนซ์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ศูนย์เสียทุกสิ่งได้ต่อสู้เพื่อหาหนทางรอดของมนุษยชาติ จนได้พบสิ่งสำคัญ ซึ่งนี่อาจจะเป็นความหวังสุดท้าย หรือ จุดเริ่มต้นของฝันร้ายของโลกในบี้
แฟนตาซี,ไซไฟ,ผจญภัย,สะท้อนปัญหาสังคม,สงคราม,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Nexus รอยเชื่อมจักรวาลในปี 2136 โลกใกล้พังทลาย อเล็กซ์ คาเดนซ์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ศูนย์เสียทุกสิ่งได้ต่อสู้เพื่อหาหนทางรอดของมนุษยชาติ จนได้พบสิ่งสำคัญ ซึ่งนี่อาจจะเป็นความหวังสุดท้าย หรือ จุดเริ่มต้นของฝันร้ายของโลกในบี้
ภายในห้องทดลองหลักทุกอย่างยังดำเนินไปในความเงียบงัน เสียงเพียงอย่างเดียวที่ดังแว่วอยู่เป็นระยะ คือเสียงเครื่องมือที่กำลังทำงานหนักเพื่อแก้สมการแห่งความอยู่รอดของมนุษยชาติ
ห้องทดลองอันกว้างขวางที่ถูกตกแต่งด้วยแสงสีฟ้าอมเขียวจากจอมอนิเตอร์และอุปกรณ์วิทยาศาสตร์สะท้อนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความครุ่นคิดของทีมงานจากจอมอนิเตอร์ แซม ยืนกอดอกพิงโต๊ะพลาสติกโปร่งแสง ท่าทางของเขาดูสบายๆ แต่แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย คิ้วขมวดราวกับพยายามไขปริศนาที่ซ่อนอยู่ในกราฟที่กระพริบอยู่ตรงหน้า เขาเพ่งมองจอมอนิเตอร์ที่แสดงค่าพลังงานแปลกประหลาดซึ่งเกิดขึ้นไม่กี่นาที ในช่วงค่ำคืนที่พวกเขาพักผ่อน
“อเล็กซ์! มาดูนี่หน่อยสิ” แซมเอ่ยเรียก พลางชี้ไปที่จอมอนิเตอร์
อเล็กซ์ คาเดนซ์ ซึ่งกำลังเดินกลับเข้ามาพร้อมแก้วกาแฟในมือ หยุดชะงักเล็กน้อยก่อนจะเร่งฝีเท้าตรงไปที่แซม ใบหน้าที่เคยอิดโรยเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“อะไรอีกล่ะ แซม?” อเล็กซ์ถามเสียงเรียบ น้ำเสียงของเขาแม้จะพยายามสงบนิ่ง แต่ก็แฝงความกังวลไว้ลึกๆ
“ดูนี่” แซมชี้ไปที่กราฟที่แสดงการเปลี่ยนแปลงของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเพิ่มขึ้น 2.3% ในช่วง 10 วินาทีของคืนก่อนหน้านี้ที่ไม่อยู่มีใครอยู่ “คุณเห็นไหม? มันไม่ใช่ครั้งแรกแล้วนะที่เรามีปฏิกิริยานี้ เหมือนมันกำลังตอบสนองต่ออะไรบางอย่าง”
อเล็กซ์ขมวดคิ้ว ก้มตัวลงมองจอด้วยสายตาจับจ้อง ริมฝีปากเม้มแน่นพลางยกแก้วกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง เขามองกราฟครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจ
“มันก็เหมือนครั้งก่อนๆ นั่นแหละ แซม แค่การรบกวนเล็กๆ น้อยๆ จากระบบภายนอก ฉันว่ามันไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นหรอก”
“เล็กๆ น้อยๆ? คุณล้อเล่นรึเปล่า!“ แซมเลิกคิ้ว “ครั้งก่อนมันเพิ่มขึ้น 1.8% นี่มันเพิ่มขึ้นอีกเกือบครึ่งหนึ่งแล้วนะ อเล็กซ์ มันอาจจะเป็นสัญญาณของบางอย่างก็ได้” แซมอธิบาย พร้อมหันมาสบตาอเล็กซ์ด้วยสีหน้าจริงจัง
อเล็กซ์เงียบไปครู่หนึ่ง มองจอมอนิเตอร์อีกครั้งเหมือนกำลังชั่งใจ “ฉันไม่ได้บอกว่าปกติ แต่เรายังไม่รู้ว่ามันคืออะไร” ก่อนจะส่ายหัวเบาๆ เขาวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะ “ถ้าเราจะทำอะไร ก็ต้องมั่นใจกว่านี้” เขาเอื้อมมือไปปิดหน้าจอ “ตอนนี้โฟกัสที่เครื่องปฏิกรณ์ อย่าปล่อยให้มันเสียสมดุล”
แซมมองหน้าอเล็กซ์ด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะยอมถอยหลังกลับไปที่มุมของตัวเอง เขาหยิบเครื่องมือขึ้นมาจัดการกับเครื่องปฏิกรณ์ต่อไป
จังหวะนั้นเอง อเล็กซ์หันไปมองจอภาพข่าวที่เปิดอยู่ จอแสดงภาพฝูงชนที่กำลังชุมนุมประท้วงหน้าศูนย์ทรัพยากรแห่งชาติ เสียงตะโกนเรียกร้องดังระงมผ่านลำโพงในห้อง
“คืนอาหารให้เรา!”
“ความเท่าเทียม หรือความตาย!”
“เราอดอาหารไม่ได้อีกแล้ว!”
กลุ่มคนที่ดูเหนื่อยล้ากำลังถือป้ายกระดาษแข็งที่ขีดเขียนด้วยหมึกสีดำจนเลอะเทอะ พวกเขาเดินขบวนท่ามกลางสายฝนโปรยปราย แต่ไม่มีใครสนใจหยุดพัก
แซมเดินเข้ามาใกล้เพื่อดูจอภาพ แววตาของเขาเริ่มอ่อนลงเมื่อเห็นภาพผู้คนที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือ
“อเล็กซ์…” แซมเอ่ยเบาๆ จากอีกมุมห้อง
“นายคิดว่าพวกเขาจะทนได้อีกนานแค่ไหน?” อเล็กซ์ถามเสียงเบาๆ เขายังคงจ้องภาพตรงหน้า สีหน้าของเขานิ่งสงบแต่แววตาฉายแววเศร้าลึก
“ฉันไม่รู้” แซมตอบเรียบๆ เมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมงานของเขาเริ่มหมกมุ่นกับภาพในจอ “เฮ้ อย่าคิดมากเลย เราทำดีที่สุดแล้ว” เขาหยิบประแจขึ้นมาหมุนเล่น ก่อนจะเสริมด้วยรอยยิ้มขำๆ “อีกหน่อยถ้าพวกเขาทำไม่ได้ ฉันจะตั้งบริษัทอาหารกระป๋องเอง นายว่าไง?”
“ตลกดีนะ แซม” อเล็กซ์พูดเบาๆ แต่สีหน้าไม่ได้คลายความกังวล
.
.
.
อีกมุมหนึ่งในอาคารเดียวกัน เสียงหัวเราะสดใสของโซลีนดังขึ้นภายนอกห้องทดลอง เธอวิ่งเล่นกับตุ๊กตาหมีตัวโปรดในมือที่พ่อซ่อมให้หลายครั้ง หยุดพักที่หน้าประตูห้องทดลอง สายตาของเธอจับจ้องผ่านช่องกระจกใส เห็นพ่อและทีมงานกำลังทำงานกันอย่างเคร่งเครียด
โซลีนหันมาพูดคุยกับตุ๊กตาหมีของเธอ “พ่อกำลังทำให้โลกดีขึ้นสำหรับพวกเรานะ เธอคิดว่าไง?” เป็นภาพที่ดูไร้เดียงสาของเด็กน้อย
โซลีนยิ้มบางๆ ก่อนจะเอื้อมมือแตะกระจก พ่อเคยบอกว่ากับเธอว่าห้องนี้สำคัญมากๆ พ่อบอกว่าที่นี่คือที่ที่เขากำลังสร้างอนาคต สร้างโลกใหม่ให้เรา… ให้ทุกคนฉันเคยถามพ่อว่า ‘ทุกคน’ หมายถึงใครบ้าง แล้วพ่อก็ยิ้ม เขาบอกว่า “…ก็ทุกคนไง คนที่พ่อไม่เคยรู้จัก คนที่หนูไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ”
เธอยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะพึมพัมกับตัวเองเบาๆ
“แต่หนูก็สงสัยนะ… พ่อจะมีพลังวิเศษเหมือนซูเปอร์ฮีโร่ในเรื่องที่พ่อเล่าให้ฟังรึเปล่า เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น…พ่อคงช่วยทุกคนได้จริงๆ”
โซลีนพูดไปพลางเปิดประตูเบาๆ เสียง “ฟู่” ของอากาศที่กั้นระหว่างภายในและภายนอกทำให้เธอหยุดชั่วขณะ เธอก้าวเข้ามาภายใน ดวงตาเล็กๆ กวาดมองรอบห้องด้วยความทึ่ง เครื่องจักรและแสงไฟดูเหมือนอะไรบางอย่างในหนังที่พ่อเล่าให้ฟัง เสียงเครื่องจักรดังอื้ออึงในอากาศ แต่เธอกลับไม่รู้สึกกลัว ตรงกันข้าม มันทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย
“ว้าววว …. ที่นี่น่าทึ่งมากเลย พวกเขามีจอที่ส่องแสง มีเครื่องจักรที่ขยับไปมา หนูไม่เข้าใจหรอกว่าพวกเขาทำอะไร แต่พ่อบอกว่า ทุกสิ่งที่พวกเขาทำคือการหาคำตอบ”
เธอมองไปรอบๆ ห้อง ดวงตาเล็กๆ จับจ้องอุปกรณ์มากมายที่ขยับไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จู่ๆ เธอก็หยุดนิ่ง สายตาจับจ้องไปที่อุปกรณ์หนึ่งในมุมห้องซึ่งเปล่งแสงสีฟ้าจางๆ ดึงดูดสายตาเธอ ให้ความรู้สึกเหมือนกับจะเรียกเธอ
เธอก้าวเข้าไปใกล้อย่างช้าๆ “แปลกจัง…” เธอกระซิบกับตัวเองเบาๆ ใบหน้าแสดงทั้งความประหลาดใจและความสบายใจในเวลาเดียวกัน “มันเหมือน…เหมือนมันรู้จักฉัน”
แสงจากเครื่องมือก่อตัวเป็นลวดลายประหลาด คล้ายตัวอักษรโบราณที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
เธอมองสิ่งนั้นไม่วางตาความอบอุ่นแปลกๆ แผ่ออกมาจากเครื่องมือชิ้นนั้น เธอยกมือแตะมันเบาๆ รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏบนใบหน้าของเธอ
“ถ้ามันช่วยทุกคนได้จริง…หนูว่ามันคงมหัศจรรย์มากเลย”
เธอเงยหน้าขึ้นมองพ่อที่กำลังคุยกับทีมงานอยู่ไกลๆ ใจเธอเต็มไปด้วยความหวังว่า สิ่งที่พ่อของเธอกำลังทำจะช่วยโลกใบนี้ได้จริง