ในปี 2136 โลกใกล้พังทลาย อเล็กซ์ คาเดนซ์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ศูนย์เสียทุกสิ่งได้ต่อสู้เพื่อหาหนทางรอดของมนุษยชาติ จนได้พบสิ่งสำคัญ ซึ่งนี่อาจจะเป็นความหวังสุดท้าย หรือ จุดเริ่มต้นของฝันร้ายของโลกในบี้
แฟนตาซี,ไซไฟ,ผจญภัย,สะท้อนปัญหาสังคม,สงคราม,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Nexus รอยเชื่อมจักรวาลในปี 2136 โลกใกล้พังทลาย อเล็กซ์ คาเดนซ์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ศูนย์เสียทุกสิ่งได้ต่อสู้เพื่อหาหนทางรอดของมนุษยชาติ จนได้พบสิ่งสำคัญ ซึ่งนี่อาจจะเป็นความหวังสุดท้าย หรือ จุดเริ่มต้นของฝันร้ายของโลกในบี้
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ปี 2136 …..
ในเขตเมืองเก่าของมหานครที่เคยเป็นศูนย์กลางแห่งอารยธรรม บัดนี้เหลือเพียงเงามืดตัดกับแสงอาทิตย์ริบหรี่ที่เล็ดลอดผ่านหมอกควันพิษ ผิวดินแตกระแหงราวกับลมหายใจสุดท้ายของโลก อาคารสูงที่เคยสง่างามกลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง
“เฮ้! เอามือออกไป!”
เสียงตะโกนดังจากมุมถนน ชายหนุ่มคนหนึ่งดึงก้อนขนมปังจากมือเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่ผ่ายผอม ร่างเธอล้มลงกับพื้น แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาอีกแล้ว แววตาของเธอว่างเปล่า
“แค่คืนเดียว… ให้ฉันได้หลับอย่างสงบ” หญิงวัยกลางคนคุกเข่าลงบนถนนเปื้อนฝุ่น เธอถือเข็มฉีดยาในมือ ดวงตาเปี่ยมด้วยความสิ้นหวัง เธอเลือกจะจบชีวิตแทนที่จะรอให้ร่างกายของเธอถูกทำลายไปช้าๆ
ในอีกมุมของเมือง เด็กชายตัวเล็กเดินผ่านซากตึก เขาจับมือแม่ของเขาที่มีเพียงผ้าขาดๆ พันรอบตัวเพื่อป้องกันรังสี “แม่ครับ เราจะตายเหมือนพวกเขาหรือเปล่า?”
แม่ของเด็กชายไม่ตอบคำถาม เธอแค่ดึงเขาเข้าไปกอดแน่น พลางมองขึ้นไปยังท้องฟ้าที่มืดมน คำตอบอยู่ในสายตาของเธออยู่แล้ว
ภาพภายนอกในขณะนี้ เห็นเพียงแค่เมืองที่เคยรุ่งเรืองกำลังล่มสลาย แต่ภายในห้องทดลองที่ตั้งอยู่ไม่ไกล อเล็กซ์ คาเดนซ์ และทีมงานยังคงทำงานอย่างไม่ลดละ เสียงหวูดเตือนจากระบบตรวจจับรังสีดังขึ้นราวกับย้ำเตือนว่าความสิ้นหวังข้างนอกกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ทุกขณะ จอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่กลางห้องสว่างวาบสลับสีแดงกับน้ำเงินเหมือนเป็นคำเตือน ทีมวิจัยของอเล็กซ์แตกกระจายกันไปรอบห้องเพื่อทำหน้าที่ของตัวเอง
“ระดับรังสีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว!”
แซมตะโกนบอกขณะกวาดสายตาไปยังตัวเลขบนหน้าจอ พารามิเตอร์สีแดงทะยานสูงขึ้นเกินกว่าค่าปลอดภัย
อเล็กซ์กดแป้นพิมพ์อย่างเร่งรีบ แต่ไม่มีอะไรตอบสนอง “เราต้องรีเซ็ตระบบสำรอง! ไม่งั้นเครื่องกำเนิดจะล่ม!”
เสียงคำสั่งดังระงม ทีมงานทำงานแข่งกับเวลาอย่างไม่หยุดยั้ง เหงื่อหยดลงบนแป้นพิมพ์ของทุกคน ความตื่นตระหนกสะท้อนบนใบหน้าที่เหนื่อยล้าของพวกเขา
ในอีกมุมของศูนย์บัญชาการ มิรา เอเวอเร็ตต์และโซลีนพักผ่อนในห้องพักขนาดเล็ก เฟอร์นิเจอร์มีเพียงเตียงสองชั้น โต๊ะ และเก้าอี้ตัวเดียว แสงไฟจากหลอดนีออนสลัวๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่นเพียงเล็กน้อย
“จับได้แล้ว!” เสียงโซลีนหัวเราะอย่างสดใส เธอกำลังกระโดดไปมาเพื่อพยายามจับลูกบอลเล็กๆ ที่มิราปาให้ มิรานั่งพิงกำแพงมองเด็กหญิงตัวเล็กที่เป็นเหมือนแสงสว่างในวันที่ทุกอย่างกำลังพังทลาย
“อีกครั้งนะคะ!” โซลีนยิ้มจนแก้มปริ มิรายิ้มตอบ เธอปล่อยลูกบอลในมืออีกครั้ง
แต่ก่อนที่ความสนุกสนานจะดำเนินต่อ เสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นกะทันหัน โซลีนสะดุ้งเฮือก มิราลุกขึ้นยืนทันที เธอเดินไปโอบกอดเด็กน้อยเบาๆ “ไม่ต้องกลัวไปนะสาวน้อย มันอาจจะเป็นการทดสอบ…” เธอปลอบเสียงเบา แม้ว่าในใจของเธอเองจะรู้ดีว่าเสียงนี้ไม่ได้มาเพราะการทดสอบ
“คุณพ่ออยู่ไหนคะ?” โซลีนถามเสียงสั่น มิราส่ายหน้าเล็กน้อย พลางดึงเด็กหญิงเข้ามากอดแน่น
มิราพูดเบาๆ กับตัวเอง “เด็กคนนี้ไม่ควรต้องโตมาในโลกแบบนี้…” เธอเหลือบมองเด็กหญิงที่ยิ้มอย่างไร้เดียงสา ก่อนจะถอนหายใจ เธอพยายามติดต่ออเล็กซ์ผ่านวิทยุสื่อสาร แต่ไม่มีสัญญาณตอบกลับ…
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่ในที่สุด ตัวเลขบนจอก็เริ่มคงที่ สัญญาณเตือนภัยหยุดลง เสียงถอนหายใจโล่งอกดังระงม แต่ไม่มีใครมีเวลาพักหายใจได้อย่างแท้จริง
ก่อนที่อเล็กซ์จะทันพูดอะไร ประตูห้องก็เปิดออก มิรารีบเดินเข้ามา ใบหน้าของเธอยังเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก “ทางสภาเรียกประชุมด่วน คุณต้องไปเดี๋ยวนี้!” เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แล้วโซลีนล่ะ?” อเล็กซ์ถามทันที
“ไม่ต้องห่วง ฉันให้คนดูแลเธออย่างใกล้ชิดแล้ว” มิราตอบ ก่อนที่พวกเขาจะรีบเดินออกจากห้องไป
ที่ห้องประชุมใหญ่ เสียงโต้เถียงดังระงมจนแทบฟังไม่เป็นคำ ผู้นำหลายคนเถียงกันเรื่องการจัดสรรทรัพยากร ขณะที่คณะกรรมการทรัพยากรพยายามเสนอทางเลือกที่ดูเหมือนจะสิ้นหวังไม่แพ้กัน
เอเลน ไวน์เดน ประธานสภาแห่งการฟื้นฟู ผู้หญิงในชุดสูทสีเทาเข้ม อายุประมาณ 50 ปลายๆ ยืนขึ้นพร้อมเคาะโต๊ะเพื่อดึงความสนใจบรรยากาศวุ่นวายและเสียงโต้เถียงดังลั่นก็เริ่มเงียบลง ดวงตาของเธอกวาดมองไปรอบห้องอย่างสุขุม ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบแต่แฝงไปด้วยอำนาจ
“ทุกคนที่นี่ต่างมีเหตุผล และฉันเข้าใจดีถึงความกดดันที่เราทุกคนกำลังเผชิญอยู่” เธอพูดช้าๆ แต่ละคำที่หลุดออกจากปากของเธอดูเหมือนจะตรึงทุกคนไว้ “แต่การโต้เถียงโดยไร้ทิศทาง จะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา”
เมื่อการประชุมดำเนินไปและอเล็กซ์ถูกกดดันให้ตอบคำถาม เธอก็ยังรักษาความเป็นกลาง
“ดร. คาเดนซ์ เราต้องการความชัดเจนจากคุณ นี่ไม่ใช่การบีบบังคับ แต่เป็นการร้องขอในฐานะคนที่ยังมีความหวังกับคุณ” เธอพูดช้าๆ ด้วยังน้ำเสียงที่หนักแน่น “คุณบอกพวกเราว่าการวิจัยของคุณคือความหวังสุดท้าย แต่เรากำลังหมดเวลา คุณต้องให้คำตอบตอนนี้ เมื่อไหร่ถึงจะเสร็จ”
อเล็กซ์ยืนเงียบอยู่กลางห้องประชุม ทุกสายตาจับจ้องมาที่เขา เขารู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ไหลซึมตามข้างขมับ มือทั้งสองข้างของเขากำแน่นจนเล็บจิกลงบนฝ่ามือ
พวกเขาคาดหวังคำตอบจากฉัน แต่ฉันเองก็ไม่รู้… ไม่รู้เลยว่ามันจะสำเร็จหรือเปล่า ความคิดของเขาดังในหัวราวกับเสียงสะท้อน
“ดร. คาเดนซ์?” เอเลนดึงเขากลับมา เขาเงยหน้าขึ้น สูดลมหายใจลึกก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เขาหวังว่าจะแน่วแน่พอ “เราต้องการเวลา ถ้าคุณคิดว่าโลกนี้ยังมีหวังอยู่บ้าง คุณต้องให้เราสู้ต่อ… ” อเล็กซ์พูดเรียบๆ แต่เสียงของเขาสั่นเล็กน้อย
“เวลา?” ชายอีกคนในที่ประชุมหัวเราะเยาะ “คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอว่าเราไม่มีเวลาแล้ว?”
“ทรัพยากรน้ำของเขตเราลดลง 70% ในเดือนนี้! คุณจะมาขอเวลาเพิ่มได้ยังไง?” ชายวัยกลางคนอีกคนลุกขึ้นพูดพร้อมกับตบโต๊ะอย่างรุนแรง
“แต่ถ้าเราละทิ้งโครงการนี้ มันจะไม่มีทางรอดใดเหลืออีกแล้ว” หญิงจากอีกฝั่งตอบกลับ “คุณอยากได้ทรัพยากรไว้กินอีกเดือนหรืออยากให้โลกนี้อยู่ได้อีกพันปี?”
“พวกคุณนั่งอยู่ในเขตปลอดภัย จะเข้าใจอะไรเกี่ยวกับคนที่ต้องอยู่ใต้ดิน 24 ชั่วโมง”
เสียงเถียงกันระลอกใหม่เริ่มขึ้น ความสิ้นหวังแผ่กระจายไปทั่วห้อง ทุกคนต่างรู้ว่า หากไม่มีทางแก้ไขในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทุกอย่างจะจบลง
ความวุ่นวายดำเนินต่อจนกระทั่งเอเลนลุกขึ้นพร้อมตะโกน “หยุดได้แล้ว! ถ้าพวกคุณยังไม่สามารถฟังกันได้ การตัดสินใจครั้งนี้จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย” จนในตอนท้าย เอเลน เป็นคนพูดตัดสินใจระยะเวลาที่ให้กับอเล็กซ์ “ฉันเข้าใจว่าคุณต้องการเวลา แต่โลกนี้ไม่ได้มีเวลาให้เราอีกแล้ว คุณมีสามเดือนเท่านั้น ฉันเชื่อว่าคุณจะใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด”
หลังการประชุม อเล็กซ์และแซมกลับมาที่ห้องทดลอง แซมพิงผนังพลางถอนหายใจหนักๆ “นายคิดว่าเรายังมีทางออกไหม….. หรือจริงๆ แล้วไม่มีทางรอดตั้งแต่แรก ”เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ฉันแค่อยากรู้ว่าความพยายามทั้งหมดของเรามันคุ้มค่าจริงไหม”
อเล็กซ์ไม่ตอบ เขาเดินไปยังโต๊ะทำงาน หยิบภาพถ่ายใบเล็กๆ ของโซลีนขึ้นมาดู ดวงตาของเขาฉายแววอ่อนโยนที่หายไปจากโลกใบนี้นานแล้ว
เขาแตะนิ้วเบาๆ ที่ภาพของลูกสาว และพูดกับตัวเองว่า “โลกนี้ไม่คู่ควรกับเธอ แต่พ่อจะทำให้มันคู่ควร” พลางมองออกไปยังท้องฟ้าสีมืดที่อยู่เบื้องหน้า
จากนั้นเขาหันกลับไปที่จอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่และเริ่มทำงานต่อ แม้จะรู้ดีว่าความสำเร็จยังห่างไกลนัก แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินหน้าต่อไป
อเล็กซ์นั่งอยู่คนเดียวในห้องทดลอง เสียงหวูดจากจอมอนิเตอร์ดังขึ้นอีกครั้ง หน้าจอสว่างวาบก่อนจะแสดงภาพแปลกๆ เขากดแป้นพิมพ์อย่างเร่งรีบเพื่อดึงข้อมูลขึ้นมา ภาพที่ปรากฏไม่ใช่ข้อมูลจากฐานของเขา แต่เป็นบางอย่างจาก “ที่ๆเขาไม่รู้จัก”
“นี่มันอะไร…” อเล็กซ์พึมพำ ดวงตาจับจ้องไปที่หน้าจอ ก่อนที่ตัวอักษรประหลาดจะปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหายไป เหมือนเป็นคำตอบที่เขาตามหามาตลอด