รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ
ลึกลับ,เรื่องสั้น,ระทึกขวัญ,ดราม่า,ย้อนยุค,ผึ,สยองขวัญ,ผี,ดราม่า,ลึกลับ,ย้อนยุค,ชนบท,วัด,เรื่องเล่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club)รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ
ผีมีจริงหรือไม่?
คนเราตายแล้วไปไหน?
สโมสรหลังเมรุ(Cemetery Club) มีจุดกำเนิดจากการได้รับแรงบันดาลใจจากได้ฟังเรื่องผี เรื่องวิญญาณ ทว่าจุดเริ่มต้นที่แท้จริงเกิดจากพระภิกษุกลุ่มหนึ่งสนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องเร้นลับทั้งประสบพบเจอเอง ได้ยินได้ฟังมาในระหว่างรอสวดมาติกาบังสุกุลศพในช่วงบ่ายและระหว่างรอสวดพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ในงานพิธีศพ บางคนอาจจะมองว่าการฟัง การอ่าน การชมเรื่องผีเป็นเพียงแค่ความบันเทิงเท่านั้น สำหรับผมเรื่องผีเป็นเรื่องที่มีเสน่ห์ชวนน่าหลงใหล มีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเอง เราอยากจะรู้ว่าประเทศนั้นประเทศนี้มีความเชื่อค่านิยม วัฒนธรรมที่สะท้อนอัตลักษณ์ตัวตนของประเทศนั้นๆ ผ่านการศึกษาเรื่องผี ผ่านคติความเชื่อในโลกหลังความตายได้ เรื่องผีบางเรื่องมีคติสอนใจซ่อนอยู่ มนุษย์ที่ตายไปแล้วไปสู่ภพภูมิที่ตนเองควรไป ยังวนเวียนอยู่กับมนุษย์เพราะความต้องการของเขา เธอทั้งหลายยังไม่บรรลุ ไม่ว่าจะเป็นการทวงความยุติธรรมให้แก่ตน การสั่งเสียอำลาคนที่เรารัก การใช้ตนเองเป็นธรรมทาน หรือแม้กระทั่งเป็นประจักษ์พยานในการแสดงผลของการทำความดีและผลของการทำชั่ว เรื่องผีบางเรื่องสะท้อนสภาพสังคมในแต่ละยุคอย่างเรื่อง นางนวล สะท้อนให้เห็นสภาพสังคมไทยในสมัยรัชกาลที่ 7 ที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นปกครองกับชนชั้นสามัญชนคนธรรมดา แม้จะมีการเลิกทาสมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ผู้คนมากมายก็ยังคงตกเป็นทาสของอำนาจเงิน อย่าง ซ่องเจ๊เนาและซุ้มยาดองยายนี สะท้อนสภาพบ้านเมืองของอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานีในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
เย็นย่ำค่ำมืด แสงไฟจากเครื่องปั่นไฟที่บ้านงานส่องแสงวับแวมมาถึงบ้านหลังที่อาตมาพักอยู่หลังนี้ อาตมาจินตนาการถึงบ้านเหนือในยามที่แสงไฟคงมืดตื้อชวนวังเวง ความมืดที่มานำพาความกลัวหลากหลายทั้งกลัวคนร้าย สัตว์ร้ายและผีร้าย แม้ว่าอาตมาจะครองผ้ากาสาวพัสตร์เป็นเนื้อนาบุญอำไพแล้วยังคงมีความกลัวต่อภูตผีวิญญาณอยู่พอควร ยิ่งมาอยู่ในบ้านชายป่าอย่างบ้านเหนือห่างไกลจากแสงไฟศิวิไลซ์อย่างเมืองหลวงแล้วก็ยิ่งอดนึกถึงเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ แต่จะว่าไปอาตมาดั้นด้นมาถึงที่แห่งนี้ก็เพราะโดนผีรังควานจากพระนครไม่ใช่หรือ
“ท่านอินทร์นิมนต์ไปบ้านงานได้แล้ว” พระพิบูลย์สั่งให้อาตมาห่มคลุมจีวรให้เรียบร้อย เดินตามพระอีก 7 รูปไปบ้านงานเพื่อสวดพระอภิธรรมโดยมีทิดสนเดินถือตะเกียงจ้าวพายุนำทางลงจากเรือนไปบ้านงาน บ้านทิดโพล้งนั้นเป็นบ้านหลังใหญ่ยกพื้นสร้างด้วยไม้มีพื้นที่ว่างกั้นรั้วไม้ไผ่รวกแบบหยาบๆ ในค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยแขกเหรื่อล้วนเป็นญาติสนิทมิตรสหาย อาตมาเดินขึ้นเรือนบ้านหลังนี้มีห้องโถงอเนกประสงค์เหมือนอย่างบ้านทิดสนแต่ขนาดใหญ่กว่า บัดนี้ใช้ประโยชน์เป็นที่ตั้งทำพิธีศพ โลงศพประดับด้วยดอกไม้หลากชนิดตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้องด้านซ้ายของโลงมีรูปผู้ตายที่ผ่านการตกแต่งภาพเขียนชื่อ ‘นายลอย พุ่มแก้ว’ แขวนไว้กับขาตั้งประดับดอกไม้สวยงามเช่นกัน ข้างๆ โลงอีกด้านมีโต๊ะหมู่บูชาพระและอาสนะสงฆ์ 8 ผืนวางเรียงตามลำดับฝาผนังบ้านมีตาลปัตร 8 เล่มพิงไว้ มีคนอยู่ในห้องนี้ราวๆ 20 คนส่วนใหญ่เป็นผู้เฒ่าผู้แก่ ส่วนคนที่เหลืออยู่ในเพิงที่ปลูกชั่วคราวข้างล่าง บางคนยังคงกินข้าวกินปลาที่เจ้าภาพตั้งใจทำเพื่อเลี้ยงดูปูเสื่อเพื่อแทนคำขอบคุณแขกทั้งหลายที่มาแสดงน้ำใจต่อกัน อาตมานั่งลงบนอาสนะผืนสุดท้ายต่อจากพระภิกษุรูปอื่นๆ พิธีการเริ่มขึ้น ชายวัยกลางคนซึ่งอาตมาได้ทราบภายหลังว่าคือทิดโพล้งบิดาของผู้ตายได้รับคำแนะนำจากพิธีกรซึ่งเป็นชายแก่อายุประมาณ 60 ปีให้จุดธูปเทียนโต๊ะหมู่บูชาพระ จุดเทียนบูชาตู้บรรจุคัมภีร์พระอภิธรรม และให้หญิงวัยกลางคนจุดธูปดอกหนึ่งปักที่กระถางหน้าโลงเพื่อเป็นการบอกกล่าวให้วิญญาณผู้วายชนม์รับทราบและมาร่วมฟังพระสวดมนต์สาธยายบทพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ พิธีกรนำฆราวาสกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย อาราธนาศีลและอาราธนาธรรมเสร็จ พระสงฆ์หยิบตาลปัตรมาบังแล้วเริ่มสวดมนต์ไปเรื่อยๆ ญาติๆ นั่งพับเพียบได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ก็พนมมือรับฟังพระสวดอย่างสงบและตั้งใจ ด้วยความเป็นพระบวชใหม่ยังท่องจำบทสวดไม่ค่อยได้เลยสวดบ้างไม่สวดบ้างกลายเป็นความกดดันจนเหงื่อไหลไคลย้อยซึ่งในสังคมพระเรียกว่า ‘ย่าง’ อาตมาลอบมองดูผู้คน ที่นั่งฟังสวด เห็นผู้หญิงคนที่อยู่ในบ้านทิดสนนั่งพับเพียบพนมมือไหว้ หล่อนสวมเสื้อติดกระดุมแขนสั้นและผ้าซิ่นสีดำไม่ต่างจากญาติที่มางานศพ คนอื่นๆ ที่นั่งฟังสวดหันไปมองผู้หญิงคนนั้นแล้วทำตาลุกวาว แล้วสะกิดคนที่นั่งอยู่ใกล้แล้วกระซิบกระซาบอะไรกันก็มิทราบเพราะฟังไม่ได้ศัพท์ พอกระซิบกันก็หันไปมองผู้หญิงคนนั้น บางคนเห็นแล้วเฉยๆ เหมือนไม่เห็นอะไร บางดูแล้วทำท่าทางกระสับกระส่ายมองพระสงฆ์ที่สวดอยู่สลับไปมองผู้หญิงคนนั้น ในใจของอาตมานึกถามว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน แต่จะไปลอบมองนานๆ ก็ไม่ได้มันจะเสียอาการสำรวมไม่เหมาะสม อาตมาจึงหลับตาลงข่มจิตไม่ให้ฟุ้งซ่าน...
“อนิจจา วต สังขารา อุปปาทวยธัมมิโน อุปปัชชิตวา นิรุชชันติ เตสัง วูปสโม สุโข"
สวดพระอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์จบลง พระสงฆ์รวมทั้งอาตมาวางตาลปัตรพิงไว้ข้างฝาที่เดิมแล้วนั่งนิ่งๆ สำรวม ญาติโยมนั่งสงบๆ ส่วนหนึ่งนำจตุปัจจัยมาถวายพระ อาตมาไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นแล้ว คิดว่าคงจะลงไปข้างล่าง อาตมาสลัดความสนใจผู้หญิงคนนั้นไว้แต่จะให้ไปถามว่าสีกาผู้นั้นเป็นใคร อาตมาพบเจอทั้งที่บ้านทิดสนและที่นี่แต่มันก็เป็นการไม่บังควร เป็นพระเป็นเจ้าถามถึงสตรีไม่เหมาะแก่สมณสารูป หลังจากนั้นพระสงฆ์ให้อนุโมทนาแล้วลากลับจากงานกลับสู่บ้านทิดสน พระสงฆ์ทั้งหลายผลัดจีวรแล้วจัดที่หลับปูที่นอน แสงไฟริบหรี่จากตะเกียงน้ำมันก๊าดอันเล็กๆ เพียงอันเดียวซึ่งตั้งอยู่กลางบ้าน ทำให้แทบจะมองไม่เห็นหน้าใคร เห็นเป็นเงามืดๆ เท่านั้น กิจกรรมที่ทำให้คลายความเงียบเหงาวังเวงในช่วงค่ำคืนเฝ้าศพคงจะเป็นการพนันและดื่มสุรา เสียงคนเฮมาจากบ้านงานแว่วมาเป็นระยะๆ อาตมานอนฟังอยู่บนเสื่อลำแพนที่ใช้เป็นที่นอน พระสงฆ์หลายรูปยังคงนอนคุยกัน ในช่วงแรกๆ อากาศยังคงอบอ้าว พอผ่านไปไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ลมพัดเอื่อยๆ โชยเข้ามาไล่ความอบอ้าว อาตมาเริ่มเคลิ้มหลับ ประสาทสัมผัสทุกอย่างดับวูบลง
แอ๊ด....
มีคนเปิดประตูห้องนอนห้องแรก อาตมาลืมตาเบิกโพลง ประสาทสัมผัสที่ใกล้จะดับวูบกลับชัดเจน อาตมามองไปยังต้นเสียง สิ่งที่เห็นเป็นเงาคนคนหนึ่งเปิดประตูห้อง ไฟจากตะเกียงน้ำมันก๊าดริบหรี่แทบดับมอดไปแล้ว เลยไม่อาจจะเห็นรูปพรรณสัณฐานชัดเจน พอเห็นเป็นเงาดำทะมึนทึบกว่าความมืดเป็นเค้าลางสรีระของสตรีมีผมยาวประบ่า อาตมามั่นใจว่าน่าจะเป็นผู้หญิงคนเดียวกันที่อาตมาเห็นถึง 2 ครั้ง 2 คราว
ปัง!
ผู้หญิงคนนั้นเข้าห้องแล้วปิดประตู อาตมารู้สึกไม่สบายใจที่ในบ้านมีผู้หญิงอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับพระภิกษุ ถึงแม้อาตมาและพระสงฆ์ทั้งหมดเป็นแค่อาคันตุกะมาพักเพื่อประกอบศาสนพิธี แต่พระสงฆ์ก็มีธรรมวินัยให้ปฏิบัติไม่มีการอนุโลม ละเว้น อ้างว่าไม่รู้ไม่ทราบก็ไม่ได้ หากไม่ปฏิบัติหรือละเมิดก็เป็นอาบัติ ครั้นจะลุกขึ้นไปดูไปสอบถามเกรงจะเป็นเรื่องอื่น แม้อาตมามีเจตนาบริสุทธิ์แต่ในยามค่ำคืนที่มองเห็นกันไม่ถนัดจะกลายเป็นเรื่องในทางที่ไม่ดีได้ อาตมาจึงข่มตาหลับลงไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
เช้าวันต่อมา... หลังจากทำกิจวัตรส่วนตัวเสร็จสิ้น ทางเจ้าภาพนิมนต์พระสงฆ์รับภัตตาหารเช้าที่บ้านงานตอนเจ็ดโมงเช้า สำรับจัดเป็น 2 ชุด หลังจากรับประเคนสวดยถาสัพพีและพิจารณาปัจจเวกขณ์ อาหารเช้าเป็นข้าวต้มหมู ชากาแฟ ปาท่องโก๋ อาหารในสำรับบ่งบอกเป็นนัยๆ ถึงฐานะของเจ้าภาพ ในบ้านป่าห่างไกลความเจริญยังมีอาหารการกินค่อนข้างสมบูรณ์เทียบเท่าในเมืองในกรุง ถึงกระนั้นก็ต้องฝืนขบฉันเพราะการนั่งฉันอยู่ใกล้เคียงโลงช่างไม่น่าอภิรมย์ ด้วยการแพทย์ยุคนั้นไม่เจริญเท่าสมัยนี้ อย่างในเมืองในกรุงมีกรรมวิธีรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยด้วยฟอร์มาลีนฉีดเข้าเส้นเลือด แต่ในบ้านเหนืออยู่ชายป่าเช่นนี้รังจะมีเพียงน้ำแข็งแช่ศพไว้ดั่งแช่เนื้อแช่ปลาก็ถือว่าดีถมเถไป อาตมานั่งฉันภัตตาหารหน้านิ่วเพราะกลิ่นศพโชยมาเป็นระยะ กลิ่นนั้นไม่ใช่กลิ่นสาบสาง แต่กลิ่นเหมือนปลาสดแช่เย็นไว้ พระพิบูลย์รับรู้อาการอาตมาจึงเอื้อมมือมาตบหลังมืออาตมาเบาๆ แล้วส่งสายตาสื่อให้อาตมารีบฉันภัตตาหาร พอกลับมาถึงบ้านทิดสน อาตมานั่งลงพักผ่อน
“ได้กลิ่นศพเหรอท่านอินทร์” พระพิบูลย์นั่งลงใกล้อาตมาซักถาม
“ใช่ครับ กระผมไม่เคยไม่ได้กลิ่น ศพโยมแม่กระผมก็ฉีดยากันเน่าอยู่ใกล้ๆ โลงไม่ได้กลิ่นเหมือนอย่างศพโยมลอย” อาตมาบอก กลิ่นนั้นยังคงติดจมูกอยู่ “ท่านมียาดม ยาหม่องบ้างไหมครับ กระผมขอสูดดมไล่กลิ่นให้ชื่นใจเสียหน่อย”
“ศพทิดลอยนี่ยังดีแช่น้ำแข็งไว้ กลิ่นเลยยังไม่แรง กลิ่นออกมาปนมากับน้ำแข็งที่ละลายกลายเป็นน้ำไหลผ่านท่อน้ำทิ้งลงไปสู่ใต้ถุนนั่นแหละ แมลงวันคงตอมน้ำที่ปะปนน้ำเหลืองจากศพให้ว่อน เอายาหม่องนี่ไปเถอะผมให้ ผมพกมาหลายตลับใช้ทาถูสูดดมแก้สารพันปัญหาได้ชะงัด” พระพิบูลย์ยื่นยาหม่อมมาให้อาตมาหนึ่งตลับ อาตมาเปิดฝาตลับยาวาดมือควักเนื้อยาขึ้นมาบางๆ แล้วป้ายจมูก กลิ่นหอมของไล่กลิ่นที่ติดจมูกมา
“ค่อยยังชั่ว ว่าแต่... บ้านท่านบูลย์อยู่หลังไหน ทำไมท่านไม่กลับไปเยี่ยมบ้านเลย โยมพ่อแม่ของท่านก็ไม่เห็นมาท่านเลย ท่านไปไหนกันล่ะ” อาตามถามซอกแซก
“กลับบ้านเก่าไปนานแล้วล่ะ บ้านผมอยู่ทางริมลำธารชายป่าโน้นล่ะ ไม่มีใครอยู่แล้ว บ้านเรือนก็ถูกไฟเผาสิ้นไปหมดแล้ว หากมีโอกาสเหมาะๆ ผมค่อยเล่าให้ท่านฟังอย่างละเอียดเลยว่า อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องกำพร้าพ่อแม่ ต้องอาศัยใบบุญวัดคุ้มหัว” พระพิบูลย์ตอบโดยมีน้ำตารื้นจนแทบล้นนัยน์ตาทั้งคู่
ถึงเวลาเพล ทิดโพล้งเจ้าภาพมานิมนต์พระไปฉันเพลข้างโลงเหมือนอย่างตอนเช้า อากาศวันนี้ร้อนอบอ้าวกว่าทุกวัน ภัตตาหารจัดไว้ 2 สำรับ กับข้าวกับปลาเป็นน้ำพริก ผักทอด ผักต้ม ปลาทูทอด แกงเผ็ดหมูใส่สับปะรด แกงจืดลูกรอก ผัดผักบุ้งไฟแดง ยำเนื้อย่าง ส่วนของหวานเป็นวุ้นกะทิ ขนมเปียกปูนสีดำ ผลไม้หลากหลายอย่างทั้งส้มเขียวหวาน ฝรั่ง กล้วยหอม แม้พระจะถูกห้ามติดในรสชาติอาหารแต่ก็อดนึกในใจว่า แม่ครัวทำอาหารได้อร่อย แม้กลิ่นศพโชยมาปะทะจมูกบ้างแต่ก็ไม่ได้รบกวนอาตมาได้เหมือนอย่างเช้า เพราะรสชาติอาหารและยาหม่องกลิ่นดีของท่านพิบูลย์ช่วยดับกลิ่น
“ท่าน เขาว่ามีคนเห็นโยมเดือน” ทิดโพล้งชวนท่านพิบูลย์คุยระหว่างฉันภัตตาหาร
“จริงรึ ลุงทิด ยังไม่ไปผุดไปเกิดอีกหรือสีกา น่าเวทนายิ่งนัก” พระพิบูลย์ร้องรำพัน
“ก็เขาว่า นังเดือนมานั่งฟังพระสวดศพเจ้าลอยเมื่อคืน คนที่เห็นนั่งนิ่งขนลุกขนพอง จะหนีแยกย้ายกันตอนนั้นมันไม่งาม บางคนก็ไม่เห็นยังคิดว่าคนที่เรียกดูเล่นสัปดนหยอกล้อกันไม่เกรงพระเกรงเจ้า ทำอะไรเป็นเล่นไป” ทิดโพล้งเล่า
“อาตมาไม่เห็นนะ แต่ก็เห็นว่าบางคนนั่งฟังสวดเหมือนเล่นกัน ยังนึกว่าเมื่อยขบ” ท่านพิบูลย์เล่าในสิ่งที่สายตาของท่านเห็น
“ไม่รู้ว่าคืนนี้ ผีนังเดือนจะมาอีกไหม ตอนตายไปใหม่ๆ ไม่เห็นมีฤทธิ์เดชอะไร มาตอนนี้กลับมามีฤทธิ์เดช ให้ชาวบ้านชาวช่องหวาดกลัว” ทิดโพล้งวิจารณ์
พอพลบค่ำ ได้เวลาประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ค่ำคืนนี้ผู้คนที่มางานน้อยกว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา บนเรือนที่ตั้งโลงศพประกอบพิธีกรรมยิ่งแล้วใหญ่เลย มีเพียงญาติสนิทและผู้เฒ่าผู้แก่ไม่ถึงสิบคน ที่เหลือนั่งออกันในเพิงศาลาชั่วคราวในลานบ้าน สวดศพผ่านไปอย่างเรียบร้อยไม่มีอะไรผิดปกติ ค่ำคืนนี้ไม่มีอะไรผิดปกติ พระสงฆ์ทุกรูปรวมถึงอาตมาก็เข้าที่หลับที่นอน เอนตัวนอนเล่นรอลมเย็นโชยมาแล้วหลับไป อาตมาตื่นอีกทีไม่รู้เวลาเท่าใดเพราะปวดเบาต้องไปเข้าห้องน้ำ เลยลุกขึ้นหรี่ตาปรับสายตาให้คุ้นชินกับความมืดเพราะทุกอย่างมืดตื้อมองอะไรแทบจะไม่เห็น ไฟจากตะเกียงโป๊ะดับมอดลง ครั้นจะจุดใหม่จะเป็นการรบกวนพระที่นอนอยู่เสียเปล่าๆ ห้องน้ำเรือนนี้อยู่ตรงชานครัวไม่เหมือนบ้านอื่นๆ ที่ห้องน้ำแยกออกจากเรือน อาตมาเดินคลำทางไปช้าๆ ละฝาบ้านผ่านห้องนอนสองห้องไปนิดเดียวถึงประตูออกไปสู่ชานเรือนที่ใช้ทำเป็นครัว อาตมาไขกลอนประตูเปิดพลัวะออกไป อาตมาต้องผงะไปครู่หนึ่งเพราะเห็นผู้หญิงคนนั้นที่เห็นในความฝันและในงานศพยืนหันหลังอยู่ตรงชานเรือน หล่อนเหลียวมามองอาตมานิดหนึ่งก่อนจะเดินอย่างช้าๆ ไปทางขวาเข้าครัวไป ส่วนอาตมาก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปห้องน้ำ ในใจนึกไปต่างๆ นานา หากใครมาเห็นว่าอาตมาอยู่ใกล้ชิดผู้หญิงลำพังในที่มืดๆ เช่นนี้คงเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ อาตมาทำธุระเสร็จรออยู่ในห้องน้ำสักพักหนึ่งจนเห็นว่านานพอควรจึงแอบแง้มประตูดูลาดเลา ไม่มีใครอยู่แล้วจึงเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความโล่งใจ เข้ามาในเรือนลั่นกลอนประตูแล้วเดินคลำทางเข้าสู่ที่นอน พอถึงที่นอนอาตมาหลับไปอีกรอบ เช้ามา... อาตมาตื่นสายกว่าพระรูปอื่น ท่านพิบูลย์ไปรอที่บ้านงานแล้ว อาตมาและพระที่เหลือก็รีบเดินไปบ้านงาน ส่วนทิดสนและทิดจอมเจ้าของบ้านขี่เกวียนไปซื้อของและน้ำแข็งที่ตลาดตั้งแต่เช้ามืดแล้ว
“ท่านอินทร์เห็นอะไรผิดปกติที่บ้านทิดสนไหม?” ท่านพิบูลย์เอ่ยถามอาตมาในระหว่างฉันภัตตาหารเช้า
“อะไรที่ว่าผิดปกติของท่านคืออะไรขอรับ”
ท่านพิบูลย์มองหันขวับมองญาติโยมก่อนหันกลับมาคุยกับอาตมา “เรื่องนี้จะพูดดังไม่ได้ เดี๋ยวญาติโยมได้ยินจะเป็นเรื่องใหญ่ หาว่าพระเพ้อเจ้อพูดอวดอุตริ พูดในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง จะกลับไปเล่าที่บ้านทิดสนก็กระไร เกิดสิ่งต้นเหตุได้ยินเข้าจะมาเล่นงานผมให้แย่ยิ่งกว่าเดิม ครั้นจะกลับวัดก็ถือว่าละทิ้งงานการ”
“ท่านมีเรื่องทุกข์ร้อนอันใด หนักอกหนักใจเรื่องใดกัน”
“เอาเป็นว่าพอลงจากเรือนนี้ ค่อยแยกจากพระ บอกพวกเขาว่าจะกลับไปที่ทางบ้านเก่าของผมเสียหน่อย” ท่านพิบูลย์นัดแนะกับอาตมา หลังจากพระสงฆ์ผลักถาดของหวานคืนให้ญาติโยมแล้ว พระสงฆ์ลุกขึ้นเดินลงจากเรือน ท่านพิบูลย์พาอาตมาเดินแยกจากกลุ่มพระที่เหลือ 6 รูปมาอีกทางหนึ่ง เดินผ่านบ้านเรือนหลายหลังจนมาถึงที่รกร้างแห่งหนึ่ง มองไปเห็นลำธารเล็กๆ พ้นไปนิดหน่อยเป็นป่าโปร่งต่อเนื่องไปเป็นป่ารกทึบผืนใหญ่ที่ชาวบ้านเหนือใช้เป็นแหล่งทำมาหากินหาของป่าบ้าง ล่าสัตว์บ้างอะไรบ้าง
“นี่แหละบ้านเกิดของผม ตรงนั้นที่เป็นดินโล่งๆ แต่เดิมเป็นเรือน ที่ทางทั้งหมดประมาณ 8 ไร่” ท่านพิบูลย์เล่า
“เรื่องที่ท่านหนักใจเป็นเรื่องเกี่ยวกับที่ทางบ้านเหรอครับ” อาตมาถาม
“ไม่ใช่หรอก เป็นเรื่องที่บ้านทิดสน จำเรื่องที่ลุงทิดเล่าตอนฉันเพลเมื่อวานได้ไหม ที่ว่ามีคนเห็นผีผู้หญิงมาฟังพระสวดศพ” ท่านพิบูลย์ทวนความทรงจำให้อาตมานึกย้อนไป อาตมาเริ่มเอะใจว่ามันจะต้องเกี่ยวข้องกับอาตมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
“ผีผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกสาวคนสุดท้องของทิดสนนั่นแหละ บ้านทิดสนมีลูกสองคน คนโตทิดจอม คนสุดท้องเป็นผู้หญิงชื่อเดือน ตายไปเพราะเป็นไข้ทับระดูได้สองปีแล้วล่ะ ญาติโยมเห็นว่าผีโยมเดือนขึ้นเรือนมานั่งฟังพระสวดศพทิดลอย เห็นกันบ้างไม่เห็นกันบ้าง ผมยังไม่เชื่อเพราะไม่ได้เห็นกับตัวเอง แต่เมื่อคืนผมเห็นจังๆ ในบ้านทิดสนนั่นแหละ ผีโยมเดือนเดินขึ้นเรือนเข้าห้องนอนไป โอ๊ย! ขนลุก” ท่านพิบูลย์เล่า
“อะไรนะ มีผีผู้หญิงอยู่ในบ้านทิดสนด้วยและโผล่ไปบ้านทิดโพล้งนั่งฟังพระสวดศพทิดลอย” อาตมาตกใจจนทรุดตัวลง สิ่งที่อาตมาสงสัยไม่ใช่คนแต่เป็นผี
“ผีโยมเดือนเป็นผู้หญิงรุ่นๆ ไว้ผมประบ่าหรือไม่” อาตมาถามท่านพิบูลย์อย่างร้อนรน
“ใช่แล้วล่ะ”
“กระผมเจอตั้งแต่มาถึงบ้านทิดสนแล้วล่ะ ผมเห็นผีโยมเดือนเดินเข้าห้องในตอนเอนหลังยังนึกว่าฝันไป ที่งานศพระหว่างสวดอยู่กระผมก็เห็นว่าผีเดินขึ้นมานั่งไหว้พระฟังพระสวดอยู่เฉยๆ พอกลับถึงเรือนทิดสน ล้มตัวลงนอนเห็นผู้หญิงเดินเข้าห้องไป ส่วนเมื่อคืนผมไม่เห็นอะไรเลย จนกระทั่งนอนหลับแล้วตื่นขึ้นมาเพราะปวดท้องเบา เจอผีโยมเดือนยืนตรงชานเรือนหลังบ้าน กระผมยังนึกอยู่ในใจหากเป็นผู้หญิงที่ผมเห็นเป็นคน ผมต้องอาบัติไปแล้ว” อาตมาเล่าสิ่งที่อาตมาพบเห็นอย่างละล่ำละลัก
“ช่างเฮี้ยนเหลือเกินโยมเดือนเอ๋ย ตอนตายไปใหม่ๆ ก็ไม่มีวี่แววว่าจะเฮี้ยนถึงเพียงนี้ เรื่องนี้อย่าเพิ่งบอกให้ใครให้รู้เสียดีกว่า เป็นอันว่ามีเพียงท่านและผมรับรู้ว่ามีวิญญาณผู้หญิงอยู่ในเรือนและไปไหนมาไหนได้ อย่าไปบอกใคร แม้กระทั่งพระ 6 รูปที่เหลือ กลับกันเถอะ ทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เห็นก็ทำทีว่าไม่เห็นก็แล้วกัน” ท่านแนะนำอาตมา เราสองรูปเดินกลับไปเรือนทิดสนใครถามไถ่ว่าไปไหนกันมา ท่านพิบูลย์บอกว่าพาอาตมาไปดูที่ทางบ้านเก่าของท่าน ไม่มีใครสงสัยถึงเรื่องที่พระจะมาเกี่ยวกับภูตผีวิญญาณ ทั้งท่านพิบูลย์และอาตมาพักผ่อนอย่างสงบภายในเรือน อาตมาหลอนจับใจเพราะผีโยมเดือนรบกวนอาตมาตั้งช่วงแรกที่เหยียบย่างมาสู่เรือนนี้ ตอนยังไม่ทราบว่าไม่ใช่คนยังหาทางหลบหลีกได้ แต่พอเป็นผีแล้วไซร้ ยากที่จะหลีกเร้นเพราะผีไม่มีสังขารสามารถอยู่ได้ทุกที่ต้องการให้เห็นก็ได้เห็น ยิ่งอยู่ในเรือนที่เป็นของสีกาผีแล้วจะทำอะไรก็อยู่ในสายตาของผี หากพอใจก็แล้วไปถ้าไม่พอใจก็เป็น ภูตผีปีศาจอาละวาดออกฤทธิ์ออกเดชขับไล่คนที่ผีไม่ต้องการให้อยู่เหมือนอย่างที่อาตมาเคยประสบพบเจอมาเมื่อครั้งเป็นฆราวาส
พอตกค่ำ พิธีการดำเนินไปตามปกติ คืนนี้คนมางานศพเพิ่มขึ้นเพราะผีโยมเดือนไม่ออกมาปรากฏตัวที่งานศพ แต่อาตมาและท่านพิบูลย์คิดกันว่าผีโยมเดือนยังคงอยู่ที่เรือนทิดสน พระสวดกันไปเรื่อยๆ จู่ๆ ไฟจากเครื่องไฟดับพรึบลง มีเสียงอื้ออึงจากญาติโยม พระทั้ง 8 รูปหยุดไปครู่แล้วกลับมาสวดอีก ญาติโยมที่นั่งฟังสวดบนเรือนมีอาการหวาดๆ เจ้าภาพและเครือญาติช่วยกันแก้ไขปัญหาด้วยการจุดตะเกียงจุดโคม พอถูไถเห็นหน้าค่าตาไปก่อน ช่างเครื่องไฟก็แก้ไขไปตามเรื่อง มีสิ่งที่แปลกเกิดขึ้นมีผีเสื้อตัวใหญ่สีดำตัวขนาดเท่าจานข้าวบินมาเกาะที่โลงศพทิดลอย ทุกคนพากันตกใจอีกครั้งเพราะผีเสื้อตัวนี้ใหญ่มากไม่เคยกันมาก่อนและเจาะจงเห็นในงานศพ ญาติโยมไม่สนใจฟังสวดและพูดคุยกันอู้อี้ จนแล้วจนรอดพระสงฆ์ก็สวดจบไม่ล่มไป ผีเสื้อตัวนั้นยังเกาะอยู่ที่โลงศพไม่มีใครใจกล้าไปไล่มัน จนเสร็จพิธีการพระสงฆ์กลับเรือนทิดสน ขึ้นเรือนมาอาตมาต้องผงะ เมื่อมีผีเสื้อสีดำตัวขนาดเท่าจานเกาะอยู่ตรงฝาบ้านใกล้ห้องสองห้องนั้น
“ท่าจะไม่ดีแล้วล่ะ” ท่านพิบูลย์สบถ “ท่านเอาหนังสือมนต์พิธีมาไหม”
“เอามาครับ”
“ถ้างั้นเอาออกมาสวดบทกรณียเมตตสูตรกัน” ท่านพิบูลย์ไปไขตะเกียงโป๊ะให้สว่างไสวพออ่านหนังสือได้โดยไม่เสียสายตา อาตมาล้วงย่ามหยิบหนังสือมนต์พิธีเล่มเหลืองออกมาสวดมนต์กัน
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุท ธัสสะ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุท ธัสสะนะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุท ธัสสะ
กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ ยันตัง สันตัง ปะทัง อะภิสะเมจจะสักโก อุชู จะ สุหุชู จะ สุวะโจ จัสสะ มุทุ อะนะติมานีสันตุสสะโก จะ สุภะโร จะ อัปปะกิจโจ จะ สัลละหุกะวุตติสันตินทริโย จะ นิปะโก จะ อัปปะคัพโภ กุเลสุ อะนะนุคิทโธนะ จะ ขุททัง สะมาจะเร กิญจิ เยนะ วิญญู ปะเร อุปะวะเทยยุงสุขิโน วา เขมิโน โหตุ สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา
เย เกจิ ปาณะภูตัตถิ ตะสา วา ถาวะรา วา อะนะวะเสสาทีฆา วา เย มะหันตา วา มัชฌิยา รัสสะกา อะณุกะถูลาทิฏฐา วา เย จะ อะทิฏฐา เย จะ ทูเร วะสันติ อะวิทูเรภูตา วา สัมภะเวสี วา สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตานะ ปะโร ปะรัง นิกุพเพถะ นาติมัญเญถะ กัตถะจิ นัง กิญจิพยาโรสะนา ปะฏีฆะสัญญา นาญญะมัญญัสสะ ทุกขะมิจเฉยยะมาตา ยะถา นิยัง ปุตตัง อายุสา เอกะปุตตะมะนุรักเขเอวัมปิ สัพพะภุเตสุ มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง
เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณังอุทธัง อะโธ จะ ติริยัญจะ อะสัมพาธัง อะเวรัง อะสะปัตตังติฏฐัญจะรัง นิสินโน วา สะยาโน วา ยาวะตัสสะ วิคะตะมิทโธเอตัง สะติง อะธิฏเฐยยะ พรัหมะเมตัง วิหารัง อิธะมาหุทิฏฐิญจะ อะนุปะคัมมะ สีละวา ทัสสะเนนะ สัมปันโน กาเมสุ วิเนยยะ เคธัง นะ หิ ชาตุ คัพภะเสยยัง ปุนะเรตีติฯ
พระสงฆ์ที่เหลือซักถามท่านพิบูลย์ถึงมูลเหตุแห่งการสวดมนต์ ท่านพิบูลย์เล่าให้ฟังอย่างหมดเปลือก มีอยู่ท่านหนึ่งบอกว่าพวกท่านที่เหลือสวดมนต์นี้ก่อนจะนอนเลยไม่ได้พบเห็นพบเจออะไร เพราะหลวงตาแก้วเคยสั่งกำชับไว้ว่าไปไหนมาไหนในที่ที่ ไม่คุ้นเคย จะจำวัดนอนหลับให้ท่องมนต์นี้แผ่เมตตาให้สิ่งที่มองไม่เห็นก่อน พวกภูตผีปีศาจวิญญาณจะไม่มารบกวน ค่ำคืนนั้นอาตมาหลับอย่างสบายไม่มีอะไรมารบกวน เช้าตื่นขึ้นมาอย่างแจ่มใส อาตมาเห็นทิดสนขึ้นเรือนมาถือถาดสำรับอาหารมาหนึ่งถาด เขาไขกุญแจเข้าห้องที่อาตมาเห็นผีโยมเดือนเข้าออก ท่านพิบูลย์เดินไปดู อาตมาลุกขึ้นตามไป เมื่อมองเข้าไปในห้องอาตมาเข้าใจเลยว่าทำไมผีโยมเดือนเข้าออกห้องนี้ ห้องนั้นไม่ใช่ห้องนอนแต่เป็นห้องพระและห้องเลี้ยงผีบรรพบุรุษ บ้านนี้อุทิศห้องให้หนึ่งห้องเลย ในห้องนี้มีโต๊ะหมู่บูชาพระอยู่ริมหน้าต่างห้อง สองฟากข้างห้องแขวนรูปคนตายเรียงรายทั้งชายหญิง เด็ก ผู้ใหญ่และแก่ชรา ฟากข้างขวามีรูปถ่ายนักเรียนหญิง มองแค่ครั้งแรกรู้ได้ทันทีว่าเป็นโยมเดือน มุมซ้ายข้างโต๊ะหมู่มีโต๊ะเตี้ยวางโกศกระดูกเก่าครำคร่าจนดูไม่ออกว่าเป็นโกศทองเหลืองหรือโกศเงินแล้วแต่มีโกศทองเหลืองโกศหนึ่งดูใหม่โดดเด่นกว่าทุกโกศอยู่ใบหนึ่ง
“อยู่ในห้องนี้เอง” ท่านพิบูลย์เอ่ย
“เมื่อคืนนังเดือนมันเข้าฝันผมว่า ขอบใจที่ท่านพิบูลย์และพระที่มาพักแผ่เมตตาให้ ต้องขอกราบอภัยที่ต้องให้เห็นและรบกวนท่าน” ทิดสนเล่าให้ท่านพิบูลย์และอาตมาฟังหลังจากปักธูปดอกหนึ่งบนข้าวในสำรับที่ตั้งบนโต๊ะตั้งโกศกระดูก
“ไม่เป็นไรหรอกโยม อาตมาเองก็ไม่ดีเองที่ไปมาไม่ได้บอกกล่าว” อาตมารับคำขอโทษไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างกระจ่างหมดแล้ว อาตมามาอยู่ในถิ่นของเขาแต่ไม่ได้บอกกล่าว เจ้าของที่ทางก็ไม่รู้ว่าอาตมาจะมาดีหรือมาร้าย เหมือนอย่างพระที่เหลือ 6 รูปสวดมนต์แผ่เมตตาให้แสดงเจตนารมณ์ที่ดี ส่วนท่านพิบูลย์ก็เป็นคนบ้านเหนือเป็นเกลอกับพี่ชายของผีจึงมาปรากฏตัวเพื่อทักทายกันตามประสา อาตมาจำไว้เป็นบทเรียน ไปในที่ไหนๆ ต้องแผ่เมตตาให้กับสิ่งที่มองไม่เห็น บอกกล่าวขออนุญาต จะได้ไม่มีอะไรมารบกวน