รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ
ลึกลับ,เรื่องสั้น,ระทึกขวัญ,ดราม่า,ย้อนยุค,ผึ,สยองขวัญ,ผี,ดราม่า,ลึกลับ,ย้อนยุค,ชนบท,วัด,เรื่องเล่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club)รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ
ผีมีจริงหรือไม่?
คนเราตายแล้วไปไหน?
สโมสรหลังเมรุ(Cemetery Club) มีจุดกำเนิดจากการได้รับแรงบันดาลใจจากได้ฟังเรื่องผี เรื่องวิญญาณ ทว่าจุดเริ่มต้นที่แท้จริงเกิดจากพระภิกษุกลุ่มหนึ่งสนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องเร้นลับทั้งประสบพบเจอเอง ได้ยินได้ฟังมาในระหว่างรอสวดมาติกาบังสุกุลศพในช่วงบ่ายและระหว่างรอสวดพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ในงานพิธีศพ บางคนอาจจะมองว่าการฟัง การอ่าน การชมเรื่องผีเป็นเพียงแค่ความบันเทิงเท่านั้น สำหรับผมเรื่องผีเป็นเรื่องที่มีเสน่ห์ชวนน่าหลงใหล มีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเอง เราอยากจะรู้ว่าประเทศนั้นประเทศนี้มีความเชื่อค่านิยม วัฒนธรรมที่สะท้อนอัตลักษณ์ตัวตนของประเทศนั้นๆ ผ่านการศึกษาเรื่องผี ผ่านคติความเชื่อในโลกหลังความตายได้ เรื่องผีบางเรื่องมีคติสอนใจซ่อนอยู่ มนุษย์ที่ตายไปแล้วไปสู่ภพภูมิที่ตนเองควรไป ยังวนเวียนอยู่กับมนุษย์เพราะความต้องการของเขา เธอทั้งหลายยังไม่บรรลุ ไม่ว่าจะเป็นการทวงความยุติธรรมให้แก่ตน การสั่งเสียอำลาคนที่เรารัก การใช้ตนเองเป็นธรรมทาน หรือแม้กระทั่งเป็นประจักษ์พยานในการแสดงผลของการทำความดีและผลของการทำชั่ว เรื่องผีบางเรื่องสะท้อนสภาพสังคมในแต่ละยุคอย่างเรื่อง นางนวล สะท้อนให้เห็นสภาพสังคมไทยในสมัยรัชกาลที่ 7 ที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นปกครองกับชนชั้นสามัญชนคนธรรมดา แม้จะมีการเลิกทาสมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ผู้คนมากมายก็ยังคงตกเป็นทาสของอำนาจเงิน อย่าง ซ่องเจ๊เนาและซุ้มยาดองยายนี สะท้อนสภาพบ้านเมืองของอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานีในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
หลังจากอาตมาและพระพิบูลย์รวมทั้งพระสงฆ์ในวัดอีก 6 รูปกลับมาสู่วัด พระในวัดอีก 8 รูปผลัดเปลี่ยนไปกิจนิมนต์ที่บ้านเหนือ น่าแปลกใจที่ไม่มีข่าวเรื่องพระหรือใครเจอภูตผีวิญญาณสำแดงฤทธิ์อีกเลย จนงานศพทิดลอยผ่านพ้นไป ศพทิดลอยก็นำมาเผาที่เชิงตะกอนในป่าช้าวัดบ้านใต้สำเร็จลุล่วง แต่จู่ๆ มันเกิดเรื่องขึ้นได้เมื่อเพลวันหนึ่ง ทิดโพล้งนำพาชาวบ้านเหนือกลุ่มหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นโรงฉัน กราบหลวงตาแก้วเจ้าอาวาสวัดประหลกๆ
“มีเรื่องอะไรกัน” หลวงตาแก้วถาม “กินน้ำกินท่าก่อน พร้อมหรือใครที่อยู่ในโรงครัวเอาน้ำเอาท่าให้โยมกินหน่อย”
“ก็ผีนังเดือนออกอาละวาด คนบ้านเหนืออยู่กันไม่เป็นสุขแล้ว” ทิดโพล้งซดน้ำจากขันหลายอึกจนชุ่มฉ่ำแล้วเกริ่นเล่าถวายหลวงตาแก้ว พอได้ยินชื่อผีโยมเดือนอาตมาตกใจหน้าเหวอ ท่านพิบูลย์เองก็มีอากัปกิริยาไม่ต่างจากอาตมา
“มันยังไง เล่าให้ละเอียดเลยทิด” หลวงตาเริ่มซักถาม
“หลังจากเก็บกระดูกทิดลอยเข้าโกศเก็บไว้ที่บ้านแล้ว ตกค่ำนั้นนังผ่องเมียผมมันมีอาการคล้ายคนเป็นไข้ตัวซีดจับสั่นเพ้อพูดไม่เป็นศัพท์ ไอกระผมใจเสียคิดว่าลูกชายตายจากไปเหลือแต่เมียไว้ฝากผีฝากไข้กลับต้องมาเสียเมียไปอีก ผมหาหยูกยามาให้นังผ่องมันกิน มันก็พูดเสียงใหญ่เหมือนเสียงผู้ชายว่า จำมันไม่ได้หรือนี่ลอยลูกพ่อ ผมถามไปว่าไอ้ลอยต้องการอะไร อยากได้อะไร ไอ้ลอยบอกว่า สบายดีแต่อยากให้พ่อกับแม่ไปสู่ขอนังเดือนจากทิดสน กระผมรู้สึกพิลึกผีกับผีจะแต่งงานอยู่กินกันได้หรือ กระผมปฏิเสธเพราะคนตายไปแล้วก็น่าจะจบกันไป สัญญิงสัญญาอะไรคงไม่อาจจะเป็นไปตามหวังไว้แล้ว ทางนังผ่องที่เข้าใจว่าวิญญาณเจ้าลอยเข้าสิงทำท่าไม่พอใจแต่ก็ยอมออกจากร่างนังผ่องไป แต่ตกดึกคืนนั้น หมาหอนกันเกรียว บ้านสั่นไหวเหมือนโดนพายุร้ายโหมพัดเป็นอย่างนี้นานเกือบครึ่งชั่วโมงและเป็นอย่างนี้ทุกคืนในเวลาเดียวกัน เป็นอย่างจนเกือบเดือน ชาวบ้านที่รู้ข่าวก็โจษจันมาชุมนุมดูว่าเป็นอย่างที่ผมพูดไหมซึ่งเป็นไปตามที่ผมเล่า ชาวบ้านที่ล้อมรอบคอยแอบสังเกตการณ์บ้านผมเห็นว่าเวลาที่บ้านสั่น ลมแรงมาจากบ้านทิดสนพร้อมกับเสียงหมาหอน เกิดเป็นหมอกควันสีขาวปกคลุมบ้าน น่าแปลกมีก้อนหินไม่รู้มาจากไหนถูกเขวี้ยงซัดโดนกลางกบาลชาวบ้านทุกคนอย่างแม่นยำ จนวิ่งหนีแยกย้ายกันไป พอเลียบเคียงได้ว่าเป็นฝีมือผีนังเดือน ชาวบ้านเหนือพูดคุยกันเรื่องผีนังเดือนออกอาละวาด นางแนบมันปากพล่อยว่าที่เจ้าลอยตายน่าจะเป็นเพราะผีนังเดือนเอาไปอยู่ด้วย ยิ่งวิญญาณทิดลอยเข้าสิงแม่ตัวเองบอกกล่าวให้ไปสู่ขอตบแต่งผีนังเดือนให้อยู่กินเป็นผัวเมียในเมืองผีแล้วก็ยิ่งเชื่อกันเป็นตุเป็นตะ ตัวผมเองก็ไม่พอใจที่ผีนังเดือนออกอาละวาดสร้างความเดือดร้อนให้บ้านผมและชาวบ้านจึงไปหาทิดสนที่เรือนเจรจาให้ปรามผีนังเดือน แต่ก็ไม่เป็นผล ทิดสนเข้าใจว่ากระผมและชาวบ้านกลั่นแกล้งทิดสนโดยเอาเรื่องผีสางมาอ้าง พอค่ำมืดดึกดื่นผีนังเดือนออกอาละวาดที่เรือนนางแนบจนนางแนบจับไข้หัวโกร๋น และยังอาละวาดหลอกคนในหมู่บ้านจนบ้านเหนือแทบกลายเป็นบ้านร้าง ชาวบ้านที่มีญาติอยู่แห่งหนตำบลอื่นก็แยกย้ายกันอาศัยอยู่กับญาติ ใครที่ไปไหนไม่ได้รีบปิดเรือนตั้งแต่ตะวันไม่ตกดิน ไม่มีใครอยู่โอ้เอ้นอกบ้านเรือนจนค่ำมืด บ้านของกระผมยังโดนผีนังเดือนรังควานทำบ้านพายุเมฆหมอกสั่นเรือนอยู่จนชินไปแล้ว กระผมและชาวบ้านทนแทบไม่ไหวแล้วเลยขอเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งบำบัดทุกข์” ทิดโพล้งเล่าให้ฟังอย่างละเอียด
“ผีโยมเดือนจะร้ายกาจเพียงนี้เชียว อาตมาเจอมาก็ไม่ได้ทำร้ายใครให้ใครให้กลัวเลย” ท่านพิบูลย์เอ่ย
“บูลย์ไปเจอผีโยมเดือนแล้วรึ” หลวงตาแก้วหันมาถาม
“ครับหลวงตา ผมกับท่านอินทร์ไปเจอมาเมื่อครั้งไปสวดศพทิดลอย ผีโยมเดือนปรากฏตัวเดินไปมาภายในเรือนถิ่นของผี ท่านอินทร์เห็นมากกว่าผมเสียอีกแต่ท่านไม่กล้าบอกใครเพราะเกรงเป็นอาบัติขอรับ” ท่านพิบูลย์เล่าความให้หลวงตาแก้วฟัง
“อืม รอฉันเพลเสร็จก่อนนะ อาตมาจะไปช่วยเอง บูลย์ไปกับหลวงตาด้วยนะ ส่วนท่านอินทร์ไม่ต้อง ถ้าท่านเอาตัวเองไปใกล้ชิดกับเรื่องนี้มากขึ้นจะกลายเป็นอีกเรื่องไป” หลวงตาแก้วสั่ง
ช่วงบ่ายหลวงตาแก้วและท่านพิบูลย์นั่งเกวียนไปบ้านเหนือ ทุกอย่างในวัดยังคงปกติทุกอย่าง อาตมาและพระสงฆ์ในวัด 20 กว่ารูปปฏิบัติศาสนกิจอย่างปกติเหมือนอย่างที่หลวงตาแก้วอยู่ทั้งบิณฑบาต ทำวัตรเช้า-เย็น ศึกษาธรรมะ ผ่านไปหนึ่งวันหลวงตาแก้วและท่านพิบูลย์กลับมาถึงวัดในช่วงบ่ายแล้ว
“เป็นไงบ้างท่าน” อาตมาถามท่านพิบูลย์อย่างร้อนรน
“ขอให้ผมสรงน้ำ เอนหลังซักงีบก่อนนะ” ท่านพิบูลย์สรงน้ำตรงข้างกุฏิไม้ ผลัดผ้าสบงอังสะแล้วล้มตัวลงเอนหลังพักผ่อนหลังจากติดตามหลวงตาแก้วไปสงเคราะห์ญาติโยมบ้านเหนือ
... ... ...
ท่านพิบูลย์เปิดเผยเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่บ้านเหนือเล่าให้ฟังอย่างละเอียด ไม่ทันถึงหมู่บ้านเกิดลมพายุสลาตันหอบฝุ่นใบไม้ฟุ้ง กิ่งไม้ขนาดใหญ่ของต้นตะแบกที่อยู่ข้างทางหักกลิ้งมาขวางทางใช้เวลานานกว่าชาวบ้านย้ายกิ่งไม้ที่หักขวางไว้ข้างทางแล้วเดินทางต่อ แน่นอนว่าชาวบ้านรู้สึกสะพรึงกลัวส่วนตัวท่านพิบูลย์หวาดหวั่น ถึงบ้านทิดโพล้งไม่ทันได้พัก โยมผ่องผีเข้า หลวงตาแก้วนั่งบนอาสนะบริกรรมคาถาสักพักแล้วเริ่มสอบถามโยมผ่อง
“โยมผ่อง โยมผ่อง” หลวงตาแก้วเรียกดึงสติ
“หลวงตาจำกระผมไม่ได้ขอรับ ผมลอยไงขอรับ” ผีทิดลอยในร่างนางผ่องตอบแล้วก้มกราบหลวงตาแก้วสามครั้งด้วยท่านั่งเทพนม
“ทิดลอยรึ เจ้าตายไปแล้วทำไมไม่ไปตามทางของผีล่ะ มาสิงเบียดเบียนร่างแม่ผ่องเขาทำไม มันบาปนะรู้ไหม” หลวงตาแก้วสนทนาโต้ตอบ
“ผมยังมีห่วงครับหลวงตา ผมมันเป็นคนมีกรรม รักใคร่ชอบพอกับน้องเดือน แต่มีกรรมมาเบียดบัง น้องเดือนเป็นไข้ทับระดูตายจากไป กระผมเสียอกเสียใจ หันหน้าเข้าทางธรรม บวชพระได้พรรษาหนึ่งก็ต้องจำใจสึกมาเพราะไม่มีใครดูแลพ่อแม่ แต่กรรมเก่าผมก็ตามทัน ผมก็ต้องตายเพราะโดนหมาว้อกัดจนป่วยตาย วิญญาณน้องเดือนไม่ไปไหน ผมและน้องเดือนได้เจอกัน เราสองยังมีชะตาร่วมกัน อายุขัยของเราสองยังไม่หมดต้องเป็นสัมภเวสีเร่ร่อน ไม่อาจไปผุดไปเกิด หากกรรมเก่าไม่มาตัดรอน เราสองอาจจะได้แต่งงานอยู่กินกันเป็นผัวเป็นเมีย” ผีทิดลอยเล่าความ
“ถ้าพ่อแม่ของเจ้าทำให้ เจ้าจะยอมและไปตามทางของวิญญาณหรือไม่”
“ขอรับ กระผมกับเดือนจะอยู่อย่างสงบ ไม่รบกวนผู้ใด” ผีทิดลอยรับปาก
“โยมโพล้ง ยินดีจะไปสู่ขอโยมเดือนให้ลูกชายไหม” หลวงตาแก้วพูดเจรจา
“ไม่มีทางเสียล่ะหลวงพ่อ ผมไม่มีทางจ่ายเงินรับผีมาเป็นลูกสะใภ้ ปล่อยให้ไปตามทาง ต่างตนต่างไป อย่าได้มาข้องเกี่ยวกันเลย” ทิดโพล้งปฏิเสธคำขอของผีลูกชายอย่างไร้เยื่อใย
“ถ้าพ่อไม่ทำให้ ผมคงจะห้ามน้องเดือนเสียไม่ได้แล้ว พ่อก็รู้ฤทธิ์เดชน้องเดือนดีนี่ พ่อจะทำให้บ้านเหนือกลายเป็นแดนร้าง” ผีทิดลอยร้องขู่บิดา
“ยังไงก็ไม่ทำ หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ทำ” ทิดโพล้งยืนกรานปฏิเสธแล้วเดินลงจากเรือน
“เดือนอย่า... อย่าทำพ่อพี่” สิ้นเสียงร้องห้ามจากผีทิดลอยในร่างนางผ่องผู้เป็นมารดาของผี ทิดโพล้งก้าวตกบันไดก้นกระแทกกับขั้นบันไดขั้นแล้วขั้นเล่าเสียงดังพลั่กๆๆ จนถึงพื้นชั้นล่างแล้วสลบเหมือดไป ท่ามกลางเสียงหวีดร้องของชาวบ้านที่มาสังเกตการณ์ ชาวบ้านผู้ชายรีบช้อนร่างทิดโพล้งหามขึ้นกลับมาสู่เรือน ชาวบ้านช่วยกันแก้ไขอยู่นานแต่ทิดโพล้งไม่ฟื้นคืนสติเสียที
“ทิดลอย” หลวงตาแก้วเรียก “เจ้าถอยออกร่างโยมผ่องเสียก่อนนะ ตอนนี้เรื่องมันแย่ไปกว่าเดิม ส่วนโยมเดือน อาตมากับโยมต้องมีเรื่องสนทนากัน”
โยมผ่องตัวสั่นสะเทิ้มแล้วฟุบตัวลงสลบไป เป็นอาการของคนผีออก สักครู่โยมผ่องฟื้นคืนสติมาและจำอะไรไม่ได้เลย ชาวบ้านหาน้ำมาให้นางผ่องดื่มแล้วค่อยๆ เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างที่ผีทิดลอยลูกชายเข้าสิงสู่ นางผ่องมีอาการตกใจหวาดกลัวแต่ก็เฝ้าดูทิดโพล้งที่สลบไปยังไม่คืนสติ
“โยมผ่องรับเชือกผ้านี้ไป แขวนไว้ติดตัวนะ อย่าถอดประเดี๋ยวเรื่องมันจะยุ่งไปกันใหญ่” หลวงตาแก้วมอบเชือกควั่นทำมาจากสบงจีวรพระประธานในโบสถ์ในวัดบ้านใต้ นอกเหนือจากโยมผ่องแล้วที่ได้รับเชือกควั่น ชาวบ้านที่มาสังเกตการณ์ก็เข้ามาขอเชือกควั่นคุ้มครองยึดเหนี่ยวป้องกันผีร้าย
อาการทิดโพล้งไม่ค่อยดีแม้จะฟื้นคืนสติแต่เหมือนมีอาการคล้ายคนเป็นอัมพฤกต์คือร่างกายข้างซ้ายชา พูดจาไม่ได้เลยมีเสียฮือๆ อยู่ในลำคอ สายล่อกแล่กกลอกตาไปมาคล้ายกับคนหวาดกลัวเสียขวัญ
“รอให้เช้าก่อนค่อยพาทิดโพล้งไปส่งโรงหมอ เห็นทีอาตมาต้องเจรจากับผีโยมเดือนให้รู้เรื่อง บูลย์หยิบย่ามให้หลวงตา ไป... เราไปเรือนทิดสนกัน คนอื่นไม่ต้องตามมา เดี๋ยวทิดสนคิดเป็นอื่นไป” หลวงตาแก้วพูด ท่านบูลย์ตระเตรียมย่ามให้หลวงตา ทั้ง 2 รูปเดินลงจากเรือนทิดโพล้งไป ชาวบ้านไม่กล้าตามมาไม่รู้เพราะคำสั่งของหลวงตาหรือหวาดกลัวที่จะเหยียบเรือนทิดสนที่บัดนี้กลายเป็นแดนของผีร้ายไปเสียแล้ว หลวงตาแก้วและท่านพิบูลย์มาถึงเรือนทิดสน เรือนหลังนี้เงียบเชียบราวกับว่าไม่มีใครอยู่ ทันทีที่พระคุณเจ้าทั้งสองเหยียบย่างเข้าเขตรั้วบ้าน สุนัขที่นอนอยู่ใต้ถุนเรือนเห่ากระโชก
“นั้นใครมานะ ถ้าไม่ตอบจะยิงให้ตายโหงตายห่าเลย” เสียงทิดสนร้องขู่มาก่อนตัว
“เจริญพรทิดสน อาตมามาดีไม่ได้มาร้าย” หลวงตาแก้วรีบบอกแสดงเจตนา
“นิมนต์ขึ้นเรือนเลยหลวงพ่อ ท่านบูลย์ก็มาด้วยรึ” ทิดสนโผล่หน้ามาที่ประตูเรือนพนมมือไหว้กราบนิมนต์พระคุณเจ้าขึ้นเรือนของตน
“ใช่แล้วโยมลุง หลวงตาให้อาตมาตามมาด้วย” พระคุณเจ้าทั้งสองนั่งอยู่บนเสื่อลำแพนที่ทิดสนปูลาดไว้ นางนีภรรยาได้ส่งขันน้ำรองน้ำฝนสองขันให้ทิดสน ทิดสนก็ประเคนส่งให้พระคุณเจ้าทั้งสอง
“นี่ทิดจอมไม่อยู่รึ” หลวงตาแก้วถาม
“มันเข้าป่าออกหาของป่า กลับมาวันมะเรื่องขอรับหลวงพ่อ” ทิดสนตอบ “ท่านมาธุระกระไรขอรับ คงจะเป็นเรื่องนังเดือนมันสินะ ถ้าเรื่องนั้นผมไม่อยากจะรับรู้อะไรทั้งนั้น นังเดือนมันก็ล้มหายตายจากไป คนที่ยังอยู่ก็จะมาอะไรกันหนักหนา ปล่อยวางกันไม่ได้เชียว”
“ถ้ามันไม่รุนแรงจนถึงขั้นทำร้ายใครจนป่วยจนเจ็บ ทำให้ชาวบ้านหวาดกลัวจนไม่สะดวกสบายเป็นทุกข์ร้อนจนต้องมาร้องขออาตมาช่วยเหลือบรรเทาแล้วไซร้ อาตมาจะไม่บากหน้ามานี่หรอก” หลวงตาแก้วเจรจา
“สุดแท้แล้วแต่หลวงพ่อเถิดขอรับ กระผมคิดว่ามูลเหตุมาจากคำคนทั้งนั้นแหละ อีแนบปากพล่อยไปพูดจาบจ้วงกล่าวหาว่านังเดือนไปเอาชีวิตทิดลอยเพื่อไปอยู่กินกันในปรโลก ทิดโพล้งดันไปเชื่อ เรื่องวุ่นวายเลยเกิดขึ้น กระผมเองยังไม่พอใจที่มากล่าวหาลูกสาวผมแม้จะเป็นผีไม่มีสังขารแล้ว ลูกใคร... ใครก็รัก”
“ตอนนี้ทิดโพล้งตกบันไดเรือนนอนเจ็บอยู่ ทุกๆ คนต่างเชื่อว่าเป็นฝีมือของผีโยมเดือน อาตมาใคร่พูดคุยเจรจากับโยมเดือนสักหน่อย ขอเข้าไปห้องนั้นนะ”
“ได้ขอรับ” ทิดสนอนุญาตแล้ว หลวงตาลุกขึ้นเดินไปยังห้องบรรพบุรุษโดยที่ไม่มีใครบอกกล่าวว่าห้องนั้นคือห้องตั้งโกศกระดูกและรูปถ่ายผู้ล่วงลับไปแล้ว
“ขออาตมาเข้าไปคนเดียว คนอื่นๆ ไม่ต้องตามมา” หลวงตาแก้วเปิดประตูแล้วเข้าไป ปิดประตูไว้ไม่ให้ใครเห็นว่าในห้องจะเกิดเหตุการณ์อะไรบ้าง นานมากเกือบชั่วโมงที่หลวงตาอยู่ในห้องนั้น จนท่านออกมาแล้วหยิบผ้ารับประเคนผืนหนึ่งจากย่ามมาซับเหงื่อ
“ไปไงบ้างครับหลวงตา” ท่านพิบูลย์เอ่ยถาม
“ขอน้ำกินหน่อย” หลวงตาร้อง ท่านพิบูลย์นำขันน้ำดื่มมาถวาย หลวงตาแก้วดื่มหลายอึกแล้ววางขันลงก่อนเริ่มเล่า “ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของวิญญาณโยมเดือนนั่นแหละ แต่โยมเดือนพูดยืนยันหนักแน่นว่าตนเองไม่ได้กระทำการบันดาลให้ทิดลอยตายลงหากเป็นเวรเป็นกรรมที่สร้างมาในอดีตชาติย้อนมาให้ผลดั่งกงเกวียนกำเกวียน ต้นเหตุแห่งการอาละวาดของผีโยมเดือนเกิดจากคำคนที่ไปพูดใส่ร้ายป้ายสีจนเจ็บช้ำน้ำใจ โยมแนบที่เป็นต้นเหตุต้องมาขอขมาก็จะจบเรื่องจบราว ส่วนเรื่องผีจะแต่งงานกันก็แค่นำโกศกระดูกมาสวดแล้วจัดให้อยู่ร่วมกันในบ้านใดบ้านหนึ่ง หากทางทิดโพล้งตกลง อาการไม่สบายที่เป็นอยู่ก็จะหายไป”
หลวงตาแก้วและพระพิบูลย์ลาทิดสนและนางนีกลับสู่เรือนทิดโพล้งแล้วนำความทั้งหมดเล่าให้นางผ่องฟัง เรื่องราวแพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้าน น่าแปลกใจในค่ำคืนนี้ไม่มีปรากฏการณ์ใดๆ ที่น่ากลัวเกิดขึ้น ชาวบ้านชาวช่องที่มาชุมนุมกันแยกย้ายกลับบ้านของตน คงเหลือแต่ชายชราและชายหนุ่มอีกสองคนที่คอยดูแลทิดโพล้งและอุปัฏฐากพระสงฆ์องค์เจ้า ส่วนนางผ่องเข้าไปพักผ่อนอย่างสงบในห้องนอน
รุ่งเช้า ชาวบ้านพอรู้ว่าต้องทำพิธีขอขมาดวงวิญญาณนางเดือนก็มาช่วยกันทำอาหารคาวหวาน เจียนใบตองเย็บกระทงเป็นบายศรีปากชาม ไปเซ่นไหว้ขอขมาผีที่บ้านทิดสน น่าอัศจรรย์ใจเมื่อทำพิธีแล้ว อาการป่วยของทิดโพล้งค่อยๆ ทุเลา จากนอนอยู่กับที่พูดจาไม่ได้กลับพูดจาได้และเริ่มขยับตัวได้
“เป็นไงบ้างล่ะทิด” หลวงตาแก้วไถ่ถาม
“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อหลวงพ่อ ผมคิดว่าผมตายไปแล้ว” ทิดโพล้งตอบอย่างช้าๆ
“คิดว่าไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วล่ะ หากโยมหายดีแล้วค่อยไปเจรจากับทิดสนว่าจะจัดการอย่างไรต่อ เรื่องที่แล้วมาอย่าเอามาใส่ใจเลยนะ อาตมาทั้งสองคงจะต้องกลับวัดหลังจากฉันเพลเสร็จแล้ว” หลวงตาแก้วพูด
เรื่องทั้งหมดจากปากท่านพิบูลย์จบลงตรงนี้ อาตมาแยกย้ายกลับเข้ากุฏิของตนเพื่อพักผ่อน พอหลังจากนั้นพระที่วัดบ้านใต้จำนวน 9 รูปได้รับนิมนต์งานสวดทำบุญครบรอบ 100 วันของการเสียชีวิตทิดลอย งานสวดกระดูกทำกันที่บ้านทิดสนโกศกระดูกและรูปภาพถ่ายทิดลอยและโยมเดือนตั้งคู่กัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นมื่นไร้ร่องแห่งความขนหัวลุกราวกับเป็นพิธีแต่งงานแต่เป็นงานแต่งงานของผู้ที่ไม่มีร่างกาย นับจากนี้ไปโกศกระดูกและภาพถ่ายของทิดลอยจะอยู่เคียงคู่กับโกศกระดูกและภาพถ่ายนางเดือนในห้องบรรพบุรุษของบ้านทิดสน ตามประเพณีของชาวบ้านเหนือที่แต่งลูกเขยเข้าบ้านเจ้าสาว มาจนถึงตอนนี้เรื่องราวของผีทิดลอยและผีนางเดือนคงเหลือไปเรื่องเล่าชั่วลูกชั่วหลาน นี่แหละที่เขาว่ากันว่าร่วมหอลงโรงอย่างแท้จริง
จบเรื่อง