รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) - เรื่องที่ 3 วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า(ตอนแรก) โดย ท่าเพชร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ลึกลับ,เรื่องสั้น,ระทึกขวัญ,ดราม่า,ย้อนยุค,ผึ,สยองขวัญ,ผี,ดราม่า,ลึกลับ,ย้อนยุค,ชนบท,วัด,เรื่องเล่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ลึกลับ,เรื่องสั้น,ระทึกขวัญ,ดราม่า,ย้อนยุค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ผึ,สยองขวัญ,ผี,ดราม่า,ลึกลับ,ย้อนยุค,ชนบท,วัด,เรื่องเล่า

รายละเอียด

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club)  โดย ท่าเพชร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ

ผู้แต่ง

ท่าเพชร

เรื่องย่อ

ผีมีจริงหรือไม่?

          คนเราตายแล้วไปไหน?

            สโมสรหลังเมรุ(Cemetery Club) มีจุดกำเนิดจากการได้รับแรงบันดาลใจจากได้ฟังเรื่องผี เรื่องวิญญาณ ทว่าจุดเริ่มต้นที่แท้จริงเกิดจากพระภิกษุกลุ่มหนึ่งสนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องเร้นลับทั้งประสบพบเจอเอง ได้ยินได้ฟังมาในระหว่างรอสวดมาติกาบังสุกุลศพในช่วงบ่ายและระหว่างรอสวดพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ในงานพิธีศพ บางคนอาจจะมองว่าการฟัง การอ่าน การชมเรื่องผีเป็นเพียงแค่ความบันเทิงเท่านั้น สำหรับผมเรื่องผีเป็นเรื่องที่มีเสน่ห์ชวนน่าหลงใหล มีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเอง เราอยากจะรู้ว่าประเทศนั้นประเทศนี้มีความเชื่อค่านิยม วัฒนธรรมที่สะท้อนอัตลักษณ์ตัวตนของประเทศนั้นๆ ผ่านการศึกษาเรื่องผี ผ่านคติความเชื่อในโลกหลังความตายได้ เรื่องผีบางเรื่องมีคติสอนใจซ่อนอยู่ มนุษย์ที่ตายไปแล้วไปสู่ภพภูมิที่ตนเองควรไป ยังวนเวียนอยู่กับมนุษย์เพราะความต้องการของเขา เธอทั้งหลายยังไม่บรรลุ ไม่ว่าจะเป็นการทวงความยุติธรรมให้แก่ตน การสั่งเสียอำลาคนที่เรารัก การใช้ตนเองเป็นธรรมทาน หรือแม้กระทั่งเป็นประจักษ์พยานในการแสดงผลของการทำความดีและผลของการทำชั่ว เรื่องผีบางเรื่องสะท้อนสภาพสังคมในแต่ละยุคอย่างเรื่อง นางนวล สะท้อนให้เห็นสภาพสังคมไทยในสมัยรัชกาลที่ 7 ที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นปกครองกับชนชั้นสามัญชนคนธรรมดา แม้จะมีการเลิกทาสมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ผู้คนมากมายก็ยังคงตกเป็นทาสของอำนาจเงิน อย่าง ซ่องเจ๊เนาและซุ้มยาดองยายนี สะท้อนสภาพบ้านเมืองของอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานีในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 

สารบัญ

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 1 ไปสวดศพ(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 1 ไปสวดศพ(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 2 วิวาห์ผี,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 3 วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 3 วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 4 หอปรารถนาดี,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 5 โรงเรียนสยองขวัญ,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 6 ซ่องเจ๊เนา(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 6 ซ่องเจ๊เนา(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนที่ 1),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 8 ไปหาดใหญ่คราวนั้นฉันยังจดจำ,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 9 โค้งเขาท่าเพชร,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 10 อย่านึกถึงฉัน,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 11 รวมเรื่องเล่าในโรงพยาบาล,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 1),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 13 สามเณรใจสิงห์(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 13 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 13 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 3)

เนื้อหา

เรื่องที่ 3 วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า(ตอนแรก)

ยสฺส รุกขสฺส ฉายาย นิสีเทยฺย สเยยฺย วา

น ตสฺส สาขํ ภุญเชยฺย มิตฺตทุพฺโภ หิ ปาปโกฯ

บุคคลอาศัยนั่งนอนที่ร่มเงาของต้นไม้ใด ไม่ควรหักรานกิ่งต้นไม้นั้น

เพราะการประทุษร้ายมิตร เป็นความเลวทราม

เรื่องเล่านี้เป็นประสบการณ์ของนายผาด พรานไพรผู้เป็นญาติผู้พี่ของนางผ่อง ผู้รอดจากอาถรรพ์ป่าจนต้องอพยพย้ายถิ่นฐานจากบ้านชายป่าฟากขะโน้นมาสู่บ้านเหนือ

บ้านชายป่าถิ่นฐานเดิมของนายผาดนั้นมีชาวบ้านอาศัยอยู่ประมาณ 15 หลังคาเรือน แต่ละบ้านยึดอาชีพเพาะปลูกทำไร่ไถนา หาของป่าและล่าสัตว์ ชาวบ้านอาศัยอยู่ร่วมกับป่าและสัตว์ทั้งหลายอย่างเป็นมิตรและเกื้อกูลกัน จากปากคำของนายผาดพรานไพรผู้เจนจัดการเข้าป่าล่าสัตว์ได้เล่าความเกี่ยวกับการเข้าป่าไว้ว่า การเข้าป่าไม่เหมือนกับการไปเดินตลาดที่คนอยากเข้าป่าก็เข้า นึกอยากจะออกก็ออกมา เพราะขึ้นชื่อว่าคืบก็ป่า ศอกก็ป่า ล้วนมีภยันตรายล้อมรอบตัว ทั้งภัยจากสิ่งที่มองไม่เห็น ภัยจากสัตว์ร้าย และภัยจากมนุษย์ด้วยกันเอง บ้านมีกฎเมือง ป่าก็มีกฎป่า คนเข้าป่าต้องศึกษากฎเกณฑ์ธรรมเนียมแห่งป่า เรื่องราวหายนะของหมู่บ้านชายป่าเริ่มจากมีคนในหมู่บ้านนำพาคนนอกหมู่บ้านมาทำผิดป่า ตอนนั้นเป็นช่วงปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาว ป่าปิดไม่มีใครกล้าล่วงเข้าไปในป่า พรานผาดจึงออกจากหมู่บ้านท่องเที่ยวเยี่ยมญาติพี่น้อง เมื่อกลับมาไม่ทันพักผ่อน ทำความสะอาดเรือน นายมีมาเรียกพรานผาดที่หน้าลานดินหน้าเรือนด้วยมีธุระร้อน

“พ่อพรานอยู่ไหมจ๊ะ” นายมีร้องเรียก

“ใครวะ” พรานผาดตอบออกมาจากในเรือน

“ฉันนายมีจ้า มีธุระกับพ่อพรานนะจ๊ะ”

“เอ็งมีธุระด่วนรึอ้ายมี ขึ้นเรือนมาคุยก่อน”

“ก็มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นนะจ้าพ่อ อ้ายบุญถึงมันพาเจ๊กชัยและพรรคพวกจากเมืองในเข้าป่าไปล่าสัตว์” นายมีเล่า

“ฉิบหายแล้ว” พรานผาดร้องอุทาน “นี่อ้ายคำกับนางละมุนไม่ห้ามเลยรึ ชาวบ้านคนอื่นๆ ก็ไม่คิดจะห้ามกันเลยหรือ รู้ทั้งรู้ว่าต้องรอให้พ้นลอยกระทงก่อนถึงจะเข้าป่าล่าสัตว์ได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร”

“แล้วต้องทำอย่างไรรึพ่อพราน?” นายมีขอคำปรึกษา

“เอ็งไปบอกให้อ้ายคำกับนางละมุนจัดเตรียมของเซ่นไหว้ทำพลีกรรมที่ศาลเจ้าป่าตรงปากทางเข้าป่า ส่วนข้าจะไปคุยกับหมอมั่น ว่าจะทำพิธีกรรมเชิญเจ้าป่าเข้าทรงสอบถาม” พรานผาดแนะ

เมื่อทุกอย่างพร้อมพรานผาด หมอมั่นหมอกลางบ้านของหมู่บ้าน อ้ายมี อ้ายคำและนางละมุน รวมไปถึงชาวบ้านส่วนหนึ่งมาพร้อมเพรียงกันที่ศาลเจ้าป่าปากทางเข้าป่า จัดแจงตั้งสำรับเนื้อพล่าปลายำ สุราโรงดีกรีแรง บายศรีปากชาม หมอมั่นจัดแจงทำพิธีเซ่นไหว้ขอขมา บอกกล่าวให้วิญญาณเจ้าเป่าเจ้าเขาผู้ปกปักษ์ดูแลผืนป่าที่ชาวบ้านใช้ประโยชน์มารับเครื่องเซ่นไหว้ขอขมา เมื่อหมอมั่นปักธูปลงกระถาง มีลมวูบใหญ่หอบมาจากในป่าพัดพาฝุ่นคละคลุ้งหอบซัดเครื่องเซ่นล้มกระจายระเนระนาด ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นต้องหลบหลีก บางคนหลบลมสลาตันนั้นไม่ทันก็ล้มลงเลือกกลิ้งกับพื้นก็มี ลมสลาตันนั้นพัดโหมอยู่ไม่นานก็สลายไป ทว่าสร้างความเสียหายให้กับเครื่องเซ่นไหว้กระจัดกระจายจนใช้การไม่ได้แล้ว

“เฮอะ...เฮอะ...เฮอะ...” เสียงครางจากนางทองด้วยน้ำเสียงเข้มและดุดันทำให้ทุกคนที่แตกกระจายหนีแรงลมกลับมารวมตัวกันล้อมรอบนางที่นั่งเหยียดขาหลับตาร้องคราง

“ชักจะไม่ดีแล้ว นี่นางทองใช่ไหม” หมอมั่นร้องถาม

“กูไม่ใช่นางทอง กูไม่ใช่นางทอง” นางทองหลับตาพูด

“แล้วมึงเป็นใคร เป็นผีรึ มาเข้าสิงนางทองทำไมกัน” หมอมั่นถามต่อไป

“พวกมึงเชิญใครมารับของเซ่น กูก็มาแล้วแต่กูไม่เอาของจากพวกมนุษย์ใจสัตว์เฉกเช่นพวกมึงทั้งหลายหรอก” นางทองยังคงหลับตาตอบ

“ท่านไม่พอใจอะไรบอกกล่าวมาเถิด พวกเราทั้งหลายยินยอมแก้ไขทุกๆ อย่างเพื่อให้ท่านพอใจปล่อยลูกหลานและคนที่เข้าป่าไปด้วยเถิด” หมอมั่นเจรจา

“ไม่ กูไม่ยอม พวกมึงปล่อยลูกหลานพาคนใจสัตว์ไปทำผิดป่า ไปล่าเอาชีวิตลูกหลานกูเป็นของเล่นสนุกสนาน ป่าที่เคยสงบร่มเย็นกลับกลายเป็นแดนประหารนองเลือด ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต บาปกรรมที่ลูกหลานพวกพ้องมึงทั้งหลายสร้างไว้จะต้องชดใช้คืน” เจ้าป่าประกาศกร้าว ทำเอาทุกคนรู้สึกเกรงกลัว พรานผาดไม่กล้าพูดอะไรเพราะปกติแล้วการล่าสัตว์นั้นเป็นเพื่อการประทังชีวิตของชาวบ้านธรรมดาๆ มากกว่าการละเล่นเป็นเกมกีฬาของพวกคนมั่งมี นับประสาอะไรกับการเข้าป่าโดยไม่ได้ทำพิธีเปิดป่าโดยพรานชำนาญไพรแล้ว นางละมุนยิ่งแล้วใหญ่เป็นลมล้มพับไปจนนายคำเข้าประคองและมีชาวบ้านมาช่วยแก้ไข

“มนุษย์ขี้เหม็นคิดว่าตนเองสูงส่งลำพองทะนงตนว่าเลิศ มีปัญญาอันเฉียบแหลมแทนที่ใช้เป็นประโยชน์ในการก่อร่างสร้างความดีกลับใช้สติปัญญาคิดค้นวิธีการสร้างบาปกรรม พวกมันที่ทำอะไรไม่ดีในป่าต้องได้รับโทษทัณฑ์” วิญญาณเจ้าป่าในร่างนางทองพูดแข็งกร้าวไม่มีท่าทีผ่อนปรน“ กูพูดเท่านี้ล่ะ เมื่อถึงเวลาเหมาะสม กูจะปล่อยพวกมันออกก็ได้แต่อาจจะเป็นแค่ร่างไร้ลมหายใจ”

นางละมุนร้องไห้โฮที่เจ้าป่าไม่ยอมให้อภัยในความผิดพลาดของลูกชาย แม้ว่าจะไม่แน่ชัดเจนว่าในป่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ต้องมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นแล้ว วิญญาณเจ้าป่าออกจากร่างนางทองไปแล้ว จากนั้นบังเกิดพายุฝนกระหน่ำตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตา พรานผาด หมอมั่น นายมี นายคำ นางละมุนและชาวบ้านแยกย้ายกลับบ้านกลับกระท่อมของตนโดยลืมที่จะช่วยพยุงร่างนางทองที่ยังคงสลบอยู่

“มันไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้แล้วล่ะ” พรานผาดพูดคุยกับนายคำ “เจ้าป่าไม่ยอมให้ใครเข้าไปช่วยบุญถึง ฝนตกหนักแบบนี้ เข้าป่าไปก็เหมือนไปตายเสียเปล่า”

“แล้วบุญถึงกับพวกที่เข้าไปเล่าจะเป็นเช่นไร นานเข้าไปเรื่อย กลัวลูกมันจะตายเอา” นายคำเริ่มร้อนใจ

นางละมุนร้องไห้เพราะเป็นห่วงลูกชายหัวแก้วหัวแหวน พึมพำบ่นไปตามประสาแม่ที่เป็นห่วง “ป่านนี้มันคงตายกลายเป็นผีป่าไปแล้ว ลูกเอ๋ยไม่น่าเลย พ่อแม่ห้ามแล้วไม่ฟัง เจ๊กชัยนั่นก็ข่มขู่เสียเหลือ สุดท้ายก็ลากกันไปตาย”

“เอ็งอย่าคิดไปเรื่องตายเลยนังละมุน” นายคำร้องปราม “ลูกเรายังไม่ตายหรอกนา”

“ถ้าฝนหยุดตกเมื่อไหร่ข้าจะป่าทันที” พรานผาดให้คำมั่นแก่นายคำและนางละมุน “ระหว่างนี้ข้าจะเตรียมเสบียงกรังไว้ให้พร้อมจะออกเดินทาง”

ฝนตกลงมาไม่ขาดเม็ดอยู่สามสี่วันจึงค่อยๆ ซาลง มีข่าวไม่ดีเกิดขึ้น นางทองที่ถูกวิญญาณเจ้าป่าเข้าสิงสู่กลับล้มป่วยลงแล้วเสียชีวิตอย่างกะทันหัน ชาวบ้านเชื่อกันไปต่างๆ นานาว่านางทองโดนเจ้าป่าเอาชีวิตไป ชาวบ้านเริ่มกลัวและโกรธเคืองบุญถึงผู้พาเจ๊กชัยเจ้านายมาเที่ยวหมู่บ้านพร้อมพวกพ้องแล้วละเมิดกฎป่าเข้าป่าโดยพลการไม่ได้ทำพิธีอย่างถูกต้องจะนำพาหายนะมาสู่ชาวบ้าน เลยพาลเคืองนายคำและนางละมุนไม่ยอมข้องแวะไปมาหาสู่กัน นางละมุนล้มป่วยจับไข้นอนซมเพราะตรอมใจห่วงหาลูกชาย นายคำเริ่มเครียดไม่ปกติสุขเพราะต้องห่วงทั้งสองทางทั้งทางลูกชายและทางนางละมุน

ความหายนะของหมู่บ้านเริ่มปรากฏขึ้นเรื่อยๆ ฝนตกต่อเนื่องมาหลายวันน้ำในลำห้วยที่ไหลออกมาจากป่าจากที่เคยใสสะอาดกลายสีโคลนขุ่น ลำห้วยเต็มซากกิ่งไม้ใบหญ้าและมีศพชายผู้หนึ่งมาติดอยู่ที่ท่าน้ำของหมู่บ้านซึ่งชาวบ้านใช้ประโยชน์ซักผ้าอาบน้ำอาบท่ากัน หมอมั่น พรานผาด นายคำและนายมี รวมไปทั้งชาวบ้านจำนวนหนึ่งช่วยกันกู้ศพขึ้นมา ตามคำบอกของนายคำและนายมีศพนี้เป็นศพของนายจ้อยลูกหาบของเจ๊กชัย สภาพศพขึ้นอืดบวมเป่งจนผิดรูปผิดร่าง เมื่อมีการตายเกิดขึ้นกลายเป็นเรื่องใหญ่ ต้องแจ้งความกับตำรวจเพราะเกิดการตายผิดธรรมชาติ แต่ฝนตกหนักการเดินทางออกจากหมู่บ้านไปโรงพักที่อยู่ห่างไป 6 กิโลเมตรลำบากมากโข ส่วนศพนั้นปรึกษาหารือกันแล้วเลยตัดสินใจฝังไว้ในป่าช้าประจำหมู่บ้านชั่วคราวไว้ก่อนเพราะหากทิ้งไว้ก็ป่วยการเพราะบวมอืดและเน่าส่งกลิ่นเหม็นเน่าและจะนำเชื้อโรคมาแพร่กลายเป็นโรคระบาดติดต่อสู่ชาวบ้านได้

“ฉันฝันเห็นบุญถึงมากราบลาฉัน มันคงตายไปแล้ว” นางละมุนฟื้นตื่นมาเล่าความฝันให้นายคำสามีฟังด้วยน้ำเสียเศร้าซึมไร้เรี่ยวแรง “มันพยายามออกมาจากป่าแต่มีลมหอบพัดกลับเข้าไปในป่าลึก”

“เอาเถอะละมุน เอ็งนอนพักผ่อนเถอะนะ ถ้าฝนหยุดตกเมื่อใด ข้าจะไปหารือพรานผาดเรื่องเข้าป่า” นายคำพูดแล้วจัดแจงให้นางละมุนนอนหลับพักผ่อนต่อไป

“จำไว้นะพี่คำ พี่ต้องไปเข้าป่าไปตามหาลูก ถึงแม้ว่าอ้ายถึงจะตายไปแล้วก็ต้องหาร่างมันให้เจอ เอามาฝังเคียงศพของ...” นางละมุนไม่ทันพูดคำสุดท้ายจบก็สิ้นลมเสียชีวิตไป นายคำตกใจที่เมียรักมาตายลง เขายังไม่เชื่อเลยเอานิ้วไปจอรูจมูกนางละมุน ไม่มีลมหายใจอุ่นๆ มารดรินนิ้วของเขา แน่ชัดแล้ว เขาจึงเอามือของตนป้องหน้าปิดไว้แล้วปล่อยโฮร้องไห้อย่างสุดเสียง เมื่อควบคุมสติของตนได้จึงแจ้งข่าวแก่หมอมั่นและชาวบ้านช่วยกันจัดการฝังศพนางละมุนไว้ในป่าช้าก่อน ค่อยเสร็จเรื่องราวตามหาคนที่เข้าป่าหายสาบสูญไปแล้วจัดการปลงศพ การฝังศพนางละมุนกระทำอย่างเร่งรีบท่ามกลางเสียงวิจารณ์ของชาวบ้านที่พูดกันไปต่างนานา บ้างก็ว่าหมู่บ้านชายป่าโดนอาถรรพ์ป่าจากการกระทำผิดป่าเล่นงานเสียแล้ว 3 ศพที่มาเกี่ยวพันกับเรื่องผิดป่า เริ่มจากนางทองพอหลังจากโดนวิญญาณเจ้าป่าเข้าสิงแล้ว ร่างกายอ่อนแอลงจนสิ้นลมตายไปเป็นศพแรก เจ้าป่าได้ขู่อาฆาตเพราะโกรธเคืองกลุ่มของเจ๊กชัยโดยการนำของบุญถึงเข้าไปทำผิดป่าในป่าที่ชาวบ้านอาศัยหาของป่า ล่าสัตว์พอประทังชีวิตโดยสำนึกบุญคุณเจ้าป่าที่เมตตามาโดยตลอด ไม่แน่ชัดว่าพวกนั้นเข้าไปทำอะไรแต่เท่าที่ฟังจากปากนางทองที่โดนวิญญาณเจ้าป่าสิงสู่ในวันทำพิธีขอขมา พวกนั้นเข้าไปล่าสัตว์เพื่อความสนุกสนาน ฆ่าสัตว์ป่าอย่างคึกคะนอง เจ้าป่าผู้ดูเห็นความเป็นไปทั้งหมดรู้สึกไม่พอใจเลยลงโทษและเหมาโทษทุกคนในหมู่บ้าน ส่วนศพนายจ้อยที่ถูกน้ำพัดมาเป็นคำบอกจากเจ้าป่าว่าพวกที่เข้าป่าอาจจะไม่มีชีวิตรอดแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะอำนาจอิทธิฤทธิ์ของเจ้าป่าหรือเพราะเวรกรรมที่เข่นฆ่าสัตว์ป่าอย่างบ้าคลั่งไม่สำนึกในบาปบุญคุณโทษ กรรมเลยจัดสรร ให้พวกที่เข้าป่าพบกับความวิบัติไปแล้ว ส่วนนางละมุนก็พลอยฟ้าพลอยฝนไปเพราะเป็นแม่ของอ้ายบุญถึงไม่ยอมห้ามปราม อาจตรอมใจตายเพราะรู้ว่าลูกชายอาจไม่มีชีวิตรอดกลับออกมาจากป่าก็เป็นได้