รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) - เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนที่ 3) โดย ท่าเพชร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ลึกลับ,เรื่องสั้น,ระทึกขวัญ,ดราม่า,ย้อนยุค,ผึ,สยองขวัญ,ผี,ดราม่า,ลึกลับ,ย้อนยุค,ชนบท,วัด,เรื่องเล่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ลึกลับ,เรื่องสั้น,ระทึกขวัญ,ดราม่า,ย้อนยุค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ผึ,สยองขวัญ,ผี,ดราม่า,ลึกลับ,ย้อนยุค,ชนบท,วัด,เรื่องเล่า

รายละเอียด

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club)  โดย ท่าเพชร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ

ผู้แต่ง

ท่าเพชร

เรื่องย่อ

ผีมีจริงหรือไม่?

          คนเราตายแล้วไปไหน?

            สโมสรหลังเมรุ(Cemetery Club) มีจุดกำเนิดจากการได้รับแรงบันดาลใจจากได้ฟังเรื่องผี เรื่องวิญญาณ ทว่าจุดเริ่มต้นที่แท้จริงเกิดจากพระภิกษุกลุ่มหนึ่งสนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องเร้นลับทั้งประสบพบเจอเอง ได้ยินได้ฟังมาในระหว่างรอสวดมาติกาบังสุกุลศพในช่วงบ่ายและระหว่างรอสวดพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ในงานพิธีศพ บางคนอาจจะมองว่าการฟัง การอ่าน การชมเรื่องผีเป็นเพียงแค่ความบันเทิงเท่านั้น สำหรับผมเรื่องผีเป็นเรื่องที่มีเสน่ห์ชวนน่าหลงใหล มีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเอง เราอยากจะรู้ว่าประเทศนั้นประเทศนี้มีความเชื่อค่านิยม วัฒนธรรมที่สะท้อนอัตลักษณ์ตัวตนของประเทศนั้นๆ ผ่านการศึกษาเรื่องผี ผ่านคติความเชื่อในโลกหลังความตายได้ เรื่องผีบางเรื่องมีคติสอนใจซ่อนอยู่ มนุษย์ที่ตายไปแล้วไปสู่ภพภูมิที่ตนเองควรไป ยังวนเวียนอยู่กับมนุษย์เพราะความต้องการของเขา เธอทั้งหลายยังไม่บรรลุ ไม่ว่าจะเป็นการทวงความยุติธรรมให้แก่ตน การสั่งเสียอำลาคนที่เรารัก การใช้ตนเองเป็นธรรมทาน หรือแม้กระทั่งเป็นประจักษ์พยานในการแสดงผลของการทำความดีและผลของการทำชั่ว เรื่องผีบางเรื่องสะท้อนสภาพสังคมในแต่ละยุคอย่างเรื่อง นางนวล สะท้อนให้เห็นสภาพสังคมไทยในสมัยรัชกาลที่ 7 ที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นปกครองกับชนชั้นสามัญชนคนธรรมดา แม้จะมีการเลิกทาสมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ผู้คนมากมายก็ยังคงตกเป็นทาสของอำนาจเงิน อย่าง ซ่องเจ๊เนาและซุ้มยาดองยายนี สะท้อนสภาพบ้านเมืองของอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานีในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 

สารบัญ

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 1 ไปสวดศพ(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 1 ไปสวดศพ(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 2 วิวาห์ผี,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 3 วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 3 วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 4 หอปรารถนาดี,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 5 โรงเรียนสยองขวัญ,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 6 ซ่องเจ๊เนา(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 6 ซ่องเจ๊เนา(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนที่ 1),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 8 ไปหาดใหญ่คราวนั้นฉันยังจดจำ,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 9 โค้งเขาท่าเพชร,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 10 อย่านึกถึงฉัน,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 11 รวมเรื่องเล่าในโรงพยาบาล,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 1),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 13 สามเณรใจสิงห์(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 13 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 13 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 3)

เนื้อหา

เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนที่ 3)

นวลถูกขังไว้ในห้อง ไม่ได้ทำงานอะไร เช้ามาแฉล้มไขกุญแจให้ไปทำธุระส่วนตัว ข้าวปลาอาหารให้กินสองมื้อคือเช้าเย็น ถ้าเจ็บหนักปวดเบานอกเหนือเวลาไขกุญแจก็ต้องลงกระโถนเท่านั้น นานหลายวัน อินทร์ไม่เคยลงมาเยี่ยมเลย ความรู้สึกของนวลแย่ลงเรื่อยๆ เริ่มเข้าใจว่าตนเองถูกอินทร์หลอกลวง พุทโธ่! ความสาวความสวยถูกพรากให้ชายที่ไม่มีรักจริงให้เขาเชยชมฟรี คำเยาะเย้ยถากถางจากปากขี้ข้าคนรับใช้ด้วยกันว่าไม่เจียมตน เกิดเป็นกาจะไปสมสู่กับหงส์มันเกินศักดิ์มันคอยทิ่มแทงใจตน สติของนวลเลื่อนลอยไปเรื่อย บางทีนั่งกอดเข่าร้องไห้ บางทีหยิบเสื้อผ้าที่สวมใส่ไปเต้นรำที่บางปูมาทาบตัวแล้วเต้นรำฮัมเพลงเบาๆ พอหยุดเต้นรำแล้วร้องกรีดเสียงดัง เป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง คุณหญิงสั่งให้แฉล้มเขียนจดหมายไปหานายผลเพื่อเดินทางมาพระนคร หลายวันต่อมา ในเวลาเช้าตรู่นายผลมาถึง แฉล้มออกมาต้อนรับอย่างรีบเร่ง

“เกิดอะไรขึ้นรึ” นายผลสงสัย

“ก็มันเกิดเรื่องขึ้นน่ะสิ” แฉล้มทำหน้าเสียแต่ยั้งปากไม่พูดต่อ “ข้าจะพาพี่ผลไปหานางนวลมันก่อน”

แฉล้มพานายผลมายังเรือนคนใช้ก่อนเพื่อพักและพบกับนวลก่อนจะขึ้นตึกไปพบคุณหญิงน้อม นวลถูกปล่อยตัวออกมาจากห้องให้มากินข้าวพร้อมกับนายผล ในระหว่างนั้นแฉล้มเล่าเรื่องงามหน้าของนวลให้นายผลฟัง

“มึงน่ะดอกทอง ทำเรื่องบัดสีไปได้” นายผลด่านวลพลางเปิบข้าวกินพลาง “สร้างเรื่องให้ระอาเสมอ อยู่บ้านใต้ก็ไม่เป็นโล้เป็นพายกระไร จะให้เรียนหนังสือเอาไอนวยพี่ชายคนโตก็ไม่เอา จะอยู่ช่วยงานนาก็ไม่เอา ให้อยู่ดูแลเรือนก็เกียจคร้าน ส่งมานี่ก็ทำเรื่องงามหน้าให้อับอาย”

นวลน้ำตาไหลเผาะแผะ ทุกคนด่าว่าแต่นวลแต่ทำไมไม่มีใครว่ากล่าวอินทร์เลย เพราะนวลเป็นเพียงขี้ข้าใช่ไหม จึงไม่มีค่าอะไรในสายตาคนอื่น ขี้ข้าทำจริตมารยายั่วยวนเจ้านาย อินทร์เป็นผู้ดีลูกพระน้ำพระยาจะมาสนใจคนต้อยต่ำไร้ค่าให้ตนเองแปดเปื้อน ยิ่งคิดยิ่งเจ็บ ดั่งมี ใบมีดทิ่มแทงช้าๆ มันแทงลงไป ไม่มี… ไม่มีเรี่ยวแรง ไม่อาจแกล้ง ว่าไม่เป็นไรอยู่ๆ ก็มีแต่น้ำตา จิตใจก็เริ่มอ่อนล้ามลายหายไป ช่วยบอกกันทีได้ไหม ฉันทำสิ่งใดถึงต้องมาเจ็บช้ำ

พอสายเข้าหน่อย คุณหญิงเรียกนายผล นวลและแฉล้มขึ้นตึก บรรยากาศช่างเงียบสงบค่อนไปทางน่ากลัว ห้องรับแขกเคยเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทสะดวกกลับปิดไว้ เปิดไฟจากโคมไฟสลัวๆ คุณหญิงนั่งบนโซฟา นางปุกเสิร์ฟชาและขนมให้คุณหญิงแล้วหลบออกไป

“ฉันคงเลี้ยงดูลูกนายผลไม่ได้แล้วล่ะ เอากลับบ้านนอกไปเสียเถิด ทำเรื่องไม่ดีเอาไว้ พ่ออินทร์ลูกชายฉันเรียนจบมาจากเมืองนอกประเทศอังกฤษมีอนาคตสดใสรออยู่ เขาต้องแต่งงานกับกุลสตรีเป็นผู้ดีมีตระกูลเพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งเกียรติยศ ทรัพย์สมบัติแห่งวงศ์ตระกูล พูดไปพวกเอ็งไม่เข้าใจหรอก เอาเป็นว่าอินทร์ต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่มีฐานะ ชาติตระกูลระดับเดียวกัน ส่วนคนอื่นที่คิดจะเป็นเมียต่อให้เป็นเมียน้อย เมียบำเรอต้องมิใช่เด็กรับใช้ในบ้าน มาว่าเรื่องที่นาที่นายผลมาจำนองฉันไว้ดีกว่า ที่ฉันเรียกนายผลมามิใช่เพียงแค่ให้มารับตัวนวลกลับไป ก็เรื่องดอกเบี้ยแล้วก็เงินต้นที่นายผลค้างชำระไว้ มันมากอยู่เอาการ นายผลคิดจะทำเช่นไร”

“กระผมคงไม่มีทางเลือก ต้องปล่อยให้คุณหญิงยึดโฉนดไป กระผมคงจะหาเงินจำนวนห้าพันบาทมาจ่ายคืนคุณหญิงไม่ทันเสียแล้วกระมังครับ” นายผลตอบอย่างซื่อๆ ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย

“ฉันคงต้องทำเช่นนั้น แต่ที่ว่านายผลติดหนี้ฉันห้าพันบาทมันผิดเสียแล้ว จำนวนเงินต้นทบดอกเบี้ยคร่าวๆ หนึ่งหมื่นบาท ดูหลักฐานได้ที่พ่อพินิจทนายความประจำตระกูลได้” คุณหญิงน้อมพูดจบ คุณทนายเอาสมุดบัญชีให้นายผลดู นายผลได้แต่อ้าปากค้างเพราะเสียรู้คุณหญิงหน้าเลือดเสียแล้ว

“นี่เป็นเอกสารซื้อขายที่ดิน ส่วนนี่เอกสารเช่าที่นา” คุณทนายหยิบเอกสารสัญญาสองชุดให้นายผลดู

“ฉันตรองดูแล้ว แม้ฉันจะเป็นเจ้าของที่นาผืนนั้น แต่บ้านใต้ระยะทางก็ไกลโข จะไปจัดการดูแลก็ยาก ฉะนั้นฉันก็ให้นายผลทำนาต่อไปในฐานะคนเช่า โดยค่าเช่าคิดเป็นปีๆละห้าสิบบาทพร้อมข้าวสารหนึ่งเกวียน ฉันใจดีปีแรกไม่คิดเงินก่อนนะ” คุณหญิงน้อมอธิบาย นายผลแปะโป้งอย่างจำใจ “แล้วนี่เงินหนึ่งพันบาทถือว่าเป็นค่าเสียหายก็แล้วกัน ไปเก็บของเสียแล้วก็ไปซะ ไม่ต้องกลับมาสร้างเรื่องให้ระอาใจอีก แล้วก็ไม่ต้องมาเสนอหน้าลาอีก ไม่อยากเห็นให้เป็นเสนียดลูกกะตา”

แฉล้ม นายผลและนวลลงจากตึกเข้าเรือนคนรับใช้ นวลเก็บเสื้อผ้ารวมถึงชุดสวยนั้น นายผลไม่พูดกระไรกับนวลอีกเลยเพราะชังน้ำหน้าเช่นกัน แม้ว่าคุณหญิงน้อมไม่พูดตรงๆ ว่าเป็นเพราะนวลแต่ทุกๆ คนรู้ดี แม้จะขึ้นรถไฟเที่ยวค่ำมาด้วยกันแต่ก็ไม่พูดจาอะไร จนนวลอึดอัด

“พอจ๋าหิวน้ำไหมจ๊ะ ฉันจะไปซื้อให้ที่ตู้เสบียง” นวลถามหยั่งเชิง

“มึงไม่ต้องเสือก กูหิวกูก็เดินไปหาแดกเองได้ กูชังน้ำหน้ามึงนักอีลูกเวร กูไม่น่าพามึงกลับมาเลย น่าจะขายมึงให้เป็นกะหรี่ที่ซ่องเจ๊เนา เอากลับไปให้อับอายคนบ้านใต้ จะจับใส่ตะกร้าล้างน้ำก็ละอายใจ ของที่เสียไปแล้วจะไปตบไปแต่งให้มันดีบริสุทธิ์ผุดผ่องคงยาก” นายผลพูดจบก็เดินออกไปนอกตู้โดยสารเพื่อสูบบุหรี่ทิ้งนวลไว้เพียงลำพัง

นานวันผ่านไป อินทร์กับปรียาผูกสมัครรักใคร่ท่ามกลางสายตาของผู้หลักผู้ใหญ่โดยลืมความหลังกับนวลไปหมดสิ้นแล้ว คุณหญิงเห็นว่าเวลาพอเหมาะพอควรจึงหารือกับเจ้าคุณนรนิตย์ฯ ถึงเรื่องการสู่ขอทาบทามปรียา ผู้ใหญ่ทั้งสองสองฝ่ายตกลงกันว่าให้อินทร์และปรียาหมั้นหมายกันก่อนเพื่อรอสมรสประทานจากเสด็จในกรมเมื่อเดือนอ้าย เสร็จพิธีหมั้น แฉล้มขออนุญาตคุณหญิงกลับมาพักผ่อนที่บ้านใต้ ไปนานหลายเดือน จวบจนขึ้นเดือนอ้าย แฉล้มก็กลับมาโดยมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“ป้ากลับบ้านคราวนี้ ดูป้าไม่สดใสเลย มีเรื่องอะไรรึ เรื่องอีนวลใช่ไหม” นางปุกไถ่ถามระหว่างนั่งพักเล่นกันที่หน้าโรงครัว

“ก็มันเกิดเรื่องจริงๆ แหละปุก” แฉล้มตอบ ในระหว่างนั้นคนรับใช้คนอื่นๆ ก็มานั่งล้อมวงฟังด้วย “นวลมันตายแล้วนะ มันผูกคอตายกลางทุ่งนา”

ปุกและคนอื่นๆ ร้อง ตาลุกวาวหน้าถอดสีเพราะตกใจ “เล่ามาละเอียดเลยป้า”

“นวลกลับบ้านไป ทุกคนในครอบครัวมันทำไม่ดีต่อมัน รังเกียจเดียดฉันท์ ต่อว่าด่าทอว่านวลคือตัวการ ต้นเหตุที่ทำให้สูญเสียที่นาที่เป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ นวลถูกกดขี่ต้องทำงานบ้านสารพัดสารพัน ต้องกินข้าวที่เหลือจากพี่ๆ น้องๆ ต้องไปกางมุ้งนอนในครัว เวลามีปัญหาขึ้นมา เงินชักหน้าไม่ถึงหลัง หรือมีใครต้องใช้เงิน ก็มาลงที่นวล ที่ซ้ำร้ายนวลมันท้อง ตอนข้าไปเยี่ยมเห็นท้องมันก็นูนออกมาแล้ว มันก็ถูกด่าไม่เว้นวัน หน้ามันดูหมองเศร้า ข้าก็ปากไวบอกเรื่องคุณอินทร์หมั้นและแต่งงานกับคุณปรียา มันไม่ได้พูดกระไร ข้านี้ใจหายวาบ ไม่น่าบอกเรื่องนี้ให้มันรู้เลยเหมือนฟางเส้นสุดท้าย ช่วงนั้นน้ำนองทุ่ง เดินทางไปมาลำบาก คืนนั้นนวลใส่ชุดสวยที่มันไปเต้นรำกับคุณอินทร์ เดินลุยน้ำถือเชือกไปที่ต้นไทรกลางทุ่งนาผูกคอตายตรงนั้น เช้ามืดคนในบ้านรู้ว่ามันหายตัวไปแต่ไม่มีใครเดือดเนื้อร้อนใจ จนสายๆ คนที่ไปดูนาใกล้ๆ ส่งข่าวเจอศพนวลผูกคอห้อยต่องแต่งหน้าเขียวคล้ำลิ้นจุกปากสภาพน่ากลัวสยดสยอง แต่พ่อแม่พี่น้องนวลใจดำมากๆ เอาศพไปวัด สวดศพแค่คืนเดียวแล้วเอาศพไปฝังลงในป่าช้า”

“ตายทั้งกลม แล้วแบบนี้ไม่เฮี้ยนแย่หรือป้า” ปุกถามต่อ

“นี่แหละปัญหา นวลมันตายไปแค่คืนเดียวก็หลอกหลอนชาวบ้าน เริ่มจากตกดึกคืนนั้น เสร็จงานสวดศพที่วัด ใจจริงแล้วบางคนอยากจะอยู่เฝ้าศพแสดงน้ำใจกันแต่เจ้าภาพงานก็พ่อแม่พี่น้องนางนวลไม่เต็มใจต้อนรับขับสู้เมื่อลงจากศาลาโรงทึมแล้ว พวกเขาก็กลับบ้านกันก็เลยแยกย้ายกลับบ้าน ฉันก็กลับบ้านล้างมือล้างเท้าจะล้มตัวลงนอน ได้เสียงผู้หญิงกล่อมเด็กลอยตามลมมา แม่เจ้าประคุณรุนช่องในชีวิตเกิดมาจากท้องพ่อแม่เพิ่งได้รู้ว่าอาการขนหัวลุกชูชันมันเป็นเยี่ยงนี้ เมื่อตั้งใจฟังดีๆ ยิ่งใจหายวาบแทบจะลืมหายใจเพราะเกิดจำได้ว่าเสียงผู้หญิงกล่อมเด็กนั้นเป็นเสียงนางนวล” แฉล้มเล่าถึงตอนนี้ คนที่ฟังอยู่ก็ตีวงเข้ามาเบียดตัวชิดกัน ละครผีของคณะเกศทิพย์ที่ออกอากาศทางวิทยุยังน่ากลัวน้อยกว่าเสียแล้วกระมัง “พ่อแม่ข้า พี่ๆ น้องๆ ก็ได้ยินเหมือนกัน แต่ไม่มีใครกล้าทัก รุ่งเช้ามา มันกลายเป็นว่าเรื่องที่ได้ยินเสียงผีนางนวลกล่อมลูก ไม่เพียงข้าและคนที่บ้านได้ยิน ทุกบ้านที่บ้านใต้ได้ยินหมด ส่วนคนที่บ้านนางนวลโดนหนักหน่อย ผีนางนวลมาปรากฏตัวหลอกคนที่บ้าน มาทำมายาผูกคอลิ้นจุกปากหน้าเขียวม่วงตรงขื่อกลางบ้าน ร้องรำพันพิลาปตัดพ้อต่อว่า ตอนมีชีวิตอยู่ก็รังเกียจเดียดฉันท์ ตายไปก็ยังเกลียดกลัว แม่นางนวลนอนซมป่วยไข้ เช้ามาคนที่บ้านนางนวลรีบมาวัดเร่งรีบให้คนนำศพนางนวลไปฝังไว้ป่าช้าท้ายวัด แต่เรื่องไม่จบเท่านั้น คืนต่อมาและคืนต่อไปก็ได้ยินเสียงนางนวลร้องเพลงกล่อมลูก บ้านใต้กลายแทบกลายเป็นเมืองร้าง เช้ามาชาวบ้านรีบทำบุญตักบาตรแผ่บุญกุศลถึงนางนวลแล้วทำงานทำการและไม่วายพูดถึงเรื่องนางนวล ไปที่ที่มีคนเยอะอย่างตลาด วัด ร้านของชำก็มีคนจับกลุ่มพูดคุยถึงเรื่องขนหัวลุกที่เกิดขึ้นในแต่ละขึ้น พวกที่ไปเฝ้านาตอนกลางคืน เดินผ่านนานายผลเจอผีนางนวลตัวเป็นๆ นั่งห้อยขาบนกิ่งต้นไทรที่มันผูกคอตาย มันอุ้มลูกไว้ไม่ทำอะไรใคร เหมือนว่านวลไม่ทำร้ายใครก่อนถ้าไม่ได้ผูกเวรผูกกรรมไว้กับมัน จนกระทั่งเกิดเรื่องประหลาดมีคนพบศพหมอผีแปลกหน้าต่างถิ่นตายอยู่แถวหลุมศพนางนวล ที่หลุมศพมีร่องรอยการขุด พบธูปเทียนผ่านการจุดมาแล้ว สภาพศพน่ากลัว หน้าเขียวคล้ำคอหมุนรอบได้ ตาเบิกโพลงเหมือนตกใจอะไรบางอย่างก่อนตาย คนที่ไปดูต่างลงความเห็นว่าโดนผีนางนวลหักคอ นับจากนั้นบ้านใต้แทบกลายเป็นแดนร้าง กลางวันต่างคนต่างรีบทำงานทำภารกิจของตนแล้วกลับบ้านช่องปิดบ้านก่อนค่ำมืดไม่เถลไถลไปไหน เด็กๆ ถูกสั่งให้รีบกลับจากโรงเรียนหลังเลิกเรียนเสร็จ แล้วข้าก็โดนจนได้” แฉล้มหยุดพักเล่าดื่มน้ำ

“ป้าโดนผีนางนวลหลอกยังไง” นางปุกถาม

“ข้าเห็นว่าอยู่ไปก็กลัวเปล่า เลยตีตั๋วรถไฟกลับมาเมื่อคืน เรื่องมันเกิดบนรถไฟ ขึ้นมานั่งปกติเผลอหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ ระหว่างรถไฟแล่นไปนายรถเดินตรวจตั๋ว ข้าตื่นมาให้ตรวจดีๆ นายรถไปที่นั่งตรงข้ามข้า แล้วพูดกับลมกับอากาศว่าขอตรวจตั๋ว ข้าดูอยู่ไม่ได้หลับต่อเพราะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ครูเดียวเท่านั้นแหละเอ็งเอ๋ย นายรถร้องตะโกนว่าผีหลอกแล้ววิ่งย้อนกลับไป ข้านี่ใจหายวาบรีบลุกย้ายไปหาที่นั่งที่ใกล้คนอยู่เยอะ เช้ามาเจอนายรถ ก็ถามดูว่าเกิดอะไรขึ้น เขาบอกว่าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามข้า เขาตรวจตั๋ว ผู้หญิงคนนั้นหายวับไป ข้าถามถึงลักษณะผู้หญิงคนนั้นเพราะสังหรณ์ใจว่าจะเป็นนางนวล ตกลงแล้วว่าใช่ ข้าคิดว่านางนวลตามข้ามาแต่ไม่ให้ข้าเห็นตัว” แฉล้มเล่าจบลงแล้วแยกไปพบคุณหญิงบนตึก หลังจากนั้นคนในบ้านก็สาละวนอยู่การเตรียมงานแต่งจนลืมเรื่องของนวลไปสิ้น

ใกล้วันงาน ทุกคนช่วยงานอย่างราบรื่น ปรียา คุณหญิงพวงร้อยพร้อมเพื่อนเจ้าสาวที่เป็นบุตรีขุนน้ำขุนนางด้วยกันมาพำนักที่บ้านตามที่สองฝ่ายตกลงกันไว้ บรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นมื่น วันสุกดิบก่อนวันรดน้ำสังข์ เจ้าบ่าวเจ้าสาวถูกแยกไว้ไม่ให้พบปะกัน ปรียาถูกกักตนไว้เป็นนางห้อง ตกค่ำปรียาเกิดความเบื่อหน่ายเพราะถูกกักตนมาทั้งวันตั้งแต่มาถึงบ้านผนวกกับอากาศอบอ้าวไม่ถ่ายเท จึงแอบลงมาเดินในสวนหลังตึกเพื่อรับลม ท่ามกลางความมืดมิดปรียาเดินเล่นในสวนไม่เกรงกลัวอันตรายใดๆ ปรียาเดินมาถึงสวนดอกไม้ กรุ่นกลิ่นดอกราตรีหอมจัด ปรียาเด็ดขึ้นมาดอมดมเคลิบเคลิ้มล่องลอยไป

เสียงเพลงจากใครคนหนึ่งทำเอาปรียาตกใจทำดอกราตรีร่วงหล่นลงพื้นเพราะคิดว่าไม่มีใครจะมาพานพบเธอในสวนเช่นนี้ ปรียามองไปที่ต้นเสียงเห็นร่างหญิงนางหนึ่งยืนอยู่หลังพุ่มไม้เลื้อยเห็นเพียงวอบๆ แวมๆ ด้วยเพราะมืดและมีสุมทุมพุ่มไม้บดบังบางส่วนไว้

“คุณเป็นใครกัน ใช่คุณน้องหรือไม่” ปรียาเอ่ยถามขณะกำลังเดินเข้าไปหาผู้หญิงปริศนาแต่ด้วยเพราะเหตุผลกระไรมิทราบ ปรียาหยุดชะงักและเลือกที่จะยืนอยู่ตรงนี้

“ฉันไม่ใช่คุณอรหรอกเจ้าค่ะ ฉันเคยอยู่ที่นี่ ฉันเป็น…” ร่างสาวนางนั้นขยับเข้ามาใกล้ ไม่ได้เดินมาแต่ลอยมา

“ผี! ” ปรียาร้องลั่นเพราะตกใจก่อนสติสัมปชัญญะดับวูบลง หล่อนเห็นใบหน้าผีเขียวคล้ำออกม่วงบวมฉุศีรษะของผีหักเอียงมิอาจตั้งตรงปกติได้ ปรียาหมดสติดับวูบลง สิ้นเสียแล้ว

คนที่เข้าออกห้องพักปรียาบนตึก ไม่พบว่าปรียาอยู่ในห้อง รู้สึกกระวนกระวายใจออกตามหาไปทั่วแต่ไม่มีใครพบเห็น นานไปดึกดื่นค่อนคืน ปรียาเดินทื่อๆ ขึ้นตึก ขึ้นห้องนั่งนิ่งๆ ไม่พูดกระไร

“ไปไหนมาลูก” คุณหญิงพวงร้อยเข้ามาไถ่ถามหลังจากได้รับรายงานจากเพื่อนเจ้าสาว

“ไปเดินเล่ามาค่ะ” ปรียาตอบด้วยน้ำเสียงยานคางช้าๆ และแสดงกิริยาแปลกๆ ตอบมาโดยไม่หันหน้ามาพูดคุย

“ไม่สบายรึเปล่า พูดจาแปลกๆ ไหนขอแม่ดูหน่อยสิ” คุณหญิงพวงร้อยขยับเข้ามาแต่ปรียาขยับถอยหนี

“เหนื่อยแล้วค่ะ ขออิฉันนอนพักผ่อนได้ไหมคะ” ปรียาตอบช้าๆ และใช้สรรพนามโต้ตอบที่แปลกไปจากเดิม

“แม่ไม่รบกวนแล้วล่ะ พรุ่งนี้เช้า จะเรียกคนมาช่วยแต่งตัว” คุณหญิงพวงร้อยออกมาจากห้องด้วยความรู้สึกงงกับพฤติกรรมของบุตรีแต่เข้าใจว่าคงจะป่วย พอคล้อยหลังไป ปรียาลุกขึ้นไปนอนบนเตียง ระหว่างเดินช้าๆ ขึ้นเตียงผ่านกระจก หล่อนส่องดูกระจก ทว่าเงาสะท้อนในกระจกสะท้อนให้เห็นใบหน้าเขียวคล้ำม่วง ดวงตาไร้แววแต่แสดงอารมณ์แค้น นั่นมันใบหน้าของนวลผู้ที่ไม่มีร่างกายแล้วนี่ แล้วปีศาจนวลจะมาสิงสู่ร่างของปรียาเพื่ออะไรกัน

รุ่งเช้ามา ทุกๆ คนในบ้านวุ่นวายสาละวนกับการตระเตรียมความเรียบร้อยพร้อมสู่พิธีการ อาหารคาวหวานปรุงสุกจัดจานใส่สำรับเรียบร้อยสำรับพระสงฆ์ และเจ้านายชั้นสูงที่มาเป็นแขกสำคัญ บนตึกในห้องโถงใหญ่ชั้นล่างใช้จัดเป็นปรัมพิธีประดับประดาด้วยดอกไม้สดทั้งมาลัยร้อยเป็นสายม่านประดับปะตู เครื่องแขวน มาลัยบ่าวสาว มาลัยชำร่วยล้วนเป็นงานฝีมือจากในรั้วในวังที่คุณหญิงขอประทานมาจากเสด็จพระองค์หญิงที่เคยถวายตัวรับใช้เป็นข้าหลวงมาก่อน พวกเจ้านายของบ้านแต่งองค์ทรงเครื่องสวยสดงดงามทุกผู้ทุกนาม คุณหญิงน้อมหน้าชื่นตาบานแต่งชุดแดงแรงฤทธิ์ลงมาบัญชาการความเรียบร้อยและคอยรับแขก ในห้องของปรียา เพื่อนๆ เจ้าสาวช่วยกันแต่งตัวให้ปรียาอย่างสวยสดงดงาม ที่แปลกคือปรียาไม่พูดกระไรเลย ปล่อยตนเองให้เป็นตุ๊กตาถูกจับแต่งองค์ทรงเครื่องตามใจชอบ คนที่ช่วยแต่งตัวทำผมแต่งหน้าปรียาเข้าใจว่าปรียารักษาอากัปกิริยาเจ้าสาวเอาไว้ ไม่พูดจำนรรจาใดๆ เมื่อได้เวลาเหมาะสม เพื่อนเจ้าสาวประคองปรียาในอาภรณ์เจ้าสาวย้อนยุคสมัยรัชกาลที่ 6 สีชมพูสวยงามลงมาทำพิธีรดน้ำสังข์ เมื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวมาพร้อมเพรียงกันทั้งสองขึ้นแท่นนั่งหมอบ อินทร์ยิ้มและคอยมองปรียาอยู่เสมอสังเกตเห็นอาการของปรียาที่แปลกไปนึกสงสัยแต่ไม่กล้าซักถามเพราะเกรงเสียฤกษ์เสียพิธี ปรียาก้มหน้าลงไม่มองสบตาใครๆ เสด็จในกรมฯ ทรงสวมสายมงคลครอบศีรษะเจ้าบ่าวเจ้าสาว ทรงเจิมหน้าผากและรดน้ำพระพุทธมนต์ผ่านหอยสังข์ลงศีรษะเจ้าบ่าวเจ้าสาว เมื่อน้ำพระพุทธมนต์รดลงศีรษะปรียา เจ้าหล่อนตัวสั่นเทิ้มและล้มฟุบลงกับแท่น แต่ก็ปล่อยผ่านให้แขกรดน้ำสังข์เจ้าบ่าวเจ้าสาวจนเสร็จพิธี เจ้าคุณนรนิตย์ถอดสายมงคลจากศีรษะบ่าวสาว เรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ร่างของปรียากลิ้งตกลงจากแท่นทันทีหลังจากเจ้าคุณถอดสายมงคลที่สวมศีรษะไว้

“ว้าย! กรี๊ด! ” พวกเพื่อนเจ้าสาวตั้งใจจะเข้ามาประคองปรียาแต่เห็นสภาพร่างของปรียาแล้วตกใจร้องลั่น เดินถอยห่างออกมา คนอื่นๆ เข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้นก็ต้องเบือนหน้าหนีเพราะเห็นว่า บัดนี้ปรียากลายเป็นศพแล้ว สภาพศพหน้าเขียวคล้ำออกม่วง โลหิตไหลออกจากจมูก ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ท้าทายนาสิกประสาท เป็นอันว่าปรียาเสียชีวิตแล้ว อินทร์ถอยไปไกลกว่าใครเพราะกลัวและรังเกียจที่อยู่เคียงข้างกับศพหลายเพลา คุณหญิงพวงร้อยร้องไห้พิลาปรำพันประคองศพลูกสาวแนบอกไว้โดยไม่รังเกียจเดียดฉันท์ จากงานมงคลกายเป็นงานอวมงคล ท่ามกลางข้อกังขาว่าเกิดอะไรขึ้น สาเหตุการเสียชีวิตของปรียาคืออะไร แพทย์ชันสูตรตรวจหาสาเหตุลงความเห็นว่าเสียชีวิตเพราะหัวใจวาย