รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ
ลึกลับ,เรื่องสั้น,ระทึกขวัญ,ดราม่า,ย้อนยุค,ผึ,สยองขวัญ,ผี,ดราม่า,ลึกลับ,ย้อนยุค,ชนบท,วัด,เรื่องเล่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club)รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ
ผีมีจริงหรือไม่?
คนเราตายแล้วไปไหน?
สโมสรหลังเมรุ(Cemetery Club) มีจุดกำเนิดจากการได้รับแรงบันดาลใจจากได้ฟังเรื่องผี เรื่องวิญญาณ ทว่าจุดเริ่มต้นที่แท้จริงเกิดจากพระภิกษุกลุ่มหนึ่งสนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องเร้นลับทั้งประสบพบเจอเอง ได้ยินได้ฟังมาในระหว่างรอสวดมาติกาบังสุกุลศพในช่วงบ่ายและระหว่างรอสวดพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ในงานพิธีศพ บางคนอาจจะมองว่าการฟัง การอ่าน การชมเรื่องผีเป็นเพียงแค่ความบันเทิงเท่านั้น สำหรับผมเรื่องผีเป็นเรื่องที่มีเสน่ห์ชวนน่าหลงใหล มีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเอง เราอยากจะรู้ว่าประเทศนั้นประเทศนี้มีความเชื่อค่านิยม วัฒนธรรมที่สะท้อนอัตลักษณ์ตัวตนของประเทศนั้นๆ ผ่านการศึกษาเรื่องผี ผ่านคติความเชื่อในโลกหลังความตายได้ เรื่องผีบางเรื่องมีคติสอนใจซ่อนอยู่ มนุษย์ที่ตายไปแล้วไปสู่ภพภูมิที่ตนเองควรไป ยังวนเวียนอยู่กับมนุษย์เพราะความต้องการของเขา เธอทั้งหลายยังไม่บรรลุ ไม่ว่าจะเป็นการทวงความยุติธรรมให้แก่ตน การสั่งเสียอำลาคนที่เรารัก การใช้ตนเองเป็นธรรมทาน หรือแม้กระทั่งเป็นประจักษ์พยานในการแสดงผลของการทำความดีและผลของการทำชั่ว เรื่องผีบางเรื่องสะท้อนสภาพสังคมในแต่ละยุคอย่างเรื่อง นางนวล สะท้อนให้เห็นสภาพสังคมไทยในสมัยรัชกาลที่ 7 ที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นปกครองกับชนชั้นสามัญชนคนธรรมดา แม้จะมีการเลิกทาสมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ผู้คนมากมายก็ยังคงตกเป็นทาสของอำนาจเงิน อย่าง ซ่องเจ๊เนาและซุ้มยาดองยายนี สะท้อนสภาพบ้านเมืองของอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานีในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
โรงพยาบาล... สำหรับบางคนก็รู้สึกถึงขยาดแขยง แม้ว่าในชีวิตของคนหนึ่งคนต้องเข้าไปพัวพันกับโรงพยาบาลไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเพราะโรงพยาบาลเป็นสถานที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย โดยเฉพาะโรงพยาบาลรัฐแล้วมีผู้คนมากมายมาใช้บริการในแต่ละวันนับพันนับหมื่น แออัดเบียดเสียดกันจนน่ารำคาญใจ ทว่าพอเลยเวลาราชการหมดเวลาทำการตรวจภาคปกติแล้ว ทุกอย่างกลับตาลปัตร จากที่แออัดเบียดเสียดวุ่นวาย กลับเงียบสงัดไร้ผู้คนออกไปทางวังเวงเสียด้วยซ้ำไป เริ่มเรื่องเลยดีกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้รับฟังมาจากปากของพี่ผู้หญิงข้างบ้านหลังเก่าที่ผมเกิดและโตมาจนเป็นเด็กก่อนจะย้ายบ้าน เป็นเรื่องที่ผมรู้สึกสยิวใจทุกครั้งที่นึกถึงและหากมีธุระหรือเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วต้องมาโรงพยาบาล มันอาจจะไม่นากลัวมากมายเพราะความเป็นเด็กการเจอแบบนี้ย่อมเป็นสิ่งที่น่าจดจำฝังลึกในความทรงจำ ขอสมมติชื่อว่าพี่เอก็แล้วกัน พี่เอต้องติดตามแม่ไปเฝ้าไข้คุณยายที่โรงพยาบาล โชคดีหน่อยหนึ่งที่คุณยายได้ห้องพิเศษ โดยอยู่ที่ตึกอายุรกรรมชั้น 4 สมัยนั้นตึก 4 ชั้นของโรงพยาบาลแห่งนี้ไม่ได้มีผู้ป่วยอยู่รักษาพักฟื้นแออัดกระเบียดกระเสียรเหมือนอย่างทุกวันนี้ ด้วยความเป็นเด็กพี่เอก็ซนไปเรื่อยๆ แม่พี่เอต้องคอยดุให้พี่เออยู่กะร่องกะรอย แต่ในห้องพิเศษพื้นที่จำกัด การละเล่นสำหรับเด็กก็เลยมีไม่มาก เล่นไปสักพักก็เบื่อ จนค่ำมืด พยาบาลเวรเข้ามาวัดไข้ตรวจความดันคุณยายตามเวลาปกติ พี่เอสบโอกาสขออนุญาตแม่ออกไปวิ่งเล่นข้างนอก
“แม่จ๋าหนูขอออกไปข้างหน่อยนะ” พี่เอขอ
“ไปสิไป แต่อย่าไปไกลนักนะ แล้วก็ระวังตัวด้วย อย่าลงไปชั้นล่างเสียล่ะ” แม่สั่งกำชับพี่เอ พี่เอไม่รีรอรีบเปิดประตูห้องพักคนไข้พิเศษยังไม่ทันรับคำเตือนจากแม่ พี่เอวิ่งเล่นสำรวจไปเรื่อยๆ ตามประสาเด็กที่ซุกซน เดินไปถึงห้องคนไข้รวม ญาติคนไข้จับกลุ่มกินข้าวกินปลาหน้าห้องบ้าง จับกลุ่มนั่งคุยกันเบาๆ บ้าง บางคนเอนหลังนอนหลับพักผ่อนตรงที่นั่งหน้าห้องคนไข้ เสียงตื๊ดๆ จากเครื่องช่วยหายใจดังเล็ดลอดออกมา แม้จะเป็นเด็กพี่เอก็ทราบว่าในห้องพักคนไข้รวมมีคนไข้อาการหนักจึงไม่ควรเข้าไปเล่นจะเป็นการก่อกวนเสียเปล่าๆ พี่เอเดินย้อนกลับมาทางเดิมแล้วเลี้ยวซ้ายไป ที่ตรงนั้นเป็นโถงลิฟต์และบันได โถงแห่งนี้กว้างพอควรบันไดขึ้นลงแต่ละชั้นอยู่ตรงข้ามลิฟต์ สภาพลิฟต์ที่ว่ากึ่งเก่ากึ่งใหม่ประตูลิฟต์เป็นสเตนเลสเงินเงามัวๆ จะส่องเงาเห็นเป็นตัวเป็นตนแต่จะเอาให้ชัดแจ่มแจ๋วก็ไม่ได้
ลิฟต์โดยสารเฉพาะเจ้าหน้าที่และผู้ป่วยเท่านั้น
พี่เออ่านข้อความจากป้ายเหนือแผงกดเรียกลิฟต์ แล้วเลี่ยงหันเหความสนใจไปทางอื่นเพราะเกรงว่าเจ้าหน้าที่มาเห็นเข้าจะถูกดุด่าเอาได้ จึงหันหลังกลับไปหมายจะลงบันไดข้างล่างแต่นึกได้ว่าแม่ห้ามลงไปชั้นล่าง จึงชะงักงันแล้วเห็นว่ามีบันไดขึ้นไปอีกชั้น พี่เออยากรู้อยากเห็นเดินขึ้นบันไดไปเพราะยังคงมีบันไดต่อขึ้นไปอีกชั้น ก็แม่สั่งห้ามลงไปชั้นล่างแต่ไม่ได้ห้ามขึ้นไปชั้นบนนี่ ขึ้นไปแค่ครึ่งชั้นก็ไปต่อไม่ได้เพราะมีแผ่นกระดานลงอักขระผืนใหญ่กั้นอยู่ไม่ให้ใครขึ้นข้ามไปได้ พี่เอกลับลงมาเจอด้ายแดงเส้นหนึ่งหล่นตรงขั้นบันได พี่เอเคยได้ยินผู้ใหญ่เล่าให้ฟังถึงคนไข้ผูกด้ายแดงที่ข้อมือเป็นคนไข้ที่ไร้ลมหายใจหรือที่เรียกว่า ผี นั่นเอง พี่เอให้ความคิดเห็นว่า ของบางอย่างถ้ามันอยู่ในที่ทางที่ผิดแผกไป ย่อมสร้างความหลอนได้เช่น ด้ายแดงเส้นนั้น ถ้าไปเจอในที่ที่ คนพลุกพล่าน ก็ยังพอทำเนาได้ว่ามีคนทำหล่นทิ้งไว้แต่นี่มาอยู่ในจุดที่คนปกติคงไม่ย่ำกรายมา พี่เอรู้สึกเบื่อๆ ไม่มีอะไรให้เล่นแล้วจะเดินกลับไปสู่ห้องพักพิเศษ
ตึ๊ง! แอดดด...
เสียงลิฟต์กริ่งจากลิฟต์ดังขึ้น ประตูลิฟต์ค่อยๆ แง้มเปิดออกมาอย่างช้าๆ ไม่รู้อะไรที่ทำให้พี่เอรู้สึกอยากรู้อยากเห็นว่าใครขึ้นลิฟต์มาชั้น 4 แต่สิ่งที่พี่เอเห็นทำเอาพี่เอหวาดกลัวขนพองสยองเกล้า สิ่งที่พี่เอเห็นคือ ขาสองข้างของคนที่มีเฉพาะแต่ขาเท่านั้น ย้ำว่ามีแต่ส่วนขา พี่เอดูให้แน่ชัดเห็นว่า สภาพขาคู่นั้นพันด้วนผ้าก๊อตหมดทั้งขาคู่ตั้งแต่หัวเข่ามาถึงข้อเท้า ไม่ใส่รองเท้า และน่าจะเป็นขาคู่ของผู้ชายเพราะเท้าสีคล้ำผิวหยาบ ขาคู่นั้นเลี้ยวเดินมาทางพี่เอ พี่เอเห็นว่าท่าจะไม่ดีจึงไปวิ่งแจ้นไปร้องไห้กรีดร้องไป จนมาถึงหน้าห้องคนไข้รวม ยังคงมีคนนั่งพักอยู่
“นุ้ยๆ เป็นไหรมา” มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งทักและจับตัวพี่เอแล้วไม่ให้เตลิดไปไกลกว่านั้นแล้วไถ่ถามด้วยภาษาใต้
“นุ้ยถูกผีหลอกมา” พี่เอตอบกลับด้วยภาษาใต้เช่นเดียวกันแต่มีสะอึกสะอื้นปน
“ผีตรงไหนนุ้ย” หญิงคนนั้นถามต่อแล้วชะโงกดูไปตามทางเดินที่พี่เอวิ่งมาพบเห็นเพียงแค่ความว่างเปล่า
“นุ้ยเห็นแต่ขาคนออกมาตามนุ้ยจากในลิฟต์” พี่เอบอกแล้วยังร้องไห้อยู่
“แล้วนี่พ่อแม่ไปไหน?”
“นุ้ยมาเฝ้าแม่เฒ่ากับแม่ อยู่แค่ห้องพิเศษค่ะ” พี่เอตอบ
“เดี๋ยวป้าไปตามพยาบาลให้นะ ให้พยาบาลพาไปส่งแค่ห้อง” หญิงคนนั้นเดินเข้าห้องคนไข้รวมไปตามพยาบาลให้มารับ ในขณะเดียวมีพยาบาลอีกคนเดินมาจากห้องน้ำ
“น้องเอ ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้คะ หนีแม่ออกมาเล่นใช่ไหม ไปเดี๋ยวพี่พาไปส่ง” พยาบาลสาวสวยเข้ามาทักแล้วจูงพี่เอไปส่งที่ห้องพักพิเศษ ผ่านเข้ามาทางห้องคนไข้รวม เตียงแต่ละเตียงมีคนไข้หญิงนอนหลับพักผ่อนซ้ายขวาข้างละ 10 เตียง พยาบาลจูงพี่เอเดินผ่านเตียง 20 ทางขวามือ คนไข้เตียงนี้ต่างจากคนไข้เตียงอื่นๆ เพราะคนไข้นอนไร้สติมีสายยางระโยงระยางแทบจะกล่าวได้ว่ามีชีวิตด้วยเครื่องช่วยหายใจ เสียงเครื่องช่วยหายใจดังตื้ด... ตื้ด... ตามจังหวะการหายใจ พี่เอดูอยู่แวบหนึ่ง คนนั้นนี่หน่า คนที่นั่งอยู่ห้องคนไข้รวมที่เรียกพี่เอให้หยุดหลังจากโดนผีหลอกตรงโถงลิฟต์ ในเมื่อนอนติดเตียงเป็นผักแบบนี้แล้วจะมาคอยช่วยเหลือพี่เอได้อย่างไร
เรื่องต่อมา... เป็นเรื่องของผมเอง ชีวิตมีเรื่องแปลกอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าย้ายบ้านจะต้องเจ็บป่วยหรือมีเหตุให้ไปนอนโรงพยาบาล อย่างตอนเด็กอายุประมาณ 10 ขวบผมจำปีได้ว่าปีพ.ศ. 2537 ผมย้ายบ้านมาได้สองสามเดือน ผมป่วยเป็นโรคไข้อีดำอีแดง นอนโรงพยาบาลอยู่ 10 วันรักษาไปตามอาการกำเริบ ไข้ขึ้นสูง ปวดศีรษะ เจ็บคอทรมานมาก แม่ต้องคอยเช็ดตัวไล่ความร้อนจากร่างกายให้ เป็นผื่นแดงขึ้นทั้งตัวคันคะเยอเกาก็ไม่ได้เพราะถูกสั่งห้าม ผมพักในห้องคนไข้รวมแผนกผู้ป่วยเด็กชั้น 1 ตึกเดียวกันกับที่เกิดเรื่องกับพี่เอ ผมนอนอยู่เตียง 2 เตียง 1 เป็นเด็กผู้หญิงอายุน้อยกว่าผมนอนไม่รู้สึกตัว แม่ของเด็กผู้หญิงคอยใช้ที่ดูดเสลดดูดเสลดออกจากลำคออยู่เนืองๆ เตียงตรงข้ามเป็นเด็กชายอายุประมาณ 12-13 เป็นมุสลิมโดนวัวขวิดเข้าก้นเป็นแผลเหวอะหวะต้องคอยล้างแผลทุกวัน เขามักร้องโอดโอยอยู่เป็นระยะๆ แม่คุยกับแม่ของน้องเตียง 1 เหตุที่น้องป่วยติดเตียงเป็นเพราะจมน้ำ ทางบ้านมีความเชื่อว่าการจมน้ำของน้องต้องไม่ใช่เรื่องปกติวิสัย จึงไปหาร่างทรงสอบถาม ร่างทรงบอกว่าเป็นเพราะเจ้าที่เล่นงาน พ่อของน้องไปล่วงเกินทำผิดต่อเจ้าที่ เฮ้ย! มันใช่หรือวะ โกรธเคืองพ่อแต่ไปลงที่ลูกแบบนี้ ส่วนเตียงตรงข้าม ม๊ะหรือภาษาไทยเรียกว่าแม่ ม๊ะของเด็กชายเชื่อว่าเด็กชายร้องโอดโอยเพราะถูกผีเข้าเพราะบางทีมีหลุดว่าอยากกินหมูซึ่งผิดจารีตของมุสลิม มันก็เป็นเรื่องแปลก มันชวนให้คิดว่าโดนผีเข้าจริงหรือไม่ หรือเป็นเพราะสภาพจิตใจอ่อนแอ ใจป่วยกายป่วย หากผีเข้าจริง ผีตนที่เข้าสิงเป็นใคร เป็นผีที่ติดตามมาจากที่เกิดเหตุเมื่อโดนวัวขวิด หรือเป็นผีในโรงพยาบาลที่อดอยากหิวโหยจึงเข้าสิงเพื่อร้องขอในสิ่งที่ตนต้องการ ผมรักษาตัวอยู่ในห้องคนไข้รวมเป็นเวลา 10 วัน แม้ว่าจะจองห้องพิเศษไว้แต่ก็ไม่ถึงคิวเรียกย้ายไปห้องพิเศษ ต้องทนอยู่ทนคันคะเยอมองซ้ายขวาเห็นเด็กวัยเดียวกันหรือไล่เลี่ยกันเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องให้ขบคิดด้วยความคิดเด็กๆ ว่าผีเป็นสิ่งที่น่ากลัวมีอิทธิฤทธิ์บันดาลให้คนเจ็บป่วยหรือตายได้ เลยกลายเป็นกลัวจับใจ ส่วนคนไข้เด็กทั้งสอง ผมไม่ทราบว่าหายป่วยเป็นปกติหรือไม่ น้องสาวเตียงข้างผมจะทรุดหนักหรือฟื้นขึ้นเป็นปกติ ผมก็ไม่ทราบได้
ผมย้ายบ้านอีกครั้งเมื่ออายุได้ 28 มาอยู่ได้แค่ 2 เดือนก็มีเรื่องให้ไปนอนโรงพยาบาล คราวนี้เกิดอุบัติเหตุ รถจักรยานยนต์ล้มข้อมือซ้ายหัก ผมไม่ใช่คนขับรถเร็ว บิดแค่ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแต่มาเจอสภาพถนนที่มืดและขรุขระเลยไม่สามารถควบคุมรถได้เลยล้มรถ คนไปทางรถไปทาง ผมต้องไปนอนอยู่ตึกอุบัติเหตุ 3 คืนแรกนอนอยู่ห้องคนไข้รวมรู้สึกรำคาญใจ ทำอะไรไม่คล่องตัว ไม่ค่อยได้หลับสนิทดีเพราะมีเสียงคนไข้เตียงอื่นร้องโอดโอยร้องเรียกพยาบาลมาดูอยู่เนืองๆ จนพักหลังพยาบาลปล่อยให้ร้องไปเรื่อยๆ ทำให้ผมสามารถแยกแยะได้ว่าใครอาการหนักใครเรียกร้องความสนใจ อีกอย่างคือ เบื่อหน่ายความแออัดของโรงพยาบาล แม้ว่าจะมีกฎในการเฝ้าไข้ให้เฝ้าแค่เพียงคนเดียวแต่บางรายยกโขยงมาเฝ้าคนไข้กันเป็นครอบครัว บางคนมีค่านิยมว่าการมาเยี่ยมผู้ป่วยเหมือนมาห้างสรรพสินค้านั่งรถกันเต็มรถแห่แหนกันมาดูมาเยี่ยมพาลูกเล็กเด็กแดงมากันชนิดไม่เกรงใจเชื้อโรคเลย ไม่เกรงว่าจะรับเชื้อโรคแล้วเจ็บป่วยทีหลัง พยาบาลทำงานกันก็ไม่สะดวก ทำตามกฎออกปากเชิญออกก็ด่าว่า เห็นแล้วก็ระอาใจแทนแพทย์พยาบาลทั้งหลาย ผ่านไปสามวัน ผมย้ายไปห้องพักพิเศษในช่วงบ่ายแก่ๆ พบความสงบสุขเสียที หลังจากนั้นผ่าตัดอีกครั้ง พักฟื้นหลังผ่าตัดอยู่ได้ 3 วันแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ มีเรื่องแปลกในคืนก่อนออกจากโรงพยาบาล ตามปกติกลางคืนห้องพักพิเศษห้องไหนมีคนไข้สามารถล็อกห้องได้ ไม่ต้องกลัวว่าพยาบาลจะเข้ามาวัดไข้ วัดความดันหรือมาตรวจให้ยาจะเข้ามาไม่ได้ พยาบาลจะไขกุญแจเข้ามาเอง คืนนั้นตอนเที่ยงคืนมีพยาบาลมาวัดไข้ วัดความดันเป็นปกติ มารู้สึกตัวอีกทีตอนตีสามที่ผมรู้ว่าเป็นเวลาตีสามเพราะนาฬิกาแขวนผนังอยู่ตรงข้ามกับเพราะผมเห็นพยาบาลคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างเตียง
“มาตรวจตามปกติค่ะ” พยาบาลคนนั้นแตะชีพจรตรงข้อมือด้านขวาพลางดูนาฬิกาข้อมือ
“เหรอครับ? เปิดไฟเพิ่มไหมครับ” ผมมองไปที่แม่ เห็นแม่นอนหลับอยู่จึงจะเรียกให้เปิดไฟ
“ไม่ต้องหรอกค่ะ มาตรวจแล้วก็ไปค่ะ คุณยายนอนอยู่ อย่าไปกวนท่านเลย” พยาบาลคนตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ เสียงเย็นๆ เรียบๆ ผมสังเกตรูปร่างหน้าตา เธอเป็นผู้หญิงรูปร่าง ตัวไม่สูงมากนักแต่ก็ไม่เตี้ย ผิวขาวซีดๆ หน้าตาบ่งบอกว่ามีเชื้อสายจีน ผมสั้นระดับติ่งหู
“ผมไม่เคยคุณพยาบาลเลย พรุ่งนี้ก็จะออกแล้ว” ผมชวนคุยไปเรื่อยๆ เพราะรู้สึกว่ามันนานเกินไป
“ดิฉันไปพักร้อนมาค่ะ คุณไม่เห็นดิฉันหรอกค่ะ เสร็จแล้วค่ะ ปีหน้ามาเจอกันอีกนะคะ” พยาบาลคนนั้นพูดเสร็จแล้วเดินออกจากห้องไป ผมไม่รู้สึกอะไรเลย ออกจากโรงพยาบาลใช้ชีวิตเป็นปกติแม้จะไม่สมบูรณ์เท่าใดนัก ผ่านไปเป็นปี ผมลืมเรื่องที่โรงพยาบาลไปหมดแล้ว จนกระทั่งแม่ต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัดหัวเข่า ได้เข้าพักหอผู้ป่วยพิเศษเหมือนอย่างผมเมื่อปีกลายเพียงแต่คนละห้องกัน ผ่าตัดหัวเข่าเสร็จ พักฟื้นอยู่หลายวัน จนแพทย์เจ้าของไข้แจ้งให้แม่กลับบ้านไปกายภาพบำบัดด้วยตนเอง เช้าวันกลับแม่อาบน้ำรอแพทย์พยาบาลมาตรวจครั้งสุดท้าย อาหารเช้ามาแล้ว ผมเตรียมอาหารให้แม่ จิ๊กนมจืดไว้กล่องหนึ่งเพราะรู้ว่าแม่ไม่ชอบดื่ม
“แม่โดนผีหลอกนะ” แม่ตักข้าวต้มกุ๊ยมาชิมแล้วพูดเปรยๆ
“ยังไงแม่”
“ก็เมื่อคืนตอนตีสามมีพยาบาลเข้ามาจับชีพจร ชวนแม่คุยอยู่นาน พยาบาลคนนี้แม่ไม่เคยเห็นหน้าเลย ตรวจเสร็จเขาก็บอกว่าปีหน้ามาเจออีกนะ แม่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร” แม่เล่าให้ผมฟังอย่างคร่าวๆ ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้ว
“ปีที่แล้วผมก็เจอแบบนี้เหมือนกัน ผู้หญิงผมสั้นหน้าตาหมวยๆ ผิวขาวๆ ไม่สูงไม่เตี้ยใช่ไหม แม่รู้ได้ไงว่าเป็นผี”
“ใช่ คนเดียวกันแหละ ที่รู้ว่าเป็นผีเพราะแม่เห็นว่าตอนเดินออกไป ขาไม่ติดพื้น เดินทะลุประตูออกไปเลย” แม่ตอบสั้นๆ แต่ทำเอาผมขนลุกขนชัน โชคดีที่วันนี้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ออกจากโรงพยาบาลช่วงเที่ยงวัน ผ่านไปอีก 1 ปีแม่มีพัฒนาการการเดินเป็นไปตามลำดับจากโยงโย่ด้วยเหล็กพยุงสี่ขาที่ตอนนี้กลายเป็นราวตากผ้าเช็ดเอนกประสงค์ มาเป็นไม้เท้า แล้วก็ต้องเข้าโรงพยาบาลอีกรอบเพื่อผ่าตัดเข่าอีกข้าง คราวนี้แม่ปรับตัวเรียนรู้การรับมือกับการดูแลตนเองก่อนและหลังผ่าตัด แม่ได้พักพิเศษตั้งแต่วันแรกที่เข้าโรงพยาบาล ห้องพักพิเศษติดกับบันไดหนีไฟ แค่คืนแรกผมก็รู้สึกนอนไม่ค่อยหลับเพราะรำคาญคนที่เดินขึ้นลงบันไดหนีไฟ แต่เก็บอารมณ์ไว้ หลังจากผ่าตัดแม่พักฟื้นไปทุกอย่างเป็นปกติ ความรำคาญเสียงคนเดินขึ้นลงบันไดหนีไฟแปรเปลี่ยนเป็นความเคยชิน คืนหนึ่งผมหลับไป ผมฝันว่า นอนกับพื้นห้องพิเศษระหว่างเตียงคนไข้กับประตูออกไปสู่ระเบียงหลังห้อง พยาบาลปริศนาที่มาเฉพาะตอนตีสามเดินเข้ามาในห้องหมายมุ่งมาที่ผม
“คุณคะ ย้ายไปนอนที่อื่นเถิดค่ะ ที่ตรงนี้ไม่เหมาะนักที่จะมานอน”
ผมยอมย้ายที่นอนแต่โดยดี กลับมานอนตรงที่นอนสำหรับคนเฝ้าเช่นเดิม แล้วก็ตกใจสะดุ้งตื่น ทุกอย่างในห้องยังเหมือนเดิม ผมดูเวลา ตีสามกว่าๆ ไฟจากทางเดินข้างนอกห้องยังสว่างไสว จะข่มตาหลับก็หลับไม่ลงเพราะเกรงว่าคุณพยาบาลคนนั้นจะย้อนกลับมาหาอีก วันทั้งวันทุกอย่างเป็นปกติแต่พอตกกลางคืน บรรยากาศห้องพิเศษดูเหมือนเปลี่ยนไป จากเป็นปกติสุขกลับรู้สึกวังเวง เย็นยะเยือก ผมไม่อยากจะข่มตาหลับ เสียงคนเดินขึ้นลงบันไดหนีไฟถี่กว่าเดิม น่าแปลกที่ผมได้ยินเสียงไซเรนถี่ยิบ ราวกับว่ามีอุบัติเหตุมากมาย โดยปกติแล้วเสียงไซเรนของรถฉุกเฉินเล็ดลอดขึ้นมาถึงชั้นบนสุดของตึกแต่ไม่ได้มีความถี่มากถึงขนาดนี้ พอเที่ยงคืนพยาบาลปกติไขกุญแจห้องเข้ามาวัดไข้ วัดความดันแม่ ผมผลอยหลับไป ฝันเห็นมีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาในห้อง เขาบอกให้ผมกลับบ้านมาเอาท้าวเวสสุวรรณ ผมตกใจตื่นอีกทีตอนตีสาม เสียงไซเรนรถฉุกเฉินก็ยังดังอยู่ ผมนอนเล่นอยู่ที่นอนจะเอาหลับเอาจริงเอาจังก็ไม่ได้ เดี๋ยวสะดุ้งตื่นเดี๋ยวง่วงก็หลับไปวนเป็นลูปไป ผมตื่นนอนอีกครั้งหกโมงกว่าๆ เพราะแม่เรียกให้ช่วยพยุงไปเข้าห้องน้ำ
“แม่อยากจะกลับบ้านแล้ว” แม่พูดเปรยๆ ขึ้น “แม่โดนอีกแล้ว ใครไม่รู้มาไล่ให้ลงจากเตียง พยาบาลคนนั้นก็มาอีกแล้ว”
“ผมก็อยากกลับเหมือนกัน เมื่อคืนไม่ได้นอนดีเลย ใครก็ไม่รู้เดินขึ้นเดินลงบันไดข้างๆ ห้องทั้งคืน แล้วเสียงรถหวอดังทั้งคืน แล้วฝันว่ามีผู้ชายบอกให้กลับบ้านไปเอาท้าวเวสสุวรรณมา ถ้ายังต้องนอนที่นี่อีก” ผมเล่าสั้นๆ แต่กระชับได้ใจความ
“เสียงอะไร แม่ไม่ได้ยินเลย แม่นอนหลับสบายดี แต่ฝันว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งยังรุ่นๆ อยู่มาบอกให้ลุกขึ้นจากเตียงนี้ไป เขาจะนอน ตกใจตื่นมาตอนตีสามตีสี่ พยาบาลคนนั้นเข้ามาในห้องมาจับแขนตรวจชีพจรเสร็จแล้วบอกกับแม่ ปีหน้ามาเจอกันอีก แม่รีบชิงตอบกลับไปว่า ไม่มาแล้ว ไม่อยากเจอกัน” แม่เล่าให้ผมฟังอย่างละเอียด ทำเอาผมรู้สึกกลัวจับใจเย็นสันหลังวาบ “ถ้าให้นอนอีกคืนก็ไม่เอาแล้ว”
แพทย์เจ้าของไข้ขึ้นมาตรวจตอนเก้าโมง อ่านชาร์จรายงานของพยาบาล ตรวจดูเข่าทั้งสอง “ป้าลองเดินให้ดูหน่อยครับ”
แม่ลงจากเตียงเดินโดยใช้เหล็กสี่ขาค้ำยันเดินกลับไปกลับมาอย่างตั้งใจ ผลการเดินเป็นที่น่าพอใจมาก “หมอ ป้าอยากจะกลับบ้านแล้ว” แม่ผมบอกกับหมอแต่ไม่ได้บอกถึงเหตุผลที่แท้จริง
“ดูผลตรวจและการเดินของป้าดีมาก วันนี้กลับบ้านเลยก็ได้หรือจะอยู่นอนอีกสักคืน” แพทย์เจ้าของไข้อนุญาตให้แม่กลับบ้านได้ เหมือนยกภูเขาออกจากอกคืนนี้ได้กลับไปนอนบ้านเสียที ผมว่านะ ถ้าอยู่ต่ออีกสักคืนสองคืน กลัวว่าผีจะหลอกแบบจัดเต็มคอมโบเซต พอแพทย์และพยาบาลกลับออกจากห้องไปผมรีบเก็บเสื้อผ้าของใช้ พยาบาลให้ทำอะไรเช่นไปรับยา ไปจ่ายเงินผมก็ไม่อิดออด ก่อนจะออกจากห้องพิเศษผมยกมือไหว้อำลาบอกกล่าวอยู่ในใจว่าจะไม่กลับมาที่นี่มาเจอกันอีกแล้ว นับจากนั้นมาเป็นเวลาสองปีแล้วที่ผมไม่ต้องเข้ามานอนโรงพยาบาลในฐานะคนป่วยหรือคนเฝ้าไข้ แล้วผมก็จะบอกเคล็ดไม่ลับแก่ใครก็ตามที่เข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆ ให้ลองอธิษฐานว่าจะไม่กลับมาเจอกันอีก ท้ายที่สุดผมอยากจะฝากไว้ให้ได้คิดว่า ผีจะมีจริงหรือไม่มีจริงไม่ใช่สาระสำคัญของชีวิต แต่ความดีความชั่วและผลของการกระทำนั้นมีจริง ทำดีก็ดีทำชั่วก็ชั่วแต่ถ้าทำดีกันเข้าไว้มากๆ มันก็จะดีเอง