รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) - เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 3) โดย ท่าเพชร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ลึกลับ,เรื่องสั้น,ระทึกขวัญ,ดราม่า,ย้อนยุค,ผึ,สยองขวัญ,ผี,ดราม่า,ลึกลับ,ย้อนยุค,ชนบท,วัด,เรื่องเล่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ลึกลับ,เรื่องสั้น,ระทึกขวัญ,ดราม่า,ย้อนยุค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ผึ,สยองขวัญ,ผี,ดราม่า,ลึกลับ,ย้อนยุค,ชนบท,วัด,เรื่องเล่า

รายละเอียด

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club)  โดย ท่าเพชร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ

ผู้แต่ง

ท่าเพชร

เรื่องย่อ

ผีมีจริงหรือไม่?

          คนเราตายแล้วไปไหน?

            สโมสรหลังเมรุ(Cemetery Club) มีจุดกำเนิดจากการได้รับแรงบันดาลใจจากได้ฟังเรื่องผี เรื่องวิญญาณ ทว่าจุดเริ่มต้นที่แท้จริงเกิดจากพระภิกษุกลุ่มหนึ่งสนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องเร้นลับทั้งประสบพบเจอเอง ได้ยินได้ฟังมาในระหว่างรอสวดมาติกาบังสุกุลศพในช่วงบ่ายและระหว่างรอสวดพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ในงานพิธีศพ บางคนอาจจะมองว่าการฟัง การอ่าน การชมเรื่องผีเป็นเพียงแค่ความบันเทิงเท่านั้น สำหรับผมเรื่องผีเป็นเรื่องที่มีเสน่ห์ชวนน่าหลงใหล มีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเอง เราอยากจะรู้ว่าประเทศนั้นประเทศนี้มีความเชื่อค่านิยม วัฒนธรรมที่สะท้อนอัตลักษณ์ตัวตนของประเทศนั้นๆ ผ่านการศึกษาเรื่องผี ผ่านคติความเชื่อในโลกหลังความตายได้ เรื่องผีบางเรื่องมีคติสอนใจซ่อนอยู่ มนุษย์ที่ตายไปแล้วไปสู่ภพภูมิที่ตนเองควรไป ยังวนเวียนอยู่กับมนุษย์เพราะความต้องการของเขา เธอทั้งหลายยังไม่บรรลุ ไม่ว่าจะเป็นการทวงความยุติธรรมให้แก่ตน การสั่งเสียอำลาคนที่เรารัก การใช้ตนเองเป็นธรรมทาน หรือแม้กระทั่งเป็นประจักษ์พยานในการแสดงผลของการทำความดีและผลของการทำชั่ว เรื่องผีบางเรื่องสะท้อนสภาพสังคมในแต่ละยุคอย่างเรื่อง นางนวล สะท้อนให้เห็นสภาพสังคมไทยในสมัยรัชกาลที่ 7 ที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นปกครองกับชนชั้นสามัญชนคนธรรมดา แม้จะมีการเลิกทาสมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ผู้คนมากมายก็ยังคงตกเป็นทาสของอำนาจเงิน อย่าง ซ่องเจ๊เนาและซุ้มยาดองยายนี สะท้อนสภาพบ้านเมืองของอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานีในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 

สารบัญ

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 1 ไปสวดศพ(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 1 ไปสวดศพ(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 2 วิวาห์ผี,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 3 วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 3 วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 4 หอปรารถนาดี,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 5 โรงเรียนสยองขวัญ,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 6 ซ่องเจ๊เนา(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 6 ซ่องเจ๊เนา(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนที่ 1),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 8 ไปหาดใหญ่คราวนั้นฉันยังจดจำ,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 9 โค้งเขาท่าเพชร,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 10 อย่านึกถึงฉัน,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 11 รวมเรื่องเล่าในโรงพยาบาล,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 1),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 13 สามเณรใจสิงห์(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 13 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 13 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 3)

เนื้อหา

เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 3)

สายๆ วันต่อมา พวกคณะนางโชว์และคนในคณะคาบาเร่ต์โซว์แล่นแล่แห่กระเชิงรีบมาศาลาไว้ศพ จุดธูปไหว้ศพสิน คนที่มาดูเหมือนว่าเกรงกลัวอะไรบางอย่าง

“พวกหนูถูกผีพี่สินหลอกค่ะแม่” จีจี้บอกกับปราณี

“ลูกฉันไปทำอะไรพวกเธอ” ปราณีเลิกกรองมาลัยแล้วมองหน้าพวกนางโชว์เพื่อรับฟังอย่างตั้งใจ

ไม่ทันจะเล่าอะไร นักดนตรีทั้งหลายเล่นดนตรีไทย เจาะจงเล่นเพลงมโนราห์บูชายัญ พวกนางโชว์ทั้งหลายตีวงกระจุกตัวร้องวี้ดว้ายกรีดกราย

“จะตกใจอะไรกันนักหนา” แดนเดินมานั่งฟังอิทธิฤทธิ์ของสิน พอได้ยินเพลงมโนราห์บูชายัญก็รู้สึกแขยงเช่นกัน “ถ้าไม่เล่า พี่จะเล่าบ้างนะ”

“คือย่างนี้ค่ะ พี่วิตอนนี้ป่วยเป็นไข้เลยค่ะ พี่วิเล่าให้ฟังว่า ขึ้นรถมาได้กลิ่นอะไรก็ไม่รู้เหมือนที่ได้กลิ่นหลังจากฟังพระเทศน์จบ ติดตามจนถึงออฟฟิศ พวกข้างล่างหน้าโรงต้อนรับนักท่องเที่ยวเห็นพี่สินยืนไหว้ต้อนรับแขกตรงประตูเข้าโรงละคร พอแขกเข้าโรงละครหมด พี่วิอยู่ในออฟฟิศคนเดียว เห็นพี่สินนั่งทำงานที่โต๊ะ ตกใจจนเป็นลม กว่ามีคนมาพบก็ตอนเสร็จงาน แม่บ้านกะดึกทำความสะอาดห้องน้ำ ได้ยินเสียงของผู้ชายจำได้ว่าเป็นเสียงของพี่สินร้องเพลงรางวัลแด่คนช่างฝัน ใครๆ ก็รู้ทั้งนั้นว่าพี่สินชอบเพลงนี้ แม่บ้านกล้าๆ กลัวๆ เปิดประตูห้องน้ำที่มีเสียงคนร้องเพลง เท่านั้นแหละแม่เจ้าประคุณเอ๋ย ศพค่ะศพ ศพห่อผ้าดิบมัดตราสังหน้าอืดบวมชัดเลยค่ะเป็นผี แม่บ้านแทบจะช็อกตายคาห้องน้ำ วิ่งหนีร้องกรี๊ดมาอยู่หลังสเตจ พวกเราช่วยกันดูแลไม่ให้เตลิดหรือเป็นล้มเป็นแล้ง โชว์ก็ต้องขึ้น ห่วงก็ห่วงแม่บ้าน กว่าแม่บ้านสงบสติอารมณ์ได้ก็ปาเข้าไปครึ่งชั่วโมง ซักถามกันเล่าไปเล่ามา ไฟดับ พวกเราตกใจร้องกรี๊ดวิ่งหนีจากหลังสเตจมาอยู่ตรงโถงทางเข้าโรงละคร แทบจะเหยียบกันตาย พี่สินหยอกซะแรงเชียว พอโชว์จบอีกะเทยสายมูอย่างอีกุ๊กไก่ อีโจโจ้ อีเรกะ มันบนไว้ ถ้าได้ทิปเยอะมันจะยกทิปครึ่งหนึ่งมาทำบุญ ปรากฏว่ากุ๊กไก่ได้ 50000 อีโจโจ้ได้ 45000 อีเรกะได้ 30000 มันก้เลยขอตามมาใส่ซองช่วยงานศพ เรื่องมันไม่จบเท่านั้น ทีมงานเคลียร์สเตจ พวกเราเปลี่ยนชุดอยู่หลังสเตจได้ยินเสียงเพลงมโนราห์บูชายัญดังกระหึ่มไร้ซึ่งที่มา ทีมซาวด์เช็คแล้วว่าระบบเสียงปิดหมดแล้ว บนสเตจเห็นเงาสลัวๆ มีคนรำอยู่ พอเปิดไฟสเตจให้สว่างอีกครั้งพบแต่ความว่างเปล่าพวกเราเห็นกับตาเลย เสียงเพลงก็ยังดังอยู่ อีซอมันนึกได้ว่าพี่สินชอบโชว์มโนราห์บูชายัญมากที่สุด จึงยกมือไหว้บอกกล่าวพี่สินไปว่าจะจัดโชว์ให้ในวันเผา กะเทยเลยแห่แหนกันมาวัด มาปรึกษาหารือกับแม่และพี่แดนค่ะ” จีจี้เล่าเรื่องที่เกิดในโรงละครคาบาเร่ต์โชว์สถานที่ทำงานของสินเมื่อคืนที่ผ่านมาอย่างละเอียดถี่ยิบแล้วดื่มน้ำแก้กระหาย

“สินมาบอกพี่ในฝันตั้งแต่เมื่อวานแล้วละ เมื่อวานพี่นอนกลางวันในศาลา สินพาพี่ไปที่บ้านเช่าซอยนาใน เขาบอกว่าต้องอยู่ทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จ ส่วนเรื่องมโนราห์บูชายัญ สินก็มาบอกพี่เมื่อคืนแล้ว เมื่อคืนพี่ฝันไปสินเขานั่งดูรำมโนราห์บนโลง การแสดงพวกเธอจัดมาก็แล้วกัน ที่นี่มีวงดนตรีเล่นให้ ไปซ้อมกันให้ดีเถิด ทำกันให้เต็มที่ ป้าครับ บ้านที่ซอยนาในคืนบ้านไปยังครับ” แดนสรุปเรื่องทั้งหมดแล้วถามถึงเรื่องบ้านเช่าที่สินเช่าไว้เพื่อสะดวกในการเดินทางไปทำงานกับปราณี

“โอ๊ย! แม่ลืมเสียสนิทเลย แม่คิดว่าพอเสร็จงานจะไปคืนบ้านให้เรียบร้อย” ปราณีตอบ

“สินอยู่ที่นั่นแหละครับ อย่าเพิ่งคืนบ้านไปเลย เอาเป็นว่าผมเช่าต่อก็แล้วกัน” สินตัดสินใจรวบรัดตัดตอนทุกเรื่องที่เกี่ยวเนื่องด้วยสิน

“ไปกินข้าวกินปลาก่อนเถอะ แล้วค่อยกลับไปพักผ่อนซะ” ปราณีชักชวนให้พวกคาบาเร่ต์ไปกินข้าวที่โต๊ะอาหารข้างศาลา

พวกคาบาเร่ต์กลับไป รถเก๋งสีดำเข้าจอดหน้าศาลา ผู้หญิงคนหนึ่งใส่สูทสีดำทับเสื้อโปโลยูนิฟอร์มธนาคารแห่งหนึ่งลงมาจากรถ แดนมองปราดเดียวรู้ได้เลยว่าเป็นเกียวแฟนเก่าเขาเอง เกียวเดินเข้ามาในศาลาลงนั่งหน้าโลงศพจุดธูป 1 ดอกไหว้ศพ

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” แดนทักทายพลางทำลุกลี้ลุกลนเพราะไม่รู้จะวางตัวอย่างไรดี เพราะตั้งแต่เลิกเป็นแฟนกันก็ตัดความสัมพันธ์ไม่ได้ข้องแวะกันอีกเลย

“เกียวก็สบายดีไปตามประสา ทุกวันนี้ทำแต่งาน...” เกียวหันมาพูดกับแดนพลางเอามือข้างซ้ายมาลูบใบหน้าของตน แดนเห็นนิ้วนางข้างซ้ายของเกียวสวมแหวนเพชรเม็ดเขื่องเท่าเหรียญ 25 สตางค์ หล่อนคงจะบอกเป็นนัยๆ ว่าหล่อนมีเจ้าของแล้ว สายน้ำไม่มีวันไหลย้อนกลับ ถ่านไฟเก่าดับมอดสิ้นเชื้อไม่มีทางจุดไฟติดขึ้นมาได้อีกแล้ว

“นี่รู้ข่าวว่าสินตายมาจากไหนหรือ?” แดนถาม

“สินเป็นลูกค้าที่แบงค์ ทำประกันไว้กับพี่เจิน พี่เจินบอกกับเกียวว่าสินลูกค้าของแกเสียชีวิตลงต้องเตรียมเอกสารในเวนคืนประกัน คืนนี้พี่เจินจะมางานศพแล้วคุยกับป้าปราณีและก็แดนซึ่งเป็นผู้รับผลประโยชน์จากกรมธรรม์ แล้วก็... เอ่อ... มีที่คุยตรงอื่นไหมแดน” เกียว กวาดสายตามองไปรอบๆ คนในศาลาพลุกพล่านไปหน่อย เกียวคงอยากจะบอกอะไรบางอย่างกับแดน

“ตรงหลังศาลาโน้นมีม้านั่งอยู่ ไปคุยกันตรงนั้นก็ได้” แดนเดินนำทางเกียวไปนั่งคุยที่ม้านั่งหินอ่อน ตรงนั้นเงียบสงบ ห่างออกไปพ้นแนวรั้วไม้ดัดเป็นหมู่กุฏิพระ จึงมิใช่ที่ลับหูลับตามากมายจนเกิดความเสียวเปลี่ยวใจ เกียวนั่งลงข้างแดน นั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง

“เมื่อคืนสินมาหาเกียวที่บ้าน เรื่องผีสางพูดมากไปก็อายปาก เล่าเป็นตุเป็นตะใครเชื่อก็ดีไป ใครไม่เชื่อก็จะด่าว่าเสียไปแบงค์ที่เกียวทำงานอยู่ แดนก็น่าจะรู้ว่าการเป็นเทลเลอร์ของแบงค์ต้องอาศัยความน่าเชื่อถือ”

“เดี๋ยวนะเกียว เมื่อประเดี๋ยวเราไม่เข้าใจ สินทำประกันยกผลประโยชน์ให้เราด้วย ทำไมมันเป็นอย่างนี้ล่ะ”

“ก็ใช่นะสิ ผู้รับผลประโยชน์คือป้าปราณีกับแดน สินตัดสินใจเพิ่มแดนเป็นผู้รับผลประโยชน์หลังจากเริ่มป่วย แดนก็ยังเป็นแดน ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ก็สินรักแดน แล้วแดนก็รักสินไม่ใช่เหรอ? ที่เราสองคนเลิกเป็นแฟนกัน เพราะอะไรกันเล่า สิ่งที่แดนปฏิบัติกับเราไม่เหมือนอย่างที่แดนปฏิบัติกับสิน ตอนนั้นแดนอาจจะคิดอาจจะมองว่าเราเป็นผู้หญิงงี่เง่าหึงสินไม่เข้าเรื่อง ในความงี่เง่าหึงหวงของเราก็มีเหตุผลอยู่ แดนให้ความสำคัญกับสินมากกว่าเรา เรารู้ตั้งแต่แดนเลือกเรียนราชภัฏภูเก็ตซึ่งเป็นมหา’ ลัยเดียวกับสิน แทนที่จะยอมแอดมิชชั่นเข้าม.อ. หาดใหญ่ไปกับเรา ว่าแดนรักใครกันแน่ เอาเถอะเรื่องมันก็ผ่านไปนานแล้ว เราก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว เมื่อเดี๋ยวเราก็บอกกับสินว่า เราคงจะดูแลแดนแทนสินไม่ได้หรอก เพราะเราหมั้นหมายกับต้อมลูกชายเจ้าของโรงแรมแถวหาดกะตะ ปีหน้าก็จะแต่งงานกัน” เกียวเชิดหน้ายิ้มกระหยิ่ม เธอคือผู้ชนะในเกมความรัก คำว่าไม่รู้สึกอะไรเลยจากปากคงไม่ตรงกับใจหล่อน

“ส่วนเรื่องที่สินไปหาเมื่อคืนเป็นอย่างไรเหรอ? เล่ามาเถิด สินก็ไปหาไปขอให้คนโน้นคนนี้ทำอะไรให้ทั้งเรา ทั้งพวกคาบาเร่ต์”

“เราต้องเคลียร์เงิน เคลียร์งานพี่เจินก็อยู่ทำเอกสารยื่นขออนุมัติเงินผลประโยชน์ที่แบงค์จนมืดค่ำ เรากับพี่เจินได้เนื้ออับๆ เหมือนเนื้อที่ตากแดดไม่ได้ที่ แต่ก็แข็งใจกันทำงานจนเสร็จ จนได้ยินเสียงเพลงดนตรีไทยทำนองเศร้าๆ จนไฟดับพรึบติดๆ ดับๆ อยู่หลายหน พี่เจินกับเราตัดสินใจเลิกงานแยกย้ายกันกลับบ้าน ระหว่างทางเราขับรถมาได้กลิ่นอับๆ ที่ได้กลิ่นในแบงค์สลับกลิ่นน้ำอบหอมฟุ้ง จนเราทนไม่ไหวต้องแวะเข้าห้องน้ำปั๊มอาเจียนสำรอกออกมา แข็งใจขับรถกลับบ้าน ถึงบ้านหมาแถวบ้านเห่าหอนกันเกรียวทำเราขนลุกซู่ ลงจากรถรีบเดินเข้าบ้าน พ่อแม่เราทักว่า พาผู้ชายที่ไหนมาตอนแรกนึกว่ามากับต้อมแต่ดูอีกทีไม่ใช่เพราะต้อมเป็นคนรูปร่างสันทัด ผิวขาวเพราะเป็นคนจีนแต่ผู้ชายที่มาผิวดำแดงร่างผอมกว่าต้อม เรารู้โดยทันทีว่านั่นคือสิน หมาหอนอีกครั้ง แล้วก็วงแตกล่ะสิ พ่อแม่และเราแยกย้ายกันเข้าห้องนอน สินมาเข้าฝันเรา ฝากขอให้เราดูแลแดน เราก็ต้องมาจุดธูปบอกกับสินตามนั้นแหละ” เกียวเล่าให้ฟัง “นี่ซองเงินทำบุญ ถามจริงๆ เหอะแดน เพราะอะไรกันที่ทำให้แดนไม่ลงเอยกับสิน ชีวิตของแดนกับสินน่าจะมีความสุขมากกว่านี้ จนมาถึงจุดนี้มันก็สายไปแล้ว”

“เพราะความขลาดเขลาของเราไง เรามันโง่เองเกียว จริงๆ แล้วใจเรารักสินแต่เราไม่กล้ารับความจริง เรากลัว กลัวที่บ้านไม่ยอมรับ กลัวคนอื่นว่า กลัวว่าสินไม่ได้รู้สึกรักเราในทำนองนั้นแล้ว คิดกะเราเป็นแค่เพื่อน รักสินแต่มีคำว่ากลัว... กลัว... และกลัว สุดท้ายแล้วสินก็จากเราไปไม่มีวันหวนกลับ” แดนพรั่งพรูความในใจออกมา

“เราสองคนไม่มีอะไรค้างคาแล้วกัน ไม่ใช่สิ เราทั้งสามคนไม่มีอะไรค้างคาต่อกันแล้วล่ะ ต่อจากนี้เราใช้ชีวิตที่มีอยู่เพื่อตนเองและคนที่เรารัก เราคงต้องกลับแล้วล่ะ ฝากสวัสดีป้าปราณีด้วยล่ะ วันเผาเราค่อยมาร่วมงาน” เกียวอำลา ลมพัดมาวูบหนึ่ง ใบไม้แห้งร่วงหล่นปลิดปลิวมาจากต้นไม้ในอาณาบริเวณนี้เหมือนแทนการรับรู้ของสิน สินคงเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลแล้วเสียกระมัง