รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) - เรื่องที่ 14 นางเบ็ด(ตอนแรก) โดย ท่าเพชร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ลึกลับ,เรื่องสั้น,ระทึกขวัญ,ดราม่า,ย้อนยุค,ผึ,สยองขวัญ,ผี,ดราม่า,ลึกลับ,ย้อนยุค,ชนบท,วัด,เรื่องเล่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ลึกลับ,เรื่องสั้น,ระทึกขวัญ,ดราม่า,ย้อนยุค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ผึ,สยองขวัญ,ผี,ดราม่า,ลึกลับ,ย้อนยุค,ชนบท,วัด,เรื่องเล่า

รายละเอียด

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club)  โดย ท่าเพชร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ

ผู้แต่ง

ท่าเพชร

เรื่องย่อ

ผีมีจริงหรือไม่?

          คนเราตายแล้วไปไหน?

            สโมสรหลังเมรุ(Cemetery Club) มีจุดกำเนิดจากการได้รับแรงบันดาลใจจากได้ฟังเรื่องผี เรื่องวิญญาณ ทว่าจุดเริ่มต้นที่แท้จริงเกิดจากพระภิกษุกลุ่มหนึ่งสนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องเร้นลับทั้งประสบพบเจอเอง ได้ยินได้ฟังมาในระหว่างรอสวดมาติกาบังสุกุลศพในช่วงบ่ายและระหว่างรอสวดพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ในงานพิธีศพ บางคนอาจจะมองว่าการฟัง การอ่าน การชมเรื่องผีเป็นเพียงแค่ความบันเทิงเท่านั้น สำหรับผมเรื่องผีเป็นเรื่องที่มีเสน่ห์ชวนน่าหลงใหล มีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเอง เราอยากจะรู้ว่าประเทศนั้นประเทศนี้มีความเชื่อค่านิยม วัฒนธรรมที่สะท้อนอัตลักษณ์ตัวตนของประเทศนั้นๆ ผ่านการศึกษาเรื่องผี ผ่านคติความเชื่อในโลกหลังความตายได้ เรื่องผีบางเรื่องมีคติสอนใจซ่อนอยู่ มนุษย์ที่ตายไปแล้วไปสู่ภพภูมิที่ตนเองควรไป ยังวนเวียนอยู่กับมนุษย์เพราะความต้องการของเขา เธอทั้งหลายยังไม่บรรลุ ไม่ว่าจะเป็นการทวงความยุติธรรมให้แก่ตน การสั่งเสียอำลาคนที่เรารัก การใช้ตนเองเป็นธรรมทาน หรือแม้กระทั่งเป็นประจักษ์พยานในการแสดงผลของการทำความดีและผลของการทำชั่ว เรื่องผีบางเรื่องสะท้อนสภาพสังคมในแต่ละยุคอย่างเรื่อง นางนวล สะท้อนให้เห็นสภาพสังคมไทยในสมัยรัชกาลที่ 7 ที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นปกครองกับชนชั้นสามัญชนคนธรรมดา แม้จะมีการเลิกทาสมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ผู้คนมากมายก็ยังคงตกเป็นทาสของอำนาจเงิน อย่าง ซ่องเจ๊เนาและซุ้มยาดองยายนี สะท้อนสภาพบ้านเมืองของอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานีในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 

สารบัญ

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 1 ไปสวดศพ(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 1 ไปสวดศพ(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 2 วิวาห์ผี,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 3 วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 3 วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 4 หอปรารถนาดี,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 5 โรงเรียนสยองขวัญ,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 6 ซ่องเจ๊เนา(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 6 ซ่องเจ๊เนา(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนที่ 1),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 8 ไปหาดใหญ่คราวนั้นฉันยังจดจำ,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 9 โค้งเขาท่าเพชร,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 10 อย่านึกถึงฉัน,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 11 รวมเรื่องเล่าในโรงพยาบาล,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 1),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 13 สามเณรใจสิงห์(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 13 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 13 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 13 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 4),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 14 นางเบ็ด(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 14 นางเบ็ด(ตอนจบ)

เนื้อหา

เรื่องที่ 14 นางเบ็ด(ตอนแรก)

1 ปีให้หลัง...

ในค่ำคืนหนึ่งเสียงนกแสกร้องแขวกบินโฉบฉวัดเฉวียนดังระงมทั่ววัด เป็นที่รู้กันโดยบัดดลว่าจะมีศพเข้าวัด และก็เป็นไปอย่างนั้นจริงๆ มีศพเข้าตั้งทำพิธีที่ศาลาในเขตป่าช้า ศพนี้เป็นศพหญิงวัยรุ่นอายุอานามไม่เกิน 18 ปีแต่มีการต่ออายุให้ถึง 18 ปี ตามคติความเชื่อว่าต้องเติมอายุเพื่อชาติหน้าจะได้เกิดมามีอายุขัยเพิ่มขึ้น ผมได้รับนิมนต์สวดศพ เห็นว่างานศพมีญาติสนิทมิตรสหายมาร่วมงานน้อย ศาลาตั้งศพขนาดเล็กดูกว้างขวางโอ่อ่า ขึ้นสวดศพตอนสองทุ่ม มีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นระหว่างสวด ผมได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้เบาๆ คลอไประหว่างสวด ผมคอยลอบมองดูเป็นระยะๆ ก็ไม่เห็นญาติโยม แขกมางานศพร้องไห้เศร้าโศก ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ จนเสร็จงานศพแยกย้ายกลับกุฏิ ล้างเท้าล้างมือล้างหน้าเพราะเคยไม่ล้างแล้วเข้าจำวัดนอนหลับแล้วฝันเห็นผีน่ากลัว ผมกราบหมอนไหว้พระพร้อมจะนอนแล้วได้ยินสุนัขนอกกุฏิเห่าหอนกันเกรียวกราว ไม่นึกกลัวอะไรเพราะอยู่ในวัดมีสุนัขมากก็ต้องเห่าหอนเป็นธรรมดาสามัญ

ปัง... ปัง... ปัง...

ใครกันมาเคาะประตูกุฏิ ผมลุกไปดูเพราะคิดมีพระรูปใดรูปหนึ่งมีธุระร้อนมาพบในยามวิกาลเช่นนี้ เปิดออกไป พบแต่ความว่างเปล่าแฮะ ผมสอดส่ายสายตามองไปในความมืด ไม่มีใครเลยแต่ตรงโน้น ตรงมุมกุฏิหลวงพ่อเจ้าอาวาสที่ห่างไปจากกุฏิเรือนไม้ที่ผมอาศัยอยู่ไปประมาณ 50 เมตร เห็นเงาดำแอบซุ่มมองอยู่ เอ๊ะ! ใครกันผีหรือคน เพราะหากใช่คนที่มาแกล้งเคาะประตูกุฏิต้องวิ่งอย่างว่องไวตามทางเดินที่เบี่ยงกองขยะที่ขวางอยู่ระหว่างหลังกุฏิหลวงพ่อเจ้าอาวาสกับกุฏิหลังนี้ เงาคนนั้นค่อยๆ หายไปทิ้งความสงสัยไว้ ผมเห็นท่าไม่ดีเลยเข้ากุฏิไม่สนใจไยดีอะไรแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งหลังจากทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว เณรโอ้แวะมาพูดคุยกับผมที่กุฏิ

“พี่หลวงจำเณรรันที่บวชเณรปีที่แล้วได้ไหม” เณรโอ้ถาม

“เณรรันที่แอบหนีไปหาแฟนแล้วตายเหรอ ทำไมเหรอ? ผ่านมาปีหนึ่งยังเฮี้ยนอีกหรือ”

“ก็ไม่เชิง ศพผู้หญิงที่ศาลาเล็กก็คือซีแฟนเณรรันนั่นแหละ” เณรโอ้เฉลย

“อย่าบอกว่านะว่าผีเณรรันมาเอาชีวิตซี”

“ครับ ทั้งพ่อแม่ญาติพี่น้องเขาเชื่ออย่างนั้นครับ” เณรโอ้ตอบแล้วเล่าความได้ความว่า หลังจากเกิดเหตุร้ายระยำตำบอน ซีพยายามใช้ชีวิตอย่างปกติ ทว่าปากคนยาวยิ่งกว่าปากกา โดนชาวบ้านที่ทราบข่าวตำหนิด่าทอสาปแช่ง ในเย็นย่ำวันหนึ่งหลังจากซีซื้อของใช้ส่วนตัวที่ร้านโชว์ห่วยตรงปากซอยเสร็จเดินกลับบ้าน ผ่านกลุ่มชาวบ้านที่จับกลุ่มนินทาชาวบ้านเป็นอาจิณ มิวายที่ซีถูกนินทา

“นี่ๆ อีนี่แหละที่ยั่วเณรออกจากวัดให้มาซั่มถึงบ้าน” พวกปากหอยปากปูในชุมชนนินทาระยะเผาขนในระหว่างที่ซีเดินผ่านกลับเข้าบ้าน

“โอ้โห... มันได้อารมณ์รึไงวะ โล้นๆ ไม่มีคิ้ว มันต่างจากคนปกติมีผมมีคิ้วหรือ มันต้องสุวรรณมาลีเบอร์ไหนเชียววะพวกมึง”

“ไม่นึกถึงหน้าพ่อแม่เลย เชื่อจริง”

“โอ๊ย! มันจะอายอะไร แม่มันก็สึกพระทำผัวเหมือนมันนี่แหละ พ่อมันบวชถึงเป็นมหา กำลังจะมีชาวบ้านนิมนต์ไปเป็นเจ้าอาวาส แม่มันดักรอใส่พระทุกวัน ใส่ไปใส่มาพระสึกออกมาพาแม่มันหนีแล้วค่อยย้อนมาขอขมาผู้ใหญ่ โบราณถึงบอกดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ ผู้หญิงบ้านนี้หน้าคงหนายิ่งกว่าถนนคอนกรีต เป็นดอกไม้ก็ดอกไม้สีทอง ดู้ดูเดินลอยหน้าลอยตาไปมาอยู่ได้ นี่กูได้ข่าวมาเณรนั่นตายแล้วนะ”

“หา... บาปกรรมแท้ๆ แล้วจะอยู่ได้ไงเนี่ย”

“มันจะรู้สารู้สมอะไร ถ้ามันคิดได้แต่แรกมันก็ไม่กล้าหรอก ต่อไปบ้านไหนมีลูกชาย มีใครหมายจะบวชพระบวชเณรอย่าให้อีนี่รู้เชียวมันจะจับทำผัวคาผ้าเหลือง อีกดอก อีกดอก อีกดอก โอ๊ย... อีกดอก”

ซีฟังก็น้ำตานองหน้าเดินกลับบ้านอย่างอับอาย นับจากนั้นก็ซุกซ่อนตนเองอยู่ในบ้าน เรื่องหลอนยังคงเกิดต่อเนื่อง ตกกลางคืนสุนัขมาเห่าหอนหน้าบ้านซี นายรันปรากฏตัวในสภาพศีรษะโล้น นุ่งห่มสบงจีวรสกปรกมอซอถือเชือกมาหา

“ซีไปกันเถอะ... อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ ไปอยู่ด้วยกันนะ...” นายรันยื่นเชือกมาให้ซี

“มะ... มะ... มะ... ไม่ไป ฉันยังไม่อยากตาย” ซีร้องลั่นปฏิเสธ

“ไปเถิด เธออยากให้ฉันมาหาเธอ ฉันก็มาแล้ว เธอดีแต่เรียกร้องจากฉัน ฉันเรียกร้องจากเธอไม่ได้หรือง” นายรันตวาดเสียงเขียว

“อย่าเอาฉันไปเลย กรี๊ดดดดด” ซีกรีดร้องลั่น คนในบ้านได้ยินอารามตกใจรุดเร่งมาหาซีที่ห้อง เปิดไฟห้อง พบว่าซีนั่งกอดตัวกลมสั่นสะท้านงันงก พร่ำเพ้อว่าไม่เอาไม่ไปไม่อยากตายซ้ำไปซ้ำมา

“ซีๆ เป็นอะไรลูก” แม่ไถ่ถามพลางลูบเนื้อลูบตัวอย่างอ่อนโยน

“รันมาหา แม่รันมา” ซีร้องตอบแล้วกอดแม่

“ไหนล่ะลูก ไม่มีอะไรเลย ละเมอรึเปล่า?” พ่อบอก “ไม่มีอะไรแล้วล่ะกลับไปนอนดีกว่า”

ผ่านพ้นไปหนึ่งคืนซีนอนหลับอย่างหวาดๆ หลังจากนั้นนายรันจะมาปรากฏตัวในความฝัน ในฝันซีและรันพบเจอกันมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันในสถานที่แตกต่างกันไปโดยลืมเลือนไปแล้วว่ารันตายจากไปแล้ว ซีฝันแบบนี้ไม่บ่อยแต่ผลพวงจากความฝันส่งผลมาที่ร่างกาย ซีผ่ายผอมซีดเซียวรับประทานอาหารไม่ค่อยได้ ทว่าซีก็ไม่กล้าเล่าความฝันนี้ให้ใครฟังเพราะความฝันก็คือความฝันเพ้อเจ้อไร้สาระ และไม่เป็นการดีหากจะเอ่ยถึงรันอีก

“แม่ว่าซีดูผอมไปนะ ดูไม่มีน้ำมีนวลเลย” แม่พูดคุยกับซีหลังจากสังเกตความเป็นไปของซีมาสักระยะหนึ่ง

“อากาศร้อน หนูรู้สึกไม่สบายตัวเท่าไหร่ค่ะ” ซีตอบคำถามแม่โดยเลี่ยงที่จะเล่าความจริง

“ไม่มีอาการอย่างอื่นอีกนะ” แม่กระซิบถามซีโดยมีความหมายสื่อถึงว่าซีมีอาการท้องหรือไม่

“ไม่หรอกแม่ หนูป้องกันตัวไว้อย่างดีแล้ว” ซีตอบอย่างไม่เหนียมอาย

“ก็ดีแล้ว แม่จะได้จัดยาให้ลูกกินอย่างถูกขนาน ทำตัวให้เป็นปกติ” แม่แนะนำ

“หนูไม่อยากออกไปไหน คนแถวนี้ว่าหนูแล้วลามมาถึงแม่” ซีบอก

“ก็ช่างมัน คนพวกนั้นมันปากหอยปากปูมันพูดไปเรื่อยแหละ ใครทำอะไรผิดไป พวกมันก็ว่าหมดแหละ ไม่ต้องสนใจพวกมัน พวกมันไม่ได้ให้เบี้ยเราใช้ ทำใจให้สบายอีกไม่กี่วันก็เปิดเทอมแล้ว” แม่ปลอบโยนซี

เปิดภาคเรียนซีไปเรียนหนังสือตามปกติ ที่จริงรันกับซีเรียนหนังสือคนละห้องกันมีเพื่อนๆ รู้กันไม่มากนักว่าทั้งสองคบหาเป็นแฟนกัน แต่เพื่อนๆ ในห้องเรียนของรันได้จัดกิจกรรมไว้อาลัยให้แก่รันเล็กๆ น้อยๆ ทว่าสาเหตุการตายของรันที่แท้จริงถูกปกปิดเอาไว้จึงมีเพื่อนๆ ส่วนหนึ่งแสดงความเสียใจต่อซี

“ไม่เป็นไรนะแก” แคทปลอบใจซีขณะผัดแป้งเด็กทาหน้าตรงกระจกในห้องน้ำ

“คนก็ตายไปแล้ว ชีวิตของเราต้องเริ่มใหม่ซะ” แพนตบบ่าซีปลอบใจ

“เราก็พยายามไม่คิดถึงนะ ชีวิตของเราคงต้องเริ่มใหม่ เกิดมาเป็นคนสวยก็ต้องทำใจสินะ เฮ้อ! ความสวยมันช่างเป็นบาปซะจริง” ซียืนพิศรูปโฉมตนเองอย่างภาคภูมิใจ “เตรียมตัวไปเข้าแถวกันเถอะ”

สนามฟุตบอลหน้าโรงเรียนมีนักเรียนยืนเข้าแถวเป็นระเบียบ มีอาจารย์ผู้หญิงถือไม้เรียวแกว่งวัดเฉวียนคุมนักเรียนให้อยู่ในระเบียบ อาจารย์ผู้หญิงเห็นซีแล้วทำสีหน้ารังเกียจแล้วเดินไป ซีหลบตาก้มศีรษะเพราะคิดว่าอาจารย์ทราบเรื่องที่ผ่านมาในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนกลายเป็นคนที่มีชนักติดหลัง คิดไปต่างๆ นานาว่าอาจารย์จะนำเรื่องความเลวระยำที่เธอสร้างไว้ไปโพนทะนาจนเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ทั้งครูและเพื่อนนักเรียน ยืนเคารพธงชาติอยู่นาน ซีรู้สึกร้อนวูบวาบเหงื่อออกเต็มหน้าเพราะอากาศวันนี้ร้อนแรงราวกับอากาศในนรก ซีหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อแต่ลมพัดปลิวผ้าเช็ดหน้าลอยตกพื้นสนามหญ้าห่างตัวออกไป ซีจึงเคลื่อนตัวก้มลงไปหยิบผ้าเช็ดหน้าในท่าทางเหมือนมองลอดใต้หว่างขา เท่านั้นแหละเห็นเลยว่าผีรันในสภาพน่ากลัวเละๆ เฟะๆ ทะลึ่งโผล่หน้าพรวดมาแนบชิดกับหน้าของซี

“ไปอยู่ด้วยกานนนน... “รันพูดช้าๆ แล้วใช้มือยุ่ยๆ มาจับซี

“ไม่ไป” ซีร้องลั่นแล้วเป็นลมล้มพับหมดสติ สร้างโกลาหลให้แก่เพื่อนๆ และคณาจารย์ต้องช่วยกันหามไปพักฟื้นยังห้องพยาบาล ซีฟื้นสติแล้วกลับมาที่ห้องเรียนพบกับอาจารย์ที่ปรึกษาและรับตารางเรียน ทุกอย่างเป็นปกติ ในวันนั้นไม่มีการเรียนการสอนใดๆ ซีก้ไปเที่ยวเล่นบ้านแคทตามประสา จนบ่ายๆ แคทออกมาส่งขึ้นรถโดยสารปากซอยบ้าน ก่อนจะขึ้นรถ ซีและแคทแวะซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ พบเจอกับผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ กับบ้านแคท

“พี่บาสมาซื้อของเหรอคะ” แคทถาม

“อืม หิวนิดหน่อยน่ะแคท นี่เพื่อนเหรอสวยดีนะ” บาสตอบแล้วทักซีโดยมองมาไม่คลาดสายตา

“เพื่อนค่ะชื่อซี ซีนี่พี่บาสเรียนอยู่โรงเรียนโน้น” แคทแนะนำให้ทั้งสองรู้จักกัน

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะพี่บาส” ซียิ้มสื่อความนัยเชื้อเชิญให้บาสสานสัมพันธ์

นับจากนั้นมาซีและบาสคบหากันจนผ่านมาระยะหนึ่งทั้งสองพัฒนาความสัมพันธ์ถึงขั้นแฟน วันนั้นบาสนัดซีออกเดทมาดูภาพยนตร์เรื่องผีตุ้งแช่ที่โรงหนังใจกลางเมือง ที่ชั้นโรงภาพยนตร์บาสให้เงินซีไปซื้อตั๋วภาพยนตร์ที่บ็อกออฟฟิศ ส่วนเขาซื้อน้ำอัดลมและป๊อปคอร์น นั่งรอเข้าโรงไม่นาน พนักงานเปิดประตูโรง บาสและซียื่นตั๋วไปให้พนักงานฉีกหางตั๋ว

“น้องครับๆ ตั๋วขาดใบหนึ่งครับ” พนักงานชายบอกกับบาสและซี

“จะขาดได้อย่างไรพี่ ผมมากับน้องเขาแค่สองคน” บาสตอบ คำตอบของบาสทำเอาพนักงานชายมึนงงเขาหยิบวิทยุสื่อสารป้องปากคุยกับพนักงานคนอื่นที่อยู่ห่างออกไป

“ช่วยเข้าไปดูในโรงหน่อย มีผู้ชายวัยรุ่นผมเกรียนๆ เข้าไปแต่ไม่มีตั๋ว รีเช็คกล้องหน้าโรงด้วย รอสักครู่นะครับ” พนักงานชายบอกกับลูกค้าทุกคนที่จะเข้าชมภาพยนตร์รวมบาสและซียืนรอออยู่หน้าโรง

“โจ๊ก ไม่มีนะ ในโรงไม่มีใครเลย ปล่อยลูกค้าเข้ามาเลย หนังทีเซอร์เริ่มรันแล้ว” เสียงจากวิทยุสื่อสารปลายสายบอกมา ทำให้พนักงานชายทำสีหน้ามึนงง ปล่อยบาสกับซีและลูกค้าคนอื่นจำนวนหนึ่งเข้าไปในโรงได้

ในโรงมืดพอควรมีเพียงแสงสว่างและแสงจากไฟราวตรงผนังข้างโรงพอให้คลำทางไปสู่ที่นั่งได้ ลูกค้าคนอื่นเข้ามาดูผีตุ้งแช่ในโรงอย่างบางตา ในแถวที่บาสและซีนั่งมีคนนั่งอยู่ไม่กี่คน ซีจองที่นั่งให้บาสริมทางเดินข้างส่วนเธอนั่งตรงที่นั่งถัดจากบาส มองไปทางขวามีแต่ความว่างเปล่าจนสุดที่นั่งอีกฟากมีกลุ่มลูกค้านั่งดูผีตุ้งแช่แค่สองคน ข้างล่างถัดออกไปสามแถวมีลูกค้านั่งอยู่ไม่ถึงยี่สิบคน ส่วนชั้นบนสุดมีคนนั่งอยู่สี่คนเป็นชายสามหญิงหนึ่งคน ซีเลิกสนใจรอบๆ ตัวแล้วดูภาพยนตร์ตัวอย่างและกินป๊อบคอร์น จอภาพยนตร์ฉายโฆษณาผู้สนับสนุน ตัวอย่างภาพยนตร์ เพลงสรรเสริญพระบารมีจบลง จอภาพยนตร์ดับลง ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร ซีเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

“อะไรวะ” บาสสบถเสียงต่ำๆ พึมพำ

ตึง…

เฮ้ย!

กรี๊ด!

เชี่ย!

สารพัดสารพันคำสบถออกมา หลังจากในจอปรากฏภาพใบหน้าของผีเละๆ ห่อด้วยผ้าดิบใหญ่เต็มจอ ซีรู้สึกหวาดกลัวเพิ่มขึ้นเพราะผีตนนั้นหน้าตาคลับคล้ายคลับคลากับรัน ซีดูภาพยนตร์ต่อไปอย่างหวาดๆ

แอดดดดดดด

ซีมองดูทางต้นเสียงเห็นว่าเบาะที่นั่งเก้าอี้ข้างๆ เธอที่ว่างอยู่กลับหงายตั้งขึ้นราวกับว่ามีคนนั่ง ซีหลับตาหยีแล้วกุมมือของบาสไว้แนบแน่นทำเอาบาสยิ้มมุมปากดีใจ กุมมือซ้อนกับซีอย่างแนบแน่นเช่นเดียวกัน ซีลืมตาดูอีกครั้งพบว่าที่นั่งข้างๆ ที่ว่างอยู่กลับมาเป็นปกติแล้ว แต่คนสองคนที่ดูภาพยนตร์แถวเดียวกันที่อยู่คนละฝั่งริมทางเดินอีกฝั่งลุกขึ้นวิ่งออกไปจากโรงภาพยนตร์ ซีมองไปอย่างสงสัยว่าทำไมสองคนนั้นลุกขึ้นออกไปอย่างลุกลี้ลุกลน ไม่ทันความสงสัยในใจหยุด ซีได้คำตอบว่าทำไมเพราะซีเห็นร่างดำๆ ยืนอยู่ตรงประตูที่คนทั้งสองออกไป ร่างดำนั้นค่อยเดินมาและมานั่งตรงที่นั่งเดิมที่คนสองคนที่ออกไปแทน ซีสงสัยแต่ไม่สนใจจนเสียอาการดูภาพยนตร์ต่อไปแต่คอยเหลือบมองร่างดำมืดที่นั่งอยู่ในระนาบเดียวกันอยู่เนืองๆ

“อย่าเข้าไปนะ มันอันตราย” เด็กนักเรียนหญิงเตือน

“เราลืมมือถือไว้ในห้องน้ำ ถ้าไม่เข้าไปเอา ได้โดนแม่ตีแน่ๆ” เด็กนักเรียนชายยืนกรานจะเข้าไปในโรงเรียนให้ได้ เขาย่องเดินจากเด็กหญิงไป

“ฉันเตือนเธอแล้วนะ” เด็กสาวก้มหน้าลงแล้วพูด

ปึง!

เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมาอีกรอบ ใบหน้าขาวซีด ดวงตาโบ๋มีเลือดไหลออกจากเบ้าตาอาบสองแก้ม ผีเด็กสาวตั้งใจมาหลอกหรือมาช่วยเหนือเด็กหนุ่มกันแน่

พรึบ!

ภาพในจอดับลงเสียดื้อๆ ทุกคิดว่าว่าเป็นมุกซ้ำมุขซ้อนตั้งใจจะหลอกคนดูให้ตกใจอีกครั้ง รออยู่ครู่หนึ่งภาพในจอกลับมาฉายอีกครั้ง เป็นภาพที่ในห้องพิมพ์ดีดแห่งหนึ่ง มีเครื่องพิมพ์ดีดเรียงรายไร้ครูนักเรียนใดๆ ซีเพ่งพินิจภาพยนตร์เพราะรู้สึกคุ้นเคยและคุ้นตา

“ได้เราแล้วอย่าทิ้งเรานะ” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น เสียงนั้นเหมือนเสียงของซีเปี๊ยบ จนซีต้องโน้มตัวไปข้างหน้าเพ่งดูภาพยนตร์อย่างใกล้ชิดที่สุด

“เราไม่ทิ้งอยู่แล้วหรอกนา” เสียงของผู้ชายตอบมา ช่างเป็นเสียงของชายคนหนึ่งที่ซีเคยรู้สึกคุ้นเคยเป็นพิเศษ

“แน่นะ” เสียงหญิงสาวถามย้ำชายหนุ่มอีกครั้ง

“แน่สิ ต่อให้เราตายเราก็จะพาเธอไปอยู่ด้วยนะซี” สิ้นเสียงของชายคนนั้น ซีตกใจเพราะจำบทสนทนาในภาพยนตร์ทั้งหมดได้แล้วเพราะมันคือเหตุการณ์ที่เธอและรันมีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันครั้งแรกในห้องพิมพ์ดีดระหว่างที่โรงเรียนมีกิจกรรมกีฬาสี ซีรู้สึกถึงความผิดปกติแล้ว

“ไปอยู่กับกู” ร่างเน่าเฟะสูงใหญ่นุ่งห่มสบงอังสะผุๆ ขาดๆ เท่าจอภาพยนตร์ปรากฎตัวขู่ตะคอกแล้วเอื้อมมือยาวใหญ่มาจับใบหน้าของซี

“ไม่ กรี๊ด...” ซีร้องสุดเสียงเพราะความตกใจกลัว

“ซีๆ เป็นอะไรไปน่ะ หนังจบแล้ว กลับกันเถอะ” บาสเขย่าตัวปลุกซีให้ตื่นขึ้น

“ซีว่ารีบกลับเถอะค่ะ” ซีมองไปรอบๆ ตัวอย่างหวาดๆ ในโรงภาพยนตร์เปิดไฟนำทางสว่างพอควรน่าจะคลายความกลัวที่เกาะกุมหัวใจของเด็กสาวที่ประดุจผ้าขี้ริ้วยับพับขยำไว้ ซีขอบาสไปเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว ในระหว่างปลดทุกข์ในห้องน้ำก็ได้ยินผู้หญิงสองคนพูดคุยกัน

“ไอแจ็คมันเมารึเปล่าพี่ มันเที่ยวบอกใครต่อใครว่าโดนผีหลอก”

“บ้าเหรอ กลางวันแสกๆ นี่นะ”

“มันบอกว่าเจอเด็กวัยรุ่นผู้ชายหัวเกรียนๆ เดินเข้าโรงไปแบบไม่มีตั๋วตอนเช็คตั๋วที่โรงสาม วอคุยกันกับพี่ท๊อปในโรงสาม พี่ท๊อปก็บอกว่าไม่มี พอเช็คตั๋วเสร็จไปเช็คกล้องย้อนดูไม่เจออะไรผิดปกติเลย เรื่องน่าจะจบเท่านั้น ถ้าไม่มีลูกค้าสองคนออกมาจากโรงสามก่อนเวลาหนังจบ บังเอิญว่าหนึ่งในลูกค้ารู้จักพี่จินเลยไปเล่าให้พี่จินฟังว่าโดนผีหลอกในโรงสามจนต้อนเผ่นแนบออกมาดูหนังผีตุ้งแช่ไม่ทันจบ”

“มีด้วยหรือผีโรงสาม ไหนว่าที่นี่มีแต่คนเจอผีที่โรงสี่ นี่พี่ยุ้ยแอบฟังเรื่องความลับอีกแล้วนะ ถ้าพี่จินรู้ว่าพี่ยุ้ยเอาเรื่องผีเผอมาเมาท์ต่อจะเป็นเรื่องใหญ่เข้านะพี่”

“เหอะน่า ฉันไม่พูดแกไม่พูดใครจะไปรู้หรือวะ แกไม่อยากรู้หรือเปรี้ยว งั้นฉันออกไปทำงานต่อแล้วนะ”

“ก็เล่ามาสิพี่ยุ้ย”

“เรื่องมันก็ไม่ยาวมากนักหรอก ลูกค้าคนนั้นเขาเห็นว่ามีผีผู้ชายแต่งตัวคล้ายพระนั่งอยู่ข้างเด็กผู้หญิงหน้าตาสวยๆ ที่อยู่แถวเดียวกันแต่คนละฟากทางเดิน ตอนแรกเขานึกในใจว่าทางโรงหนังเล่นอะไรบางอย่างเพื่อดึงอารมณ์ร่วมของลูกค้า แต่มันไม่ใช่ ผู้ชายชุดพระหันมามองแสยะยิ้มแล้วทำคอหักเอียงขนานกับลำตัว ลูกค้ายังบอกว่าถ้าเห็นแค่คนเดียวก็คิดว่าตาฝาดแต่นี่เห็นเหมือนกันจึงรีบเผ่นแนบออกมาจากโรงหนัง เรื่องก็มีเท่านี้แหละ กลับไปทำงานดีกว่า”

ซีรอให้เสียงข้างนอกเงียบลงอยู่ครู่หนึ่งจึงเปิดประตูห้องน้ำออกมา แล้วล้างมือทำความสะอาดจึงออกมาจากห้องน้ำหญิง บาสรออยู่นานมากแล้ว

“ขอโทษที่ให้รอนานค่ะ” ซีเอ่ยขึ้น “แล้วจะไปต่อที่ไหนกันดีพี่บาส”

“นึกไม่ออกแฮะ ซีอยากไปไหนล่ะ” บาสถาม

“ไปบ้านซีไหมพี่ พ่อแม่ซีไปบ้านย่าที่ต่างอำเภอ กว่าจะกลับก็วันอาทิตย์เย็น”