รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ
ลึกลับ,เรื่องสั้น,ระทึกขวัญ,ดราม่า,ย้อนยุค,ผึ,สยองขวัญ,ผี,ดราม่า,ลึกลับ,ย้อนยุค,ชนบท,วัด,เรื่องเล่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club)รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ
ผีมีจริงหรือไม่?
คนเราตายแล้วไปไหน?
สโมสรหลังเมรุ(Cemetery Club) มีจุดกำเนิดจากการได้รับแรงบันดาลใจจากได้ฟังเรื่องผี เรื่องวิญญาณ ทว่าจุดเริ่มต้นที่แท้จริงเกิดจากพระภิกษุกลุ่มหนึ่งสนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องเร้นลับทั้งประสบพบเจอเอง ได้ยินได้ฟังมาในระหว่างรอสวดมาติกาบังสุกุลศพในช่วงบ่ายและระหว่างรอสวดพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ในงานพิธีศพ บางคนอาจจะมองว่าการฟัง การอ่าน การชมเรื่องผีเป็นเพียงแค่ความบันเทิงเท่านั้น สำหรับผมเรื่องผีเป็นเรื่องที่มีเสน่ห์ชวนน่าหลงใหล มีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเอง เราอยากจะรู้ว่าประเทศนั้นประเทศนี้มีความเชื่อค่านิยม วัฒนธรรมที่สะท้อนอัตลักษณ์ตัวตนของประเทศนั้นๆ ผ่านการศึกษาเรื่องผี ผ่านคติความเชื่อในโลกหลังความตายได้ เรื่องผีบางเรื่องมีคติสอนใจซ่อนอยู่ มนุษย์ที่ตายไปแล้วไปสู่ภพภูมิที่ตนเองควรไป ยังวนเวียนอยู่กับมนุษย์เพราะความต้องการของเขา เธอทั้งหลายยังไม่บรรลุ ไม่ว่าจะเป็นการทวงความยุติธรรมให้แก่ตน การสั่งเสียอำลาคนที่เรารัก การใช้ตนเองเป็นธรรมทาน หรือแม้กระทั่งเป็นประจักษ์พยานในการแสดงผลของการทำความดีและผลของการทำชั่ว เรื่องผีบางเรื่องสะท้อนสภาพสังคมในแต่ละยุคอย่างเรื่อง นางนวล สะท้อนให้เห็นสภาพสังคมไทยในสมัยรัชกาลที่ 7 ที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นปกครองกับชนชั้นสามัญชนคนธรรมดา แม้จะมีการเลิกทาสมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ผู้คนมากมายก็ยังคงตกเป็นทาสของอำนาจเงิน อย่าง ซ่องเจ๊เนาและซุ้มยาดองยายนี สะท้อนสภาพบ้านเมืองของอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานีในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
มันเป็นไปอย่างใจของทั้งสองต้องการ ทั้งสองตกเป็นทาสกามรมณ์ ยามใกล้รุ่งหนึ่งหนุ่มหนึ่งสาวที่ปล่อยความใคร่เป็นสรณะ นอนอิงแอบในอ้อมกอดในสภาพเปลือยเปล่าซุกตัวในผ้าห่มผืนเดียวกัน ผีรันปรากฏกายลอยตัวอยู่ตรงปลายเตียง จ้องมองสองคนนั้นด้วยสายตาแข็งกร้าวสื่ออารมณ์โกรธแค้น บาสรู้สึกตัวตื่นมาเห็นรางๆ ไม่ชัดว่ามีคนยืนอยู่ปลายเตียงนอนจึงขยี้ตาเพ่งดูอีกครั้ง ชัดเจนว่ามีผู้ชายผมเกรียนอายุอานามไล่เลี่ยกับเขา ยิ่งดูยิ่งขนลุกเกรียวรู้ตัวว่าเจอดีเข้าแล้วเพราะชายคนนั้นยืนเท้าไม่ติดพื้นพูดง่ายๆ คือลอยอยู่นั่นเอง ผีรันเปลี่ยนเป็นสามเณรนุ่งห่มสบงอังสะเปื่อยขาด ร่างกายเต็มไปด้วยแผลถลอกเลือดซิบ ใบหน้าแถบขวาเนื้อเปิดจนเห็นกระดูกเป็นหย่อมๆ ชวนน่าหวาดกลัวสะอิดสะเอียนยิ่งนัก
“มึงแย่งเมียกู มึงต้องตาย” ผีเณรรันร้อง
“ผะๆๆ ผีหลอก” บาสร้องสุดเสียงแต่เหมือนว่าเสียงติดอยู่ในลำคอและในตอนนี้ร่างกายขยับเขยื้อนไม่ได้แล้ว
“มึงต้องตาย” เณรรันลอยตัวมาอยู่เหนือร่างบาสแล้วยกเท้าลงมากระทือบเข้ากลางอกบาสอย่างเต็มรัก บาสรู้สึกเจ็บปวดทรมานเหลือคณานับแต่พูดไม่ออกทำได้แค่ร้องครางหงิงๆ ไม่มีใครช่วยได้ ซีหลับสนิทเหมือนคนตายไม่รู้สึกตัวอะไรเลย บาสรวบรวมกำลังจนดีดตัวลุกขึ้นได้ วิ่งแจ้นออกจากบ้านแบบโทงๆ ลืมหยิบเสื้อผ้ามาใส่กันอุจาดตา ชาวบ้านชาวช่องที่กำลังตระเตรียมของไปค้าขายที่ตลาดเช้าตกอกตกใจนึกว่าผีเปรตวิ่งมา ชาวบ้านผู้หญิงสาวแก่สาวใหญ่ สาวรุ่นวิ่งหนีหายไป วิ่งหนีไม่ทันเอามือปิดตาเพราะอายลูกตา
“ช่วยด้วยคร้าบ ผมถูกผีหลอก” บาสร้อง
“โธ่ตกใจนึกว่าผี เอาผ้าขนหนูไปใส่ก่อนไป” ลุงพ่อค้าส่งผ้าหนูให้บาส
“ขอบคุณคับ” บาสนุ่งผ้าขนหนูพันกายกันอุจาด
“กินน้ำกินท่าเสียก่อน แล้วค่อยเล่าว่าไปเจออะไรที่ไหน” ลุงส่งแก้วน้ำให้บาสจิบน้ำคลายเหนื่อยหอบ พวกผู้หญิงกลับเข้ามาใกล้บาสเพื่อรอฟังเรื่องผี
“ผมไปค้างที่บ้านซีครับ โดนผีผู้ชายกระทืบมาครับ จึงวิ่งหนีออกมา” บาสบอก
“ผู้ชายหน้าตาอย่างไรลูกบ่าว” ป้าคนหนึ่งถามเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เธอคิดเป็นจริง
“ผู้ชายวัยรุ่นๆ อายุน่าจะเท่าผมหรือน้อยกว่าผมไม่มากนี่แหละครับ หน้าตาเละน่ากลัว น่าแปลกที่ผีตนนั้นใส่ชุดพระที่เก่าๆ ขาดๆ ครับ ผีพูดว่าผมไปแย่งเมียมันแล้วกระทืบลงหน้าอกผมครับ” บาสเล่าอธิบายลักษณะของผีเณรรัน
“ดูสิตรงหน้าอกยังมีรอยอะไรก็ไม่รู้คล้ายกับรอยตีนเลย อะโตย! ลูกบ่าวโดนดีเข้าแล้ว โดนผีผัวเอ๊ย! แฟนเก่าอีซีเล่นงานเข้าแล้ว เรื่องก็ผ่านไปไม่นานนี่แหละ ช่วงปิดเทอมในคืนหนึ่งอีซีมันพาแฟนมานอนที่บ้าน เรื่องมันฉาวโฉ่ไปทั่ว ลำพังเด็กวัยนี้ริจะทำเรื่องอับปรีย์ก็แย่มากแล้ว แต่นี่ฝ่ายชายบวชเณรภาคฤดูร้อนยอมแหกผ้าเหลืองมาหาฝ่ายหญิง เรื่องเลยเถิด ทางวัดต้นสังเกตไม่ยินดีจะรับเณรกลับไป เรื่องมันน่าจะเงียบลงเพราะบ้านนั้นทำเหมือนว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ฝ่ายชายรับกรรมติดจรวดขับรถเครื่องไปแหกโค้งคอหักตายสภาพศพเละเทะน่าหวาดเสียว” ป้าแม่ค้าเล่าความเป็นของผีรันให้บาสฟังเท่าที่รับทราบมา ฟังจบบาสขอร้องให้ลุงไปส่งเขาที่บ้าน ส่วนซีเมื่อตื่นขึ้นมาพบว่าบาสหนีหายไปรู้สึกแปลกใจเพราะเสื้อผ้าของใช้ต่างๆ ของบาสยังอยู่ครบเหมือนว่าหายไปเฉพาะตัวเปล่าเล่าเปลือย ซีไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่ทำได้คือเก็บของของบาสและเก็บกวาดห้องให้เรียบร้อย แล้วทำเป็นลืมไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอตกเย็นพ่อแม่กลับมา พ่อใช้ให้ซีไปซื้อสุราน้ำแข็งและโซดาที่ร้านชำ บรรยากาศในร้านชำมีผู้คนมากมายกำลังจับกลุ่มสนทนาสัพเพเหระ รวมไปถึงเรื่องระทึกขวัญปนระยำตำบอนของซี
“ลุงไหวของพ่อเหมือนเดิมไม่เซ็นจ้า” ซีบอกกับลุงไสวเจ้าของร้านชำ
“ได้ๆ รอแป๊บนะ” ลุงไสวไปหยิบสุราโซดาและตักน้ำแข็ง
“ป้าดูหนังเรื่องนั้นยัง ผีผัวเก่ากระทืบผัวใหม่ยัง” เพื่อนขาเมาท์ของซีเริ่มสุมหัวนินทาระยะเผาขน
“โอ๊ย! กูก็ไม่รู้ว่าจะกลัวหรือว่าปลาบปลื้มใจแทนพ่อแม่มันดี อีเด็กผู้หญิงดอกไม้สีทองนี่ สร้างเรื่องคาวโลกีย์ยังหน้าระรื่นทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น น่าจะเรียกว่าน้องแอร์”
“แอร์อะไรเหรอป้า?”
“แอร์ตอหลี อีตอแหลไง หน้าตาสวยๆ ซื่อๆ แต่ใจร่านแบบนี้ไม่ไหว”
“ได้แล้วทั้งหมด 365 บาท” ลุงไสวส่งของให้ซี ซีจ่ายเงินแล้วรีบเดินออจากร้านไปโดยไม่รู้สารู้สมอะไรแต่ครุ่นคิดว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นบาสที่เกี่ยวเนื่องด้วยผีรันถึงทำให้บาสหนีหายไปแบบนั้น
วันเปิดเรียน…
“แคทเอาของนี่ฝากไปให้พี่บาสด้วยนะ” ซีส่งถุงกระดาษบรรจุของใช้ส่วนตัวของบาสที่ลืมทิ้งไว้ “แล้วก็ฝากบอกพี่บาสให้โทรมาหาฉันด้วยนะ”
จนแล้วจนรอด ผ่านไปหลายวัน บาสก็ไม่ติดต่อหาซีเลย ซีรู้สึกเจ็บใจที่ไว้ใจบาส คิดว่าซื่อๆ ก็ไม่น่ากลายเป็นหนุ่มชาวจีนชื่อหวังฟันจ้าวไปได้ เสียใจแต่ไม่แคร์ ซีก็ยังเป็นซีไม่ร้องไห้ฟูมฟาย ไม่เรียกร้องอะไรจากบาส
“พี่บาสเป็นอย่างไรบ้าง” ซีถาม
“จะสบายดีก็สบายนะ แต่หลายวันก่อนบ้านพี่บาสทำบุญ เราก็ไปร่วมงาน ในงานลือกันว่าพี่บาสโดนผีรังควาน” แคทบอก
“ยังไง?” ซีวางปากกาเลิกลอกการบ้านแล้วมองแคทตาเขม็งเพื่อรอแคทเล่า
“ว่ากันว่า ทุกค่ำคืนมีหมาหอนมาจากปากซอยมาหยุดที่หน้าบ้านพี่บาส แรกๆ พี่กำลังจะเข้านอน ไม่รู้ทำไมเขามองไปนอกบ้านจากหน้าต่างห้องนอน เห็นผู้ชายวัยรุ่นยืนชี้หน้าพี่บาส หนักเข้าผีตนนั้นมาโผล่หน้าชิดหน้าต่างมองพี่บาสตาเขม็งน่ากลัว พี่บาสร้องโวยวาย พ่อแม่พี่บาสก็เห็น พี่บาสป่วยไข้นอนซมหลายวัน ที่หนักสุดช่วงพี่บาสนอนซมเพราะพิษไข้มีอาการเพ้อโวยวายบอกว่าผีหลอก ช่วยเขาด้วย เขาโดนผีบีบคอ พ่อแม่พี่บาสจึงจัดงานทำบุญบ้านนิมนต์พระมาสวดมนต์ปัดเป่าผีร้าย เรียกขวัญพี่บาสให้คืนกลับมาเป็นปกติ” แคทเล่าจบลง “ฉันคิดว่าเป็นผีรัน ตั้งแต่มันตายไป แกเคยทำบุญให้มันบ้างไหม?”
“ไม่เคยอ่ะ” ซีตอบ
“นั่นประไร แกไปซื้อสังฆทานทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้รันมันซะนะหรือเอากับข้าวใส่บาตรพระบ้างนะ มันจะได้ไปตามทางของมันไม่มารังควานใคร”
“อืม เราจะทำดูนะ”
เช้ามืดวันต่อมา ซีใส่บาตรพระและรับพรอนุโมทนาบุญด้วยความเบิกบานใจ วันทั้งวันไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติอะไร จนตกค่ำคืน ซีเข้านอนไปฝันร้าย ฝันไปว่า...
ซีนำกับข้าวใส่บาตรพระเหมือนช่วงเช้า แต่มีมือเน่าๆ ซีดๆ ล้วงอาหารในบาตรไปกิน ซีมองตามมือนั้น เป็นผีรันที่มาคว้าเอาอาหารในบาตรพระไป ผีรันนำอาหารเข้าปากแต่ก็กินไม่ได้
“ร้อนๆ กูกินไม่ได้ กูกินไม่ได้” รันร้องเพราะอาหารที่กลืนเข้าปากกลายเป็นถ่านร้อนต้องคายออกมา มองมาที่ซีแล้วชี้หน้า “มึงต้องตายอีซี อยู่ไปมึงก็มีผัวใหม่ เพราะสันดานดอกทองของมึงไม่เคยหยุดนิ่ง มึงต้องเป็นของกูคนเดียว”
“ไม่...” ซีกรีดร้องดังแล้วตกใจตื่น เหงื่อกาฬผุดพรายท่วมตัว ซีพยายามนอนต่อก็นอนไม่หลับ พอเช้ามาไปโรงเรียนตามปกติ พอถึงห้องเห็นเพื่อนๆ ชายหญิงรุมล้อมดูโต๊ะเรียนของซี
“ซีใครก็ไม่รู้มาเขียน” แพนบอก
ซีเห็นว่าที่โต๊ะของเธอมีมือปริศนาเขียนข้อความคำว่า “มึงต้องไปอยู่กับกู” เป็นอักษรสีแดงมีกลิ่นคาวจึงเดากันว่าเป็นเลือด
“มะ... มะ... มะ... ไม่เอาแล้ว กรี๊ด!” ซีกรีดร้องเพราะความกลัวแล้ววิ่งหนีเตลิดไปเรื่อยๆ เจอห้องน้ำหญิงจึงเข้าไปหลบซ่อนในห้องน้ำ ท่ามกลางความงุนงงของเพื่อนๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับซีกันแน่ ซีหลบซ่อนอยู่ในห้องน้ำห้องในสุดแล้วร่ำไห้เพราะความกลัวกัดกินในใจ
ปัง!
เสียงประตูทางเข้าห้องน้ำหับปิดดังสนั่นทำเอาซีได้ยินแล้วสะดุ้ง ซีเงี่ยหูฟังว่าใครเข้าห้องน้ำมา เธอคิดว่าแคทและแพนเพื่อนสนิทติดตามมาเพื่อปลอบโยน
“เจ้าช่อมาลีดึกดื่นป่านนี้เจ้ายังไม่กลับ จะนอนก็นอนไม่หลับ คงตาต่อตากับใครต่อใคร เจ้าช่อมาลียิ่งดึกยิ่งแย้มยิ่งบานกันใหญ่ เจ้าคงไม่รู้อะไร ว่าทำให้ใครเขารอทั้งคืน [1] ...” เสียงชายผู้หนึ่งเดินมาแล้วร้องเพลงเจ้าช่อมาลี ซีใจหายวาบเพราะจำได้ว่าเสียงร้องเพลงของชายผู้นั้นเป็นรันเพลงเจ้าช่อมาลีก็เป็นเพลงโปรดของรัน
“ช่วยด้วยใครก็ได้ช่วยเราที” ซีร้องสุดเสียง
“ร้องให้ตายก็ไม่มีใครช่วยได้หรอกอีซี คนอย่างมึงมีนรกอเวจีเป็นที่หมาย มึงยอมรับความตายดีๆ เสียเถิด มึงเลิกหลอกตัวเองแล้วทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้หรอกนะ” ผีรันพูด จะว่าเตือนสติของซีก็ไม่เชิง จะว่าเป็นเอาชีวิตที่ละมุนละม่อมที่สุดเท่าที่เคยได้ยินก็ว่าได้
“ฉันยังไม่อยากตาย... ฉันยังไม่อยากตาย....” ซีร้องพึมพำ
“ซีลูก... ซีลูก... สายแล้วลูก ไม่สบายรึเปล่าลูก” แม่มาเคาะประตูเรียกซี ที่แท้ซีฝันซ้อนฝัน ซีลุกขึ้นมาจากเตียงเปิดประตูห้องให้แม่เข้ามา
“หนูไม่สบายค่ะแม่ ขอหยุดอยู่บ้านนะ”
“ไหนดูหน่อยสิ” แม่เข้ามาในห้อง ใช้มือสัมผัสหน้าผากซี “จริงด้วยตัวรุมๆ งั้น! ไม่ต้องไปโรงเรียนหรอก”
“แม่”
“ทำไม?”
“หนูว่า หนูจะหยุดกินยาคุม” ซีลังเลที่จะบอกกับแม่
“จะหยุดทำไมลูก ถ้าหยุดแล้วหนูห้ามแรดแล้วนะ” แม่เตือน
“หนูไม่รู้ว่ามันมีผลข้างเคียงรึเปล่า หนูมักจะฝันร้าย นอนไม่ค่อยหลับ”
“ลองเปลี่ยนยาดู น่าจะดีกว่านะลูก เดี๋ยวแม่จะจัดการให้” แม่แนะนำ
“แม่ หนูจะถามอะไรได้ไหม?”
“ถามมาสิ”
“หนูสงสัยน่ะแม่ เห็นชาวบ้านเขานินทาพ่อกับแม่กันว่า เมื่อก่อนพ่อเป็นพระแล้วก็เป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อสึกพระมาแต่งงานอยู่กินกับแม่” ซีถามเอาความจากแม่ตามที่ได้ยินมาจากชาวบ้าน เป็นที่ค้างคาใจมานาน
“เรื่องมันซับซ้อนนะลูก ถ้าลูกอยากรู้แม่ก็จะเล่าให้ฟัง เรื่องมันก็มีอยู่ว่า...”
แม่มีชื่อว่า อัมพร ย้อนไปซัก 10-20 ปีก่อน อัมพรเป็นสาวสวยและรวยมาก เป็นที่หมายปองของหนุ่มๆ ทั้งยากดีมีจน อัมพรเป็นลูกสาวของคุณนายบานชื่น เศรษฐินีหม้ายผู้มีกิจการหลากหลายร่ำรวยอู้ฟู่ คุณนายบานชื่นเลี้ยงลูกสาวคนเดียวอย่างตามใจ อัมพรอยากได้อะไรไม่เคยห้ามไม่เคยขัด เรียนจบแค่มัธยมต้น อัมพรใช้ชีวิตแบบนี้เป็นนักท่องราตรีไปกับเพื่อนชายหญิงในระดับทางสังคมชั้นเดียวกันตามสถานเริงรมย์จำพวกโรงน้ำชา โรงเต้นรำ ยุคนั้นผับบาร์ไนต์คลับเริ่มกระจายตัวจากกรุงเทพมหานครลงสู่ต่างจังหวัด อัมพรก็ไม่พลาดจนเป็นลูกค้าประจำ บางทีเลยเถิดไปถึงมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเพื่อนชายไม่ซ้ำหน้า ไม่สว่างคาตาไม่กลับบ้าน ถึงแม้ว่าลูกสาวสุดรักสุดดวงใจจะทำเรื่องคาวน้ำกามฉาวโฉ่ลือกระฉ่อนไปทั่วเมืองเพียงใด คุณนายบานชื่นไม่เคยปริปากดุว่าเลยซักคำ อยู่มาวันหนึ่ง คุณนายบานชื่นดำริจะจัดพิธีทำบุญบ้าน เลยพูดคุยปรึกษากับลูกสาวตัวดี
“จะทำไปทำไม ไม่เห็นจะสนุกอะไรเลย” อัมพรบ่นพลางรินสุราลงแก้วกระดกดื่ม
“แม่เห็นว่าไม่ทำตั้งนาน คิดจะทำบุญใหญ่สักหน แล้วถือโอกาสจัดงานเลี้ยงภายใน ให้คนงานมากินดื่มกัน” คุณนายบานชื่นบอก
“เอาเถอะค่ะ แล้วแต่แม่เลย เรื่องพระเรื่องเจ้าหนูไม่ยุ่ง หนูรอสนุกตอนงานเลี้ยงอย่างเดียว” อัมพรบอกกับคุณนายบานชื่นแล้วเดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อไปแต่งตัวออกเที่ยวกลางคืนตามเคยๆ
ในวันงาน เสียงพระสวดมนต์ดังลั่นบ้าน ทำเอาอัมพรนอนไม่หลับ หงุดหงิดระคนหิวจึงตื่นนอน อาบน้ำแต่งตัวนุ่งเสื้อผ้าหวาบหวิว เสื้อแขนกุดเนื้อผ้าบางเบาสีอ่อนๆ เพ่งพิศให้ดีเห็นชุดชั้นในเนื้อหนังมังสาซ้ำร้ายนุ่งกระโปรงสั้นมินิสเกิร์ตชะเวิ้บชะว้าบ อัมพรไม่สนใจไยดีใครจะว่าเช่นไรเพราะแต่งตัวเช่นนี้มีความมั่นใจ อัมพรลงมาจากชั้นบน ทำเอาทุกคนตะลึงงึงงัน พระสงฆ์ 9 รูปพร้อมใจกันหยุดสวดอย่างพร้อมเพรียงทำอาการเลิ่กลั่กแล้วสวดสาธยายมงคลสูตรต่อไป เมื่อพระสงฆ์สวดเจริญพระพุทธมนต์จบ มีการถวายภัตตาหารสังฆทาน คุณนายบานชื่นเรียกอัมพรมาช่วยถวายภัตตาหารสังฆทาน อัมพรถวายภัตตาหารวางบนผ้ารับประเคนอย่างเก้ๆ กังๆ แล้วมองสบตากับพระที่ถวายภัตตาหารให้ สายตาทั้งคู่ประสานกัน พระรูปนี้ยังหนุ่มยังแน่น หน้าตาดีหล่อเหลาเลยทีเดียว พระท่านส่งยิ้มให้กับอัมพร นี่แหละคือจุดเริ่มต้น พระรูปนั้นชื่อพระชิตพล อัมพรหลงใหลในรูป จนเกิดเป็นความรัก อานุภาพแห่งรักช่างรุนแรงดุจดั่งโคถึกที่คึกพิโรธ อัมพรไม่มีความคิดว่าความรักนี้เป็นรักต้องห้าม ทำตามใจตนปรารถนาไม่รู้จักผิดชอบขั่วดีๆ ใดๆ ในหัวค่ำทุกวันอัมพรแต่งตัวไปเที่ยวแต่ก่อนจะไปสถานบันเทิงก็แวะไปหาพระชิตพลในวัดถึงกุฏิพูดคุยในเรื่องต่างๆ สองต่อสอง ใช้จริตมารยายั่วยวนพระชิตพล พระท่านก็ปล่อยเลยตามเลยเพราะว่าพึงพอใจในตัวอัมพรเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ใครๆ ต่างก็เห็นและรับรู้เรื่องราวนี้จนอื้อฉาว ไม่มีใครกล้าเตือนอัมพรแม้กระทั่งคุณนายบานชื่น อัมพรก็คืออัมพรยังเริงโลกีย์ ยังแอบมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับชายอื่น จนผ่านไปนานหลายเดือน ก่อนจะเข้าพรรษา ท่านเจ้าอาวาสเรียกพบพระชิตพลหลังจากทำวัตรเย็นเสร็จที่กุฏิเจ้าอาวาส
“คุณชิตพล ตอนนี้คุณบวชมาได้กี่พรรษาแล้ว” ท่านเจ้าอาวาสถาม
“9 พรรษา ปีนี้เข้า 10 พรรษาจะเป็นพระเถระแล้วครับ” พระชิตพลตอบ
“เออดีๆ ได้นักธรรมตรี โท เอกตั้งแต่เมื่อยังเป็นเณร แล้วด้วยพรรษา ความอาวุโส วัยวุฒิต่างๆ ไปช่วยหน่อยนะ วัดนั้นเขาขาดเจ้าอาวาสวัดมานานหลายปีดีดักแล้ว พระที่วัดขอมา ผมเลือกคุณนี่แหละ” ท่านเจ้าอาวาสสั่ง
“ผมไม่ไปไม่ได้หรือครับ?” พระชิตพลอึกอักไม่เต็มใจจะไป “ไม่มีทางเลือกอื่นหรือครับ?”
“คุณทำอะไรไว้ ไม่ใช่ว่าไม่มีใครเห็น ห้ามเพลิงไว้อย่าให้ มีควัน ห้ามสุริยะแสงจันทร์ ส่องไซร้ ห้ามอายุให้ทัน คืนเล่า ห้ามดังนี้ไว้ได้ จึงห้ามนินทา ใครๆ ก็รู้แต่ผมเอาหูไปนา เอาตาไปไร่เพราะรักและเมตตาคุณ ที่ผ่านมาตั้งแต่บวชเณรแล้วกลายพระ คุณชิตพลตั้งใจเล่าเรียนพระธรรมวินัย รักษาสมณสารูปมาโดยดีตลอด อยู่ในทางธรรมก็ดีอยู่จะไปคลุกคลีกับสีกาให้เศร้าหมองไปไย พระในวัดก็เริ่มรังเกียจในพฤติกรรมของคุณ นำความมาฟ้องร้องทุกเมื่อเชื่อวัน ที่จริงผมมีอำนาจสั่งให้คุณสึกก็ได้แต่ผมสงสารคุณ ผมเลือกที่จะลดแรงกดดันจึงจำใจส่งคุณไปวัดนั้น อีกไม่กี่วันก็เข้าพรรษาแล้ว คุณก็เตรียมตัวเก็บของเถิด” หลวงตาเจ้าอาวาสวัดชี้แจง
พระชิตพลกลับกุฏิ นั่งครุ่นคิดว่าจะเช่นไรดี นั่งคิดอยู่นานจนมืดค่ำ อัมพรก็มาเยี่ยมเยียนพูดคุยตามเคยเหมือนอย่างเคยก่อนจะออกไปเที่ยวเตร่ยามราตรี ทั้งสองพูดคุยกันสัพเพเหระแต่วันนี้พระชิตพลมีท่าทีแปลกไป อัมพรถามคำท่านตอบคำ ไม่พูดจาเล่นหัวคุ้นเคยกันเหมือนที่ผ่านๆ มา
“ท่านเป็นอะไรไป วันนี้ไม่สบายหรือ?”
“หลวงตาเรียกฉันไปพบ ท่านจะให้ฉันไปจำพรรษาและรักษาการณ์เจ้าอาวาสที่วัดอื่น” พระชิตพลตอบ
แล้วท่านจะทำอย่างไร ท่านอยากไปไหมล่ะ” อัมพรถาม
“ฉันไม่เต็มใจที่จะไป อยู่นี่เพื่อนพระก็รังเกียจ หาว่าฉันทำชั่วอย่างโน้นอย่างนี้ ฉันก็ไม่รู้จะทำอย่างไร?” พระชิตพลขมวดคิ้วครุ่นคิด
“ถ้าท่านสึกมาอยู่กินกับฉัน ท่านคิดเห็นเป็นอย่างไร” อัมพรเสนอความคิดเห็น เสนอในสิ่งที่กุลสตรีที่สังคมต้องการให้เป็นไม่พึงกระทำ
“ฉันก็คิดทางนี้ แต่แม่ของเธอจะยอมรึ? ฉันเป็นแค่ผู้ชายที่เกิดมาในหมง เรื่องคิดจะทำมาหากินให้ร่ำรวยก็ยาก เพราะฉันทำเป็นแค่ทำไร่ทำสวน แม้ว่าอยู่วัดมานานก็เหมือนกบอยู่ในกะลา เรียนรู้เฉพาะทางธรรม ทางโลกไม่เคยเรียนรู้เลย ถ้าฉันอยู่กินกับเธอ ใครๆ ก็ว่าได้ว่าฉันเป็นหนูตกถังข้าวสาร” พระชิตพลพรั่งพรูความในใจออกมา
“จะสนใจไปไย ฉันรู้สึกอย่างไรกับท่าน ท่านรู้สึกอย่างไรกับฉัน ใครจะว่าอย่างจะไปสนอะไร นรกคืออะไรก็แค่น้ำพริกเท่านั้น เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็ใช้ชีวิตตามใจตนปรารถนา ความตายเป็นที่สิ้นสุด ฉันมีท่านเป็นที่พึ่ง มีเพียงท่านที่เป็นที่พึ่งเท่านั้น” อัมพรพูด
“ถ้าฉันตกลงปลงใจกับเธอไป เธอหยุดทำตัวแบบนี้ได้ไหม ฉันขอ ถ้าจะเป็นครอบครัวเดียวกัน เธอจะเป็นผู้หญิงที่ดี เป็นแม่ของลูกได้ไหม ถ้าบ้านไม่เป็นบ้าน มันจะมีความอย่างไร ฉันจะยอมเป็นคนชั่วเพื่อเปลี่ยนเธอให้เป็นคนดีนะ อัมพร” พระชิตพลร้องขอ “แล้วเธอจะทำอย่างไรกันเล่า?”
“ท่านก็เข้าไปอยู่วัดโน้นตามปกติเถิดเจ้าค่ะ ไปอยู่รอเรือไปรับ เมื่อถึงเวลาท่านจะได้กลับมา และไม่มีใครจะห้ามปรามเราได้” อัมพรพูดเป็นเลศนัยทิ้งท้ายไว้แล้วลาพระชิตพลไปเที่ยวท่องราตรีในพรสวรรค์ไนต์คลับ สถานเริงรมย์แห่งใหม่ใจกลางเมือง
หลังจากวันนั้น อัมพรไม่แวะเวียนมาหาพระชิตพลเลย พระท่านยินยอมย้ายวัดเก็บอัฐบริขารและของใช้ต่างๆ เป็นอย่างดี วัดที่พระชิตพลไปอยู่จำพรรษาและรักษาการณ์เจ้าอาวาสเป็นวัดที่อยู่กลางคลองรถราถนนหนทางไปไม่ถึง การมาอยู่วัดนี้สำหรับในความคิดของพระชิตพลก็ไม่ต่างนักโทษถูกส่งตัวเข้าคุก พระท่านลงเรือมาช่วงบ่ายในวันอาสาฬหบูชาโดยมีตานุ้ยมัคนายกวัดและจำเริญเด็กวัดช่วยขนของและติดตามไปส่ง ก่อนจะออกเดินทางไป พระชิตพลมาที่กุฏิเจ้าอาวาสเพื่อมากราบลาหลวงตา พระท่านพบว่าหลวงตาไม่อยู่ ในกุฏิมีเพียง
“มีธุระอะไร?” ลูกศิษย์ชายวัยประมาณ 30 ปีของหลวงตาเอ่ยถาม
“อาตมามาพบหลวงตาเพื่อมากราบลา” พระชิตพลตอบ
“หลวงตาเข้าห้องพักผ่อนแล้ว ท่านสั่งไว้ถ้าท่านชิพลมา ให้ฉันบอกว่าไม่ต้องรอหลวงตาให้ไปได้เลย” ลูกศิษย์ชายคนนั้นนำความบอกแก่พระชิตพล
พระชิตพล ตานุ้ยและจำเริญออกเดินเท้าออกจากวัดโดยพระชิตพลถือถุงย่ามใหญ่บรรจุบาตร ส่วนอัฐบริขารอื่นใส่หีบหนังให้ตานุ้ยถือ ส่วนหีบของแห้งให้จำเริญถือมา เดินออมาจากวัดแค่ข้ามฟากถนนเป็นท่าเรือ ตานุ้ยเรียกเรือจ้างหางยาวให้มารอรับ ตามปกติวัดที่ไปถึงมีเรือเมล์วิ่งถึงแต่เรือเมล์หมดไปแล้ว ทั้งสามลงเรือไปนั่งเรียบร้อย คนขับเรือจ้างขับออกไปลัดเลาะไปตามแม่น้ำ เข้าคลองสาขา ผ่านไปเกือบชั่วโมงก็มาถึงวัด วัดนี้มีความเก่าแก่พอควร พระชิตพลจำพรรษาจนเข้าล่วงกลางพรรษา ตานุ้ยนั่งเรือมารับพระชิตพลบอกว่ามีเรื่องร้อนให้รีบกลับวัดเดิมด่วน พระชิตพลไปโดยไม่ได้เก็บข้าวของอะไรเลย มาถึงวัดตรงมาที่กุฏิเจ้าอาวาส พบว่าคุณนายบานชื่นกับอัมพร นั่งรออยู่ โดยมีหลวงตานั่งอยู่บนอาสนะที่สูงกว่า มีลูกศิษย์ชายสองคนนั่งอยู่บนพื้นประกบหลวงตาเพื่อกันอาบัติ
“มันเกิดอะไรขึ้นครับ?” พระชิตพลไถ่ถามหลังจากกราบหลวงตา
“เอานี่ไปซะ อยากรู้อะไรก็ถามกันเอาเอง กินในที่ลับไขในที่แจ้ง ฉันเตือนแล้วแต่มันเกิดขึ้นจนได้ ฉันจะไปพักผ่อน” หลวงตาโยนชุดขาวให้พระชิตพลแล้วเดิน ในที่ตรงนั้นมีเพียงแต่ท่านที่งุนงง
“ไปผลัดผ้าซะ ตอนนี้ท่านอาบัติปราชิกแล้ว” ลูกศิษย์หลวงตาบอก
เป็นแผนการของอัมพร หลังจากที่เธอพบกับพระชิตพลเป็นครั้งสุดท้าย เธอมีสัมพันธ์กับชายอื่นแล้วปล่อยตัวจนตั้งครรภ์แล้วแสร้งบอกกับมารดาว่าพระชิตผลคือพ่อของเด็กในท้อง คุณนายบานชื่นมาเอาเรื่องเอาราวกับหลวงตา ท่านให้ตานุ้ยไปตามพระชิตพลมาสึกนี่แหละ คุณนายบานชื่นแบ่งรับแบ่งสู้รับลูกเขยคนนี้แต่ไม่จัดงานแต่งให้ ชิตพลช่วยงานกิจการใหญ่น้อยด้วยวิริยะอุตสาหะ จนชนะใจคุณนายบานชื่น อัมพรคลอดลูกออกมาเป็นลูกชาย ตั้งชื่อว่า อานนท์ อานนท์เป็นเด็กดีเลี้ยงง่ายเป็นที่รักของทุกคน อัมพรเลิกประพฤติตนเลวร้ายอย่างเด็ดขาดเป็นแม่และเมียที่ดีของลูกและสามี จะเป็นเคราะห์ร้ายหรือเวรกรรมก็ไม่ทราบได้ สามปีผ่านไป ในวันหนึ่งคุณนายบานชื่นไปทำบัญชีที่ปั๊มน้ำมัน อานนท์วัยสามขวบกำลังน่ารัก บังเกิดหายนะ ปั๊มน้ำมันระเบิด คุณนายบานชื่น อานนนท์ คนงานและชาวบ้านนับสิบเสียชีวิตคากองเพลิงอย่าเอนจอนาถ ชิตพลและอัมพรเสียใจมากที่สูญเสียมารดาและลูกชายไป คนตายก็ตายไป ชิตพลกับอัมพรต้องจ่ายเงินชดเชยและทำขวัญให้แก่คนงานและชาวบ้านที่เดือดร้อนและเป็นการต่อรองเพื่อให้ยอมความกัน เคราะห์ซ้ำกรรมซัด อัมพรจ่ายเช็คให้เสมียนรับผิดชอบแต่เสมียนฉ้อโกงเชิดเงินก้อนโตหนีหายเข้ากลีบเมฆ อัมพรและชิตพลกลัดกลุ้มใจเพราะต้องคิดหาทางนำเงินมาจ่ายให้ เพราะคนงานและชาวบ้านที่สูญสียบุคคลอันเป็นที่รักพวกนั้นทวงเช้าทวงเย็น อัมพรขายทรัพย์สินที่หลงเหลือพอควรมาจ่ายเงินเยียวยาพร้อมทั้งปิดกิจการต่างๆ ลง อัมพรและชิตพลมีชีวิตอยู่อย่างไม่อัตคัดแต่ไม่อู้ฟู่เหมือนแต่ก่อน ทั้งสองพยายามมีลูกแต่ไม่สำเร็จ จนผ่านไปนับสิบปี อัมพรตั้งครรภ์คลอดซีออกมานี่แหละ
แม่เล่าเรื่องในเรื่องที่ซีไม่เคยทราบมาก่อนจบลง เล่าในเรื่องที่ตนไม่เคยรู้มาก่อนอย่างหมดเปลือกทำให้คลายความสงสัยไป ชีวิตของซีดำเนินต่อไปอย่างหวาดระแวง จนถึงวันหนึ่ง วันนั้นซีมาดรงเรียนตามปกติแต่ห้องเรียนของรันจัดกิจกรรมทำบุญเลี้ยงพระเพลอุทิศบุญกุศลให้รันเนื่องในโอกาสครบรอบการเสียชีวิต 100 วัน ซีก็มาร่วมงานตามมารยาทและไม่ต้องการให้ใครสงสัยเอาไปนินทาลับหลัง งานทำบุญผ่านไปอย่างเรียบร้อยดี ช่วงบ่ายนักเรียนก็เข้าเรียนอย่างเรียบร้อย บ่ายนั้นฝนเทกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตาท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีเทามืดมนฟุ้งฝอยด้วยละอองเมฆฝน ฝนตกหนักลมพัดแรงเป็นพายุฝนฟ้าคะนองจนไฟฟ้าดับห้องเรียนมืดสลัว นักเรียนต้องอาศัยไฟฉายจากโทรศัพท์จากโทรศัพท์มือถือเพื่อเพิ่มความสว่างในการจดอ่านเขียนหนังสือ ซีจดงานไปเรื่อยๆ ก้มๆ เงยๆ รู้สึกว่ารอบๆ ตัวเงียบผิดปกติจึงเงยหน้ามามองพบว่าตนเองนั่งอยู่ในห้องเรียนเพียงคนเดียวรู้สึกตกใจเป็นกำลัง หันดูรอบๆ ตัวพบว่าเป็นห้องที่มืดมิด
“ซี” เสียงคุ้นเคยของชายคนหนึ่งทำให้ตัวแข็งเย็บวาบเสียวสันหลัง ซีกลัวจนลนลานตัวสั่นก้มหน้าก้มหน้าไม่มองอะไรเลย
“กูบอกแล้วว่ามึงหนีกูไปไม่ได้หรอก ไม่มีใครหนีกรรมได้หรอก กูคือเจ้ากรรมนายเวรของมึง” รันพูดมาด้วยประโยคเดิมๆ
“ไม่ ไม่มีทาง มึงตายเป็นผีไปแล้วก็ไปตามทางของมึง กูยังเป็นคน มึงเป็นผี มึงตายห่าไปแล้วจะลากกูไปตายกับมึงได้ไง เมื่อก่อนกูอาจจะรักมึงแต่ตอนนี้ไม่แล้ว เออกูเป็นคนดอกทอง กูจะตายไปทำไม กูสวย มีผู้ชายมากมายอยากได้กูทั้งนั้น กูจะแรดที่สุดเท่ากูทำได้ กูจะร่านให้โลกจำ” ซีพูดจบแล้วลุกขึ้นวิ่งหนีไปลงบันไดชั้นล่างแต่ก้าวพลาดล้มระเนระนาดดังพลั่กๆ จนไปสุดที่พื้นหน้าบันไดชั้นล่างแล้วสลบไป หากจะเล่าความผ่านมุมมองของซีก็จะได้เรื่องราวประมาณนี้ แต่คนอื่นๆ ทั้งครูประจำวิชาและเพื่อนๆ นักเรียนทั้งห้องเห็นว่าจู่ๆ ซีคุ้มคลั่งขึ้นมา พูดจาตวาดด่าทออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ถีบเตะโต๊ะนักเรียนข้าวของสมุดหนังสืออุปกรณ์การเรียนรวมทั้งเพื่อนที่นั่งเรียนใกล้ๆ กันกระจัดกระจายไปคนละทิศทาง ทั้งครูและนักเรียนไปรวมตัวเกาะกลุ่มกันอยู่ในมุมห้องเรียนมุมหนึ่ง ซีโวยวายเอ็ดตะโรอยู่พักหนึ่งแล้วลุกพรวดวิ่งหนีไปจนเกิดอุบัติเหตุต้องเดือดร้อนเรียกรถพยาบาลมารับตัวซีที่สลบไสลไปสู่โรงพยาบาลและไม่ลืมโทรศัพท์ไปแจ้งเรื่องให้ผู้ปกครองทราบ อาการเบื้องต้นของซีค่อนข้างน่าเป็นห่วงเพราะสมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ซีสลบไปนานถึง 3 วันตื่นขึ้นมาร้องไห้โวยวายบอกกับทุกคนว่าผีรันจะมาเอาชีวิต ติดตามเธอไปทุกหนแห่ง ซีกลายคนวิกลจริตไปโดยบริบูรณ์ ต้องถูกกักขังไว้ในห้องโดยมีพ่อแม่และญาติคนอื่นๆ คอยเฝ้าดูแล จากสาวน้อยแสนสวยกลายเป็นสาวบ้าเพ้อคลั่งถึงชายผู้จากไป จนกระทั่ง... กลางดึกของค่ำคืนหนึ่งในฤดูร้อน
“เธอจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกันซี ไม่มีใครมารักคนบ้าอย่างเธอหรอก นอกจากฉัน” ผีรันยืนพูดพลางจ้องมองดูซีด้วยสายสมเพชระคนสงสาร
“ฉันไม่อยากตาย” ซีคร่ำครวญคำเดิมๆ จนนับครั้งไม่ถ้วน
“เธอยังจะกลัวอะไรอีก นรกคือจุดหมายปลายทางของเธอ แม่เธอเองก็จะมีนรกเป็นปลายทางเช่นกัน ความชั่วมันถ่ายทอดผ่านดีเอ็นเอ เธอไปเถิดอยู่ไปก็ทรมานไม่เฉพาะตัวเธอแต่ทรมานคนที่ดูแลเธอ” ผีรันเกลี้ยกล่อม
“แล้วฉันจะตายอย่างไร” ซีถาม
“ก็ฉีกเสื้อผ้ามาผูกต่อเปแนสายแล้วเอาไปคล้องกับขื่อ ฉันจะช่วยส่งเธอขึ้นไป เธอเอาหัวคล้องกับบ่วงแล้วทิ้งตัวลงมา” ผีรันชี้แนะแนวทางการตาย
แควก... แควก... แควก...
ซีฉีกเสื้อผ้าตนเองอย่างช้าๆ ไม่มีใครได้ยินเพราะอำนาจอิทธิฤทธิ์ของผีรันบดบังปิดเร้นไว้ ซีในตอนนี้ร่างกายเปลือยเปล่าโยนผ้าแทนเชือกไปคล้องกับขื่อห้องนอน ผีรันเสกให้เชือกกลายเป็นบ่วงแล้วผลักดันร่างซีขึ้นไป ซีนำศีรษะของตนเองคล้องเข้ากับบ่วงเมื่อรันปล่อย ซีชักดิ้นกระแด่วๆ เหมือนปลาถูกทุบอยู่นานหลายนาทีแล้วแน่นิ่งไป มรณกรรมของซีที่ผีรันรอมานานก็สิ้นสุดสมดั่งรอคอยเสียที
เช้ามา... อัมพรเปิดประตูห้องนอนของซี เห็นร่างลูกสาวสุดรักเป็นดั่งแก้วตาดวงใจเป็นศพเปลือยเปล่าลอยห้อยอยู่กลางขื่อบ้าน ลิ้นจุกปากหน้าเขียวคล้ำสยดสยอง อัมพรกรีดร้องสุดเสียงแล้วเป็นลมหมดสติไป แน่นอนเป็นคดีความเพราะการตายของซีผิดแผกไม่เป็นธรรมชาติ เป็นปริศนาว่าขื่อบ้านสูงมากเช่นนั้นจะปีขึ้นไปผูกได้อย่างไร ในห้องนอนของซีไม่มีเก้าอี้หรือเฟอร์นิเจอร์ใดๆ ที่สามารถปีนป่ายขึ้นไปกระทำการผูกคอตายได้ ตำรวจเจ้าสำนวนปิดคดีไม่ได้ ทิ้งคดีไว้อย่างนั้นแต่ชาวบ้านหรือคนที่ทราบเรื่องก็ลือกันว่าผีรันมาเอาชีวิตและทำสำเร็จแล้ว สิ่งที่ทำให้เชื่อคือวันตายของซีเป็นวันตายเดียวกันของรันเพียงต่างที่คนละปีเท่านั้น
“เรื่องก็มีเท่านี้แหละพี่หลวง ผมไปแล้วนะ” เณรโอ้เล่าจบก็ล่ำลากลับหอกุฎิไป ผมนั่งปลงตกกับเรื่องที่ได้ฟังมา บาปกรรมแท้ๆ ซีทำบาปโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ดี บัดนี้ก็ได้รับผลกรรมนั้นแล้ว เป็นอุทธาหรณ์เตือนใจพระ เณร อุบาสิกาทั้งหลายที่ประพฤติตนเป็นบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาทั้งทางตรงทางอ้อม อย่าเอาความรักความใคร่มาชี้นำชีวิตจนกระทำผิดพลาดเลย เรื่องราวอย่างของชิตพล อัมพร รันและซีใช่ว่าจะเกิดแค่หนสองหน แต่มันมีเนิ่นนาน นรกไม่เพียงแต่เป็นชื่อของน้ำพริกแต่เป็นสถานที่ๆ ใครไปอยู่ต้องทุกข์ทรมานชั่วกัปชั่วกัลป์ หากใครไปสวนโมกขพลาราม เยี่ยมชมโรงมหรสพทางวิญญาณคงได้เห็นภาพหญิงสาวสะคราญนุ่งน้อยห่มน้อยถือคันเบ็ดและประดับอาภารณ์ร่างกายด้วยห่วงเบ็ดเกี่ยวทั้งตัว ด้านหลังมีกลอนเตือนใจฝากไว้ให้คิดว่า
สมัยก่อน สาวสอางค์ เรียก"นางฟ้า" [2]
สมัยนี้ เปลี่ยนมา เป็น"นางเบ็ด"
เป็นรากษส ร่างมนุษย์ สุดมดเท็จ
หาเลี้ยงชีพ เบ็ดเสร็จ ด้วยเบ็ดอาน
ย่าเจ้าเคย ปิดละอาย ไว้มิดชิด
เจ้าแกล้งปิด หลุบล่อ ต่อหน้าฉาน
วัฒนธรรม รับมา อนาจาร
อันธพาล รูปสวย ด้วยเบ็ดพรู
เจ้าหลงงาม จิตทราม ไม่รู้สึก
หลงสากล หล่นลึก ลับหัวหู
ปากเป็นไทย ใจเป็นทาษ ประดาษรู้
ยึดฝรั่ง เป็นครู เลยพันทาง
หมดพันธุ์ไทย ไปก็มี เป็นอันมาก
ไม่กระดาก แต่งกาย คล้ายผีสาง
คุณย่าเห็น เป็นลม ล้มลงคราง
เพราะท่าทาง ไม่มี ที่เป็นไทย
สรวมชุดเบ็ด ทันที ก็มีบาป
เพราะโลภลาภ ลวงโลก ให้หลงใหล
เกียรติมารดร บ่อนพินาศ ประลาศไป
นักแฟชั่น มันมีใจ จิ้งจอกพาล
แกล้งออกแบบ ปิดกาย อย่าให้มิด
มันมีจิต เกินสัตว์ เดรัจฉาน
พระเจ้าสาป บาปกิน หมดวิญญาณ
เป็นลูกมาร ทุกก้าวย่าง นางเบ็ดงอน
ใช้เนื้อหนัง เป็นเหยื่อ เพื่อจับเขา
ปัญญาเบา เฟื่องฟ่อง ไม่ต้องสอน
มีจิตใจ ไหลเลือน จนเปื้อนปอน
อรชร พราวกลเม็ด ตกเบ็ดคน
คำพระสอน ปิดละอาย ให้มิดชิด
ราวจะปิด มิดเม้น ทุกเส้นขน
เจ้าแกล้งแย้ม นั่นนี่ สีประดน
โกลาหลเบ็ด, เหยื่อ เหลือประมาณ
โลกทุกวัน จึงมี กระลีบร
ต้องอาบเลือด เดือดร้อน ดังไฟผลาญ
พวกชาวพุทธ ซุดห่าง ทางนิพพาน
เพราะซมซาน ติดเบ็ด เข็ดไม่เป็น
สารตรานี้ ส่งมา ถึงชาวพุทธ
ที่อุตลุด หดกระโปรง โล่งโต้งเห็น
จนพระเณร ไม่มี ที่หนีเร้น
ก็ออกไป โลดเต้น ติดเบ็ดเอย.....
จบเรื่อง
[1] เพลง: เจ้าช่อมาลี ศิลปิน: Mr.Team ที่มา> https://www.sanook.com/music/song/qpFo_gRFLkDmbUQEQEGMdw==/
[2] นางเบ็ด ที่มา> http://oknation.nationtv.tv/blog/TD-stou/2009/05/31/entry-1