“ไม่ใช่พรหมลิขิตหรอกที่ทำให้เราได้พบกัน ที่ผ่านมาฉันจงใจทั้งนั้นแหละ
รัก,ชาย-ชาย,วัยว้าวุ่น,ตะวันตก,ตลก,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
PIT A PAT“ไม่ใช่พรหมลิขิตหรอกที่ทำให้เราได้พบกัน ที่ผ่านมาฉันจงใจทั้งนั้นแหละ
เมื่อหนุ่มอาร์ตติสรักสนุกได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในโลกของคุณตุ๊กตากระเบื้องสุดสวย
ตึก...ตึก...โถงทางเดินที่ชั้นสามของอาคารเรียนในเวลานี้มีผู้คนอยู่ค่อนข้างบางตาเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับตอนพักกลางวัน เพราะนักเรียนส่วนใหญ่มักเลือกที่จะกลับบ้านกันไปตั้งนานแล้วไม่ก็อยู่ซ้อมเชียร์กีฬาที่โรงยิมแทน
แต่ฮิลเวอรี่ไม่ได้มาเพื่อทำทั้งสองอย่างที่ว่านั่น หลังจากเลิกเรียนวิชาชีวะเขาก็รีบตรงกลับบ้านทันทีเหมือนนักเรียนคนอื่น แต่ว่าหลังจากก้าวพ้นรั้วโรงเรียนเด็กหนุ่มก็เพิ่งนึกได้ว่ามีบางอย่างหายไป ที่ข้อมือข้างซ้ายของฮิลเวอรี่นั้นว่างเปล่า นาฬิกาเรือนโปรดที่เพิ่งได้มาเมื่อสามเดือนก่อนไม่ได้อยู่กับเขาอีกต่อไปแล้ว ขาทั้งสองจึงรีบวิ่งกลับเข้ามายังตัวอาคารเรียนอีกครั้งเพื่อตามหาของสำคัญที่หายไป
โดยเด็กหนุ่มไล่ดูมันทีละห้องๆ เริ่มตั้งแต่ห้องเรียนวิชาดาราศาสตร์ วรรณกรรม และชีวะอันเป็นสถานที่และความหวังสุดท้ายของเขา มือซ้ายเอื้อมไปเลื่อนบานประตูออกอย่างแผ่วเบาแม้ว่าด้านในจะไม่มีใครอยู่ก็ตาม เด็กหนุ่มตรงไปยังโต๊ะประจำของตัวเองพร้อมกับก้มหน้าก้มตาหาของหายอยู่ร่วมหลายนาที
และสุดท้ายฮิลเวอรี่ก็เจอมัน
เด็กหนุ่มรีบสวมนาฬิกาไว้ที่ข้อมือตามเดิมพร้อมกับตรวจสอบดูว่ามันยังใช้การได้อยู่หรือเปล่า เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติเขาก็ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก
แกรก...แกรก
เสียงปริศนาดังขึ้นมาจากด้านหลังของโต๊ะอาจารย์ที่ตั้งอยู่ตรงกลางหน้าชั้นเรียน มันฟังดูคล้ายกับเสียงของดินสอเมื่อเราใช้มันเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดาษ ทว่าที่ตรงนั้นกลับไม่ได้มีอาจารย์ท่านใดหรือว่าใครนั่งอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ในห้องนี้มีเพียงเขาและเสียงที่ไม่ทราบที่มา
ความอยากรู้อยากเห็นอันเป็นพื้นฐานของนิสัยมนุษย์ถูกปลุกขึ้นพร้อมกับสั่งการให้ร่างกายนี้เดินไปหาคำตอบ ทุกๆ ก้าวที่เข้าใกล้เสียงนั้นจะยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดฮิลเวอรี่ก็ได้รู้ว่าในห้องนี้ไม่ได้มีเขาอยู่แค่คนเดียวอีกต่อไป อันที่จริงแล้วเขาเองเนี่ยแหละที่ดูท่าจะเป็นผู้บุกรุกเสียด้วยซ้ำ
ปรากฏว่าเจ้าเสียงปริศนานั่นเกิดจากดินสอสองบีที่เด็กหนุ่มผมสีดำสนิทคนนี้กำลังใช้มันเพื่อสร้างสรรค์รูปวาดของตัวเองอยู่ ฮิลเวอรี่เกือบจะเอ่ยทักแล้วว่ามาทำอะไรตรงนี้ แต่พอเห็นว่าอีกคนสวมหูฟังอยู่ก็เปลี่ยนใจ เขาไม่อยากไปทำลายสมาธิหรือรูปภาพดินแดนในฝันที่อีกฝ่ายกำลังวาดอยู่
ที่กล้าเรียกว่าดินแดนในฝันได้อย่างเต็มปากนั่นก็เพราะเมื่อครั้งยังเด็กฮิลเวอรี่เคยได้มีโอกาสไปสัมผัสมันด้วยตัวเอง สถานที่ที่อยู่ท่ามกลางทั้งภูเขาและทะเล ที่ตั้งของงานศิลปะอันน่าทึ่งจากทั่วโลก อาหารรสเลิศและผู้คนที่เป็นกันเอง
เวนิส คือชื่อของสถานที่นั้น
รู้สึกว่าพ่อหนุ่มศิลปินคนนี้จะวาดมันออกมาได้เหมือนจนเกินไปราวกับว่ายกสถานที่ในความทรงจำวัยเด็กของเขาขึ้นมาให้เห็นอีกครั้งอย่างชัดเจน
"เหมือนมากเลย" ฮิลเวอรี่โพล่งคำในหัวออกไปทำให้อีกคนสะดุ้งเล็กน้อยรีบแกะหูฟังออกแล้วหันมาสบตากับเขา โชคดีที่การตกใจเล็กๆ น้อยๆ นั่นไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับรูปวาดแต่ถึงอย่างนั้นฮิลเวอรี่ก็ยังรู้สึกผิด
"ขอโทษ"
"ไม่เป็นไรๆ แต่นายคิดแบบนั้นจริงเหรอ แบบว่ามันเหมือนจริงอะ" คนถูกถามรีบพยักหน้าเพื่อยืนยันคำตอบ แต่ทว่าพ่อหนุ่มหัวศิลป์ก็ยังคงจ้องหน้าเขาไม่เลิก เหมือนกับว่ากำลังรออะไรอยู่ ฮิลเวอรี่เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าแค่การพยักหน้าของตัวเองจะทำให้อีกคนพอใจได้
"คะ..คือว่า ตรงนี้น่าจะมีนกพิราบอยู่สักสองสามตัว" พูดพร้อมกับชี้ไปยังตำแหน่งที่ว่า โดยอ้างอิงจากภาพในความทรงจำ
"ความคิดเยี่ยมเลย" เด็กหนุ่มหันกลับไปมาร์กตำแหน่งนกพิราบทั้งสามแล้วเริ่มลงมือวาดมันทันที ฮิลเวอรี่ที่เห็นว่าหมดธุระแล้วก็ทำท่าจะลุกแล้วเดินออกจากห้องไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"นายคือเด็กใหม่ที่เพิ่งย้ายมาเมื่อปีที่แล้วนี่ใช่มั้ย" แต่แล้วคนที่ควรจะยุ่งอยู่กับการวาดรูปก็หันขวับมาพร้อมคำถามใหม่
"อืม" ตอบสั้นๆ อีกครั้ง ดูท่าแล้วภาพจำของคนอื่นที่มีต่อเขาคงจะเป็นแค่เด็กใหม่ที่เพิ่งย้ายมาจากอังกฤษ ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ หรือว่าน่าตื่นเต้นเท่าไรนัก เพราะตอนนี้หลายๆ คนเองก็คงจะยุ่งกับการเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัย ไม่มีใครว่างพอจะแบ่งเวลามาทำความรู้จักเพื่อนใหม่หรอก
"แล้วชินกับโรงเรียนใหม่ยังอะ สนุกหรือเปล่า นายคิดว่ามื้อกลางวันที่โรงอาหารเป็นไง" อีกคนได้โอกาสทีก็รีบรัวคำถามใส่เล่นเอาซะจนฮิลเวอรี่ตาลายเป็นน้ำวน
"ก็โอเค" ใช้เพียงแค่คำเดียวตอบคำถามทั้งหมดเพื่อที่คนตรงหน้าจะได้เลิกถามกันสักที ตอนนี้เขาอยากกลับบ้านก่อนที่พ่อกับแม่จะบ่นพร้อมกับย้ำเรื่องกฎง่ายๆ ที่ลูกควรทำออกมาอีก
"นาฬิกาเท่ชะมัดเลย เด็กม.ปลายมีเงินซื้อของแบบนี้ด้วยเหรอ"
"แม่ฉันให้มา"
"โชคดีโคตรเลยนะ" ว่าจบก็เหยียดยิ้มอย่างไร้เหตุผลก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงที่ถ้ามองคร่าวๆ ก็น่าจะมากกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรแน่นอน ทั้งๆ ที่อีกคนดูจะไม่ใช่หนุ่มนักกีฬาหรือว่าคนรักสุขภาพอะไรขนาดนั้น แต่กลับมีส่วนสูงที่น่าอิจฉา
ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นยืนก่อนจะบิดขี้เกียจวงใหญ่แล้วค่อยก้มลงเก็บของที่กองอยู่ตามพื้นเข้ากระเป๋าเป้ โดยเขานั้นเลือกเก็บสมุดวาดภาพเป็นอย่างสุดท้ายทำให้คนที่ยืนอยู่ไม่ไกลสังเกตเห็นชื่อหนึ่งที่ปกหลัง
'เทรย์เวอร์'
"ดูท่าแล้วนายคงจะเคยไปเวนิสสินะ"
"ใช่"
"แล้วเป็นไง"
"ก็สวยดี" คำตอบนั้นทำให้เทรย์เวอร์คิ้วขมวดและแน่นอนว่ามันย่อมส่งผลให้ฮิลเวอรี่หน้าซีดนึกคำพูดต่อไปไม่ออก แม้แต่เรื่องที่ว่าอีกคนกำลังโกรธอยู่หรือเปล่าเขาก็ยังไม่รู้เลยว่าควรจะรับมือยังไง เด็กหนุ่มกลั้นหายใจเมื่อร่างสูงตรงเข้ามาใกล้ก่อนจะหรี่ตาคมแล้วพูดว่า
"นายเป็นตุ๊กตาเหรอ หรือว่าไซบอร์ก?"
"เปล่า ฉันไม่ใช่ทั้งสองอย่าง"
"งั้นก็พูดให้มันดูตื่นเต้นหน่อยสิ นั่นมันเวนิสเชียวนะ คนละทวีปกับที่นี่เลย เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งสายน้ำ" ท่าทางและน้ำเสียงที่อีกคนใช้พูดฟังดูตื่นเต้นและสนุกสนานมากทั้งๆ ที่เจ้าตัวยังไม่เคยได้มีโอกาสไปยังสถานที่ที่ว่าเลยด้วยซ้ำ
"ฉันอยู่นานมากแล้วนะเนี่ยรีบออกก่อนดีกว่า" คว้ากระเป๋าที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมาสะพายหลังแล้วไปหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้อง
"เอ่อ...แล้วนายไม่กลับบ้านเหรอ" เทรย์เวอร์ถามและมันทำให้อีกคนนึกขึ้นได้ว่าเขาควรกลับบ้านได้ตั้งนานแล้วจึงรีบก้าวขาเดินตามโดยมีเทรย์เวอร์อาสาเปิดประตูห้องให้
"ขอบคุณ"
"ไม่มีปัญหา ว่าแต่นายจะกลับเดี๋ยวนี้เลยหรือเปล่า"
"ก็ไม่เชิง..."
"งั้นช่วยมาด้วยกันสักเดี๋ยวจะได้มั้ย คือฉันอยากได้ข้อมูลอะไรหน่อย" คนถูกถามนิ่งเงียบไม่ได้ตอบไปในทันที ฮิลเวอรี่หลุบตาต่ำพลางเม้มปากเล็กน้อยไม่กล้าสบตากับคนตรงหน้า
"นะๆ ไม่ถึงห้านาทีหรอกฉันสัญญาเลย"
"ใช้วาดรูปเหรอ"
"อ่าฮะ"
"ก็ได้" ไม่รู้ว่าตัวเองซื่อเกินไปหรือเปล่าที่ตอบตกลงเร็วซะขนาดนั้น แต่พอมีคนต้องการตัวหรืออะไรสักอย่างจากเขามันก็ทำให้รู้สึกดีเอามากๆ อย่างน้อยก็จะได้มีส่วนร่วมให้ภาพวาดของเทรย์เวอร์นั้นสมบูรณ์ที่สุด
"เยี่ยมเลย ตามฉันมาสิ" คนพูดออกเดินนำส่วนคนที่อยู่ด้านหลังก็รีบตามไปติดๆ แต่เพราะว่าอีกคนนั้นมีส่วนสูงที่มากกว่าและขาที่ยาวกว่าทำให้ฮิลเวอรี่ต้องก้าวเร็วขึ้นกว่าเดิมเพื่อตามความเร็วให้ทัน และกว่าจะมาถึงที่หมายก็เล่นเอาเด็กหนุ่มหอบหนักสภาพดูแล้วไม่ต่างอะไรจากการวอร์มอัพในคาบพละ
"อะอ้าว ฉันขอโทษนะที่เดินเร็วไปหน่อย" เหมือนเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าคนที่อยู่ด้านหลังมีสภาพเป็นเช่นไร
"น้ำหน่อยมั้ย" เทรย์เวอร์ยื่นขวดน้ำที่มีน้ำดื่มอยู่เต็มบรรจุภัณฑ์ไปให้ ทว่าอีกคนกลับส่ายหัวไม่ตอบรับน้ำใจของเขา เหตุผลไม่ใช่เพราะว่ารังเกียจแต่ฮิลเวอรี่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจหากต้องรับของจากคนแปลกหน้า
"อย่าบอกนะว่านายเป็นพวกไม่รับของจากคนแปลกหน้า" เป็นคำถามที่ทำเอาอีกคนสะดุ้งเล็กน้อย และแน่นอนว่าร่างสูงสังเกตเห็นอาการนั้น
"นี่เราเรียนด้วยกันมาจะปีนึงแล้วนะ จำได้มั้ย คาบวรรณกรรมน่ะ เราอยู่กลุ่มเดียวกันตอนที่ต้องแปล-"
"แต่นายหายไปเข้าห้องน้ำทั้งคาบ"
"ในที่สุดก็พูดประโยคยาวๆ ได้สักที ฉันเกือบหลงนึกว่านายจะเป็นไซบอร์กจริงๆ แล้ว" ฮิลเวอรี่ย่นคิ้ว เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตนเองตามคารมของเทรย์เวอร์ไม่ทันเลยสักนิด
"เรามาสัมภาษณ์กันดีกว่า" กล่าวจบก็นั่งลงเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่โดยไม่กลัวสักนิดเลยว่าเสื้อเชิ้ตสีขาวของตัวเองจะเปื้อนหรือเปล่า ฮิลเวอรี่วางกระเป๋าลงบนตัก เลือกนั่งลงบนหญ้านุ่มๆ ที่ตรงข้ามกับอีกคนและยังอยู่ในร่มเงาของต้นไม้แทน
"ปกติแล้วนักท่องเที่ยวเยอะหรือเปล่า"
"เยอะมาก"
"หึ รีทัชรูปลำบากแหง" เทรย์เวอร์พึมพำอยู่คนเดียวโดยไร้การตบมุขจากคู่สนทนา
"แล้วฤดูอะไรท้องฟ้าถึงจะสวยที่สุดล่ะ" ฮิลเวอรี่นิ่งไปอีกครั้ง ตอนที่ตกลงว่าจะช่วยเขาไม่ได้ฉุกคิดเลยว่าจะต้องมาเจอคำถามแบบนี้
"เอาใหม่ๆ ขอเปลี่ยนคำถาม ฉันควรไปเที่ยวที่นั่นฤดูไหนดี"
"มันก็แล้วแต่คนจะชอบ แต่ฉันแนะนำฤดูใบไม้ผลิ" คนตัวโตกว่าคลี่ยิ้มบางหลังได้ยินคำตอบ ก่อนจะขีดๆ เขียนๆ อะไรสักอย่างลงไปในสมุดจด
จากตรงนี้ฮิลเวอรี่ไม่สามารถมองเห็นได้ บวกกับอีกคนนั่งชันเข่าด้วยเลยยิ่งบังมิดทั้งตัวสมุด
"แล้วปรากล่ะนายว่าไง เคยไปหรือเปล่า"
"ยังไม่เคย"
"ว่างๆ ลองไปดูนะ"
"นายเคยไปเหรอ"
"เปล่า ฉันแค่แนะนำเฉยๆ" คนตัวเล็กกว่าพยายามไม่ทำท่างงงวยกับคำพูดของเทรย์เวอร์อีกเป็นหนที่สาม บางทีอีกคนอาจจะพูดจาเป็นปกติเหมือนที่เด็กวัยรุ่นคนอื่นเขาทำกันก็ได้ เพียงแต่ว่าตัวฮิลเวอรี่เองต่างหากที่ไม่ค่อยได้พูดคุยหรือว่าไปตีสนิทกับใคร เลยทำให้ไม่เข้าใจในสำนวนการพูดของคนอื่น ดังนั้นการเงียบเอาไว้จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
"ทะเลคงสวยมากเลยสินะ"
"ใช่ มันสวยมาก"
"เท่าตาของนายหรือเปล่า แบบว่าสีน่ะมันเข้มเหมือนตาของนายมั้ย" เทรย์เวอร์หยุดเขียนแล้วเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของดวงตาสีน้ำทะเลที่้เข้มยิ่งกว่ามหาสมุทรแปซิฟิก คนถูกจ้องรีบยกมือขึ้นปิดตาตัวเองทำให้อีกคนยิ้มกว้างกว่าเดิมพลางควงดินสอกดในมือไปมาแล้วเริ่มพูดต่อ
"คงไม่หรอกเนอะ" ฮิลเวอรี่เห็นด้วยกับคำพูดนั้นอย่างเต็มอก เพราะตั้งแต่เกิดมาเด็กหนุ่มยังไม่เคยเห็นใครที่มีตาสีเดียวกับตัวเองมาก่อนเลย มันเป็นสีน้ำเงินที่ได้รับมาจากทางฝั่งแม่แต่ว่าของเขากลับเข้มยิ่งกว่าใครๆ ในครอบครัว
"โอเค...ฉันว่าฉันได้สิ่งที่ต้องการครบแล้ว" พูดโดยไม่ได้สบตาคู่สนทนา
"งั้นฉันกลับก่อนนะ"
"อื้ม ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะ" พอรู้ว่าอีกคนจะไปแล้วเทรย์เวอร์ก็รีบเงยหน้าขึ้นมากล่าวขอบคุณพร้อมกับรอยยิ้มจริงใจที่มีผลทำให้ผู้พบเห็นเป็นต้องเผลอยิ้มตามไปด้วย
"ดีใจที่ช่วยได้" ฮิลเวอรี่เดินเท้าออกจากโรงเรียนโดยมีสายตาคู่หนึ่งเฝ้าดูไล่หลังให้ตลอดทาง พอเห็นว่าอีกคนเดินพ้นรั้วโรงเรียนไปแล้วร่างสูงโปร่งก็เหยียดขาตรงให้นั่งได้สบายขึ้น สมุดเล่มขนาดพอดีมือเลยค่อยๆ ไหลตามลงมา หน้าปัจจุบันที่เปิดอยู่คือภาพสเกตของเด็กหนุ่มผมหยักศกเล็กน้อยนั่งกอดกระเป๋าเป้บนตักของตัวเองด้วยดวงตาที่เรียบเฉยไม่สามารถอ่านความรู้สึกได้
เทรย์เวอร์ตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาเก็บรายละเอียดต่ออีกประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วจึงค่อยกลับบ้าน
ใจจริงก็อยากจะใช้เวลาให้มากกว่านี้ด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่าตัวเขาเองก็ไม่ควรจะกลับบ้านค่ำเหมือนกัน
"พี่กลับมาแล้วๆ" เสียงแหลมของเด็กชายอายุราวๆ เจ็ดขวบเหมือนเป็นสัญญาณเตือนภัยอัตโนมัติที่คอยรายงานเจ้าของบ้านว่ามีใครก้าวเข้ามาทางประตู
"ได้ซื้อขนมที่หนูฝากหรือเปล่า" เด็กสาวตัวเล็กผมสีน้ำตาลเหยียดตรงเดินมาหยุดหน้าเทรย์เวอร์พร้อมตุ๊กตาไดโนเสาร์เสาร์สีชมพูในวงแขน
"พี่จะลืมได้ยังไง" ว่าพลางยื่นถุงกระดาษใบเล็กที่ด้านในเต็มไปด้วยคัพเค้กหน้าตาน่ารักสีสันสดใสไปให้เด็กสาวก่อนจะย่อตัวลงจุ๊บที่หน้าผากน้องสาวคนเล็กของบ้านไปหนึ่งที
"แต่ต้องกินหลังมื้อเย็นนะ เดี๋ยวแม่บ่นพี่อีก" สาวน้อยพยักหน้ารับหงึกใหญ่ เทรย์เวอร์จึงตรงไปสำรวจห้องครัวที่มีกลิ่นหอมของอาหารลอยมาแตะจมูกเขาตั้งแต่ก้าวเข้าตัวบ้าน
"แม่ทำจาจังมยอนอีกแล้วเหรอ"
"ก็เส้นมันยังเหลือนี่นา" เด็กหนุ่มยิ้มก่อนจะเดินไปดูอาหารเกาหลีอีกสองสามอย่างที่ถูกเตรียมเอาไว้โดยฝีมือแม่ ข้อดีของการมีแม่เป็นคนเกาหลีหนึ่งเลยก็คือจะได้กินของอร่อยแบบนี้บ่อยๆ สองคือทักษะทางภาษาที่สาม
และเทรย์เวอร์ก็มักจะถือว่าเรื่องหน้าตาที่มีความโค้งมนเคล้าเอเชียเล็กน้อยของตัวเองนั้นเป็นของแถมมาด้วยเสมอ
"แล้วเรื่องงานพิเศษล่ะว่าไง แม่ว่าลูกวาดรูปหากินเอาก็ได้นะไม่เห็นต้องไปทำงานที่ร้านเลย"
"มันไม่เหมือนกันนะแม่ ถ้าทำงานที่ร้านผมก็จะได้มีประสบการณ์ไง" คนเป็นแม่หรี่ตาลงพร้อมกับมองลูกชายคนโตของบ้าน ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะรู้ว่านั่นคือข้ออ้างหาเรื่องออกจากบ้านของเทรย์เวอร์
"แม่เงียบผมจะถือว่าโอเคนะ"
"เห้อ ตามใจลูกเถอะ" เด็กหนุ่มยิ้มหน้าบานหลังได้ยินคำอนุญาตจากคุณแม่แสนรัก
"อ้อแล้วก็วันนี้ผมกินดึกหน่อยนะแม่ไม่ต้องขึ้นมาตามโอเค๊"
"จะวาดรูปอีกแล้วล่ะสิ มันจะออกมาสวยได้ยังไงถ้าลูกไม่กินอะไรซะก่อน"
"น่าแม่ เดี๋ยวค่อยลงมากินตอนดึกๆ ก็ได้" คนอายุมากกว่าย่นคิ้วเข้าหากันทันที ความอดทนเริ่มเหลือน้อยลงเรื่อยๆ ส่วนลูกชายคนโตก็ยิ้มสู้ไม่ถอย
"จะไม่เหลืออะไรไว้ให้กินเลยคอยดู"
"ใจร้ายอะ" พูดเสียงสองให้ตัวเองดูน่าสงสารแต่ก็ไม่ได้คิดจะเปลี่ยนแผน เทรย์เวอร์เดินออกจากห้องครัวไปลูบหัวทักทายน้องชายเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นแล้วจึงค่อยตรงขึ้นบันไดไปชั้นสองของบ้าน
เด็กหนุ่มเลี้ยวซ้ายตรงไปยังห้องที่อยู่ในสุด โดยหน้าประตูมีป้ายชื่อเจ้าของห้องแขวนเอาไว้ชัดเจนด้วยลายมือที่ยึกยือจากการหัดเขียนหนังสือของไทลี่น้องสาวคนเล็ก เทรย์เวอร์ไม่เคยคิดที่จะเอามันออกเพราะน้องสาวตั้งใจมอบให้กับเขามากๆ
เด็กหนุ่มเปิดประตูเข้าไปวางกระเป๋าบนชั้นวางของแล้วแยกสมุดวาดรูปออกมาวางบนโต๊ะ และไม่ลืมที่จะจุดเทียนหอมกลิ่นโรสแมรี่เพื่อเพิ่มบรรยากาศผ่อนคลายให้กับห้อง
รองเท้าผ้าใบสีขาวถูกถอดออกก่อนที่เทรย์เวอร์จะทิ้งตัวลงนอนพักหายใจบนเตียง เด็กหนุ่มหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาเปิดเช็กความเคลื่อนไหวบนโลกโซเชียลประมาณห้านาทีกว่าจะนึกอะไรได้
จะว่าไปแล้วเขาก็ไม่เคยเห็นแอคเคาน์ของคนที่ชื่อฮิลเวอรี่ผ่านหน้าผ่านตาเลยสักครั้งเดียว
"เหอะ เด็กวัยรุ่นเขาไม่เล่นโซเชียลกันเหรอ" พูดสิ่งที่คิดออกมาก่อนจะดีดตัวขึ้นไปนั่งบนโต๊ะทำงานแล้วเชื่อมสมาร์ตโฟนเข้ากับลำโพงบลูธูท ทุกครั้งที่เทรย์เวอร์วาดรูปเสียงเพลงเป็นอีกสิ่งหนึ่งเลยที่ขาดไปไม่ได้ และเมื่อบรรยากาศทุกอย่างลงตัวแล้วการที่คนในบ้านจะได้เห็นเขาออกจากห้องอีกทีก็คือตอนเช้าของวันพรุ่งนี้
แม้ว่าอีกสิบห้านาทีจะได้เวลาเริ่มเรียนคณิตศาสตร์ซึ่งเป็นวิชาแรกของวันนี้ แต่น่าแปลกที่ภายในห้องเรียนแทบจะไม่มีใครอยู่เลย และเพราะแบบนั้นฮิลเวอรี่ถึงสามารถเดินเข้ามาได้โดยที่ไม่ต้องรู้สึกอึดอัดเหมือนทุกทีที่เขาต้องขอทางพวกเด็กคนอื่นที่นั่งออกันอยู่หน้าห้อง
ฮิลเวอรี่เลือกนั่งถัดจากแถวกลางลงไปเสมอเพราะไม่ได้มีปัญหาเรื่องการมองเห็นบวกกับไม่อยากเป็นคนที่ถูกอาจารย์เรียกถามบ่อยๆ ดังนั้นตรงนี้คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด
เอี๊ยดดด...เสียงลากเก้าอี้ดังบาดหูจนแทบอยากจะหันไปดูว่าใครกันนะที่เป็นคนทำ
"เฮ้ ฮิลเวอรี่" น้ำเสียงคุ้นหูดังชัดเจนอยู่ด้านหลัง และเพราะเพิ่งได้คุยกันเมื่อวานนี้เองทำให้ฮิลเวอรี่จำเจ้าของเสียงได้ขึ้นใจ อีกคนยังคงรวบเส้นผมสีดำของตัวเองเอาไว้ครึ่งหัวอย่างลวกๆ เหมือนทุกที แต่ว่าดูเหมือนจะมีบางอย่างเพิ่มเข้าบนใบหน้าของเทรย์เวอร์
ใต้ตาที่ออกสีคล้ำดึงความสนใจจากรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์ของอีกคนไปได้อย่างสมบูรณ์เลย เห็นแบบนี้แล้วก็พอจะเดาได้ว่าเมื่อคืนมีคนบางคนไม่ได้นอน
"หวังว่าเมื่อวานฉันคงไม่ได้ทำให้นายกลับบ้านเย็นจนโดนคุณพ่อกับคุณแม่ดุเอานะ"
"เปล่า" จริงอยู่ที่ว่าเมื่อวานเทรย์เวอร์เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เขากลับบ้านช้ากว่าปกติ แต่โชคดีที่ไม่ได้โดนว่าอะไรเพราะพ่อกับแม่เองก็กลับช้าเหมือนกัน
"ฉันวาดรูปเสร็จแล้วนะ อยากดูมั้ย" ฮิลเวอรี่รีบพยักหน้าร่างสูงที่เห็นว่าอีกคนมีการตอบรับที่ดีก็รีบเปิดกระเป๋าเป้ออกแล้วยื่นสมุดวาดรูปเล่มเดิมกับเมื่อวานให้ไป เผลอหลุดขำเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกคนเบามือกับมันมาก ทั้งเปิดอย่างบรรจงค่อยๆ พลิกหน้ากระดาษทีละหน้าตรงข้ามกับเขาที่ถ้าได้มาปุ๊บก็คงจะเลือกเปิดแบบสุ่มเอาจนกว่าจะเจอ
ขนตาที่หนายาวเป็นแพรขยับขึ้นลงขณะมองดูภาพวาดของเพื่อนร่วมชั้นอย่างอัศจรรย์ใจ ฮิลเวอรี่ไม่ใช่คนที่มีความรู้เรื่องศิลปะขนาดนั้นแต่เจ้าตัวก็มองออกว่านี่คือภาพที่สุดยอดเอามากๆ สำหรับเด็กม.ปลายคนหนึ่ง คิดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าภาพนี้มันทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองได้หลุดไปอยู่ในช่วงเวลานั้นจริงๆ
"แล้ว..คิดว่าไง?"
"นายสุดยอดเลย..." นั่นคือคำแรกที่ผลุดขึ้นมาในหัว ฮิลเวอรี่คิดว่าเทรย์เวอร์นั้นเป็นคนที่สุดยอดอย่างไม่ต้องสงสัย เดาไม่ได้เลยว่านี่คือพรสวรรค์หรือว่าพรแสวงกันแน่ บางทีก็อาจจะทั้งสองอย่างรวมเข้าด้วยกันถึงกลายมาเป็นเทรย์เวอร์ได้
"ถ้าไม่ได้นายช่วยก็คงไม่ออกมาดีขนาดนี้หรอก พูดจริงนะ" หัวใจดวงน้อยรู้สึกพองโตขึ้นมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น
"เกือบลืมไปเลย ขอเบอร์ติดต่อนายหน่อยสิ"
"เบอร์ฉันเหรอ"
"ใช่ ถ้าไม่สะดวกให้จะเอาเป็นช่องทางอื่นก็ได้นะ เฟสบุ๊ค อินสตาแกรม แล้วแต่นายเลย" คนตัวเล็กทำสีหน้าลังเลมือก็กำสมาร์ตโฟนแน่นดูลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด เล่นเอาเทรย์เวอร์ต้องรีบมองสำรวจตัวเองเลยว่าเขาแต่งตัวเหมือนพวกมิจฉาชีพหรือเปล่า
"งะ..งั้นนายเอาเบอร์ฉันไปแทนมั้ย" พ่อหนุ่มหัวศิลป์เสนอไอเดียใหม่
"ถ้าเป็นแบบนั้นก็ได้อยู่หรอก" เทรย์เวอร์แอบฉีกยิ้มกว้างอยู่ในใจขณะที่กำลังพิมพ์เบอร์โทรของตัวเองลงไปโดยไม่ลืมที่จะตรวจสอบดูอีกครั้งว่าพิมพ์ถูกต้องทุกตัวเลขหรือเปล่าก่อนส่งคืนเจ้าของ
"เรียบร้อย" คนตัวเล็กรับไปเปิดดูแทบจะในทันที ตอนนี้หน้ารายชื่อติดต่อของเขาไม่ได้มีแค่คนในครอบครัวอีกต่อไปแล้ว ในที่สุดมันก็มีชื่อใหม่เข้ามาทำให้รู้สึกว่าเจ้าเครื่องมือสื่อสารนี่ไม่ได้ไร้ค่าอีกต่อไป
"ขอบคุณ"
"หืม? นายขอบคุณทำไม"
"ก็แค่รู้สึกขอบคุณ" เทรย์เวอร์ขมวดคิ้วทำหน้างงแต่ก็ไม่ได้มีโอกาสถามอะไรเพราะอาจารย์ประจำวิชาเข้ามาแล้ว ฮิลเวอรี่ไม่แน่ใจว่าตลอดคาบนั้นคนที่นั่งอยู่ด้านหลังเขาได้เรียนหรือเปล่าเพราะรู้สึกว่าสิบห้านาทีแรกเทรย์เวอร์จะใช้มันไปกับการนอนหลับหน้าติดโต๊ะ และหลังจากนั้นไม่นานเด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงดินสอขีดแกรกๆ เดาว่าอีกคนคงกำลังวาดภาพอะไรสักอย่างตามเคย
แต่ที่น่ารำคาญก็คือเทรย์เวอร์มักจะสะกิดหลังเขาอยู่บ่อยๆ เพื่อขอยืมอย่างลบด้วยเหตุผลที่ว่าเจ้าตัวลืมเอามาจากบ้าน มันทำให้ฮิลเวอรี่อดสงสัยไม่ได้เลยจริงๆ ว่าอีกฝ่ายชอบวาดรูปออกขนาดนั้นแต่กลับลืมเอายางลบมาเนี่ยนะ
.
.
To be continued
ไ ด้ โ ป ร ด อ่ า น
ขอบคุณทุกคนมากเลยนะคะที่กดเข้ามาอ่านน้องกัน ต่อให้เป็นคนที่หลงเข้ามาก็ขอบคุณค่ะ
เรื่องนี้เป็นนิยายวายออรินะคะ โดยเซตติ้งที่ตัวละครอยู่จะเน้นเป็นที่อเมริกาหรือก็คือเป็นแบบแนวไฮท์สคูลเลย เนื้อเรื่องจะค่อนไปทางสบายแต่ก็มีดราม่าและอะไรที่มันท็อกซิคอยู่บ้างเล็กน้อยเลยอยากมาบอกเอาไว้ก่อน
ไงก็ฝากเอ็นดูพ่อหนูฮิลเวอรี่และเจ้าเทรย์เวอร์ด้วยนะคะ รับรองเลยว่าจะไม่ผิดหวังแน่นอนค่า
#รูปโปรดของเทรย์เวอร์
X : @itsLadyIris