“ไม่ใช่พรหมลิขิตหรอกที่ทำให้เราได้พบกัน ที่ผ่านมาฉันจงใจทั้งนั้นแหละ

PIT A PAT - Chapter : ตุ๊กตา โดย Lady.Iris @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-ชาย,วัยว้าวุ่น,ตะวันตก,ตลก,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

PIT A PAT

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-ชาย,วัยว้าวุ่น,ตะวันตก,ตลก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

PIT A PAT โดย Lady.Iris @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

“ไม่ใช่พรหมลิขิตหรอกที่ทำให้เราได้พบกัน ที่ผ่านมาฉันจงใจทั้งนั้นแหละ

ผู้แต่ง

Lady.Iris

เรื่องย่อ

เมื่อหนุ่มอาร์ตติสรักสนุกได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในโลกของคุณตุ๊กตากระเบื้องสุดสวย

สารบัญ

PIT A PAT-Chapter : ศิลปิน,PIT A PAT-Chapter : ตุ๊กตา,PIT A PAT-Chapter : เพื่อนสนิท,PIT A PAT-Chapter : เปิดร้าน

เนื้อหา

Chapter : ตุ๊กตา

Chapter 2 : ตุ๊กตา

อุณหภูมิยี่สิบสามองศาเซลเซียสถือว่าเป็นตัวเลขที่ดีสำหรับการทำกิจกรรมต่างๆ อย่างเล่นฟุตบอล ออกกำลังกาย และการนั่งทานมื้อกลางวันนอกโรงอาหารเองก็ด้วย นี่ก็ผ่านมาได้สองวันแล้วหลังจากที่ฮิลเวอรี่ได้มีโอกาสทำความรู้จักกับเทรย์เวอร์

หนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นที่มีพลังงานเหลือล้นกว่าเขามาก ยิ้มก็เก่งกว่า ชวนคุยก็ดูจะเป็นเรื่องถนัดเลยเพราะไม่ว่าเทรย์เวอร์จะอยู่ส่วนไหนของโรงเรียนเจ้าตัวก็สามารถเข้าไปพูดคุยกับคนอื่นๆ ได้อย่างเป็นกันเอง แม้แต่อาจารย์ก็ไม่เว้น

"นายเนี่ยดูท่าจะชอบดื่มน้ำผลไม้จริงๆ เลยนะ" เทรย์เวอร์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเท้าคางพูด

"อืม"

"อร่อยมั้ย"

"นายถามทำไม ของตัวเองก็ยังกินไม่หมดเลย" ฮิลเวอรี่ชี้ไปยังถาดอาหารของอีกคนที่แทบจะไม่ได้ลดลงจากตอนแรกเลย

"วันนี้ฉันกินอะไรไม่ค่อยลงน่ะ" 

"ไปห้องพยาบาลมั้ย" เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น เพราะที่ผ่านมาเขาค่อนข้างมั่นใจว่าเทรย์เวอร์เป็นคนที่กินเก่งพอสมควร แต่วันนี้กลับไม่แตะอะไรเลย

"ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก ฉันแค่มีเรื่องกังวลนิดหน่อย" 

"กังวลอะไร" ฮิลเวอรี่รีบยิงคำถามใส่ เพราะหากไม่ทำมันตอนนี้มีหวังคนตรงหน้าได้ลีลาอีกนานแน่กว่าจะพูดออกมา

"วันนี้ฉันมีนัดสัมภาษณ์งานน่ะสิ จำได้มั้ยที่เคยเล่าให้ฟัง" อีกคนพยักหน้าแทนคำตอบ เทรย์เวอร์มักจะพูดว่าอยากหางานพิเศษทำอยู่บ่อยๆ ในตอนแรกเขาไม่คิดว่าอีกคนจะทำมันจริงๆ เสียด้วยซ้ำ

"หลังเลิกเรียนนายไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้มั้ย"

"ฉันไม่รู้ว่าที่ทำงานนายอยู่ตรงไหน" ยกความไม่รู้ขึ้นมาอ้างแทนการปฏิเสธออกไปตรงๆ

"อยู่ไม่ไกลจากนี่นักหรอก นั่งรถไฟฟ้าไปแค่แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว" ฮิลเวอรี่นิ่งเงียบพร้อมกับนัยน์ตาสีน้ำทะเลที่หลุบต่ำลง ถึงอย่างนั้นร่างสูงก็ยังขอร้องกันไม่เลิก

"เดี๋ยวฉันเลี้ยงเครื่องดื่มเอง" เหมือนเห็นเครื่องหมายคำถามดีดออกมาจากหัวตัวเอง ไม่เห็นจะเข้าใจเลยว่าไอข้อเสนอแบบนี้มันจะช่วยทำให้คนฟังอยากตอบรับตรงไหน ปกติเขาก็ซื้อเครื่องดื่มเองอยู่แล้วไม่จำเป็นจะต้องพึ่งเงินของใคร

"ทำไมนายถึงคิดว่าฉันจะไปถ้านายเลี้ยงล่ะ"

"ก็..ไม่รู้สิ แต่ทุกทีที่ฉันทำแบบนี้กับแม่ แม่ก็จะยอมตามใจฉัน" ดูเหมือนว่าจะมีคนเอาพฤติกรรมตอนอยู่ที่บ้านมาใช้กับเพื่อนในโรงเรียนและคิดว่ามันจะได้ผลซะด้วย

บอกเลยว่าผิดถนัด

"นะฮิลเวอรี่ อย่าปล่อยให้ฉันต้องไปคนเดียวเลย" 

แต่ถ้าตอบตกลงไปนี่ก็จะถือเป็นครั้งแรกที่ได้คนอื่นมาเลี้ยงเครื่องดื่มให้ และเทรย์เวอร์เองก็คงหาเพื่อนคนอื่นไม่ได้แล้วแน่ๆ ถึงมาขอร้องเขาแบบนี้

"ก็ได้"

"เย่! ขอบคุณนะ" ระบายยิ้มพร้อมกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ ในที่สุดคนตรงหน้าก็ได้เริ่มกินอาหารของตัวเองเสียที

"หวัดดีเทรย์เวอร์" สาวสวยคนหนึ่งเดินมาทักถึงโต๊ะ เจ้าของชื่อที่ไม่มีเวลาเตรียมตัวให้ดีก่อนจึงรีบกลืนมะเขือเทศลงคอไปแล้วเงยหน้าสบตากับผู้มาใหม่อย่างเป็นมิตร

"ว่าไง"

"ฉันไม่เห็นนายในงานเมื่อคืนนี้เลย ไม่ว่างมาเหรอ"

"คือ...ฉันต้องดูน้องๆ น่ะ โทษทีเคท" เทรย์เวอร์บอกเหตุผลที่ตนเองไม่สามารถมาร่วมงานเลี้ยงได้ ซึ่งฮิลเวอรี่ไม่มีทางรู้ได้เลยว่านั่นเรื่องจริงหรือว่าพูดโกหก เพราะถ้าหากเป็นความจริงเขาก็เพิ่งรู้ว่าอีกคนมีพี่น้องด้วย

"เสียใจนะเนี่ย คราวหน้าห้ามขาดแล้วนะ"

"รับรองเลยว่าไม่พลาดอีกแน่ อ้อแล้วก็สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังนะ" พูดตอบรับกันไปมาราวกับว่าไม่ได้มีบุคคลที่สามนั่งอยู่ตรงนี้

"ขอบคุณ" เคทขอบคุณสำหรับคำอวยพรแล้วค่อยเดินกลับไปรวมกับเพื่อนในกลุ่มที่ยืนรอเธออยู่ไม่ไกล

"นายคงรู้จักเคทอยู่แล้วใช่มั้ย"

"ไม่" สารภาพตามตรงว่าเพิ่งจะรู้ชื่อของเธอเมื่อกี้นี้

"ให้ตายสินั่นเพื่อนรุ่นเดียวกันนะ นี่นายจำใครได้บ้างเนี่ย"

"ก็จำได้ แต่ไม่ใช่เคท"

ถึงจะเป็นเด็กใหม่แต่ก็ย้ายมาอยู่ได้เกือบปีแล้วทำให้ฮิลเวอรี่พอจะคุ้นหน้าคนในโรงเรียนอยู่บ้าง แต่ไอการรู้หน้าไม่รู้ชื่อแบบนี้มันก็สร้างความลำบากให้เขาอยู่นิดหน่อยเวลาที่ต้องติดต่อเรื่องงานกิจกรรมกับคนอื่น

"เห้อ ใกล้สอบเก็บคะแนนแล้วสินะ"

"หมายถึงพีชคณิตเหรอ"

"ใช่ ของฉันคงเละไม่เป็นท่าอีกแน่" ทำหน้าหมดอาลัยตายอยากก่อนจะเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวแล้วมุดหน้าลงกับโต๊ะ ส่วนอีกคนก็นิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไรกลับเพราะคะแนนตัวเองก็ไม่ได้ดีเด่ถึงขั้นจะเอามาอวดใครได้ แต่ก็ดีพอที่จะทำให้เขาสอบผ่านทุกรอบล่ะนะ

"นายไม่กินพุดดิ้งเหรอ" คนผมทองส่ายหัวไปมาเพื่อตอบ หากมองจากมุมของเทรย์เวอร์ก็จะรู้สึกเหมือนอีกคนเป็นดอกแดนดิไลออนที่กำลังแตกหน่อบานในฤดูร้อน 

"งั้นฉันขอได้มั้ย" ทันทีที่ได้รับของหวานมาพ่อศิลปินคนเก่งก็ยิ้มหน้าบานไม่ต่างอะไรกับเด็กห้าขวบ

"น้องๆ ฉันชอบกินมากเลยนะ ฉันนี่แทบไม่เคยจะกินทันเลย"

"มีพี่น้องมันดีหรือเปล่า" เทรย์เวอร์หยุดคิดเอามือลูบคางอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า

"สำหรับฉัน ฉันว่าดีนะ ที่บ้านฉันไม่ค่อยจะเงียบเท่าไหร่หรอก และฉันก็ชอบเวลาน้องขอให้สอนทำนู่นนี่ด้วย" ดูจากสีหน้าเปี่ยมสุขแบบนั้นแล้วเทรย์เวอร์คงจะเป็นคนที่รักครอบครัวมากๆ

"แล้วนายล่ะ มีพี่ชาย หรือว่าน้องสาวหรือเปล่า"

"ไม่ ฉันเป็นลูกคนเดียว"

ลูกคนเดียว อยู่คนเดียวมาตั้งแต่จำความได้ ไม่ได้อิจฉาเวลาเห็นพี่น้องคู่อื่นๆ เล่นด้วยกัน แต่มันก็ต้องยอมรับว่าเขาเหงามากๆ ยิ่งกับพ่อแม่ที่ไม่ค่อยมีเวลาให้แล้วยิ่งเหงาเข้าไปใหญ่ 

"คงเหงาแย่เลยใช่มั้ย" พูดเหมือนอ่านความคิดได้

"ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก"

"แต่นายมีเบอร์ฉันแล้วนี่ ต่อให้ไม่มีธุระอะไรหรือว่าแค่อยากจะคุยเล่นก่อนนอนเฉยๆ ฉันก็รับหมดเลยนะ"

"แล้วนายไม่วาดรูปหรือว่าทำการบ้านบ้างเหรอ"

"แค่คุยโทรศัพท์เอง มันไม่เป็นอุปสรรคขนาดนั้นหรอกนะ" รู้สึกเหมือนจะเจอคนขี้เหงากว่าตัวเองเข้าแล้ว ทั้งๆ ที่ภายนอกเหมือนคนที่จะได้รับข้อความจากคนรอบข้างอยู่ตลอดเวลาแต่กลับมาเรียกร้องให้เขาโทรไปหาอีกคน 

"กินหมดแล้วล่ะ พวกเราไปกันเถอะ" เทรย์เวอร์ว่าจบก็ลุกขึ้นยืนทันที ถ้าเป็นเมื่อก่อนฮิลเวอรี่กินเสร็จตอนไหนก็จะไปเลยไม่ต้องมานั่งรอใครแบบนี้ แต่ต้องยอมรับว่าเขาขอนั่งรอเทรย์เวอร์ทั้งชั่วโมงดีกว่าต้องกลับไปนั่งกินข้าวคนเดียวอีก การได้อยู่กับเทรย์เวอร์มันทำให้รู้สึกว่าชีวิตมีอะไรให้ทำมากขึ้น ต้องไปนั่งเล่นบ้างละ ฟังเพลงใหม่ๆ บ้างล่ะ หรือบางทีก็หาขนมมากินก่อนเข้าเรียนบ้างล่ะ

ที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดล้วนช่วยเพิ่มสีสันให้กับชีวิตในโรงเรียนของฮิลเวอรี่ทั้งนั้น

"เฮ้เทรย์เวอร์" มีใครคนหนึ่งเรียกเขา เทรย์เวอร์จึงรีบตรงไปหากลุ่มนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียนที่นั่งอยู่มุมห้อง ถ้าถามว่ารู้ได้ยังไงน่ะเหรอว่าทั้งกลุ่มนั้นเป็นนักกีฬา ก็เพราะก่อนกลับบ้านฮิลเวอรี่มักจะเห็นคนเหล่านี้ซ้อมอยู่ที่สนามเป็นประจำ

"ว่าไงหนุ่มๆ คิดถึงฉันเหรอ" ว่าพลางเสยผมขึ้นและไม่ลืมที่จะยิ้มโปรยเสน่ห์ให้อีกหนึ่งช็อต ฮิลเวอรี่ถอนใจด้วยความรู้สึกเนือยๆ เมื่อเห็นแบบนั้นก่อนจะเลิกสนใจแล้วหาที่นั่งของตัวเอง

"อย่าเพิ่งกวนประสาทกันตอนนี่น่า"

"อ้าว แล้วถ้างั้นมีธุระอะไร" เทรย์เวอร์เปลี่ยนสีหน้าทันทีเมื่อเห็นว่าคนพวกนี้ไม่รับมุก

"ก็นายนั่นแหละ ทำอะไรเจ้านั่น" คนหนึ่งในกลุ่มชี้นิ้วไปยังฮิลเวอร์ที่เพิ่งนั่งลงแล้วหยิบหนังสือออกมาจากกระเป๋าเพื่อเตรียมเรียน

"ก็เปล่านี่" เทรย์เวอร์ตอบกลับไปแม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจคำว่า'ทำอะไร'ในคำถามข้างต้นของอีกฝ่าย

"ฉันได้ยินมาว่าบ้านหมอนั่นทำธุรกิจส่วนตัว แล้วก็รวยมากด้วย นายคงไม่ได้คิดที่จะ..."

"เปล่าเลยพวก เขาเป็นนายแบบใหม่ให้ฉันต่างหาก" ไม่จำเป็นต้องรอฟังให้จบประโยคเขาก็รีบปัดตกความคิดแย่ๆ นั่นไปทันที

"พวกนายไม่เห็นเหรอ ทั้งโครงหน้า จมูก ดวงตา หรือแม้กระทั่งคิ้วก็โคตรเพอร์เฟค" อ้าแขนโอบรอบคอคนที่อยู่ใกล้มือที่สุดพร้อมกับบรรยายลักษณะเด่นของฮิลเวอรี่เพื่อนใหม่ตัวจิ๋วให้ฟัง

"เออๆ เข้าใจแล้วพ่อศิลปินเอก" อีกคนตอบปัดๆ เพื่อหยุดการพร่ำของเขา เทรย์เวอร์หัวเราะร่าทันทีที่เห็นสีหน้าเหม็นเบื่อของเพื่อนร่วมชั้น ในที่สุดคนหนึ่งในกลุ่มก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นหนังเรื่องใหม่จากค่ายดังที่มีกำหนดฉายสิ้นเดือนนี้

เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจร่วมวงด้วย เทรย์เวอร์นั้นเป็นพวกไม่ค่อยชอบนินทาลับหลังใครเท่าไหร่นักเพราะเขาคิดว่ามันมีวิธีการทำความรู้จักกับคนอื่นที่ดีกว่านี้

.

 

.

 

"โย่ ไปกันเลยมั้ย"

พ่อหนุ่มอาร์ตติสแทบจะโผล่มาด้านหลังของฮิลเวอรี่ทันทีหลังอาจารย์ประจำวิชาเดินออกจากห้องไป โดยที่คนตัวเล็กยังเก็บของไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำอีกคนก็มาเร่งกันแล้ว

"อือ" ฮิลเวอรี่ต้องกระตือรือร้นตามร่างสูงให้ทันเพราะไม่อยากให้อีกคนรอนาน เทรย์เวอร์อาสาออกเงินค่าเดินทางและพวกขนมกินเล่นให้เขา พวกเรานั่งรถไปไม่ถึงสิบนาทีก็ลงเดินต่ออีกนิดหน่อย ถ้าถามว่ามันไกลจากตัวโรงเรียนมั้ยมันก็ไม่ไกลหรอก แต่ค่อนข้างจะไกลจากบ้านของฮิลเวอรี่อยู่พอสมควรเลยทำให้กังวลเล็กน้อย

"ถึงแล้วล่ะ" 

เด็กหนุ่มผมทองหยุดเดินแล้วเงยหน้าขึ้นมองสิ่งก่อสร้างที่แสนจะคุ้นตา อิฐสีส้มและน้ำตาลถูกวางเรียงสลับกันไปมาให้ความรู้สึกอบอุ่นและเก่าแก่หน้าร้านมีต้นไม้ที่เด็กหนุ่มไม่ทราบชื่อวางอยู่เป็นจุดๆ อย่างรู้องค์ประกอบว่าควรจะจัดวางมันยังไง

ไฟสีโทนอุ่นจากภายในร้านส่องออกมาด้านนอกชวนให้นึกถึงเทศกาลคริสต์มาสแม้ว่านี่จะเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ

โต๊ะด้านนอกและด้านในเป็นคนละแบบแต่ก็ยังให้ความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ป้ายหน้าร้านติดประกาศรับสมัครพนักงานด่วนทั้งหญิงและชาย ถัดไปเป็นป้ายแขวนอันใหญ่พร้อมกับคำว่า'เร็วๆ นี้'ที่เขียนด้วยช็อคสีขาวดูทรงแล้วคงจะเป็นคาเฟ่เปิดใหม่

"เหมือนตอนอยู่ที่อังกฤษเลย"

"ใช่มั้ยล่ะ ตอนฉันเจอครั้งแรกยังสร้างไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำ" 

"นายแน่ใจเหรอว่าจะมีคนมาเข้าร้าน" เขาไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกหรือว่าลดความตั้งใจของอีกฝ่ายหรอกนะ เพียงแต่ว่าร้านแบบนี้บวกกับทำเลตรงนี้มันก็ออกจะมีให้เห็นอยู่ทั่วไป

"ก็ต้องมีสิ ช่วงแรกอาจจะน้อยหน่อยแต่ฉันว่ามีแน่นอน ก็นายดูดีไซน์การออกแบบร้านสิ" เทรย์เวอร์ผายมือให้ดู แต่ฮิลเวอรี่ก็เห็นเพียงโต๊ะกับต้นไม้แล้วก็เคาท์เตอร์โล่งๆ

"ถ้าหน้าร้านติดสติกเกอร์ตัวอักษรแบบวินเทจก็คงจะดี แล้วเห็นตรงนั้นมั้ย ไอพื้นที่โล่งนั่นน่ะถ้าหาตู้โชว์ของสะสมสวยๆ มาตั้งก็คงเหมาะมากเลย ส่วนน้ำพุตรงนอกร้านก็..."

"เอ่อ...เราจะไม่เข้าไปกันเหรอ" รีบขัดคอก่อนที่เทรย์เวอร์จะหลุดเข้าไปในโลกของตัวเอง

"จริงด้วย" ร่างสูงผลักประตูออกแล้วเดินนำเข้าไปในตัวร้านก่อนจะจัดแจงที่นั่งให้เขา เทรย์เวอร์โทรหาผู้จัดการอยู่พักหนึ่งก็ได้ความว่า "เขาบอกให้ฉันเข้าไปเลยอะ"

"โอเค งั้นฉันรอตรงนี้" คนตัวโตกว่ายิ้มให้ก่อนไปก็ไม่ลืมฝากเป้แสนรักให้อีกคนดูแล ฮิลเวอรี่ตอบรับคำไหว้วานด้วยสีหน้างงๆ เพราะว่ากระเป๋าของอีกคนนั้นเบาเสียเหลือเกิน รู้อยู่หรอกว่าวันนี้มีวิชาเรียนน้อยแต่มันก็ไม่น่าจะเบาได้ขนาดนี้

ภายในร้านไม่มีใครอยู่เลยทำให้บรรยากาศนั้นเงียบมากจนรู้สึกกดดัน ฮิลเวอรี่ไม่ได้พกหนังสือมาอ่านฆ่าเวลาเลยมองสำรวจรอบด้านไปพลางๆ และพยายามคิดแบบเดียวกับเทรย์เวอร์ว่าถ้าเพิ่มนู่นแต่งนี่มันจะออกมาดีขนาดไหน บางทีที่พ่อศิลปินคนเก่งเลือกร้านนี้อาจจะเพราะมันออกแบบมาให้ทำได้หลายแนวล่ะมั้ง

"สมกับเป็นเทรย์เวอร์ดี"

"หืม เมื่อกี้เรียกฉันหรือเปล่า" คนตัวเล็กสะดุ้งโหยง ไม่ทันสังเกตว่าอีกคนออกมาตอนไหน

"สะ..เสร็จแล้วเหรอ ทำไมเร็วจัง"

"ก็พอดีเราคุยกันถูกคออะนะ เขาก็เลยให้ฉันเริ่มงานได้เลยหลังสอบเสร็จ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวนะที่มาสมัครงาน" คนตัวโตกว่าเริ่มอธิบายให้ฟังพร้อมกับเก็บเอกสารสมัครงานเข้าแฟ้ม

"มีคนอื่นด้วยเหรอ"

"ใช่ แต่ก็แค่สองคนเองมั้ง เห็นว่าเป็นเด็กผู้หญิงมากันแบบแพ็กคู่เลย"

"แบบนี้นายก็มีเพื่อนแล้วสิ"

"พูดอย่างกับว่านายจะทิ้งฉันไปอย่างนั้นแหละ" พูดตัดพ้อก่อนจะเอื้อมหยิบกระเป๋าคืนมา

"นี่ ฉันได้มัฟฟินมาด้วยลองชิมดูสิ" เทรย์เวอร์ยื่นของกินมาให้ ถึงหน้าตาของมันจะดูธรรมดาแต่ทว่ากลิ่นกลับหอมยั่วยวนใจมากเสียจนต้องยื่นมือไปรับ

"อร่อยดี"

"ใช่มั้ยล่ะ แบบนี้ถ้าโปรโมตดีๆ คนเข้าร้านตรึมแน่รับรองเลย" คิดในแง่ดีให้สมกับเป็นเทรย์เวอร์อีกครั้ง

"ว่าแต่ทำไมนายต้องทำงานพิเศษด้วย" 

"ก็เอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายตอนขึ้นมหาลัยไง คือด้านที่ฉันอยากจะเรียนมันใช้เงินค่อนข้างเยอะน่ะ"

"งั้นเหรอ"

"แล้วนายอะ เอาไงเรื่องเรียนต่อ หรือว่ายังไม่รีบ" เทรย์เวอร์ถามกลับบ้าง ปากก็ยังเคี้ยวมัฟฟินจนแก้มพองไม่ต่างอะไรกับเด็กเล็กที่ห่วงกินมากกว่าภาพลักษณ์ตัวเอง

"เดี๋ยวที่บ้านเป็นคนจัดการให้"

"แล้วไม่มีอะไรที่อยากเรียนหรือว่าอยากทำเป็นพิเศษเหรอ"

"ไม่มี"

คำว่า'ไม่มี'นั้นฮิลเวอรี่หมายความตามตัว หากพูดถึงเรื่องอนาคตสมองของเขาจะว่างเปล่าทันที ฮิลเวอรี่นึกอะไรไม่ออกเลยและไม่มีความจำเป็นต้องไปกังวลด้วย เพราะที่บ้านคิดแทนให้แล้วว่าเขาควรจะเรียนด้านไหนหรือว่าทำอาชีพอะไร 

หากคนนอกมองมันอาจจะดูเหมือนการบังคับ แต่ว่าฮิลเวอรี่นั้นโอเคดี เพราะเดิมทีก็บอกไปแต่แรกแล้วว่าเขาไม่ได้มีอะไรที่สนใจเป็นพิเศษ

"งั้นเหรอ" ร่างสูงตอบรับสั้นๆ ขากลับเทรย์เวอร์แนะนำให้พวกเราขึ้นรถเมล์แทนเพราะว่าคนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับนั่งรถไฟฟ้า

"ให้ฉันไปส่งนายมั้ย"

"ไม่เป็นไร ฉันกลับถูก" คนตัวโตกว่ายักไหล่แล้วเดินนำขึ้นรถไปยังเบาะหลังสุด

"นี่ฮิลเวอรี่"

"หืม?"

"ฉันขอเรียกนายว่าฮิลเฉยๆ ได้มั้ย" หัวใจในอกส่งเสียงดังตึกตัก ฮิลเวอรี่ต้องตั้งสมาธิก่อนพูดอยู่นานเลยถึงจะเปล่งมันออกมาได้

"ดะ..ได้สิ" ว่าจบก็เอากระเป๋าขึ้นมาวางบนตักเพื่อกอดเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำ เด็กหนุ่มเอาหน้าซุกมันเพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองเผลอทำสีหน้าแปลกๆ ตอนตอบคำถามหรือเปล่า

"ฮิล นายช่วยสอนการบ้านฉันหน่อยได้มั้ย"

"วิชาอะไรเหรอ"

"ก็คณิตไง ต้องส่งคาบหน้าแต่ฉันยังไม่ได้เริ่มเลย" คนพูดเอามือยีผมตัวเองแบบไม่กลัวเลยว่ามันจะเสียทรง

"ก็ได้" ถ้าเป็นเรื่องที่เพิ่งเรียนล่ะก็ฮิลเวอรี่มีความมั่นใจว่าตัวเองพอจะสอนให้อีกคนได้

"ถ้างั้น สะดวกตอนไหนก็บอกนะ"

"โอเค" 

ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ก็เพิ่งนึกได้ว่าตัวเองไม่เคยมีประสบการณ์สอนการบ้านให้ใครมาก่อน และของตัวเองก็เพิ่งจะทำเสร็จเมื่อกี้นี้ด้วย ฮิลเวอรี่เริ่มไม่แน่ใจแล้วจะตอบรับคำขอของเพื่อนใหม่ได้ ถ้าเกิดเขาทำผิดแล้วพาให้เทรย์เวอร์ผิดไปด้วยล่ะ

เด็กหนุ่มเริ่มหัวเสีย สองมือขยี้เรือนผมสีทองหม่นจนฟูฟ่องไม่ต่างอะไรกับลูกแมวขี้ตกใจ แต่แล้วทันใดนั้นเองก็มีสิ่งหนึ่งมาดึงความสนใจไป

ก๊อก...ก๊อก...

เด็กหนุ่มสูดหายใจและตั้งสติก่อนจะเดินไปเปิดประตูด้วยตัวเอง 

"ครับคุณเอ็มม่า?" ฮิลเวอรี่สามารถคุยกับผู้หญิงตรงหน้าได้อย่างสบายๆ เพราะเธอคือแม่บ้านฝีมือดีที่คุณพ่อจ้างมาดูแลเขาโดยเฉพาะ 

"ฉันเตรียมมื้อเย็นและเสื้อผ้าสำหรับวันพรุ่งนี้เรียบร้อยแล้ว เธอต้องการอะไรเพิ่มหรือเปล่าจ๊ะ"

"เอิ่ม...ไม่มีแล้วครับ ขอบคุณมาก" 

"ถ้างั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะ"

"เดินทางปลอดภัยนะครับ" 

"แล้วเจอกันพรุ่งนี้จ้ะ" การจากไปของหญิงสาวส่งผลให้บทสนทนาจบลง แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันก็เข้ามาปัดเป่าความกังวลที่มีอยู่ในตอนแรกให้หายไปได้ ฮิลเวอรี่เอื้อมมือคว้า 

สมาร์ตโฟนขึ้นมาปลดล็อกหน้าจอแล้วจัดการโทรออกเบอร์ที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาใหม่เมื่อไม่นานนี้

เด็กหนุ่มรู้สึกได้ทันทีว่ามือของตัวเองชื้นเหงื่อทั้งๆ ที่อากาศโดยรอบนั้นเย็นสบาย

[ฮัลโหล นั่นใครครับ]

"เทรย์เวอร์นี่ฉันเองนะ"

[ฉันเองไหน ไม่เห็นรู้จักคนชื่อนี้เลย]

"....." ฮิลเวอรี่เม้มปากแน่นโดยที่ยังถือสายเอาไว้ ในหัวว่างเปล่าไม่มีวิธีดีๆ จัดการกับคำถามเมื่อครู่เลย

[เฮ้ฮิล ยังอยู่มั้ยเมื่อกี้ฉันแค่ล้อเล่น]

วิญญาณที่เพิ่งหลุดลอยออกไปถูกดึงกลับมาเข้าร่างตามเดิม เขาลืมไปสนิทเลยว่าเทรย์เวอร์เป็นพวกชอบล้อเล่นอะไรแบบนี้ โชคดีที่ยังไม่กลัวจนกดวางสายไป

[เรียกครั้งที่หนึ่ง มีใครอยู่มั้ยครับบบ]

"อยู่ ยังอยู่" ได้ยินปลายสายหัวเราะออกมาเป็นเสียงหึ คงกำลังสะใจที่แกล้งเขาได้สำเร็จแหง

"นายว่างหรือเปล่า ฉันเพิ่งทำการบ้านเสร็จพอดีเลยคิดว่าพอจะสอนได้อยู่"

[แน่นอน เดี๋ยวฉันหาสมุดแป๊บนึงนะ] 

ระหว่างที่อีกคนเงียบไปเพื่อหาสมุดจดก็เหมือนได้ยินเสียงเต้นของหัวใจดังชัดขึ้นเรื่อยๆ ฮิลเวอรี่

ไม่เคยรู้สึกกังวลที่จะต้องคุยกับใครขนาดนี้

[เจอแล้ว ว่ามาได้เลยพ่อตุ๊กตากระเบื้อง]

เมื่ออีกคนให้สัญญาณว่าตนเองพร้อมแล้วฮิลเวอรี่ก็ค่อยๆ เริ่มสอนไปทีละขั้นอย่างช้าๆ เพราะกลัวเทรย์เวอร์จะตามไม่ทัน แต่โชคดีที่พ่อหนุ่มคนนี้เป็นพวกเรียนรู้เร็วเลยไม่ต้องใช้เวลามากอีกคนก็เข้าใจรูปแบบการทำโจทย์ ถ้าตั้งใจเรียนในคาบไม่มัวแต่นั่งเหม่อล่ะก็เทรย์เวอร์คงทำมันเสร็จไปนานแล้วแน่นอน

[มีคำถามครับ]

"อะไรเหรอ" คนตัวเล็กรีบนั่งตัวตรงพร้อมกับเปิดหนังสือเพื่อเตรียมคำตอบ

[นี่เบอร์นายใช่มั้ย คงไม่ได้ใช้โทรศัพท์คนอื่นโทรมานะ]

"เปล่านี่เบอร์ฉันเอง"

[โอเค]

"เดี๋ยว นั่นคือคำถามเหรอ"

[ใช่ นายคิดว่าฉันจะถามอะไรอีกล่ะ]

เป็นคำพูดที่ทำเอาคนฟังหางคิ้วกระตุก รู้สึกเหมือนความหวังดีของตัวเองถูกคนขี้เล่นปัดทิ้งไปยังไงก็ไม่รู้

[เอ่อฮิล..ฉันต้องวางแล้ว ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ ขอบคุณที่ช่วยสอนการบ้านให้ล่ะ]

"บาย..." ฮิลเวอรี่พึมพำเบาๆ ไม่แน่ใจว่าอีกคนจะได้ยินหรือเปล่าแต่สุดท้ายเด็กหนุ่มก็เป็นฝ่ายรีบกดวางสายเสียเอง ฮิลเวอรี่ผ่อนลมหายใจดูเหมือนการคุยโทรศัพท์กับเพื่อนใหม่จะผ่านไปด้วยดี

ก๊อก...ก๊อก...

คนที่นั่งอยู่บนโต๊ะทำงานสะดุ้งเฮือกจนเกือบทำโทรศัพท์มือถือร่วงลงพื้น เด็กหนุ่มลุกขึ้นไปเปิดประตูห้องให้กับแขกคนใหม่ด้วยตัวเองอีกครั้ง

"ฮิลเวอรี่ลูกรัก แม่เข้าไปได้มั้ยจ้ะ"

"คะ..ครับ" เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของห้อง คนเป็นแม่ก็ตรงเข้ามานั่งบนเตียงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเหมือนทุกที ถ้าหากคนนอกมาเห็นเข้าคงต้องคิดว่าเธอคนนี้เป็นพี่สาวของฮิลเวอรี่แน่นอน เพราะด้วยหน้าตาที่ผ่องใสและผิวหน้าเต่งตึงเหมือนกับพวกนักศึกษาจบใหม่ทำให้ถูกเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ 

"เมื่อกี้ลูกคุยอยู่กับใครเหรอ" 

"เพื่อนที่โรงเรียนน่ะครับ"

"กะแล้วเชียวว่าลูกต้องมีเพื่อนกับเขา พ่อนี่คิดเองเออเองตลอดเลยเนอะว่าลูกชอบอยู่คนเดียว" เด็กหนุ่มผมทองยิ้มแหยเมื่อแม่พูดถึงคนที่ไม่ได้อยู่ในห้อง

"เขานิสัยดีใช่มั้ยจ้ะ เพื่อนลูกน่ะ"

"ผมว่าเขาแปลกไปหน่อย" 

'แปลก' นั่นคือคำนิยามคำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวเลยเมื่อนึกถึงหน้าเทรย์เวอร์

"แปลกเหรอ?"

"มันอธิบายยากน่ะครับ" หากคุณแม่อยากให้เขาพูดถึงเพื่อนใหม่คนนี้ละก็ คงต้องเรียบเรียงถ้อยคำกันอีกนานเลย

"แต่ว่าเขาเป็นคนดีใช่มั้ย" ฮิลเวอรี่พยักหน้าตอบโดยเร็ว เพราะถึงเทรย์เวอร์จะชอบทำตัวแปลกๆ ให้เขาเข้าไม่ถึงก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าหมอนั่นเป็นคนดีก็คือสิ่งที่ฮิลเวอรี่ปฏิเสธไม่ได้

"ถ้างั้นก็ค่อยยังชั่ว ไว้พาเขามาเล่นที่บ้านบ้างนะ"

"ครับ แต่เขาคงไม่ว่างมาหรอก..." ไม่แน่ใจว่าคุณแม่คนสวยได้ยินประโยคหลังชัดเจนหรือเปล่าแต่สุดท้ายเธอก็ตรงเข้ามาลูบหัวพร้อมกับหยิกแก้มลูกชายเพียงคนเดียวด้วยความมันเขี้ยว

"ไปกินข้าวกันดีกว่า ให้พ่อรอนานเดี๋ยวจะโดนบ่นเอานะ"

"นั่นสิ"

กฎเหล็กอีกข้อหนึ่งของบ้านคือต้องทานมื้อเย็นแบบพร้อมหน้าพร้อมตากัน ไม่ว่าคุณจะยุ่งหรือกลับช้ายังไงก็ตาม เพราะนี่ถือเป็นช่วงเวลาเดียวที่ครอบครัวจะได้ใช้เวลาร่วมกันหลังจากยุ่งกับเรื่องของตัวเองมาแล้วทั้งวัน

ระหว่างมื้ออาหารแม่มักจะเป็นคนที่เปิดหัวข้อสนทนาเรื่องต่างๆ และดูเหมือนว่าวันนี้จะมีเรื่องเพื่อนใหม่ของฮิลเวอรี่เข้ามาร่วมด้วย เล่นเอาเด็กหนุ่มถึงกับนั่งตัวเกร็งกลืนเนื้ออบลงคออย่างยากลำบากเลยทีเดียว แต่โชคดีที่คนเป็นพ่อซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะไม่ได้พูดหรือว่าแสดงท่าทีสนใจอะไรมากนัก ทำเพียงแค่รับฟังอย่างเดียวโดยไม่ตั้งคำถาม

 

.

 

 

.

 

 

To be continued