“ไม่ใช่พรหมลิขิตหรอกที่ทำให้เราได้พบกัน ที่ผ่านมาฉันจงใจทั้งนั้นแหละ
รัก,ชาย-ชาย,วัยว้าวุ่น,ตะวันตก,ตลก,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
PIT A PAT“ไม่ใช่พรหมลิขิตหรอกที่ทำให้เราได้พบกัน ที่ผ่านมาฉันจงใจทั้งนั้นแหละ
เมื่อหนุ่มอาร์ตติสรักสนุกได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในโลกของคุณตุ๊กตากระเบื้องสุดสวย
Chapter : เพื่อนสนิท
เสียงผู้คนที่กำลังคุยเล่นหยอกล้อกันฟังดูให้บรรยากาศอบอุ่น แต่ฮิลเวอรี่กลับไม่ได้ชอบพอมันเสียเท่าไรนัก เด็กหนุ่มถอนหายใจออกยาวๆ หนึ่งครั้งก่อนจะตั้งสมาธิอ่านหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่ที่เพิ่งได้รับมาเมื่อคืนต่อ
ฮิลเวอรี่มักจะทำแบบนี้เพื่อลบตัวเองออกไปจากฝูงชนระหว่างรอเวลาเรียนมาถึง มันเคยเป็นแบบนั้นจนกระทั่งเขาได้รู้จักกับเทรย์เวอร์ การนั่งอ่านหนังสือจึงกลายเป็นอะไรที่ฮิลเวอรี่ทำเพื่อฆ่าเวลาระหว่างรออีกคนไปด้วย
"โย่ อรุณสวัสดิ์" แม้จะยังไม่เห็นตัวแต่เสียงก็มาก่อนแล้ว ตามด้วยกระเป๋านักเรียนสีดำที่วางลงบนโต๊ะหินอ่อนเสียงดังตุบ และตามมาด้วยกระเป๋าเป้สีเทาอีกหนึ่งใบ
เดี๋ยวก่อนนะ กระเป๋าเป้สีเทาเหรอ?
"ไง พวกเรายังไม่เคยได้คุยกันแบบจริงจังเลยสินะ ฉันแพทริค" อีกคนแนะนำตัวเองจบก็ยื่นมือมาให้จับตามมารยาท โชคดีที่ฮิลเวอรี่ยังพอมีความทรงจำเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่ชื่อแพทริคอยู่บ้างเลยไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับการทักทายนี้
แม้จะคุ้นหน้าคุ้นตาแต่เอาเข้าจริงแล้วฮิลเวอรี่ก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายมากนักหรอก เพราะเจ้าตัวเล่นไม่ได้มาโรงเรียนเสียนานเลย
"หลังจากหายหน้าหายตาไปนานในที่สุดก็กลับมาสักทีนะเพื่อนรักของฉัน" เทรย์เวอร์พูดพร้อมกับใช้แขนโอบรอบคอคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนรักอย่างสนิทสนมแล้วจึงค่อยพากันนั่งลงตรงข้ามกับฮิลเวอรี่
"ทำไมทำหน้าแบบนั้น นายกลัวฉันเหรอ"
"เปล่า คือว่าฉันแค่..." เงียบไปเพื่อนึกคำพูดแต่เจ้าตัวก็ใช้เวลานานซะจนอีกสองคนรอไม่ได้เลยโพล่งออกมาก่อน
"คือแพทหยุดเรียนไปพักนึงเพราะอุบัติเหตุจากการเล่นสเกตบอร์ดน่ะ ตอนนี้ดีขึ้นแล้วก็เลยมาเรียนได้"
"อ้อ แบบนี้เอง" เหมือนได้จิ๊กซอว์มาเติมเต็มช่องว่างในความทรงจำว่าที่แพทริคหายตัวไปนานเป็นเพราะอะไร
"ตอนไปเยี่ยมฉันเทรย์เล่าเรื่องของนายให้ฉันฟังจนหูชาเลย"
"เว่อร์แล้ว ไม่ได้พูดขนาดนั้นสักหน่อย"
"อ๋อเหรอ"
"ใช่" ทั้งสองคนพูดรับส่งกันไปมาอย่างเป็นธรรมชาติราวกับว่าท่องบทมาแล้วจากที่บ้าน ไม่แปลกเลยที่ฮิลเวอรี่จะรู้สึกเหมือนตนเองถูกทำให้กลายเป็นคนนอก
"ฉันไปเข้าห้องเรียนก่อนนะ" รีบหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายหลังแล้วลุกจากโต๊ะไปอย่างรวดเร็วไม่เว้นจังหวะให้อีกสองคนได้พูดอะไรสักคำ
"นายทำอะไรให้เขาโกรธหรือเปล่า รีบไปง้อเลย"
"หืม? ฉันเปล่าสักหน่อย" เทรย์เวอร์รีบตอบก่อนจะเปิดฝาปากกาเมจิกสีดำที่เขาพกติดตัวอยู่ตลอดออก
"ก็เห็นๆ อยู่ว่าทำ"
"สงสัยโกรธที่เมื่อคืนฉันรีบวางสายมั้ง" เจ้าตัวยกข้อสันนิษฐานที่คิดว่าเป็นไปได้มากที่สุดขึ้นมาพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม จากนั้นจึงเริ่มละเลงงานศิลปะลงบนเฝือกอย่างตั้งอกตั้งใจ
"มีคุยกันก่อนนอนด้วย?"
"ก็แค่สอนการบ้านน่ะ" แพทริคมองหน้าเพื่อนรักด้วยสายตาจับผิด ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจกันหรอกนะ แต่เพราะรู้จักกันมานานเลยทำให้แพทริคเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ดูออกว่าภายใต้รอยยิ้มนั่นลึกๆ แล้วมีอะไรซ่อนอยู่
"อะไรของนาย"
"ตอแหลว่าทำไม่ได้อีกล่ะสิ" เทรย์เวอร์ถอนหายใจเสียงดัง เบื่อเหลือเกินเวลาที่มีคนมองตัวเองออก
"ก็สเปคเลยไม่ใช่เหรอน่ะ ผมทอง ขนตายาวสะพรั่ง"
"อะแฮ่ม ก็...นิดนึงมั้ง" เทรย์เวอร์กระแอมไอเหมือนเด็กที่ต้องการจะกลบเกลื่อนความผิด
"ฉันไม่อยู่แป๊บเดียวเองนะเห้ย"
"อะไร แล้วฉันต้องมานั่งรอคำแนะนำจากนายหรือไง" พูดอย่างมั่นใจเพราะเชื่อว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องรอคำแนะนำจากใครหรอก ลุยเองคนเดียวเห็นผลเร็วกว่าเยอะ
"ถ้าโดนเขาทิ้งแล้วไม่ต้องมาฟูมฟายให้ฟังเลยนะ"
"เออน่า ไม่โดนหรอก" ประกาศออกไปก่อนเพราะค่อนข้างแน่ใจว่าสามารถทำได้ตามที่พูด และเมื่อเหลือเวลาอีกห้านาทีจะเริ่มคาบเรียนทั้งสองหนุ่มก็ได้ฤกษ์ลุกจากโต๊ะไปเข้าห้องเรียนเสียที ฮิลเวอรี่ที่มาถึงก่อนแล้วนั่งปัดหน้าจอสมาร์ตโฟนอยู่มุมห้องคนเดียวเหมือนเคย แต่พอรู้ตัวอีกทีเด็กหนุ่มผมทองก็ถูกล้อมจากทั้งด้านหน้าและด้านข้างเรียบร้อยแล้ว
"เที่ยงนี้กินอะไรดี" เทรย์เวอร์ที่นั่งอยู่ด้านขวามือเอ่ยถาม
"แต่นี่เพิ่งจะคาบแรก"
"การคิดเรื่องอนาคตไว้ก่อนเป็นสิ่งที่ดีนะ"
"มีแต่คนที่ไม่ใส่ใจปัจจุบันเท่านั้นแหละที่จะคิดแบบนั้น" แพทริคที่นั่งหันหลังให้กระดานอยู่ตอบกลับหลักความคิดนั่น ทำเอาฮิลเวอรี่วางตัวไม่ถูกไปเลย เพราะปกติก็นั่งเรียนคนเดียวมาตลอดแต่ตอนนี้กลับมีคนอื่นมานั่งด้วยถึงสองคน
"ไม่ขัดสักเรื่องมันจะขาดใจตายใช่มั้ย" แพทริคยักคิ้วตอบด้วยสีหน้ากวนๆ ทำให้ฮิลเวอรี่เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเจ้าเฝือกที่แขนนี่ได้มาเพราะอุบัติเหตุจริงๆ
"ทำหน้าแบบนี้ตอนสอบด้วยล่ะ"
"สอบอะไร?"
"วันนี้มีสอบพีชคณิตน่ะ" อีกคนหน้าซีดไปในทันทีเมื่อรู้ข่าว
"ฉะ..ฉันไม่ได้มาเรียนตั้งหลายวัน อาจารย์คงเข้าใจนั่นแหละน่า" พ่อหนุ่มนักวาดเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อเอาคืนเพื่อนตัวเองได้สำเร็จ มันเป็นรอยยิ้มน่าขนลุกที่ฮิลเวอรี่ไม่เคยเห็นมาก่อน บางทีตอนอยู่กับเพื่อนสนิทคงจะเป็นเวลาที่เทรย์เวอร์เผยธาตุแท้ออกมาได้มากที่สุดก็ได้
และเหมือนรู้ตัวว่ามีคนกำลังจ้องอยู่เจ้าตัวเลยเลิกทำหน้าแบบนั้นก่อนจะหันมายิ้มให้เขาอย่างอบอุ่นอีกครั้ง
"พวกนายนั่งที่ของตัวเองกันได้แล้วนะฉันว่า" คนตัวเล็กที่สุดออกปากพูด ไม่กี่วินาทีถัดมาคุณครูประจำวิชาก็เดินเข้าห้องพร้อมกับข้อสอบหนึ่งกองที่เรียกเสียงโอดครวญจากนักเรียนทั้งห้องได้เป็นอย่างดี
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงนับตั้งแต่ได้รับข้อสอบ มีบางคนที่ล้มเลิกความตั้งใจไปตั้งแต่วินาทีแรก และก็มีอีกหลายคนที่ยังนวดขมับพร้อมกับเพ่งสายตาไปที่กระดาษคำตอบอยู่ ฮิลเวอรี่คิดว่าวันนี้ตนเองทำได้ดีพอตัว อาจเป็นเพราะเพิ่งทบทวนให้เทรย์เวอร์ไปเมื่อคืนก็ได้
แต่ในความเป็นจริงนั้นเทรย์เวอร์กลับเป็นฝ่ายที่ทำข้อสอบเสร็จก่อนเขาเสียอีก แถมยังคงสีหน้าอารมณ์ดีไว้ได้ตลอดด้วย ทำให้เกิดคำถามในใจว่านั่นคือท่าทางของคนที่เอ่ยขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นจริงๆ เหรอ
"แล้วนายหางานได้หรือยัง" แพทริคเปิดประเด็นคำถามแรกระหว่างพักกลางวัน
"ได้แล้วดิ ที่ดีซะด้วย เจ้านายน่ารัก เพื่อนร่วมงานก็ประเสริฐสุดๆ"
"ดูปลอมมาก" ว่าจบก็ยัดแซนด์วิชทูน่าเข้าปากไป
"เสร็จแล้วฉันไปห้องสมุดนะ" ฮิลเวอรี่พูด
"ฉันไปด้วย"
"งั้นฉัน..โอ้ย!!" แพทริคร้องเสียงดังเพราะโดนเตะหน้าแข้ง แน่นอนว่าถึงจะไม่เห็นแต่ก็พอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นใต้โต๊ะ
"นายไม่ใช่ว่าต้องไปหาครูเฮนรี่หรอกเหรอ" คนที่กำลังเจ็บหนักขมวดคิ้วใส่เหมือนพร้อมทึ้งหัวคนทำได้ตลอดเวลา ส่วนเทรย์เวอร์ที่เป็นตัวการกลับยิ้มสู้อย่างไม่เกรงกลัวแถมยังพูดต่อว่า
"ทิ้งถาดอาหารไว้นี่ก็ได้นะ เดี๋ยวเพื่อนที่แสนดีของนายคนนี้จะช่วยเก็บให้เอง"
"แสนดีกับผีน่ะสิ"
"แล้วนายจะไปทำอะไรที่ห้องสมุดเหรอ" ฮิลเวอรี่ถามเพื่อยุติสงคราม
"นั่งเล่นไง" คนถามรู้สึกห่อเหี่ยวเล็กน้อยที่ดันไปคาดหวังคำตอบของอีกฝ่าย แต่ก็เอาเถอะแม้ว่าห้องสมุดจะมีจุดประสงค์เพื่อให้คนเข้าไปอ่านหนังสือแต่เขาก็คงไม่ไล่คนที่ไปนั่งเล่นออกหรอกจริงมั้ย
"นายชอบอ่านการ์ตูนเหรอ" ร่างสูงถามด้วยระดับเสียงที่เบากว่าปกติ ฮิลเวอรี่จึงรีบพยักหน้าตอบด้วยแววตาเปล่งประกาย ถึงภายนอกเขาจะดูเป็นคนที่เอื่อยเฉื่อยและไม่มีสีสันโดดเด่น แต่ถ้าเป็นเรื่องสิ่งที่ชอบล่ะก็ฮิลเวอรี่มีเพียงอย่างเดียวที่นึกออก
เขาล่ะชอบเหลือเกินที่ได้เห็นตัวละครในหนังสือผจญภัยไปยังสถานที่ต่างๆ ทั้งเสี่ยงอันตรายแถมยังต้องคอยแก้ปัญญาที่เจอระหว่างทางอีก
"แล้วนายล่ะ ชอบหรือเปล่า" ถามเพื่อหวังจะหาแนวร่วม
"ฉันเฉยๆ อ่านก็ได้ไม่อ่านก็ได้"
"งั้นเหรอ" ความผิดหวังโจมตีเขาเป็นหนที่สองของวัน
"ว่าแต่เมื่อเช้านายโกรธอะไรฉันเหรอ"
"เปล่านี่ ฉันไม่ได้โกรธ" ฮิลเวอรี่หมายความตามนั้น เขาไม่ได้โกรธอะไรอีกฝ่ายจริงๆ แต่แค่รู้สึกไม่พอใจนิดหน่อย ส่วนสาเหตุนั้นก็ยังไม่แน่ชัดว่าเกิดจากอะไร ถ้าแค่เพราะเทรย์เวอร์พาคนอื่นมานั่งด้วยก็ดูจะเป็นอะไรที่แปลกเอามากๆ
"โอเค ไม่โกรธก็ไม่โกรธ" คนพูดคลี่ยิ้มบางเบาแล้วค่อยกลับไปวาดรูปต่อ หนนี้ดูเหมือนจะเป็นรูปแมวน้อยขนฟูกระโดดจับผีเสื้อ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงถึงวาดรูปนี้ออกมา แต่ฮิลเวอรี่มีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นและจำเป็นต้องถามตอนนี้
"ทำไมนายชอบยิ้มคนเดียวอยู่เรื่อย" เด็กหนุ่มปิดหนังสือ หากคนนอกมองคงจะเห็นเป็นคำถามพื้นๆ อาจเพราะสีหน้าที่เรียบเฉยของคนถาม แต่ไม่ใช่กับเทรย์เวอร์ผู้พยายามเรียนรู้และเข้าใจฮิลเวอรี่นมาตลอดหลายสัปดาห์
"เป็นอะไรไป อยู่ๆ ก็จริงจังขึ้นมาเฉยเลย"
"ฉันอยากรู้"
"ไม่เห็นจะยากเลย คนเราถ้ามีความสุขก็ต้องยิ้มสิ"
"แล้วนายมีความสุขตลอดเวลาเลยเหรอ"
"จะบ้าเหรอ ฉันไม่ได้อินดี้ขนาดนั้นสักหน่อย" เทรย์เวอร์หัวเราะในลำคอให้กับความใสซื่อของคนถาม
"ก็แค่เวลาฉันทำสิ่งที่ชอบฉันก็จะมีความสุข อย่างเช่นวาดรูป กินของอร่อย เล่นเกม ฟังเพลงหรืออยู่กับคนที่ชอบ ถ้าเป็นอันนี้ฉันยิ้มได้ทั้งวันเลยนะ" ฮิลเวอรี่มองว่าสิ่งที่คนตรงหน้าพูดมันเป็นเพียงกิจกรรมแสนธรรมดาที่ใครใครเขาก็ทำกัน แต่พอเป็นเทรย์เวอร์ที่เอนจอยกับทุกอย่างมันถึงได้ดูพิเศษไปหมด
"อยู่กับคนที่ชอบแปลว่าเหมือนตอนที่อยู่กับเพื่อนเลยใช่มั้ย" เทรย์เวอร์วางดินสอกดลงทันทีก่อนจะเงยหน้าขึ้นหรี่ตามองคล้ายจะถามว่าเอาจริงดิ นี่ไม่เข้าใจที่พูดเลยเหรอ
"คือฉันไม่ได้มีเพื่อนเยอะก็เลย...ไม่ค่อยเข้าใจ"
"อยู่กับเพื่อนมันก็ต้องสนุกอยู่แล้วสิ แต่ไม่เหมือนตอนอยู่กับคนที่ชอบหรอก" คนผมทองนั่งหลังตรงตั้งใจฟังความรู้ใหม่ ดวงตาสีน้ำทะเลเบิกกว้างขึ้นทำให้พอสบตาด้วยนานๆ แล้วรู้สึกเหมือนโดนมนต์สะกดจนเทรย์เวอร์ต้องหันหน้าหลบตาไปแวบนึงแล้วค่อยกลับมาใหม่
"แล้วมันต่างกันยังไงเหรอ" คนตัวเล็กถามรายละเอียดต่อราวกับว่าจะหาข้อมูลไปเขียนรายงาน
"ก็แบบ มันจะรู้สึกใจเต้นแรงกว่าปกติ บางทีหน้าก็ร้อนผ่าว มองอะไรก็เห็นเป็นหน้าคนคนนั้นไปหมดเลย"
"ฟังดู...อันตรายจัง"
"ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า ความจริงมันออกจะตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ โดยรวมแล้วมันก็คือความรู้สึกที่ดีนั่นแหละ"
"อ๋อ งี้นี่เอง"
'น่ารัก' ไม่มีคำไหนจะเหมาะไปกว่าฮิลเวอรี่ตอนนี้อีกแล้วนอกจากคำนี้ เทรย์เวอร์คิดแบบนั้นพลางควงดินสอกดในมือไปด้วย
"แล้วนายเคยมีความรู้สึกแบบนั้นกับใครหรือเปล่า" เทรย์เวอร์รับบทอยากรู้อยากเห็นจนถึงขั้นยอมปิดสมุดวาดภาพลงเลยทีเดียว
"เหมือนว่าเคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง" ถึงจะรู้สึกเหมือนมีคนมาเขวี้ยงหินใส่หลังได้ยินคำตอบ แต่เขาก็ยังอยากที่จะฟังต่อ
"เล่ามาให้หมดเลย"
"เธอเป็นเพื่อนบ้านสมัยเด็กฉันเอง เราสนิทกันมากเลย ช่วงวันหยุดก็มักจะมาเล่นด้วยกันตลอด"
"แล้วนายชอบเธอ?"
"แค่อยากเจอเฉยๆ นี่นับหรือเปล่า"
"อยากเจอหรืออยากเล่นกันแน่"
"คงจะ...อยากเล่นมากกว่าล่ะมั้ง ฉะ..ฉันไม่รู้"
"แบบนั้นมันใช่ที่ไหนเล่า นั่นมันแค่ความผูกพันของเพื่อนธรรมดาๆ เองนะฉันว่า" ร่างสูงพูด สุ้มเสียงไม่มั่นอกมั่นใจเหมือนแต่ก่อน
"แต่ฉันชอบในความสดใสของเธอนะ เธอมักจะกระตือรือร้นอยู่ตลอด ถึงจะตัวแค่นั้นแต่ก็แน่วแน่มากเลย นายเองก็มีส่วนที่คล้ายเธออยู่นะ" คนฟังตัวหดลงเหลือหนึ่งฟุตไม่พอยังแปรสภาพตัวเองเป็นของเหลวแล้วไหลไปกับเก้าอี้ไม้อีก
"ฉันควรจะดีใจมั้ยเนี่ยที่ดันไปคล้ายกับรักแรกของนาย"
"แล้วนายกับ แพทริคล่ะ"
"ฮะ? ฉันกับหมอนั่นมันทำไมนะ"
"ก็แบบว่าพวกนายดู...มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกันมากๆ"
"ก็แค่พ่อของพวกเราสนิทกันมาก รู้ตัวอีกทีฉันก็ตัวติดกับหมอนั่นไปแล้ว" ใช่ มันดูเป็นความสัมพันธ์ที่หากมองย้อนกลับไปจะรู้สึกเหมือนถูกยัดเยียดเอามากๆ แต่ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายก็สนิทกันดี
"แปลว่าพวกนายสองคนรู้จักกันดีเลยสินะ"
"ใช่ ทำไมเหรอ หรือว่านายหึงฉัน?" แน่นอนว่าเทรย์เวอร์ไม่ลืมที่จะส่งยิ้มกวนประสาทมาให้หลังคำถาม
"เปล่าฉันแค่คิดว่าตัวเองยังไม่รู้จักพวกนายดีพอ"
"ไม่เห็นต้องรีบเลย ของแบบนี้ต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ" อ่าฮะ เป็นไปตามธรรมชาติ คนอย่างเทรย์เวอร์ก็พูดง่ายสิ
"แต่นายไม่ต้องไปใส่ใจแพทริคมันมากหรอก หมอนั่นเป็นคนง่ายๆ ไม่ค่อยละเอียดอ่อนเหมือนฉัน"
"อืม เห็นแล้วล่ะ" เป็นของที่มองจากภายนอกยังรู้เลย
"แล้วนายอยากรู้อะไรเกี่ยวกับฉันมั้ย"
"ไม่มี" หินอีกก้อนถูกเขวี้ยงใส่เทรย์เวอร์เพียงแต่ว่าหนนี้คนที่ปามาคือฮิลเวอรี่เอง
"เห้อ เสียใจนะเนี่ย" ร่างสูงแกล้งเบะปากพลางตีหน้าเศร้า
"งั้นถามก็ได้ นายเริ่มวาดรูปตั้งแต่เมื่อไหร่"
"อืม...ตั้งแต่จำความได้ดินสอกับกระดาษก็อยู่ในมือฉันแล้วนะ"
"แล้วนายไม่ได้มีแรงบันดาลใจเป็นใครหรือว่าอะไรเลยเหรอ"
"ไม่มี ฉันทำก็เพราะฉันชอบ" เป็นคำตอบที่ซื่อตรงสุดๆ ชอบอะไรก็ทำสิ่งนั้น ไม่ชอบก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมันยิ่งทำให้คิดว่าการเป็นเทรย์เวอร์นี่ดีจังเลยนะ
"นี่ฮิล"
"หืม"
"เสาร์นี้มีแผนจะทำอะไรหรือเปล่า"
"ก็...ไม่น่าจะมีนะ"
"งั้นไปดูหนังกับฉันมั้ย พอดีฉันอยากคีบตุ๊กตาอะ"
"ตกลงว่านายจะไปดูหนังหรือว่าคีบตุ๊กตากันแน่"
"ก็ทั้งสองอย่างเลย" สรุปว่านั่นไม่ใช่ประโยคที่ให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เป็นสองใจความที่มีความหมายคล้อยตามกัน
"คือ ไม่รู้สิ..ฉันไม่ใช่คนชอบดูหนังเท่าไหร่"
"ดีเลย เพราะถ้าไปดูเรื่องนี้อาจจะชอบขึ้นมาก็ได้" ฮิลเวอรี่ย่นคิ้ว เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าอีกคนเข้าใจสิ่งที่เขาพูดจริงๆ ใช่มั้ย
"แล้วนายไม่อยากไปเหรอ อยู่บ้านมันน่าเบื่อจะตาย" ความกังวลยังคงฝังอยู่ในหัว แต่ที่เทรย์เวอร์พูดมาก็มีส่วนถูก ต่อให้อยู่บ้านเขาก็คงอยู่แต่ในห้องทั้งวัน คนเดียวที่พอจะได้สนทนาด้วยก็คงมีแค่เอ็มม่า
"ก็ได้ แต่ฉันไม่กลับบ้านดึกนะ"
"ถามจริง พ่อแม่นายเห็นนายอายุเท่าไหร่กันเนี่ย" ฮิลเวอรี่นิ่งเงียบ เขาไม่เคยตั้งคำถามนี้และไม่เคยที่คิดจะทำอะไรมากกว่านี้เลยสักครั้ง
"งั้นสายๆ ล่ะเป็นไง ช่วงเย็นฉันจะได้แวะไปเอาชุดที่คาเฟ่พอดี"
"ที่ทำงานนายมีเครื่องแบบด้วยเหรอ"
"อ่าฮะ แต่ก็ไม่ได้เว่อร์วังอะไรขนาดนั้นหรอก ความจริงมันเรียบง่ายไปหน่อยสำหรับฉันอะนะ แต่ไม่เป็นไรโชคดีที่ผู้จัดการไม่ใช่พวกหัวโบราณฉันเลยว่าจะเอาไปแต่งเพิ่มสักหน่อย"
"แล้วนายจะทำอะไรกับมัน" เพราะที่ว่ามาฟังดูน่าสนใจเลยถามต่อ
"เรื่องนั้นขอเก็บไว้ให้แปลกใจ ว่าแต่เสาร์นี้นายจะไปกับฉันใช่มั้ย"
"เอิ่ม แพทริคไปด้วยหรือเปล่า"
"ไม่"
"ทำไมนายไปเที่ยวไม่ชวนเพื่อนสนิท"
"ฉันกับเจ้านั่นเที่ยวด้วยกันมาร้อยครั้งได้ ถ้าจะมีกิจกรรมอื่นที่อยากทำด้วยกันสิ่งนั้นต้องไม่ใช่เที่ยวหรือว่าดูหนังแน่"
"โอเค...งั้นฉันไปก็ได้"
"....." ฮิลเวอรี่ไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่เขาก็ตอบตกลงไปแล้วแต่ทำไมอีกฝ่ายยังขมวดคิ้วใส่อยู่ ตอนแรกนึกว่าจะดีใจเสียอีก นี่ยังอยากให้ไปด้วยกันอยู่หรือเปล่า
"นายพูดคำว่า'ก็ได้'อีกแล้ว"
"แล้วมันทำไมเหรอ"
"มันดูไม่จริงใจเลยน่ะสิ แบบว่าดูเหมือนแค่ขอไปที"
"แล้วฉันต้องตอบนายว่าอะไร 'เออ'เหรอ?" ร่างสูงหลุดหัวเราะพร้อมกับเอามือนวดขมับ
"นายควรจะตอบว่า ตกลง เอาสิ ฟังดูน่าสนุกนะ ประมาณนี้" คนตัวเล็กตั้งใจฟัง พยายามจดสิ่งที่เพิ่งเรียนรู้ไว้ในสมองเผื่อต้องใช้อีกในอนาคต
"งั้นตกลง วันเสาร์นี้ฉันจะไปกับนาย"
"ดังขึ้นอีกนิด"
"ตกลง!"
"อะแฮ่ม"
หลังสิ้นเสียงกระแอมไอของบรรณารักษ์ห้องสมุดทั้งสองหนุ่มที่กำลังฝึกออกเสียงก็โดนไล่ออกมาข้างนอกตามระเบียบ ฮิลเวอรี่กังวลเป็นอย่างมากเพราะไม่เคยโดนอะไรแบบนี้มาก่อน ตรงข้ามกับเทรย์เวอร์ที่ยังหัวเราะไม่หยุด ซึ่งเขาไม่เห็นเข้าใจเลยว่ามันมีอะไรน่าขำ นี่พวกเราทำผิดกฎจนโดนไล่ออกมานะ บางทีเมื่อกี้อาจจะไปสร้างความรำคาญให้ใครก็ได้
"เลิกทำหน้าเครียดแบบนั้นได้แล้วน่า ใช่ว่าเขาจะไม่ให้นายเข้าในครั้งถัดไปสักหน่อย" เหลือเชื่อเลย พลังแห่งการมองโลกในแง่ดีช่างไร้เทียมทาน
"โดนไล่ออกมาอีกแล้วเหรอ" แพทริคที่มายืนรออยู่พูดขึ้นเหมือนรู้เวลาว่าทั้งสองคนจะออกมาตอนไหน
"พูดอะไรแบบนั้น บรรณารักษ์เขาหูดีเกินไปต่างหาก"
"ก็ดูหน้าฮิลเวอรี่สิ ซีดหมดแล้วน่ะเห็นมั้ย"
"ฉันไม่เป็นไร แค่ตกใจนิดหน่อย"
"เยี่ยม นายอย่าดูถูกฮิลสิ เห็นแบบนี้ก็แข็งแกร่งมากเลยนะ"
"เลิกโม้แล้วไปเรียนเคมีสักทีเถอะ"
"นายไปก่อนเลยเดี๋ยวฉันตามไป" แพทริคยักไหล่แล้วเดินนำไปฮิลเวอรี่ทำท่าจะเดินตามเพราะมีเรียนวิชานี้เหมือนกันแต่เทรย์เวอร์กลับเลื่อนตัวมาขวางหน้าก่อน และเพราะส่วนสูงที่ต่างกันถึงสิบเซนติเมตรทำให้เขาต้องเงยหน้ามองอีกฝ่าย
"พรุ่งนี้สิบเอ็ดโมงตรงเจอกันที่หน้าโรงหนังนะ" เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าโทนเสียงของเทรย์เวอร์สามารถนุ่มนวลได้ขนาดนี้ ยิ่งพอก้มลงมากระซิบใกล้ๆ ก็เหมือนจะทำให้หัวใจระเบิดออกได้เลย
"อย่าสายล่ะ"
"อืม ไม่สายหรอก"
.
.
To be continued
กลับมาต่อแล้วนะคะทุกคน หายไปพักสมองนานมากเพราะเพิ่งผ่านการสอบครั้งใหญ่มา ฮือ มันหนักหนาสาหัสมากเลยค่ะ แต่เราสู้ และเราก็จะเขียนน้องให้จบ
ใครอ่านแล้วชอบสามารถแนะนำต่อให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ กันได้นะคะทุกคน มารับชมความน่ารักของน้องฮิลและนายเทรย์เวอร์กันเถอะ
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ สัญญาว่าจะเพิ่มความแซ่บของพระเอกเราให้มากกว่านี้
#รูปโปรดของเทรย์เวอร์