"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ
รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ชาย-ชาย,ครอบครัว,พระเอกคลั่งรัก,เพื่อนสนิท,เพื่อนรัก,มิตรภาพ,ปัญหารุมเร้า,ครอบครัว,ความรัก,รัก,รักดราม่า,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ความมืดสุดท้าย : Final Shadow"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ
คุณมีความฝันไหม? ใช่ ฉันเองก็ด้วย
เช้าวันจันทร์ในห้องสี่เหลี่ยมที่มีแสงแดดอ่อน ๆ ส่องเข้ามา พื้นที่เต็มไปด้วยกองเอกสาร ผ้าใบวาดภาพ สีและพู่กันกระจายเกลื่อนพื้น มีเพียงแสงจากโคมไฟสีส้มสว่างที่สุดในห้อง เสียงน้ำกระทบพื้นบวกกับเสียงเพลงเศร้าในทุกเช้าคือการเริ่มต้นวันใหม่ แต่หัวใจกลับรู้สึกเหมือนเดิม
//อืดดดดด อืดดดดด//
เสียงเพลงเงียบลงเพราะถูกขัดจังหวะจากสายที่โทรเข้ามา
“ฮัลโหล อาบน้ำอยู่ ขึ้นมาที่ห้องเลย” น้ำเสียงหงุดหงิดที่เพลงถูกขัดจังหวะ เมื่อจบประโยคสุดท้ายซอลก็รีบกดวางสายทันทีโดยที่ไม่รอต้นสายตอบกลับแม้แต่คำเดียว
“มึงไม่รอให้กูพูดสักคำหน่อยเหรอไอ้ซอล” ปอนด์ชายหนุ่มร่างสูง ใช้มือใหญ่ผลักประตูห้องเข้ามา ใบหน้าคมเข้มที่แฝงความเป็นมิตรเสมอแม้ในยามหงุดหงิด
“มึงนี่นะ เคยมีวันไหนบ้างที่กูไม่ต้องมาเก็บห้องให้?” ปอนด์พูดพร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ สายตาสอดส่องมองไปรอบ ๆ ห้องที่เต็มไปด้วยกองกระดาษ หนังสือ และสีที่กระจัดกระจาย
“แล้วกูขอให้มึงมาเก็บห้องให้กูตอนไหนล่ะ?” ซอลตอบกลับพร้อมกับเดินออกมาจากห้องน้ำ ร่างผอมสูงมีเพียงผ้าขนหนูพันรอบตัว พร้อมสะบัดผมสีน้ำตาลสลวยที่เปียกชุ่มทำให้น้ำกระจายเต็มห้องโดยไม่แคร์สิ่งใด
ปอนด์มองด้วยสายตาที่ปนไปด้วยความห่วงใยและความขำขัน
“มึงนี่มันจริง ๆ เลย” เขาพึมพำเบา ๆ ก่อนจะหยิบผ้าขึ้นเช็ดพื้นที่เปียกอย่างไม่บ่นอะไร
“อยากจะปล่อยให้มึงจมอยู่ในกองขยะบ้างจริง ๆ เผื่อจะได้รู้ว่าการจัดห้องมันดีแค่ไหน”
ปอนด์เหลือบตามองซอลที่เดินมาด้วยท่าทีไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ก่อนที่ซอลจะคว้าชุดนักศึกษาไปแต่งตัวต่อในห้องน้ำ ทิ้งให้เพื่อนรักเก็บห้องที่รกเหมือนรังหนูอยู่แบบนั้น
“มึงก็พูดไปเรื่อย” ซอลตอบพร้อมอมยิ้มเล็ก ๆ ให้กับท่าทางที่ดูเหมือนพี่ชายคอยดูแลของปอนด์ แต่ในใจก็รู้ดีว่าถ้าไม่มีปอนด์ คงจะเหงาและลำบากไม่น้อย
เช้านี้มือใหญ่รับหน้าที่ขับรถให้เพื่อนตัวน้อยของเขา ปอนด์เริ่มเปิดเพลงจากโทรศัพท์ซึ่งเป็นเพลงโปรดที่ทั้งสองคนชื่นชอบและฟังเป็นประจำ สายตาตั้งใจขับรถในขณะที่ปากก็ฮัมเพลงไปพร้อม ๆ กัน
“พรุ่งนี้แล้วสินะ...มึงคิดว่าเราจะผ่านไหม?”
“เชื่อมั่นในตัวเองหน่อย เราเก่งขนาดนี้”
“ฝีมือระดับมึงมันง่ายอยู่แล้ว”
“มึงก็ไม่ใช่คนไม่เก่งนะปอนด์ มึงแค่ขี้เกียจ” ถ้ามึงไม่ขี้เกียจก็มีงานเยอะไปแล้วแท้ ๆ มือเรียวยาวเอื้อมไปตบบ่าเพื่อนของเขาเบา ๆ พร้อมส่งรอยยิ้มที่แทบจะเป็นเส้นตรงกับสายตาเอือมระอาเป็นของแถม
“จ้า คนเก่ง ซอลฮา ผู้ไม่ประสงค์จะใช้ชื่อและนามสกุลจริงในการให้เครดิตเพราะไม่อยากได้ชื่อว่าเกาะแม่ดัง ฟรีแลนซ์มากฝีมือ ทั้งตัดต่อ วาดรูป เขียนบท มึงจะเพอร์เฟกต์ไปไหน? อ๋อ และที่สำคัญเป็นเพื่อนรักของกูด้วยจ้า”
ปอนด์พูดเยินยอเพื่อนรักของเขาพลางเอามือขยี้หัวเบา ๆ ด้วยความภูมิใจ ในขณะที่ซอลได้แต่ยิ้มมุมปากอย่างน่าหมั่นไส้
“ถ้าได้ฝึกงานที่นี่มึงคงจะยิ้มจนแก้มแตกเพราะได้เจอใครบางคนทุกวันแน่ ๆ”
“มึงก็ว่าไป กูไม่ได้เลือกฝึกงานที่นี่เพราะเขาซะหน่อย”
ถึงปากจะพูดไปแบบนั้นในใจก็รู้ดีว่า เขาคือเหตุผลหนึ่งที่อยากทำงานที่นี่...แต่ซอลก็ไม่แน่ใจว่าแบบนี้มันถูกต้องไหม
“เออ เลิกเรียนวันนี้กูไปร้านพี่เตนะ ลูกน้องพี่เตลาป่วย มึงกลับบ้านเองนะ” ลาป่วยครั้งที่ร้อยในรอบเดือน ซอลก็ไม่เคยบ่นที่ต้องไปทำงานแทนลูกจ้างคนนี้บ่อย ๆ กลับดีใจด้วยซ้ำที่เขาไม่ต้องกลับบ้านเร็ว
“แล้วแบบนี้มึงจะไม่มีปัญหากับพ่ออีกเหรอ” น้ำเสียงของกระทิงป่าเริ่มจริงจังจนรับรู้ได้ถึงความเป็นห่วง
ซอลได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่เป็นการให้คำตอบแบบไม่มีคำพูดใดสื่อได้ดีไปมากกว่านี้ สายตาสิ้นหวังมองไปที่ท้องฟ้าผ่านกระจกรถ เขาคิดกับตัวเองแค่ว่า ขอให้ผ่านมันไปได้ในแต่ละวันก็พอแล้ว
ร้านอาหารที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน พนังสีขาวกับเฟอร์นิเจอร์สีน้ำตาล ตกแต่งด้วยต้นไม้สีเขียวและภาพวาดศิลปะ บรรยากาศที่ปลอดโปร่งและเงียบสงบ มีผู้ชายที่สุภาพเรียบร้อยเป็นเจ้าของร้าน บุคลิกภายนอกที่เป็นผู้ใหญ่ ดูสุขุมน่าค้นหา
“พี่เตเต้จ๋า น้องซอลมาช่วยแล้วจ้า” เสียงกระดิ่งประตูพร้อมเสียงเจื้อยแจ้วชวนแสบหูดังขึ้นพร้อมกันแทบจะในทันที
“แหกปากเหมือนชีวิตนี้จะไม่ได้พูดอีกแล้วเลยนะซอล” ชายเจ้าของร้านยืนเช็ดจานอยู่หลังเคาน์เตอร์พูดตอบกลับอย่างใจเย็น ปากเขายิ้มเปี่ยมด้วยความสุขที่มีน้องรักมาช่วยงานในวันนี้
“พูดดี ๆ กับน้องสักวันมันจะตายหรือไง” ซอลเก็บกระเป๋าเข้าตู้ล็อกเกอร์ก่อนจะหยิบผ้ากันเปื้อนที่แขวนอยู่ข้างฝามาสวมใส่
“โอ๋ น้องซอลคนดีของพี่มาถึงแล้ว พี่กำลังรอให้น้องมาช่วยอยู่พอดีเลย” พี่เตหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดหยอกเอิ้นเด็กน้อยของเขา
ซอลยิ้มก่อนจะรับงานมาอย่างไม่บ่นสักคำ ไม่ว่างานที่ร้านนี้จะเหนื่อยแค่ไหน แต่มันคือที่ที่ทำให้เขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว
พนักงานเสิร์ฟทรงเสน่ห์ที่มาช่วยงานทีไรลูกค้าเอ่ยชมทุกที มือขวาถือถาดเสิร์ฟอาหาร มือซ้ายค่อย ๆ หยิบจานพาสตาร์เสิร์ฟบนโต๊ะอย่างเบามือ รอยยิ้มเปื้อนบนใบหน้าไม่มีขาด เสียงหวานและคำพูดที่ชวนน่าฟัง ทำให้ลูกค้าหลายคนทิปให้อย่างเต็มใจ
การทำงานเป็นเหมือนงานอดิเรกที่ซอลรักไปแล้ว เขาทำได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยแม้จะเป็นงานแบบไหนก็ตาม จนคนที่ร่วมงานกับซอลยกให้ซอลเป็นรอยยิ้มสำหรับคนรอบข้างอย่างที่เจ้าตัวก็ไม่รู้มาก่อน
นาฬิกาบอกเวลา 21:00 น. ซอลเสร็จงานที่ร้านพี่เต ตรวจเช็กความเรียบร้อยพร้อมจะลงกลอนประตูเพื่อกลับบ้าน ซอลเช็กโทรศัพท์ที่ไม่ได้จับกว่า 5 ชั่วโมง สิ่งแรกที่ซอลเห็นเป็นสายที่ไม่ได้รับจากพ่อที่กระหน่ำโทรมามากกว่า 20 สาย
‘คงจะเมาแล้วโทรมาตามให้กลับบ้านอีกล่ะสิ…’
ซอลเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า รอยยิ้มที่ใบหน้าเลือนหายไปกลับกลายเป็นสีหน้าเคร่งเครียดที่เต็มไปด้วยความกังวลก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่และขับรถกลับบ้าน
เสียงเปิดประตูดังขึ้นอย่างแผ่วเบา แต่ก็ไม่พ้นสายตาของพ่อที่นั่งอยู่บนโซฟา ใบหน้าคมนั้นเต็มไปด้วยรอยแดงจากการดื่มเหล้า
“ทำไมกลับเอาป่านนี้?” เสียงขุ่นของพ่อสะท้อนในห้องที่เงียบงัน ซอลรู้ทันทีจากน้ำเสียงและท่าทางดูแล้วพ่อคงจะดื่มมาไม่น้อย
“ไปช่วยงานที่ร้านพี่เตมา…” เขาตอบเสียงเบาหวังตัดบทเร็วที่สุด เหมือนกับทุกครั้งที่พ่อเมาทุกคำพูดชวนทะเลาะจะมาราวกับลมพายุ
“ดีแต่ช่วยคนนอก! คนในบ้านกลับไม่เห็นหัว!” เขาได้ยินคำนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ทุกครั้งก็ยังเจ็บเหมือนเดิม
“ซอลเหนื่อยแล้ว ขอตัวก่อนนะ” ซอลหันตัวหวังจะหนีจากบรรยากาศที่กดดันนี้ แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขา พ่อคว้าข้อมือของเขาอย่างแรง แรงจนซอลแทบเสียหลัก ร่างกายรู้สึกเจ็บแปลบจากการจับแน่นนั้น แต่สิ่งที่เจ็บยิ่งกว่าคือสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังของพ่อ
//เพี๊ยะ//
มืออีกข้างตบเข้าที่หน้าของซอลอย่างแรงแบบที่ซอลไม่ทันตั้งตัว น้ำตาเริ่มไหลรินลงมาอาบแก้ม ผมสีน้ำตาลเข้มลงมาปกคลุมใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
“สำออยอะไรนักหนา… ถ้าเหนื่อยนัก ทำไมไม่ไปตายซะเลยล่ะ!”
น้ำเสียงที่เคยน่าฟังตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ทุกคำพูดเหมือนเข็มที่ทิ่มแทงหัวใจซอล เขาเคยเชื่อว่าพ่อเป็นฮีโร่ของเขา แต่บัดนี้ทุกอย่างได้พังทลายลงไม่เหลือชิ้นดี สายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดถูกซ่อนไว้เบื้องหลังแววตาที่พยายามเก็บกลั้น
ความหวาดกลัวปะทุมากขึ้นทุกครั้งที่ต้องพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ เขาทำได้เพียงกดทุกความรู้สึกไว้ในใจเพื่อจะผ่านมันไปให้ได้ในแต่ละวัน
ซอลรีบเดินขึ้นห้องนอนของตัวเอง ท่ามกลางความเงียบสงัดในบ้านหลังนี้แฝงไปด้วยความเครียดที่ยังไม่ได้แก้ไขจากการปะทะคารมกับพ่อ ความโกรธเริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจที่บอบบาง
'มึงไม่มีทางเติบโตในเส้นทางนี้ได้หรอก สุดท้ายมึงก็จะเหมือนแม่ของมึง'
คำพูดของพ่อในอดีตดังก้องอยู่ในหัว มือสั่นเทาเปิดประตูห้องนอนของตัวเองและเดินตรงไปนั่งลงที่เตียงด้วยความอ่อนล้าพร้อมกับความรู้สึกที่ยังไม่จางหาย
'บ้านที่ดูอบอุ่นกลับเต็มไปด้วยความความทรงจำแย่ ๆ เต็มไปหมด…'
มือทั้งสองกำแน่นด้วยความเจ็บปวด เล็บจิกเนื้อโดยไม่รู้ตัว มืออันบอบบางเริ่มเป็นแผลทีละน้อย ความรู้สึกภายในใจที่ท่วมท้นถูกกดไว้ภายในจนเกินบรรยาย ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน เขาได้แต่คิดว่าต้องอดทนกับเรื่องนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่ น้ำตาเริ่มไหลหลั่งออกจากตาผสมกับความรู้สึกนับไม่ถ้วนที่กัดกินหัวใจของเขา
ซอลรู้ดีว่าอนาคตอาจไม่ง่าย แต่เขามีความฝัน เขาต้องการหลุดพ้นจากความเจ็บปวดในครอบครัว แม้จะรู้สึกเหมือนถูกดึงกลับมาตลอดเวลา แต่ทุกก้าวของเขาคือการก้าวไปข้างหน้า แม้มันจะช้าก็ตาม..
//ติ๊ง//
เสียงแจ้งเตือนดังขึ้น ซอลหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแม้คราบน้ำตายังคงเปื้อนบนใบหน้า รอยยิ้มกลับปรากฏขึ้นจาง ๆ เมื่อเห็นข้อความที่แสดงว่า อีกไม่กี่วันจะมีมินิคอนเสิร์ตของวง Lustre (ลัสเตอร์)
'นี่คงเป็นความสุขเดียวที่ทำให้ยิ้มได้ในเวลาแบบนี้แล้วสินะ'
บาดแผลในใจแม้ยากที่จะลบเลือนแต่ไม่ได้แปลว่าเราจะยิ้มไม่ได้นี่หน่า เป็นคำปลอบใจที่ซอลมักบอกตัวเองเสมอเมื่อเผชิญกับสิ่งเลวร้ายที่เข้ามา เขายังคงเป็นแสงสว่างเดียวภายในใจ
ข้อความจาก Lustre เป็นเหมือนแสงสว่างในค่ำคืนที่มืดมิด
มันเป็นเพียงความสุขเล็ก ๆ เท่านั้น แต่บางอย่างกำลังจะเปลี่ยนบางสิ่งในชีวิตของเขา
พรุ่งนี้จะเป็นวันที่เปลี่ยนชีวิต หรือแค่วันธรรมดาอีกวันหนึ่ง?