"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ

ความมืดสุดท้าย : Final Shadow - บทที่ 1 จุดเริ่มต้น : Begining โดย Seonha @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ชาย-ชาย,ครอบครัว,พระเอกคลั่งรัก,เพื่อนสนิท,เพื่อนรัก,มิตรภาพ,ปัญหารุมเร้า,ครอบครัว,ความรัก,รัก,รักดราม่า,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ความมืดสุดท้าย : Final Shadow

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ชาย-ชาย,ครอบครัว

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พระเอกคลั่งรัก,เพื่อนสนิท,เพื่อนรัก,มิตรภาพ,ปัญหารุมเร้า,ครอบครัว,ความรัก,รัก,รักดราม่า,ดราม่า

รายละเอียด

ความมืดสุดท้าย : Final Shadow โดย Seonha @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ

ผู้แต่ง

Seonha

เรื่องย่อ

สารบัญ

ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-ตอนนำร่อง ก่อนจุดเริ่มต้น,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 1 จุดเริ่มต้น : Begining,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 2 แสงประกาย : Spark,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 3 สัมผัสดาว : Touch of Stardust,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 4 เงาแห่งความค้างคา : Shadows of Uncertainty,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 5 สัญญาแห่งดวงดาว : Promise of the Star,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 6 ความรู้สึกที่หวนคืน : Feelings That Resurface,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 7 ระเบิดเวลาของหัวใจ : The Ticking Heart,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 8 หัวใจไม่ต้องแสดง : The Unscripted Heart,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 9 ขอให้เธอมีควาสุข : To See You Smile Forevermore,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 10 สิ้นสุดเพื่อเริ่มใหม่ : Where Endings Bloom,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทพิเศษ รอยแผลที่หลอกหลอน : Echoes of Scars,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 11 การกลับมา : Shadows Revisited,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 12 แรงดึงดูดที่มองไม่เห็น : Unseen Forces,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 13 คน(เคย)ไว้ใจ : (Un)Forgiven,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 14 ตัดสินใจ : Redefined,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 15 แค่เอื้อม : A Step Closer,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทพิเศษ (2) รักแรก : The First Scar,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทพิเศษ (3) ลอยกระทง...กับเธอ : Moonlit Waters, You and I,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 16 แสงในเงา : Silent Sparks,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 17 ทางที่เลือก : My Way,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 18 คลื่นใต้น้ำ : Twisted Reflection ,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 19 ไม่เอ่ย : Deep Wounds,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 20 ย้ำ : Ripple,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 21 ก่อนคลื่นสงบ : Shadows Ripple,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 22 ปลดล็อก : New Tune,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 23 บ้าน : By Your Side

เนื้อหา

บทที่ 1 จุดเริ่มต้น : Begining

คุณเชื่อในเรื่องบังเอิญไหม?

 

“ไอ้ซอล กูโทรหาก็ไม่รับ…” เสียงทุ้มของปอนด์เงียบลงเมื่อเปิดประตูห้องเข้ามาพบกับความว่างเปล่าแทนห้องรกที่ต้องพบเจอทุกเช้า

“มึง…โอเคไหม?” ปอนด์ค่อย ๆ ปิดประตูพร้อมพูดกับห้องโล่งตรงหน้า

 

 สายตาเหม่อมองตัวเองในกระจกเอ่อล้นด้วยความรู้สึกที่เหมือนจิ๊กซอบางส่วนขาดหายไป ซอลเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมรอยช้ำจาง ๆ บนใบหน้า รอยยิ้มปรากฏขึ้นแสร้งว่าโอเคขัดกับแววตาที่กำลังบอกว่า กูไม่โอเค แม้จะบอบช้ำมากแค่ไหนซอลได้แต่ย้ำกับตัวเองว่า ห้ามอ่อนแอ

 

“ซอล…มึงไม่ต้องแบกทุกอย่างไว้คนเดียวก็ได้นะ” ปอนด์จับไหล่ของซอลและพูดเบา ๆ

“ถ้ากูพูดไปมันก็เหมือนมึงดูหนังเรื่องเดิมซ้ำ ๆ”

“แล้วมึงจะปล่อยให้เป็นแบบนี้เหรอ พ่อซ้อมมึงเป็นกระสอบทรายทุกวันนะ”

มือใหญ่สองข้างลูบเบา ๆ ที่แก้มของเพื่อน สายตาเต็มไปด้วยความโกรธปนสงสารในสิ่งที่เพื่อนรักของเขาต้องเจอ

“กูรู้ว่ามึงรักพ่อมากแค่ไหน..”

“กูถึงทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ตัวเอง…และกูจะไม่ให้อะไรก็ตามมาพังมัน” เสียงสั่นคลอนพูดแทรกขึ้นก่อนที่ปอนด์จะพูดจบ แววตาสิ้นหวังเริ่มเปลี่ยนเป็นสายตาที่มุ่งมั่นกลบน้ำตาที่กำลังคลออยู่

 

ปอนด์โอบไหล่ทั้งสองของเพื่อนตัวเล็กแล้วย้ายตัวให้ไปนั่งที่เตียงก่อนจะหยิบเครื่องสำอางมาแต้มปกปิดรอยช้ำบนใบหน้า ขณะเดียวกันเขาก็เหลือบไปเห็นแผลที่มือน้อยคู่นั้น เมื่อแต่งหน้าให้เพื่อนจนเสร็จเขาลุกไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาทำแผลต่อในทันที

 

“มึงต้องรักตัวเองเยอะ ๆ นะซอล” น้ำเสียงนุ่มนวลพูดบอกกับรอยแผลเหล่านั้น

 

‘ขอโทษนะซอล’ ซอลมองที่มือของตัวเองและได้แต่ขอโทษในใจกับการกระทำโง่ ๆ

 

“อย่างน้อยก็มีมึงไงที่รักกู” เป็นคำบอกรักของเพื่อนสนิทที่มีให้กัน ขอบคุณที่รักกูในวันที่กูไม่น่ารักกับตัวเอง

ปอนด์ได้แต่ยิ้มหัวเราะเบา ๆ แม้เพื่อนรักของเขาจะพอยิ้มได้บ้าง แต่ไม่ทำให้ความเป็นห่วงนี้ลดน้อยลงไปแม้แต่นิดเดียว แผลเป็นที่มือของซอลไม่ว่ากี่ครั้งที่ปอนด์เห็นมันก็รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่ซอลต้องเจอ

 

แสงแดดที่ส่องกลางหัว นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงวันมาพร้อมอากาศที่ร้อนจัด โรงอาหารมหาลัยฯ วุ่นวายไปด้วยนักศึกษาที่พากันมาฝากท้องที่นี่จนแน่นขนัด สองเพื่อนซี้กลับมีความเห็นตรงกันว่าควรออกไปหาอะไรทานด้านนอกเสียดีกว่าต้องเบียดเสียดกับมนุษย์ที่นี่

“มึงอยากกินอะไร?” หนุ่มร่างสูงหันไปถามเพื่อนตัวน้อยของเขาด้วยน้ำเสียงดีใจที่จะหลุดพ้นออกจากรังมดตรงนี้

“มึงเลือกเลย มึงเป็นคนขับเดี๋ยวกูเลี้ยงเอง” ท่าทางยิ้มแย้มดีใจจนออกนอกหน้า แค่คิดว่าตอนบ่ายจะได้ไปที่บริษัทGM2 ซอลก็ใจใหญ่ขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าดีใจที่จะได้ฝึกงานที่นี่หรือเพราะใครที่ทำให้เขาตื่นเต้นได้ขนาดนี้

“ให้มันน้อย ๆ หน่อยครับ ดี๊ด๊าขนาดนี้เดี๋ยวเขาก็จับได้ว่าเป็นแฟนคลับที่แฝงตัวเข้าไปทำงานหรอก” มือใหญ่เริ่มคาดเข็มขัด ริมฝีปากทรงสวยอมยิ้มและหัวเราะในลำคอเบา ๆ

“มึงทำให้กูดูแย่!” ปากบาง ๆ พูดตอบเพื่อนแต่กลับหลบสายตามองไปที่อื่นเพื่อหลบความรู้สึกที่แท้จริง

“พูดกับกูมองตากูครับ กูโตมากับมึงทำไมกูจะไม่รู้ว่ามึงมีเหตุผลอื่นที่อยากทำงานที่นี่” ดวงตาคมเข้มจ้องมองไปที่เพื่อนแบบรู้ทัน คำพูดที่มั่นใจว่าซอลคิดอะไรอยู่ แม้ปอนด์จะมองจากดาวพลูโตยังรู้ว่าเพื่อนรักของเขาคิดอะไร

“เออ มันก็แค่ผลพลอยได้ไหมวะ อย่าพูดมาก รีบขับรถไปได้แล้วกูหิวข้าว” ใบหน้าสีขาวเริ่มแดงก่ำเป็นลูกมะเขือ เมื่อรู้ว่าไม่มีทางโกหกเจ้ากระทิงยักษ์ตัวนี้ได้ สีหน้าหงุดหงิดกับความรู้สึกพ่ายแพ้แสดงออกอย่างชัดเจนจนลักยิ้มที่แก้มเบี้ยวไปข้างหนึ่ง

 

ทั้งคู่เลือกอาหารญี่ปุ่นให้ชนะในมื้อเที่ยงนี้ เสียงผู้คนจอแจสมกับเป็นช่วงเวลาพักเที่ยง ในห้างที่ผู้คนมากมายเดินสวนทางกันไปมา แต่ทุกอย่างดูสงบลงเมื่ออาหารเสิร์ฟลงตรงหน้า หมูที่กำลังหิวได้ที่ทั้งสองเริ่มลงมือจัดการอาหารอย่างเอร็ดอร่อย

“เออ กูว่าจะถามมึงตั้งแต่เมื่อกี้ แล้วพ่อมึงเขาโอเคเหรอที่จะฝึกงานที่นี่?” ปากเปื้อนซอสแกงกะหรี่บาง ๆ ของหนุ่มเข้มเริ่มบทสนทนาด้วยความไม่คิดอะไร

“เขาไม่ติดหรอกที่กูจะฝึกที่ไหน มึงก็รู้ว่าปัญหาคืออะไร” ซอลตอบกลับทันทีที่เส้นบะหมี่เย็นถูกสูดเข้าปาก สีหน้าเอร็ดอร่อยเริ่มเปลี่ยนเป็นความกังวลเล็กน้อย

“อืม ก็รู้แหละ มีอะไรก็บอกกูแล้วกันกูเป็นห่วง” กระทิงยักษ์ที่เห็นว่าเพื่อนหมีของเขาเริ่มสีหน้าไม่ดีก็รีบปิดจบคำถามในทันที แต่สายตายังคงเต็มไปด้วยความห่วงใย

“ว่าแต่ พร้อมจะไปเจอเขาคนนั้นหรือยังนะ?” คำถามใหม่เริ่มขึ้น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผสมกับคิ้วเข้มของปอนด์เลิกขึ้นหนึ่งข้าง พร้อมสายตาที่หรี่ลงเล็กน้อยเขาหวังว่าหน้าตาที่ดูทะเล้นนี้จะทำให้เพื่อนยิ้มได้

“มึงว่าเราจะเจอเขาง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ วันนี้เขามีเดินสายโปรโมตมินิคอนเสิร์ต ช่วงบ่ายเขาไม่อยู่จ้ะ” มือขวาแม้จะคีบเส้นบะหมี่เข้าปาก แต่มือซ้ายกลับไถโทรศัพท์ดูโซเชียลเพื่ออัปเดตข่าวสารอย่างไม่วางตา

“กูเห็นมึงมีความสุขได้ก็ในเวลาแบบนี้แหละ” ปอนด์ได้แต่เบ้ปากมองไปที่เพื่อนและขำในลำคอพร้อมพยักหน้าเบา ๆ เมื่อเห็นว่าซอลพยายามเก็บอาการตื่นเต้นแต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มจนซ่อนไว้ไม่ได้ เสียงเพลงในห้างก็เหมือนพร้อมใจเปิดมาเพื่อให้หัวใจของซอลรู้สึกพองโตเสียอีกด้วย

 

ระหว่างทางไปบริษัทซอลก็ยังคงดูโทรศัพท์แบบไม่ละสายตา ทั้งยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบที่เรียกได้ว่า ลืมไปแล้วว่ามีเพื่อนอยู่ข้าง ๆ …

“มึงสนใจกูบ้างค่ะเพื่อน” พ่อตัวใหญ่ออกลูกน้อยใจทำเสียงออเซาะเรียกร้องความสนใจจากเพื่อนที่กำลังหลงใหลไอดอลหน้ามนในโทรศัพท์

“มึงมีอะไรน่าสนใจเท่าเขาไหมล่ะ ทั้งหล่อ เสียงดี แสดงก็เก่ง มีอะไรไม่น่าสนใจบ้าง”

“เออ กูยอมแพ้ให้จุนนี่ของมึงคนเดียวเท่านั้นแหละ ความสุขของเพื่อนกูใครจะไปขัดได้” ความเป็นห่วงก็เริ่มลดน้อยลงเมื่อเห็นเพื่อนยิ้มได้จนลืมเรื่องเจ็บปวดที่สะสมมา

 

รอยยิ้มแห่งความสุขเริ่มผลิบานขึ้นมาบนใบหน้าของซอลไม่แบบหยุดหย่อนเมื่อเขาได้ฟังเพลงของศิลปินที่เขาชื่นชอบ พร้อมดูคลิปต่าง ๆ ในโซเชียล เรียกได้ว่าทุกอย่างที่เกี่ยวกับคนคนนี้ เป็นความสุขเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้ซอลลืมความทุกข์ใจได้ทั้งหมด ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นแต่มันก็เป็นเพียงความสุขชั่วคราว…

 

ประตูบานใหญ่เลื่อนเปิดออก ตามเสาตึกและประตูลิฟต์เต็มไปด้วยรูปของศิลปินในค่าย ทั้งที่ปกติเวลานี้ควรเป็นเวลาทำงานแต่กลับดูมีผู้คนไม่มากก็น้อยนั่งเล่นอยู่รอบล็อบบี้ เสียงผู้คนพูดคุยเหมือนจะดูวุ่นวายแต่บรรยากาศก็สงบเหมือนทุกคนพร้อมใจกันรออะไรหรือใครสักคนอย่างเรียบร้อย

 

ทั้งสองคนเดินตรงเข้าไปแลกบัตรเพื่อขึ้นไปรอสัมภาษณ์ฝึกงาน ระหว่างรอลิฟต์ซอลได้แต่มองไปรอบ ๆ ด้วยความสงสัย ป้ายต่าง ๆ ตามทางดึงดูดความสนใจของซอลเป็นอย่างมาก

 

//ติ๊ง//

เสียงประตูลิฟต์เปิดขึ้น ผู้คนที่อัดแน่นค่อย ๆ เดินออกมาทีละคน หนึ่งในนั้นคือคนที่ทำให้ซอลต้องค้างอึ้งเหมือนแทบจะหยุดหายใจ

 

ซอลเงยหน้ามองเพื่อจะหลบผู้คนที่กำลังเดินออกมาจากลิฟต์ สายตาเรียวยาวคู่สวยค่อย ๆ โตขึ้นเมื่อเห็นชายตัวสูงโปร่งสีหน้าไร้อารมณ์ ดวงตาคมเข้ม ปากกระจับเข้ารูป สะพายกระเป๋าหนังสีดำคู่ใจกำลังจะเดินตรงออกมาตรงหน้า

หัวใจเต้นแรงขึ้นด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้เหมือนกำลังจะหลุดออกมาข้างนอก มือชุ่มไปด้วยเหงื่ออย่างกะทันหัน ชายตรงหน้าคือคนที่ซอลปลื้มและหลงใหลเป็นอย่างมาก เขาพยายามจะเก็บอาการเอาไว้ ความเจ็บปวดที่อยู่ในใจดูเหมือนจะจะหายไปเพียงได้เจอกับเขา

 

“ขอโทษครับ ผม…ขอทางหน่อยนะครับ” เจ้าของปากกระจับคู่นั้นพูดด้วยความสุภาพ สีหน้าไร้อารมณ์เริ่มยิ้มบาง ๆ ตามมารยาท

เจ้าของเสียงยกมือทั้งสองข้างมาขยับตัวของซอลให้หลบทางผู้คนที่กรูกันออกมาจากลิฟต์ด้วยความอ่อนโยน เสียงรอบข้างเหมือนจะเงียบไปชั่วขณะแม้แต่เสียงรองเท้าของผู้คนรอบข้างก็หายไป หูของซอลเหมือนดับลงเหลือไว้เพียงเสียงหัวใจเต้นถี่ 

 

“ขอโทษที่ขะ ขวาง ทะ ทาง..” ซอลกล่าวขอโทษอย่างไม่มีสติก่อนชายคนนั้นจะยิ้มส่งและเดินจากไป

 

‘แสงสว่างเดียวที่ทำให้ฉันยิ้มได้’ ความคิดในใจส่งผ่านรอยยิ้มออกมาได้อย่างชัดเจน

 

“ซอล ยังหายใจอยู่ไหม?” กระทิงหนุ่มรีบตรงปรี่เข้ามาดูใจเพื่อนหมีของเขาที่ตอนนี้ทั้งตัวแทบจะเป็นสีแดงเหมือนถูกอาบด้วยซอสมะเขือเทศ

“มึง กูไม่ได้ฝันใช่ไหม นั่นจุน” อกอีแป้นจะแตก ศิลปินในดวงใจที่คิดว่าตอนนี้เดินสายอยู่ข้างนอกกลับเพิ่งเดินสวนออกจากลิฟต์ไปเมื่อสักครู่พร้อมกับเพื่อน ๆ ศิลปินในวง ใช่...ไม่ใช่ฝัน มือทั้งสองข้างที่อ่อนแรงไปชั่วขณะยกขึ้นมาตบหน้าตัวเองเบา ๆ

 

แสงแดดที่สะท้อนกับตึกฝั่งตรงข้ามสาดส่องเข้ามาที่ประตูทางเข้า ภาพที่มองเห็นเป็นเหมือนเหล่าเทวดากำลังเดินออกจากตึก...ไม่สิ เหมือนลอยออกไปสู่ท้องฟ้ามากกว่า สติของซอลลอยล่องออกไปเหมือนกำลังเดินตามชายหนุ่มเหล่านั้นไปด้วย

เพียงไม่กี่ก้าวที่เหล่าเทวดาเดินไป ผู้คนที่นั่งอยู่รอบ ๆ ก็เหมือนฝูงซอมบี้วิ่งกรูเข้ามาตรงกลาง ทุกคนพร้อมใจกันตั้งแถวและยกโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกทุกวินาทีที่พวกเข้าได้พูดคุยกับศิลปินอันเป็นที่รัก

 

ปอนด์ลากซอลที่ไร้สติเข้าลิฟต์ก่อนประตูจะปิดลง เสียงความวุ่นวายเมื่อสักครู่หายไปเมื่อลิฟต์ปิดสนิท เหลือเพียงแต่เสียงหัวใจของซอลที่เต้นแรงจนผิดจังหวะ

//ป๊อก// ปอนด์ดีดนิ้วเรียกสติเพื่อนรักของเขา

“ตื่นค่ะ เตรียมตัวสัมภาษณ์ก่อนนะค่อยมาอึ้งใหม่” น้ำเสียงปอนด์ที่เหมือนจะดุแต่ก็ไม่เชิงพูดดังกลบเสียงหัวใจที่เต้นแรงของซอล

“เออ กูรู้ตัวดีและกูก็ยังหายใจอยู่ กูพร้อมแล้วน่ะ” ปากก็พูดไปแต่ใจยังเต้นไม่ถูกจังหวะ มือทั้งสองข้างยกขึ้นมากุมระหว่างอกหวังว่าจะช่วยลดความตื่นเต้น

ซอลหลับตาลงและเริ่มทำสมาธิก่อนลิฟต์จะหยุดลงที่ชั้นยี่สิบ เสียงถอนหายใจของทั้งคู่ดังขึ้นเหมือนนัดกันมา

 

//ติ๊ง//

เมื่อประตูลิฟต์เปิดทั้งคู่ก้าวเท้าออกมาอย่างตื่นเต้น ความเงียบสงบต่างจากด้านล่างที่วุ่นวายเมื่อกี้ราวกับอยู่กับคนละโลก ทั้งสองคนเดินตรงเข้ามาติดต่อที่ประชาสัมพันธ์และนั่งรอคนมาเรียกไปสัมภาษณ์ ความตื่นเต้นทำให้มือชุ่มไปด้วยเหงื่อ จากหัวที่ร้อนผ่าวเพราะสภาพอากาศด้านนอกตอนนี้กลับเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศภายในอาคาร แต่ในใจของทั้งคู่ยังคงร้อนรุ่มและเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“น้องสองคนสัมภาษณ์ฝึกงานใช่ไหม ตามพี่มาได้เลยค่ะ” หญิงสาวร่างเล็กดูใจดีเดินมาเรียกทั้งคู่และนำทางไปยังห้องประชุมเล็กที่อยู่สุดทางเดิน

 

สองฝั่งพนังเต็มไปด้วยรูปผลงานของศิลปินในค่าย แม้เป็นทางเดินสั้น ๆ แต่ผลงานที่เรียงรายอยู่เป็นผลงานที่ซอลรู้จักเป็นอย่างดีทุกชิ้น แววตาของซอลลุกวาวเป็นประกายเมื่อได้มองสิ่งที่ชอบใกล้ ๆ

 

เมื่อเปิดประตูเข้ามายังด้านในมีหน้าต่างบานใหญ่ทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง ทั้งชั้นรับแสงได้เต็มที่ถูกกั้นด้วยผ้าม่านโปร่งแสงบาง ๆ เท่านั้น กำแพงถูกแต่งแต้มสีสันเป็นลายคลื่นดูสนุกสนานสลับกับลายจุดที่ดูมีชีวิตชีวา

 

บรรยากาศภายในต่างจากที่ซอลคิดไว้ เสียงที่ได้ยินไม่ใช่เสียงเมาส์และแป้นพิมพ์จากการทำงาน แต่กลับเป็นเสียงเพลงที่คลอเบา ๆ และเสียงพูดคุยกันอย่างผ่อนคลาย ไม่ใช่ออฟฟิศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด เมื่อเห็นแบบนี้ทำให้ซอลรู้สึกคลายความกังวลลงได้เล็กน้อย

“พี่ชื่อจันทร์เจ้านะ เรียกเจ้าก็ได้” พี่เจ้าแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มพร้อมมือที่เปิดประตูห้องประชุมเข้าไป

 

ด้านในมีชายสองคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว คนแรกเป็นชายร่างเล็กท่าทางดูเรียบร้อย อีกคนเป็นชายร่างท้วมดูน่าเกรงขาม สิ่งที่เหมือนกันของทั้งสองคนคือสีหน้าที่ดูเคร่งเครียด จนทำให้ซอลกับปอนด์รู้สึกกดดัน

“นั่งเลยครับ...” เสียงชายร่างเล็กถูกขัดจังหวะลงเมื่อเจ้าซอลตัวแสบพูดแทรกขึ้นมา

พี่ออฟ ผู้กำกับเบอร์หนึ่งของค่าย ส่วนข้าง ๆ คือพี่โจ้ ผู้กำกับคนเก่งอีกคนที่ฝีมือกินกันไม่ลง แฟนคลับมักพูดกันว่าค่ายนี้มีเบอร์หนึ่งถึงสองคน” สายตาเป็นประกายพร้อมเสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้นด้วยความตื่นเต้นที่เจอผู้กำกับในดวงใจอยู่ตรงหน้า

“ทำการบ้านมาดีนี่ ฮ่า ๆ พูดเก่งจริงเชียว” พี่โจ้พูดพลางหัวเราะด้วยความชอบใจ ร่างอ้วนท้วมขยับปรับท่านั่งจากท่าสบายเป็นท่านั่งที่ดูให้ความสนใจกับเด็กตรงหน้า

“ขอโทษที่พูดแทรก คือ ซอลตื่นเต้นไปหน่อย แฮะๆ” ทำอะไรลงไปขายขี้หน้าชะมัด เก็บอาการหน่อยไอ้ซอล ริมฝีปากบางเม้มลงด้วยความเคอะเขิน หน้าก้มลงเล็กน้อยเพื่อหวังจะหลบสายตาจากการกระทำหน้าไม่อาย

 

การสัมภาษณ์ผ่านไปได้ด้วยดี บรรยากาศไม่ตึงเครียดเท่าที่ควร ผู้กำกับทั้งสองมีอารมณ์ขันมากกว่าที่ซอลคิดไว้ เมื่อเจอกับซอลที่ช่างพูดอยู่แล้วทำให้เสียงในห้องประชุมคึกคักเกินกว่าจะเป็นการสัมภาษณ์งานเสียได้

 

“ไม่ต้องเครียดนะ ไว้ถึงเวลาทำงานค่อยเครียดกัน ยังไงก็รับทั้งคู่อยู่แล้ว สมัยนี้คนที่สนใจทำเบื้องหลังแล้วฝีมือดีหายาก ส่วนมากก็ไปอยู่หน้ากล้องกันหมด” พี่โจ้พูดไปก็ขำไปที่เห็นคิ้วของปอนด์เกือบจะชนกันเป็นเส้นเดียว

“งั้นอีก 2 สัปดาห์เราเจอกันนะหรือถ้าเราอยากเข้ามาก่อนก็โทรบอกพี่ได้เลย ยินดีต้อนรับจ้ะ” พี่ออฟพูดปิดท้ายด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรและเดินออกไปทำงานต่อ

ซอลยิ้มกริ่มด้วยความดีใจ สายตาแวววาวมองโทรศัพท์ที่หน้าจอเปิดรายชื่อติดต่อบันทึกชื่อพี่ออฟเอาไว้ ความสุขใจนี้ซอลจะจดจำไปอีกนานเลยทีเดียว

 

เสียงฝีเท้าเดินสลับกระโดดเตาะแตะดังลั่นไปทั่วลานจอดรถ

“แค่นี้ฝันกูก็ใกล้เข้ามาอีกขั้นแล้วสินะ” หมีขาวตัวเล็กยิ้มกว้างไม่หุบ กระโดดโหยงเป็นกระต่ายพร่ำพูดกับเพื่อนด้วยความดีใจ

“เดินดี ๆ เดี๋ยวก็หน้าทิ่มไปหรอก มึงนี่นะดีใจทีไรทำตัวเป็นเด็กสามขวบไปได้” มึงนั่นแหละดีใจก็ออกอาการบ้าง ไม่รู้ว่าวางมาดเข้มเพราะสาวที่กำลังเดินมาจากที่ไกล ๆ หรือเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นก็หยุดความดื้อของซอลที่กำลังเดินกระโดดไปที่รถไม่ได้

“คงเป็นอีกวันที่กูมีความสุขมากที่สุดในชีวิตนี้ที่กูมีลมหายใจมาแล้วล่ะ” วันนี้ซอลเหมือนถูกเติมเต็มความหวานราวกับน้ำผึ้งที่สดใหม่จากรังถูกหยดลงในน้ำบอระเพ็ดที่ขมขื่น ทั้งเรื่องที่เจอไอดอลในดวงใจใกล้แค่คืบและการได้ฝึกงานกับผู้กำกับที่ตัวเองนับถือมันทำให้ซอลรู้สึกว่าตัวเองเข้าใกล้ความสำเร็จไปอีกขั้น

 

 

และแล้ววันที่ซอลรอคอยก็มาถึง ค่ำคืนที่เหมือนรอมานานนับปี มินิคอนเสิร์ตของวง Lustre  ร้านที่จัดงานเป็นบาร์ที่ซอลเคยทำงานเมื่อปีก่อน จึงไม่เป็นเรื่องยากถ้าจะได้ที่นั่งดี ๆ ก่อนใคร ในความมืดมีเพียงแสงไฟจากเวที คนเยอะแน่นร้านทั่วทุกอณู ซอลวิ่งเหมือนม้าดีดกะโหลกลากปอนด์กับเพื่อน ๆ แฟนคลับตรงปรี่เข้าไปที่โต๊ะ

“มึงก็เก่งนะ ทำงานไปเรื่อยจนสนิทกับเจ้าของ แถมคอนเนคชั่นดีจนได้บัตรโต๊ะวีไอพีมา”

“มุมดีมั้ยล่ะ เราจะได้เสพเสียงเพลงกันอย่างชัด ๆ ไง”

“เสพเสียงเพลงหรือหน้านักร้องเอาให้ดี” ปอนด์สวนกลับเพราะรอยยิ้มของเพื่อนมันฟ้องหมดแล้ว

 

เมื่อการแสดงเริ่มขึ้น ซอลค่อย ๆ เคลิ้มไปกับเพลงที่เริ่มบรรเลงขึ้น จนกระทั่งเสียงร้องทรงเสน่ห์ที่คุ้นหูเริ่มร้องออกมา เหมือนโลกของซอลหยุดหมุนและผู้คนรอบข้างหายไป

 

สายตาแวววาวเต็มไปด้วยความรักของซอลมองไปที่ชายหนุ่มสูงโปร่งยืนกุมไมค์สีขาว ผมสีเทาเล่นกับแสงสปอตไลต์ ทำให้เขาเปล่งประกายเหมือนเทพบุตรที่หลุดออกมาจากฝัน เพลงที่ไพเราะ ศิลปินที่หลงรัก เพื่อน ๆ ที่ให้ความสนุก น้ำเมาที่เสริมเติมแต่งบรรยากาศให้สมบูรณ์ ความรู้สึกดีแบบนี้ซอลรับรู้ถึงมันแบบนับครั้งได้

 

หลังการแสดงจบ ซอลแยกกับเพื่อนออกมาเข้าห้องน้ำและนัดกับปอนด์ที่ด้านหน้า ขณะที่เดินออกมาผู้คนที่เบียดเสียดกันในร้านทำให้ซอลล้มลงไปชนกับคนคนหนึ่ง

 

“อุ๊ย! เป็นอะไรมั้ย ฉันขอโทษ…นะ”

ซอลเหมือนหยุดหายใจไปชั่วขณะ เมื่อเห็นใบหน้าของคนที่ซอลล้มใส่ มือที่โอบรับเอวเล็ก ๆ เอาไว้ คือนักร้องเทวดาที่สยายปีกอยู่บนเวทีเมื่อสักครู่ จุน ชายหนุ่มที่ซอลหลงรัก “แสงสว่าง” เดียวในชีวิตที่มืดมนของซอล ความใกล้ที่เคยเจอกันแค่คืบ วันนี้กลับลดลงเหลืองเพียงเซนติเมตร สายตาที่จ้องมองกัน ความรู้สึกเหมือนเสียงรอบตัวเงียบลงอีกครั้ง ซอลได้ยินเพียงแต่เสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นเหมือนรัวกลอง เขาภาวนาให้เวลาหยุดเดินไว้ตรงนี้นาน ๆ ได้ไหม

 

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญหรืออะไรลิขิต…ฉันมีความรู้สึกเหมือนแสงสว่างเดียวในใจ

มันกำลังส่องสว่างขึ้นเรื่อย ๆ