"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ
รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ชาย-ชาย,ครอบครัว,พระเอกคลั่งรัก,เพื่อนสนิท,เพื่อนรัก,มิตรภาพ,ปัญหารุมเร้า,ครอบครัว,ความรัก,รัก,รักดราม่า,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ความมืดสุดท้าย : Final Shadow"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ
จะเป็นยังไงถ้าคนที่คุณหลงรักไม่ใช่อย่างที่วาดฝันไว้?
สายตาไร้อารมณ์จ้องเขม็งมาที่ดวงตาของซอลอยู่ชั่วครู่ก่อนคิ้วจะพันกันยุ่งเหยิง จุนปล่อยมือที่โอบเอวให้ซอลร่วงลงไปนั่งกับพื้นอย่างไม่แยแส จุนจำซอลได้ในทันที สายตาที่เคยเต็มไปด้วยความอบอุ่นในจินตนาการของซอล กลับกลายเป็นสายตาที่เย็นชาและแฝงด้วยความไม่พอใจ
“นี่คุณใช่ไหมที่ยืนขวางอยู่หน้าลิฟต์วันก่อน วันนี้ยังเดินไม่ดูทางอีกเหรอ” จุนพูดพร้อมชี้นิ้วใส่หน้าอย่างไร้มารยาท
“หะ...คนเพิ่งคุยกันครั้งแรกเขาทักกันแบบนี้เลยเหรอ” เสียงเข้มและท่าทางหงุดหงิดทำให้หัวใจของซอลเต้นแรง ความสับสนและโกรธตีปนกันในอก
“ขอโทษแล้วกันนะที่ไปขวางทางคุณวันนั้น แล้ววันนี้ยังจะเดินไม่ดูอีก!” ซอลตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แม้จะเป็นคนที่รักและชื่นชม แต่สิ่งที่จุนทำมันไร้มารยาทเกินไป
ชายหนุ่มหน้าหวานรีบวิ่งเข้ามาดึงพี่ชายขี้เมาหัวร้อนเอาไว้ก่อนที่จุนจะกำหมัดขึ้นมาเตรียมอัดเข้าที่หน้าของซอล หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมา ทั้งความกลัวและความโกรธตีปนกันอยู่ในอก มือของเขาสั่นเล็กน้อยเมื่อเงยหน้ามองจุน ผู้ที่เคยเป็นดั่งพระเอกในใจ ตอนนี้กลับดูน่ากลัวราวกับคนแปลกหน้า…
“ขอโทษนะครับ พี่ผมเมาไปหน่อย อย่าถือสาเลยนะครับ” เสียงใสพูดโพล่งขอโทษในทันควัน ทิวหนึ่งในสมาชิกของวงคว้าหมัดเมาของพี่ชายได้ทันเวลา
“อ้าว พี่ซอล!” หนุ่มน้อยตกใจเมื่อเห็นพี่รหัสตัวเองมาอยู่ในงานนี้ด้วย เมื่อก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงทิวก็แทบไม่มีเวลาไปหาพี่รหัสของตัวเองเลยนอกจากไปขอความรู้ก่อนสอบเท่านั้น
“ดูแลพี่แกด้วยนะทิว เป็นดาราทำตัวแบบนี้เดี๋ยวจะเสียชื่อหมด” ถึงจะไม่พอใจแต่ซอลก็อดห่วงไม่ได้ สีหน้าไม่พอใจเริ่มเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“เออ เห็นปอนด์มั้ย หลงกันน่ะมือถือก็แบตหมด”
“งั้นไปนั่งด้วยกันก่อนสิ เดี๋ยวผมโทรตามให้ คนเยอะแบบนี้คงหาไม่เจอหรอก” สีหน้ายิ้มแย้มของทิวยังคงสดใสเสมอแม้จะหิ้วปีกคนเมาอยู่ก็ตาม ความไร้เดียงสาของทิวทำให้ซอลปฏิเสธคำเชิญไม่ลง
“ทุกคน นี่พี่รหัสผมที่คณะชื่อพี่ซอล พี่ซอลครับ จากทางขวานี่พี่ปั้น พี่นาย ริวนะครับ ส่วนขี้เมาตรงนี้พี่จุนครับ” ถึงทิวจะไม่แนะนำซอลก็รู้จักเป็นอย่างดีทุกคนอยู่แล้ว โดยเฉพาะคนที่เมาหลับคอพับอยู่ข้าง ๆ
ซอลยิ้มทักทายตามมารยาท ความตื่นเต้นหดหายไปเพราะหมัดที่เกือบลอยเข้าหน้าเมื่อสักครู่
เสียงเพลงสนุกสนาน แสงไฟสาดส่องชวนให้ลุกขึ้นเต้น ทุกคนในโต๊ะกลับนั่งคุยกันอย่างเป็นกันเอง ซอลที่เมากรึ่มได้ที่ก็พูดมากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่าสู้กับเสียงเพลงที่ดังอยู่ในร้าน
“แล้วมีน้องรหัสเป็นดาราแบบนี้ทำตัวลำบากแย่เลยสิ” ปั้นถามขณะที่มือก็คีบน้ำแข็งใส่แก้ว
“ไม่ขนาดนั้นหรอก ห่วงมันจะเรียนไม่จบมากกว่า ตั้งแต่มันดังก็ไม่เห็นหัวพี่มันแล้ว ฮ่า ๆ” น้ำเสียงมึนเมาแต่แฝงด้วยความเป็นห่วง เอ่ยความในใจที่ไม่เคยพูดให้น้องได้ฟัง
“ผมมีพี่ดีและเก่งขนาดนี้ ถ้าผมเกเรพี่ปั้นมากระทืบผมได้เลย” ยังไงซะพี่ก็ไม่ปล่อยให้ผมตกแน่นอน ทิวพูดขึ้นอย่างมั่นใจเพราะซอลคอยจ้ำจี้ทิวเรื่องเรียนเสมอ
เสียงพูดคุยในวงเหล้าท่ามกลางเสียงเพลงยังคงเฮฮาสนุกสนานต่อเนื่อง แต่กลับมีหนึ่งคนที่หน้างอคอพับไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่
“ซอลไม่ต้องไปสนใจไอ้จุนมันนะ เมาทีไรหน้าบี้ทุกที เดี๋ยวสร่างเมามันก็ลืมว่าทำตัวงี่เง่าแบบนี้” ปั้นพูดแก้ตัวให้เพื่อนของเขา มุมปากยกขึ้นข้างหนึ่งยิ้มเยาะใส่เพื่อนที่กำลังทำหน้าเข้มคิ้วขมวด
“เราไม่เป็นไรหรอกถึงจะโดนชี้หน้าตะคอกมาก็เถอะ” แทนที่จะตื่นเต้นที่ได้ร่วมดื่มกับศิลปินวงโปรดซอลกลับพูดบ่นไอดอลของเขาอย่างตั้งใจ สายตาทั้งคู่มองกันด้วยความไม่ชอบหน้ากันเป็นระยะ
กระทิงป่ารีบตรงปรี่มารับเพื่อนของเขาที่โต๊ะก่อนจะพากันกลับบ้าน มือใหญ่โบกแท็กซี่แล้วแบกร่างของเพื่อนที่ยื่นไม่ตรงขึ้นรถ
“กว่ามึงจะมารับกูได้นะ กูแทบจะมุดลงไปอยู่ใต้โต๊ะ”
“มึงเขินที่นั่งร่วมโต๊ะกับเขา หรืออายที่ด่าเขาไม่หยุดปาก” ปอนด์พูดยิ้มแซวเพื่อนรักที่เผลอด่าไอดอลที่รักต่อหน้า
“กูชอบคนแบบนี้จริง ๆ เหรอวะ ตั้งแต่ปล่อยกูลงพื้น เขายังไม่ขอโทษกูสักคำแถมยังจะมาต่อยกูอีก” สีหน้าบ่งบอกถึงความไม่พอใจปนสับสน ภาพคนรักที่วาดฝันไว้ถูกลบหายไปเพราะฤทธิ์เหล้า
“พระเอกมาดนิ่ง หล่อคมบาดใจ ผู้ชายเย็นชาที่ดูอบอุ่นเหมือนคนรักในฝันของกู…จบกัน”
“ก็นี่ไงมุมที่คนทั่วไปไม่เคยได้เห็น” เสียงใหญ่พูดบอกพร้อมหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ
'มุมพิเศษที่คนทั่วไปไม่เคยได้เห็น…จะหวังให้เขาเป็นพระเอกนิยายหรือไงไอ้ซอล'
ความคิดก่อตัวขึ้นในหัวของซอลที่เริ่มสร่างเมาเล็กน้อย หน้าแดงก่ำซบลงที่ไหล่ของเพื่อน เขาเอาหัวไถไปมาด้วยความหงุดหงิด คิ้วยังคงขมวดแทบจะผูกกันเป็นปมจน
“มึงอาจจะผิดหวังในตัวเขา...แต่เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งนั่นแหละ” ปอนด์เอ่ยเสียงเบา พร้อมกับลูบหัวเพื่อนรักที่เริ่มคิ้วขมวดอีกครั้ง
“อย่าคิดมากเลยนะซอล”
หัวใจของซอลยังคงเต้นแรงเมื่อคิดถึงจุน แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่เพราะความตื่นเต้นเหมือนเมื่อก่อน เขารู้สึกเหมือนว่าทุกอย่างที่เคยฝันไว้เกี่ยวกับจุนพังทลายลงตรงหน้า...แต่ทำไมใจเขายังคงสับสน? จุนที่ซอลเห็นวันนี้ไม่ใช่จุนที่อยู่ในจินตนาการ...ผู้ชายบนเวทีที่เขาเคยชื่นชมกลับกลายเป็นคนที่เย็นชาและไร้มารยาทอย่างไม่น่าเชื่อ ความฝันที่เคยสวยงามกลับแหลกสลาย
คืนที่แสนสนุกหมดลง คนเมาสองคนนอนพาดขาใส่กันบนเตียงพูดคุยกันถึงคอนเสิร์ตวันนี้ก่อนจะผล็อยหลับไป ทิ้งไว้เพียงเสียงเพลงที่เปิดไว้เบาๆ กับลมหายใจของทั้งคู่ แสงไฟหัวเสียงสีส้มที่ส่องสว่างและแสงจันทร์ที่ลอดผ่านผ้าม่านในค่ำคืนที่มืดมิด
เช้าวันใหม่เริ่มต้นด้วยแสงแดดอ่อน ๆ ที่ลอดผ่านหน้าต่างห้องนอนสีโทนเข้ม บนเตียงสีขาวมีผ้าห่มสีดำคลุมร่างสูงที่นอนคุดคู้อยู่ เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นเหมือนจะผลักจุนให้ลุกขึ้นจากเตียง แม้ร่างกายจะตื่นตัว แต่หัวใจกลับเต้นอย่างเหนื่อยล้า
“ไอ้จุน ตื่นได้แล้ววันนี้มีเรียนเช้า!” เสียงปั้นตะโกนพร้อมเปิดประตูเข้า มือถือตะหลิวที่กำลังเตรียมมื้อเช้าให้เพื่อนรักด้วยความตั้งใจ
“เออ กูตื่นแล้ว” เสียงเข้มดังลอดผ่านผ้าห่มที่คลุมจนมิดหัว
“ไอ้ปั้น มึงทำครัวกูไหม้อีกแล้วเหรอ” กลิ่นไข่ที่ไหม้คากระทะลอยผ่านประตูห้องนอนเข้ามา จนทำให้เจ้าตัวรีบโผล่ออกจากผ้าห่มและลุกขึ้นนั่งในทันที
ปั้นรีบกลับไปที่ครัวเพื่อจัดการกับไข่ดาวที่ดำสนิทในกระทะก่อนที่เพื่อนรักจะมากระชากคอเสื้อเสียก่อน ไส้กรอกทอดกับขนมปังปิ้งยามเช้า พร้อมกาแฟแก้วโตวางเสิร์ฟอยู่โต๊ะหรูตัวยาวรอ
“มึงหัดตื่นมาทำเองซะบ้างนะ มื้อเช้าสำคัญห้ามขาด” พ่อครัวมือฉมังที่เพิ่งทำไข่ดาวไหม้เมื่อกี้พูดเปลี่ยนเรื่องเพื่อหลีกไม่ให้โดนด่าซ้ำ
“มึงไม่ทำกูก็ซื้อกินข้างล่างได้อยู่แล้วจะทำให้ลำบากเพื่อ” ปากพร่ำบ่นพร้อมแปรงสีฟันคาอยู่ที่ปาก เพื่อนตัวดีมักจะมานอนด้วยเมื่อมีเรียนเช้าเพราะกลัวเจ้าของห้องจะไปเรียนสาย
“รีบอาบน้ำแต่งตัวสักทีพ่อคุณ จะได้รีบมากินเดี๋ยวสาย คลาสวันนี้สอบด้วย” มือแซะไข่ออกจากกระทะแต่ปากเร่งให้เพื่อนไปเตรียมตัว
ชายหนุ่มสองคนนั่งรับประทานอาหารเช้า ใบหน้าคมเข้มแสดงออกถึงความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักเมื่อวาน ปากกระจับค่อย ๆ กัดขนมปังทาแยมทีละนิด มือข้างหนึ่งเล่นโทรศัพท์ หน้าจอแสดงภาพวิวทิวทัศน์เต็มไปต้นไม้ที่วาดด้วยสีน้ำตัดกับสีส้มใสของท้องฟ้า เป็นภาพที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายอารมณ์ ทำให้จุนยิ้มขึ้นได้เล็กน้อย
“ได้ยินพี่ผึ้งคุยกับพี่ออฟว่าวันนี้มีเด็กฝึกงานมาใหม่ มึงว่าจะเป็นไงวะ?” หนุ่มตี๋พูดขึ้นมาขัดรอยยิ้มของเพื่อนที่กำลังเลื่อนดูภาพวาดในโทรศัพท์
“ก็ปล่อยให้เขาฝึกไปสิ ใครสน” รอยยิ้มหุบลงเสียงเข้มตอบกลับเพื่อนแบบไร้ความรู้สึก มือรีบปิดโทรศัพท์และจับวางคว่ำหน้าจอ
“เห็นว่าเป็นคนเก่งด้วยนะ ได้ยินมาว่าฝีมือไม่ใช่เล่น” ปั้นยังคงพูดถึงเด็กฝึกงานคนใหม่ที่ผู้จัดการคุยโวให้ฟังว่าเก่งนักหนา
“ก็เรื่องของเขา” จุนยังคงต่อบทสนทนาแบบไม่สนใจว่าใครจะมาจะไป แค่การฝึกซ้อมแต่ละวันก็ทำให้เขาหมดแรงจนไม่อยากสนใจอะไรแล้ว
“มึงหัดมีปฏิสัมพันธ์กับคนในบริษัทบ้างนะ เขากลัวจนไม่มีใครกล้ายุ่งกับมึงกันหมดแล้ว”
สายตาเย็นชาได้แต่จ้องมองเพื่อนของเขาด้วยความเงียบ
“หน้าตายอย่างกับศพเดินได้ ผิดกับตอนขึ้นเวทีหรือเจอแฟนคลับยิ้มอย่างกับเป็นคนละคน”
“ก็กูมีความสุข มึงจะให้กูยิ้มตลอดเวลาหรือไง” สิ้นเสียงเข้ม จุนก็เอาขนมปังอีกถือไว้อีกครึ่งเข้าปากทั้งหมดเหมือนเขาจะบอกเพื่อนว่า ปากไม่ว่างตอบมึงแล้วเลิกถามกูสักที
ไม่รู้ว่าคนมนุษยสัมพันธ์ดีอย่างปั้นมาเป็นเพื่อนสนิทกับคนเย็นชาอย่างจุนได้ยังไงกัน ถึงอย่างนั้นทั้งคู่กลับเป็นเพื่อนที่เข้ากันได้ดี เหมือนหยินหยางที่ต่างกันแต่เข้ากันอย่างสมบูรณ์แบบ
‘ทำไมรู้สึกแปลกๆ เหมือนวันนี้จะดวงซวย…คงไม่หรอกมั้ง’
ขนแขนลุกซู่อย่างไม่ทราบสาเหตุหรือเป็นลางบอกเหตุอะไรสักอย่างที่จุนก็หาคำตอบไม่ได้ อาจจะเพราะความเย็นจากแอร์ที่มาโดนแขนเท่านั้นก็เป็นได้ วันธรรมดาที่ต้องลากสังขารเหนื่อยหอบไปเรียนแต่เช้า ทำให้เขาไม่อยากจะคิดอะไรมากนอกจากข้อสอบที่ต้องทำให้วันนี้
“ฝึกงานวันแรกแล้วสิ…”
ซอลพึมพำกับตัวเองเบาๆ แม้จะตื่นเต้นกับโอกาสที่รออยู่ข้างหน้า แต่ความคิดเรื่องของจุนเมื่อคืนนั้นก็ยังวนเวียนอยู่ในหัว จะเป็นยังไงถ้าต้องเจอเขาอีกในฐานะเพื่อนร่วมงาน? จุนจะจำเรื่องเมื่อคืนได้ไหม? หรือถ้าจำได้ เขาจะพูดอะไรกับซอลบ้าง…
“เป็นไงบ้างมึง ตื่นเต้นไหม ถ้าบอกว่าไม่กูไม่เชื่อนะ” ปอนด์ทำลายความเงียบในรถลงด้วยเสียงกวนประสาท
“แล้วมึงให้กูตอบอะไรได้บ้าง? กูตื่นเต้นมากที่จะได้ทำงานกับพี่ออฟ เขาจะดุไหม งานจะเป็นยังไงแล้วก็…” เสียงเจื้อยแจ้วเงียบลงกะทันหันเมื่อมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
“แล้วก็จะได้เจอจุนไหม ใช่ไหม? กูว่ามีโอกาสได้เจอแหละ แต่ที่ตื่นเต้นกว่าคือมึงจะได้ทำงานร่วมกับเขาไหมต่างหาก” เพื่อนที่รู้ใจแต่บางทีซอลก็รู้สึกว่ามันรู้มากเกินไป
“มึงจะรู้ทุกเรื่องในใจกูไม่ได้นะปอนด์” สายตาหงุดหงิดส่งออร่าความน่ากลัวมาที่เพื่อนของเขา มือหยิบแก้วกาแฟเย็นมาดูดอย่างร้อนใจ
ซอลมุ่งหน้าไปยังบริษัท GM2 ที่ที่เขาจะได้เริ่มต้นฝึกงานในฝัน...แต่หัวใจกลับยังไม่พร้อมที่จะเจอหน้าคนที่เขาเคยชื่นชมและคลั่งไคล้ เมื่อทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคาดหวังไว้
“อ้าว ซอล ปอนด์มาแต่เช้าเชียวนะ” เสียงพี่ออฟทักทายมาแต่ไกล
“พี่ออฟก็มาแต่เช้าเลย วันนี้มีงานเช้าเหรอ” ซอลรีบตอบอย่างสุภาพทักทายผู้กำกับในดวงใจของเขา
“ก็ว่าจะรีบมาเตรียมงานให้เรานั่นแหละ มีงานสำคัญให้ช่วยตั้งใจเข้าล่ะ”
‘งานสำคัญ…หวังว่าคงไม่ใช่งานของเขาหรอกนะ’
ซอลนั่งรอพี่ออฟจากโต๊ะที่ถูกจัดไว้ให้ สายตาสอดส่องมองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดลงที่เอกสารกองโตที่พี่ออฟกำลังควานหาอะไรสักอย่าง
“นี่เป็นเอกสารเกี่ยวกับงานวันนี้ เช้านี้ยังไม่มีอะไรให้ทำมาก เรานั่งอ่านไปก่อนนะ จะได้รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง” พี่ออฟเดินตรงเข้ามายื่นเอกสารจำนวนหนึ่งให้ซอล
“มีอะไรถามพี่เจ้าได้เลยนะพี่ไปประชุมก่อน” แผ่นหลังเดินออกจากห้องไปพร้อมรอยยิ้ม
“ไงซอล พี่เจ้านะ เราเจอกันแล้ววันสัมภาษณ์จำได้ใช่ไหม? มีอะไรสงสัยถามได้เลยนะ” พี่เจ้าสาวตัวน้อยเดินเข้ามาหาซอลเสียงนิ่มหวานเป็นมิตรชวนให้ซอลยิ้มตอบแบบไม่ลังเล
“อ้าว แล้วพี่เจ้าไม่ต้องไปประชุมเหรอ” ซอลถามด้วยความสงสัย
“เขาประชุมเรื่องงานใหม่กันน่ะ เดี๋ยวพี่ออฟจะมาสรุปให้อีกทีก่อนเรียกประชุมอีกครั้ง ครั้งหน้าเราจะได้เข้าไปฟังด้วยนะ เตรียมตัวดีๆ ล่ะ” แม้จะเป็นคำพูดที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแต่ก็แอบทิ้งความกังวลให้ซอลไม่น้อยเหมือนกัน
ซอลหยิบเอกสารขึ้นมาอ่านด้วยความตั้งใจ นี่คือแผนการถ่ายทำซีรีส์เรื่องใหม่ที่ GM2 กำลังผลิต ซอลตื่นเต้นเมื่อได้เห็นรายละเอียดทั้งหมด ทั้งตารางการถ่ายทำ การจัดการนักแสดง และแผนการออกแบบฉาก มันเป็นโลกใหม่ที่ซอลเคยฝันถึง สายตาที่ไล่อ่านอย่างมุ่งมั่นก็ต้องสะดุดลงเมื่อเห็นชื่อจุนเป็นหนึ่งในนักแสดงเรื่องนี้
‘จะ…จุนเหรอ’
ภาพเหตุการณ์คืนนั้นที่จุนยืนชี้นิ้วใส่หน้าเขายังคงชัดเจนในความคิด แม้ซอลจะพยายามลืมมันไป แต่หัวใจก็ยังคงเต้นแรงเมื่อคิดถึงการที่เขาต้องเจอจุนอีกครั้ง...ในฐานะเพื่อนร่วมงาน
“พี่เจ้า คือ ซอลอยากรู้ว่าจุนเขาเป็นคนยังไงเหรอ เห็นมีชื่อเป็นนักแสดงในซีรีส์เรื่องใหม่ด้วย” ซอลถามขึ้นแบบไม่ลังเล
“แล้วเรามองว่าเขาเป็นคนยังไงล่ะ?”
“อืม…ก็ดูเป็นคนนิ่งๆ นะ เดาทางยาก แต่เวลาอยู่ต่อหน้าแฟนๆ เขาดูเป็นคนอบอุ่นและใจดีมากเลย ซอลเลยอยากรู้ว่าเบื้องหลังเขาเป็นคนยังไงกัน? เผื่อจะทำงานง่ายขึ้น”
“ฮ่าๆ หมอนี่น่ะ เป็นคนแสดงออกไม่เก่ง หมายถึงเรื่องความรู้สึกจริง ๆ น่ะนะ เป็นคนหน้าตายคนหนึ่งจนคนที่นี่ไม่ค่อยมีใครกล้ายุ่งหรอก มันเป็นคนโลกส่วนตัวสูงถ้าไม่สนิทจริงๆ คงไม่ได้เห็นรอยยิ้มมันเบื้องหลังหรอก” เจ้าตอบแบบพูดไปยิ้มไปเหมือนรู้จักกับจุนเป็นอย่างดี
“อ๋อ แสดงว่าพี่เจ้ารู้จักเขาดีเลยเหรอ”
“จุนเจ้า คิดว่าไงเหมาะสมกันไหม ฮ่าๆ ที่จริงมันเป็นคนไม่มีอะไรหรอกนะ อย่าไปกลัวมันเลย” เป็นประโยคที่ซอลฟังแล้วงุนงงเล็กน้อย หรือสองคนนี้จะมีอะไรที่บอกใครไม่ได้กันนะ…
‘จุนเจ้า…งั้นเหรอ’
เวลาเดินไปเรื่อยๆ ...บ่ายเริ่มคืบคลานเข้ามา ซอลนั่งอ่านเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานถ่ายทำของ GM2 และเรียนรู้โครงสร้างการทำงานในบริษัท จนกระทั่งถึงเวลาที่พี่ออฟเข้ามาสะกิดที่ไหล่ของเขา
“เอาล่ะ ไปกินข้าวกัน แล้วเดี๋ยวช่วงบ่ายซอลเข้าไปดูการเวิร์กช็อปนักแสดงกับพี่ด้วยนะ” พี่ออฟพูดพลางหยิบกระเป๋าขึ้นมาก่อนจะเดินนำไปที่ประตู
หัวใจของซอลเต้นแรงอีกครั้งเมื่อคิดว่าช่วงบ่ายจะได้เจอจุน เขาพยายามเก็บความรู้สึกนั้นไว้และเดินตามพี่ออฟไปกินข้าว
บนถนนที่การจราจรติดสาหัสเป็นอุปสรรคที่ต้องเจอในทุกวันบวกกับท้องที่หิวโหย ทำให้อารมณ์ของคนในรถร้อนรนแม้แอร์ในรถจะเปิดแรงสุดแล้วก็ตาม
“วันนี้มีเวิร์กช็อปอ่านบทมาบ้างยัง?” สายตาจิ้งจอกมองจ้องไปที่หน้าคมของหมาป่าเพื่อนรักที่กำลังทำหน้านิ่งเฉยไร้คำตอบรับ
“สีหน้าแบบนี้อย่าบอกนะว่ายังไม่ได้อ่าน?”
“เออ กูอ่านแล้ว แค่กู…ยังเข้าถึงไม่ได้” สายตามองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง ความเหนื่อยล้าจากการเรียนเช้านี้ทำให้เขาหมดแรงแทบจะทรุดลงกับพื้น เขารู้สึกเหมือนเหลือแต่กายหยาบไปทำงานในช่วงบ่าย
สองหนุ่มเดินเข้าตึกด้วยความอิดโรย เท้าเดินเข้าตึกอย่างใจร้อนหวังจะไปฝากท้องที่ร้านอาหารชั้นใต้ดินของตึกให้เร็วที่สุดเพื่อเตรียมพร้อมลุยงานที่กำลังจะมาถึง
“อ้าว จุน ปั้นมาพอดีเลย นี่น้องฝึกงานคนใหม่ชื่อซอล น่าจะรุ่นเดียวกันนะรู้จักกันไว้งานนี้เขาจะได้มีส่วนร่วมด้วย” พี่ออฟเอ่ยทักจุนกับปั้นที่เดินสวนเข้าตึกมาพอดี
ขายาวที่ก้าวเข้าตึกมากลับต้องหยุดลง ไม่ใช่เพียงแค่เสียงทักทายของพี่ออฟ แต่เพราะคนตรงหน้าที่พี่ออฟแนะนำให้รู้จัก คือคนที่จุนชี้หน้าและเกือบจะสาวหมัดใส่ในคืนนั้น สายตาของจุนมองด้วยความตกใจที่เห็นซอลยืนเยื้องอยู่ด้านหลังพี่ออฟ สายตาของซอลมองมาที่เขาทำให้จุนขนลุกอีกครั้ง
‘นี่สินะ เรื่องซวยของวันนี้’
หัวใจของซอลเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาในทันทีแต่สายตาที่มองไปที่จุนกลับเต็มไปด้วยความโกรธ คิ้วเริ่มผูกเป็นโบว์ตรงกลาง ใบหน้าคมเข้มของจุนดูเหมือนเทพเจ้าที่เคยเป็นไอดอลในฝันของซอล แต่ความทรงจำในคืนนั้นก็พุ่งเข้ามาในหัว...สายตาเย็นชาที่ชี้นิ้วใส่หน้าเขา และคำพูดที่ทิ่มแทงหัวใจเขาอย่างไร้เยื่อใย
ในความทรงจำไม่ดีนั้น ซอลก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาดีใจมากเหมือนกันที่ได้เจอจุน เป็นความรู้สึกที่ซอลก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเขาต้องรู้สึกอย่างไรกันแน่ ซอลเริ่มสับสนในความรู้สึกตัวเองแต่ที่แน่ ๆ คือเขาต้องเจอกับจุนไปอีกนาน ‘แล้วจะจัดการกับความรู้สึกนี้ยังไงดีนะ…’
ฉันเตรียมใจมาบ้างที่จะต้องทำงานในวงการบันเทิง
แต่ไม่คิดว่ามันจะบันเทิงตั้งแต่วันแรกแบบนี้