"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ
รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ชาย-ชาย,ครอบครัว,พระเอกคลั่งรัก,เพื่อนสนิท,เพื่อนรัก,มิตรภาพ,ปัญหารุมเร้า,ครอบครัว,ความรัก,รัก,รักดราม่า,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ความมืดสุดท้าย : Final Shadow"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ
ถ้าได้รู้จักเขาในด้านที่ไม่เคยเห็น…จะยังรักเขาไหม?
ขาสูงยาวหยุดชะงักลงเมื่อผู้กำกับคนดีทักทาย ใบหน้าซีดเผือดลงเมื่อคนตรงหน้าที่พี่ออฟแนะนำกลับเป็นคนที่จุนชี้หน้าด่าในคืนวันนั้น ดวงตาเบิกโตขึ้นราวกับเจอผีกลางวันแสก ๆ
‘ซวยแล้วกู…’ จุนทำได้แค่อุทานในใจ
“อ้าว ซอลเองเหรอ นึกว่าเด็กที่ไหนมาฝึกงานซะอีก” ปั้นเอ่ยทักซอลขึ้นโดยที่ไม่ได้สนใจสีหน้าเพื่อนที่อยู่ข้าง ๆ
‘ขอบใจนะไอ้เพื่อนทรพี’
“ไง…ปั้น สบายดีนะ” ซอลละสายตาจากจุนมายิ้มทักทายปั้นแทน
“อ้าว รู้จักกันอยู่แล้วเหรอ ดีเลยทำงานง่ายดี”
“ครับ ก็นิดหน่อย ซอลเป็นรุ่นพี่ที่คณะทิวน่ะครับ แล้วนี่จะไปไหนกันเหรอ ไปกินข้าวข้างล่างด้วยกันไหม” หนุ่มตี๋ชักชวนทั้งคู่ด้วยความหิวโหย
“อืม เอาสิกำลังจะไปกินอยู่พอดีเลย” พี่ออฟตอบรับคำชวนในทันที
ซอลหันมองหน้าพี่ออฟจนคอแทบจะหลุดออกจากบ่า เช่นเดียวกับดวงตาโตของจุนที่หันไปมองปั้นก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเหมือนทั้งคู่กำลังถามเป็นนัยว่า เอาจริงดิ?!
ทั้งหมดพากันไปทานมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารไทยใต้ตึก ทุกคนพากันลากเท้าเข้าร้านด้วยความหิวโหยแต่คงมีสองคนที่อิดโรยมากที่สุด สายตาจับจ้องที่เมนู ต่างคนต่างเลือกอาหารที่ตัวเองชอบ
“กะเพราหมูสับไข่ดาว” ซอลและจุนสั่งอาหารอย่างพร้อมเพรียง ดวงตาสบกันด้วยความตกใจ
“ทั้งคู่ชอบกินเหมือนกันเลยเหรอ บังเอิญจังเลยนะ” ปั้นแซวอย่างขำขัน
“กินง่ายเหมือนกันทั้งคู่เลยนะ ดี เวลาออกกองจะได้ไม่มีปัญหา” พี่ออฟพูดเสริมคำพูดของปั้น
‘แล้วทำไมต้องกินเหมือนกันด้วยวะ…’ ซอลทำได้เพียงตั้งคำถามในใจ
กะเพราหมูสับไข่ดาวหอมใบกะเพรา ไข่ขาวกรอบ ๆ ไข่แดงเยิ้ม ๆ แค่หน้าตาก็ชวนให้น้ำย่อยสั่นสะท้าน เมนูแสนธรรมดา ได้นั่งทานกับคนพิเศษ…พิเศษแบบกลืนไม่ลง แทนที่การนั่งกินข้าวแบบส่วนตัวกับไอดอลที่รักจะเป็นมื้อที่รู้สึกดีใจ กลับเป็นความอึดอัดที่ซอลเองก็บอกไม่ถูก เช่นเดียวกับจุนที่รู้สึกไม่ต่างกันเท่าไหร่
ทั้งคู่ภาวนาให้มื้อนี้จบลงเร็วๆ แต่ปั้นกับพี่ออฟดันคุยกันไม่หยุดปากถึงข้าวในจานจะไม่เหลือแล้วแม้แต่เม็ดเดียว ดวงตาเว้าวอนของซอลพยายามส่งถึงปั้นเป็นระยะ ขอร้องผ่านสายตาให้ไปคุยกันที่ออฟฟิศได้ไหม
“พี่ออฟ ซอลว่าเราไปคุยกันต่อที่ออฟฟิศไหม คือซอลยังอ่านเอกสารไม่หมดเลย” นะพี่ออฟพาซอลออกจากตรงนี้ที เป็นคำที่ซอลอยากบอกพี่ออฟมากที่สุดในตอนนี้
“ใช่พี่ ผมเองก็ต้องไปซ้อมต่อเหมือนกัน งั้นเรารีบไปกันเถอะ” จุนรีบเรียกพนักงานมาเก็บเงินโดยไม่รอฟังคำตอบของพี่ออฟสักคำ
ปั้นยิ้มยกมุมปากขึ้นอย่างรู้ทันว่าทั้งคู่พยายามหนีหน้ากันเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้น คงรู้สึกอึดอัดไม่เบาเลยล่ะสินะ สายตาบอกว่าสมน้ำหน้ามองไปที่เพื่อนรักอย่างเยือกเย็น
“เรามีซ้อมอะไรวะมึง เราก็มีเวิร์กช็อปกับพี่ออฟไม่ใช่เหรอวะ” ปั้นกระซิบถามจุนเบาๆ
“เออว่ะ!” ซวยของแท้ พยายามหลบหน้าแต่ต้องเจอทั้งวันซะได้ คิ้วเริ่มขมวดขึ้นไม่รู้จะหนียังไงดี
“ปั้น จุน เดี๋ยวเจอกันตอนบ่ายสองนะ อย่าลืมทวนบทล่ะ” พี่ออฟบอกทิ้งท้ายก่อนจะเดินกลับไปห้องทำงาน เมื่อหันมาอีกทีซอลก็เดินนำพี่ออฟกลับไปที่ห้องแบบไม่ทิ้งฝุ่นแล้ว
“เออ เด็กฝึกงานรุ่นนี้ไฟแรงดีจริง”
ร่างน้อย ๆ ของซอลเดินกลับมานั่งอ่านเอกสารที่โต๊ะ สมองคอยสั่งการให้สายตาจับจ้องไปที่ตัวหนังสือ แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยเรื่องราวของจุน ความคิดมีแต่คำถามว่าจะทำอย่างไรกับการเผชิญหน้ากันแบบนี้
‘สมาธิไอ้ซอล อย่าให้เขามากวนใจแบบนี้’
มือสวยสองข้างยกขึ้นมาตีที่ข้างแก้มแปะ ๆ เป็นการเรียกสติให้กลับมาโฟกัสที่งาน เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่เพื่อกำหนดสมาธิให้กลับมาตั้งใจทำงานอีกครั้ง
เรื่องของจุนถึงจะเข้ามาทำให้ปั่นป่วนเป็นระยะ แต่เวลาก็ไม่เคยเดินช้าลงเลยแม้แต่วินาทีเดียว ซอลใช้เวลาทุกวินาทีทุ่มเทกับการทำความเข้าใจกับการทำงานครั้งแรกนี้อย่างตั้งอกตั้งใจเพื่อให้งานออกมาอย่างดีที่สุด แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงเด็กฝึกงาน แต่การทำทุกอย่างให้ออกมาไร้ที่ติ เป็นคติประจำตัวของซอลหากมีข้อผิดพลาดก็ต้องพร้อมรับมือและแก้ไขได้เสมอ
“ซอล ได้เวลาแล้วไปกันเถอะ” เข็มนาฬิกาชี้เวลาเกือบบ่ายสอง คำพูดของผู้กำกับคนดีก็ดังขึ้น เสียงที่ชวนน่าฟังกลับทำให้ซอลรู้สึกขนลุก
‘ได้เวลาแล้วเหรอ…’
มีสติหน่อยซอล อย่าให้เรื่องของเขามาเป็นอุปสรรคในการทำงาน ดวงตาคู่สวยปิดลงสนิท ลมหายใจค่อย ๆ เข้าออกอย่างเป็นจังหวะ เมื่อกำหนดลมหายใจได้ซอลก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเรื่องที่ทำให้เขาอึดอัดใจได้อีกครั้ง
การเวิร์กช็อปดูเหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่หนุ่มสูงหน้าคมกลับไร้อารมณ์ในบทบาทที่ตนได้รับ ตัวละครชายอบอุ่นคลั่งรักหญิงสาวที่ตนแอบชอบมานาน พระออกหนุ่มกลับเข้าไม่ถึง…
“เป็นอะไรไปจุน ปกติทำได้ดีกว่านี้นี่”
“คนคลั่งรัก…ถ้าให้ผมพูดตรง ๆ ผมยังเข้าไม่ถึงน่ะ”
ทุกคนในห้องต่างตกตะลึงกับคำพูดของพระเอกหนุ่มมากฝีมือที่ครั้งนี้เขากลับเอ่ยปากออกมาเองว่าไม่สามารถเข้าถึงตัวละครได้ แต่หากมองถึงบทที่ผ่านมา เขารับแต่บทพระเอกเย็นชามาตลอด เมื่อได้รับบทที่ต้องแสดงออกว่ารักมาก เขาเลยไม่รู้ว่าจะสื่อออกมาอย่างไร
‘ที่ผ่านมารับแต่บทหน้าตายแท้ ๆ วันนี้กลับต้องมารับบทชายแสนหวานยิ้มเยอะเสียอย่างนั้น พี่ผึ้งใช้อะไรคิดรับบทนี้ให้กูวะ’
หมาป่าได้แต่คำรามอยู่ภายในเมื่อบทในครั้งนี้แตกต่างและท้าทายกับตัวเองเกินความจำเป็น แต่ในเมื่อรับมาแล้วความเป็นมืออาชีพก็ต้องทำให้ได้
“อย่าว่ามันเลยพี่ออฟ คนโง่เรื่องความรักอย่างมันก็ไม่แปลกที่จะไม่อินกับอะไรแบบนี้” จิ้งจอกแสนรู้พูดโพล่งขึ้นเมื่อดวงตาแหลมคมจ้องมองไปที่สีหน้าไร้อารมณ์ของเพื่อนสนิท
“เดี๋ยวผมเทรนมันให้เองพี่ไม่ต้องเป็นห่วง” ถึงแม้จะไม่รู้ว่าจะทำยังไง แต่ก็รับปากส่ง ๆ ไปก่อนแล้วกัน
“ซอลคิดว่าไง?” พี่ออฟเอ่ยถามขึ้นโดยที่ซอลไม่ทันตั้งตัว ทุกสายตาจับจ้องไปที่ซอลจนรับรู้ได้ถึงความกดดัน สีหน้างุนงงส่งกลับไปหาพี่ออฟเป็นคำตอบ
“คืออย่างนี้ พี่อยากรู้ความเห็นในมุมของคนดูน่ะ เราเพิ่งเข้ามาครั้งแรกน่าจะมีมุมมองที่ต่างจากคนทำงานอย่างพวกพี่นะ”
ซอลรวบรวมสติเพื่อคลายความกดดันจากสายตาทุกคนก่อนตอบออกไปด้วยสายตาที่มุ่งมั่น
“ซอลเห็นด้วยกับที่จุนบอกนะ ในฐานะคนดูยังไม่คิดว่าพระเอกรักนางเอกจริง ๆ เหมือนพระเอกแค่แสร้งว่ารัก ไม่เห็นถึงความจริงใจแม้แต่น้อยทั้งที่พระเอกต้องรักนางเอกจากใจจริง เหมือนจุนไม่รู้ว่าความรักเป็นยังไง”
ความคิดเห็นของซอลทำให้ทุกคนที่ได้ฟังต่างก็เห็นด้วยตามกัน พี่ออฟพยักหน้ารับฟังความเห็นของซอลเป็นอย่างดี ความเห็นของคนดูสำหรับคนทำงานเบื้องหลังถือเป็นเรื่องสำคัญ หากว่าสื่อออกมาได้ไม่ดีพอก็เหมือนน้ำเปล่าที่ไม่มีรสชาติ
“งั้นซอลลองบรีฟให้จุนหน่อยสิ ดูจากฝีมือเราแล้วพี่ว่าไม่น่ายากนะ” เป็นคำพูดที่ทำให้ดวงตาเรียวคู่สวยเปลี่ยนเป็นตากลมโต คิ้วเลิกขึ้นทั้งสองข้างจนหน้าผากย่นเหมือนผ้ายับ
สำหรับซอลที่บรีฟเพื่อนในการแสดงหนังสั้นส่งประกวดจนชนะมาแล้วถือว่าเป็นเรื่องง่ายมาก ๆ แต่สิ่งที่ยากในครั้งนี้คือพระเอกตัวดีของเขา เพราะความอึดอัดใจในเรื่องวันนั้นทำให้ซอลมีความกังวลไม่น้อย
‘จะทำยังไงดีวะ…’ คำถามก่อตัวขึ้นในใจซอล
‘เอาวะ เรื่องง่าย ๆ แค่นี้เอง’ ท่องไว้ซอลมึงทำได้ แม้จะท้าทายแต่ซอลก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน
นักแสดงแต่ละคนแยกออกเป็นกลุ่มเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทที่ได้รับอีกครั้ง มีเพียงจุนที่โดนจับแยกออกมาเพียงคนเดียวเพราะเขามีปัญหามากที่สุด โดยมีซอลและพี่ออฟที่เหมือนคอยร่ายมนตร์อยู่ข้าง ๆ
“งั้นวันนี้พี่ว่าเราพอแค่นี้ก่อนดีกว่า ปั้น ยังไงพี่ฝากเจ้าจุนมันด้วยนะ” สีหน้าที่ขัดกับน้ำเสียงของพี่ออฟเอ่ยขึ้นเมื่อเวลาเวิร์กช็อปผ่านมานานพอสมควร บวกกับนักแสดงที่ดูจะเริ่มอ่อนล้าด้วยแล้ว
“พรุ่งนี้เจอกันเวลาเดิมนะทุกคน ขอบคุณที่เหนื่อยกันนะ”
เสียงร่ำลาจากทุกคนเป็นเหมือนเสียงสัญญาณบอกเวลาเลิกงาน
“งั้นเราไปกินข้าวกันไหมครับ มีร้านปิ้งย่างเปิดใหม่ใกล้ ๆ รีวิวบอกว่าอร่อยใช้ได้เลย”
นักแสดงรวมถึงทีมงานที่เหน็ดเหนื่อยดวงตาลุกวาวขึ้น ทุกคนที่ไม่มีงานต่อพร้อมใจพยักหน้าและตอบรับคำเชิญชวนของปั้นราวกับเมียร์แคตผู้หิวโหย ยกเว้นหมาป่าเพื่อนรักที่นั่งหน้าหงิกงออยู่ที่มุมห้องเมื่อรู้ว่าไม่มีทางหนีเงื้อมมือจิ้งจอกตัวดีเพราะมันคงจะลากไปด้วยทุกที่ ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีหมีอีกตัวที่พยักหน้ารัวอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ใช่ครับเพื่อน มึงต้องไปกับกู” จิ้งจอกเจ้าเล่ห์เดินปรี่เข้ามาคว้าแขนของจุน ฉุดให้เขาลุกขึ้นไปอย่างไม่มีทางปฏิเสธได้
เต็นท์แดงดูแปลกตา บรรยากาศตลบอบอวลไปด้วยควันจากเตาย่าง กลิ่นเนื้อคละคลุ้งไปทั่วร้าน เสียงเพลงเกาหลีเสริมให้รู้สึกเหมือนอยู่ที่ประเทศต้นทางจริง ๆ เจ้าของร้านและพนักงานต้อนรับอย่างเป็นกันเอง แอลกอฮอล์ขวดสีเขียวที่คุ้นตาเริ่มรินให้กับทุกคนในโต๊ะ ทุกคนชนแก้วใบเล็กกินแกล้มเนื้ออย่างกันอย่างสนุกสนาน สมาชิกวง Lustre ทยอยมาร่วมวงจนครบ
‘บรรยากาศมันคุ้น ๆ เหมือนเพิ่งผ่านมาไม่กี่วัน…’ สีหน้าของจุนบ่งบอกถึงความอึดอัดเล็กน้อยที่ต้องนั่งตรงข้ามกับซอลอีกครั้ง
คิ้วเลิกขึ้นข้างหนึ่ง สายตาช่างสงสัยจ้องมองมาที่ดวงตาของจุน
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น เครียดเรื่องงานหรืออึดอัดที่ต้องมาเจอหน้ากัน?” ซอลที่หน้าเริ่มแดงโพล่งคำถามออกมาแบบตั้งใจ ถ้าหลบไม่ได้ก็ถามให้มันจบ ๆ ไปซะ
“ทำไมผมต้องอึดอัดด้วย ก็แค่เด็กฝึกงาน…” หมาป่าพูดตอบขณะที่มือก็คีบหมูเข้าปาก แต่สายตากลับหลบมองไปทางอื่น ก็วันนั้นทำอะไรงี่เง่าไป ไม่ให้อึดอัดได้ยังไง
“ขอโทษนะที่เป็นแค่เด็กฝึกงาน แต่เด็กฝึกงานก็รู้จักขอโทษเป็นนะ” หมีน้อยเริ่มโมโหกับคำพูดของพระเอกหนุ่มตรงหน้าจนต้องลุกหนีไปด้านนอกเพื่อสงบอารมณ์ร้อนของตัวเอง
“ผิดหวังชะมัด! ไปเป็นแฟนคลับคนแบบนี้ได้ยังไงวะซอล” ซอลเดินฟึดฟัดพูดกับตัวเอง มือหยิบบุหรี่ออกมาจากซอง หวังเป็นที่พึ่งให้คลายเครียด
มือคู่หนึ่งคว้าบุหรี่มวลจากมือซอลไปอย่างเร็วก่อนจะหยิบไฟแช็กขึ้นมาจุด หมีขาวหันหน้าไปพบกับหมาป่าหนุ่มที่เดินตามออกมายืนพ่นควันอยู่ด้านข้าง
“เห็นแบบนี้แล้ว อยากเลิกเป็นแฟนคลับเลยไหม?” จุนถามทันทีที่ซอลหันมามองหน้า สีหน้าและสายตาของเขายังคงไร้อารมณ์เหมือนทุกครั้ง เป็นสีหน้าที่ทำให้ซอลตกหลุมรักซ้ำ ๆ
มือยาวคีบบุหรี่ ปากกระจับพ่นควันออกมา ดวงตาที่ไม่สามารถเดาได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ซอลยืนมองชั่วครู่ก่อนที่จะจุดบุหรี่ของตัวเอง
“ได้ยินด้วยเหรอ? มันก็น่าแปลกใจดี แต่ว่านายก็เป็นวัยรุ่นคนหนึ่งไม่ใช่พระเอกนิยายนี่ จะให้ดีทุกอย่างคงไม่ใช่” ถึงจะแปลกใจในสิ่งที่เห็นแต่คำพูดของปอนด์ที่เคยบอกไว้ก็ทำให้ซอลเข้าใจได้บ้าง
“การเป็นคนที่ถูกจับจ้องมันต้องรักษาภาพลักษณ์ จะทำอะไรแบบนี้ได้ก็แค่กับคนที่สบายใจเท่านั้นแหละ” เสียงเข้มกล่าวอย่างนิ่งเฉย สายตามองไปด้านหน้าอย่างเหม่อลอย แต่เขากลับไม่รู้ว่าประโยคนี้ทำให้คนข้าง ๆ รู้สึกแปลกใจ
“ขอโทษนะเรื่องวันนั้น…รู้ว่ามันงี่เง่าฉิบหาย ขอโทษนะ”
ซอลรู้สึกสับสนอีกครั้งจากคำพูดที่จุนเอ่ยออกมา สายตาของซอลจับจ้องใบหน้าของชายงี่เง่าที่เพิ่งเอ่ยคำขอโทษออกมาไม่วางตา แววตาขุ่นเคืองเต็มไปด้วยความไม่พอใจกลับเปลี่ยนเป็นแววตาที่เหมือนกำลังตกหลุมรัก ใจของซอลเต้นแรงขึ้น ครั้งนี้ซอลอธิบายความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ว่าคืออะไร
‘คนที่สบายใจ? เราเหรอ?’
“ก็ยังดีที่ขอโทษเป็น ฉันกลับเข้าไปก่อนนะ” ซอลทิ้งบุหรี่ที่สูบไปได้แค่ครึ่งก่อนที่จะเดินหนีจุนกลับไปหาเพื่อน ๆ แต่ก้าวขาได้เพียงไม่กี่ก้าว มือของจุนก็คว้าแขนของซอลเอาไว้
“อยู่เป็นเพื่อนก่อนสิ ข้างในมันวุ่นวาย เริ่มมึนแล้วด้วยยังอยากตากลมอยู่” แม้มือจะคว้าซอลไว้ แต่เขาก็ยังคงเลี่ยงที่จะสบตาซอลซึ่งหน้าอยู่ดี
ถึงแม้จะลังเลเล็กน้อย แต่ซอลก็เลือกที่จะกลับมายืนพิงเสาที่เดิมข้าง ๆ จุน ทั้งสองเริ่มพูดคุยทำความรู้จักกันมากขึ้น แม้ดวงตาทั้งสองจะไม่มองหน้ากันตรง ๆ แต่ทั้งคู่กลับพูดคุยกันอย่างถูกคอ รอยยิ้มเริ่มผลิบานบนใบหน้า ความตื่นเต้นของซอลที่ได้พูดคุยกับไอดอลชื่อดังกลับหายไปเป็นความสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
‘ความรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อบินอยู่ในท้องเป็นแบบนี้สินะ’
มันโหวง ๆ ในท้องแบบที่หาคำอธิบายไม่ได้ จุนรู้สึกใจสั่นเมื่อได้พูดคุยกับซอลอย่างจริงจังครั้งแรก เขาไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไรแต่เขารู้สึกสบายใจกับคนแปลกหน้าคนนี้ อาจจะเพราะได้ปลดล็อกความรู้สึกผิดในเรื่องงี่เง่าวันนั้นก็ได้ เขาไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังยิ้มอยู่…
“นี่นายยิ้มอยู่เหรอ” รอยยิ้มของจุนหุบลงเมื่อซอลเอ่ยทัก
“ยิ้มเป็นกับเขาด้วย เห็นพี่เจ้าบอกว่านายหน้าตายจนไม่มีใครกล้าเข้าหา ก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นนี่”
“เจ้าพูดงั้นเหรอ อย่าไปฟังมันมาก เลอะเทอะพูดไปเรื่อย”
“แต่เราว่ามันจริงมากเลยนะ” สีหน้ายิ้มเยาะของซอลสดใสราวกับท้องฟ้าเปิดเห็นพระจันทร์ส่องสว่างสวยงามยามค่ำคืน รอยยิ้มนั้นหันมาส่งพลังบวกไปยังจุนที่หน้านิ่งอยู่ด้านข้าง
จุนมองรอยยิ้มนั้นแล้วเผลอยิ้มตามแบบไม่รู้ตัว สายตามองไปยังปากบางที่ยิ้มแป้นไม่หุบ ลักยิ้มที่เป็นเหมือนลายเซ็นประจำตัวปรากฏขึ้นที่แก้ม จุนเหมือนจะเพิ่งเคยเห็นมันครั้งแรก เขาตกอยู่ในภวังค์ชั่วขณะ ทุกอย่างรอบตัวดูช้าลงเหมือนโลกกำลังจะหยุดหมุน แสงไฟรอบตัวมืดลงเหลือเพียงรอยยิ้มตรงหน้าที่สว่างสดใสที่สุดในเวลานี้
“ไหวไหมเนี่ย กลับเข้าข้างในกันเถอะออกมานานมากแล้ว” ซอลเอ่ยขึ้นเมื่อสังเกตว่าเวลาผ่านมาพอสมควรแล้ว
“อืม!” จุนลุกยืนก่อนจะยื่นมือมาช่วยพยุงซอลให้ลุกขึ้น
เป็นการกระทำที่ซอลไม่คาดคิดว่าคนอย่างจุนจะทำ มือที่เหมือนเพิ่งจะเช็ดเหงื่อไปไม่นานยังคงชื้นอยู่อย่างเห็นได้ชัดยื่นมาตรงหน้า ซอลยิ้มเล็กน้อยก่อนจะจับมือนั้นและลุกขึ้น ทั้งคู่เดินกลับเข้าด้านในเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“หายไปนานทั้งคู่เลยนะ ไปไหนกันมาน่ะ?” ลิงแสบเสียงใสเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นพี่ทั้งสองเดินกลับเข้ามาพร้อมกันอย่างผิดสังเกตด้วยหน้าตากวนประสาท
“จุนดูมึนนิดหน่อยเลยพาไปเดินรับลมแถวนี้มา กลัวว่าจะไปสาวหมัดใส่ใครอีกก็เลยไปเป็นเพื่อนน่ะ” ซอลตอบทิวที่ดูท่าหวังจะได้คำตอบนอกเหนือจากนี้
“นึกว่าไปจู๋จี๋กันมาซะอีก ดีแล้วแหละ พี่ซอลน่ะของผมนะพี่จุนผมหวง” ทิวทำสีหน้าดีใจ เหมือนจะบอกพี่รหัสว่า อย่านอกใจผมนะ
ซอลยิ้มเอ็นดูเด็กน้อยของเขาด้วยความรัก ขณะที่เสียงเพื่อนร่วมงานดังแซวขึ้นด้วยความหมั่นไส้
“มึงถามซอลหรือยังว่าเขาอยากเป็นของมึงหรือเปล่า?” ริวเอ่ยขัดความน่ารักของทิวที่กำลังเกาะแขนซอลเป็นลูกลิง
“ริวพูดแบบนี้ทิวก็น้อยใจแย่สิครับ” เสียงพี่นายพูดบอกริวที่กำลังแซวเพื่อนอย่างตลกขบขัน
“โอ๋ น้องทิวของพี่ซอล ไม่น้อยใจนะครับ” ซอลตอบรับมุกของทิวพร้อมบีบจมูกน้องรหัสอย่างเบามือ
ทุกคนพูดคุยอย่างสนุกสนาน เสียงเฮฮาส่งมุกกันอย่างไม่หยุดหย่อน หมาป่าตัวเดิมกลับนั่งยกแก้วใบเล็กเข้าปากด้วยความไม่พอใจเหมือนกระหายน้ำ
“เฮ้ย มึงยกขนาดนี้เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไม่ไหวหรอก คืนนี้กูไม่อยากห้ามหมาอาละวาดอย่างมึงนะ” จิ้งจอกตัวดีหันมาห้ามเพื่อนกระหายสุราของเขา มือรีบหยิบขวดหนีก่อนที่จุนยกเหล้ากรอกปาก
จุนได้แต่ชักสีหน้าใส่เพื่อนที่เอาขวดน้ำเมาของเขาไปไกลตัว สายตาบอกถึงความไม่พอใจชัดเจนมองซอลที่โดนทิวเกาะแขนอยู่ฝั่งตรงข้าม ปั้นที่สังเกตเห็นความผิดปกตินี้ได้แต่ยิ้มมุมปากนั่งมองเพื่อนที่อารมณ์ฉุนเฉียวของเขาอยู่นิ่ง ๆ
‘ทำไมเราถึงหงุดหงิดขนาดนี้นะ…’
เมื่อกลับถึงบ้านซอลรีบโทรคุยกับปอนด์ถึงเรื่องราวในวันนี้ แม้จะฝึกงานที่เดียวกันแต่เพราะอยู่คนละกองจึงไม่ได้เจอกันสักเท่าไหร่ ซอลเอาแต่เล่าถึงเรื่องที่คุยกับจุนในวันนี้ไม่หยุดปากจนปอนด์รู้สึกผิดปกติ
“มึงรู้ตัวไหมว่าเอาแต่พูดถึงจุนไม่หยุด นี่นักแสดงที่ทำงานด้วยมีคนเดียวเหรอ?”
ซอลเงียบให้กับคำทักของเพื่อน เขาไม่รู้ตัวเลยว่าพูดถึงจุนไปกี่ครั้ง
“เข้าใจได้แหละนะที่ได้สัมผัสดาวดวงโปรดครั้งแรก แต่ยังมีสติทำงานได้ก็เก่งแล้วเพื่อน”
“สัมผัสดาวอะไรของมึงวะ” ซอลถามเพื่อนที่ชอบใช้คำแปลกมาเปรียบเทียบ
“ก็จุนไง ดาวดวงโปรดของมึง” เข้าใจเปรียบเทียบนะปอนด์ แต่ก็…เป็นคำที่กูชอบมาก ๆ เลยล่ะ รอยยิ้มฉีกกว้างบนใบหน้าอย่างเขินอาย สายตามองไปที่รูปของจุนที่แปะอยู่ที่บอร์ด ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็ยังอบอุ่นหัวใจเสมอแม้การพบกันครั้งแรกจะไม่ดีอย่างที่หวังไว้แต่เขายังคงเป็นคนเดียวที่ทำให้ซอลยิ้มได้เสมอ
แม้จะเป็นคำเปรียบเปรยโง่ ๆ ของเพื่อนรักแต่
ดาวบนฟ้าก็ยังส่องสว่างไม่เท่าดวงดาวที่เปล่งประกายภายในใจ