"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ
รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ชาย-ชาย,ครอบครัว,พระเอกคลั่งรัก,เพื่อนสนิท,เพื่อนรัก,มิตรภาพ,ปัญหารุมเร้า,ครอบครัว,ความรัก,รัก,รักดราม่า,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ความมืดสุดท้าย : Final Shadow"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ
รักครั้งแรกของคุณเป็นยังไง?
ยังจำมันได้ไหม?
“ไอ้จุน! กูบอกแล้วว่าอย่า…อ้าว หายไปไหนวะ” เช้าวันหยุดอันแสนสงบกลับมีเสียงปั้นตะโกนดังตั้งแต่หน้าประตูจนถึงห้องนอน แต่เมื่อเปิดเข้าไปเขากลับพบที่นอนถูกจัดอย่างเรียบร้อย
“กูตื่นแล้วไอ้เพื่อนเวร แหกปากแต่เช้าน่ารำคาญทุกวัน” แม้จุนตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แต่ในใจเขาก็รู้ดีว่าตัวเองไม่เคยจริงจังกับคำพูดเหล่านั้น ตั้งแต่ให้คีย์การ์ดไปปั้นก็เข้าออกคอนโดเหมือนเป็นบ้านของตัวเอง
“แล้วเลิกเข้าห้องกูแบบนี้ได้แล้ว ก่อนกูจะส่งมึงไปเรียนเรื่องมารยาทใหม่”
“เพื่อนให้คีย์การ์ดไว้ก็ต้องใช้ให้มันเกิดประโยชน์สูงสุดสิ” ปั้นตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะเข้ามาจัดเตรียมมื้อเช้าเหมือนทุกวัน
จุนส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะ แม้ปากจะบ่นแต่เขาก็ไม่คิดจะเอาคีย์การ์ดคืน เพราะรู้ดีว่ามีเพื่อนอย่างปั้นก็ดีเหมือนกัน ความเงียบที่คุ้นชินถูกแทนที่ด้วยเสียงพูดคุยของเพื่อนสนิทที่เขาคุ้นเคยมานาน
‘ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้นะ…’
เขาก็เผลอคิดถึงคนคนนั้นอีกแล้วแม้จะพยายามทำเป็นไม่สนใจ แต่ความคิดนั้นก็วนเวียนอยู่ในหัว รอยยิ้มของเด็กฝึกงานคนนั้นยังคงติดอยู่ในใจเขา
“แล้วนี่มึงมาทำอะไรแต่เช้า?” จุนถามขัดความคิดของตัวเองไปแบบนั้น
“ก็มาให้ความช่วยเหลือเพื่อนที่โง่เรื่องความรักจนหยากไย่,หยักไย่เกาะเต็มหัวใจไง วันนี้กูเลยพาคนมาช่วยมึง เดี๋ยวเขาก็คงถึงแล้วแหละ” ปั้นพูดขำ ๆ พลางมองดูนาฬิกา
จุนชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคนั้น เขารู้สึกใจหวิวอย่างบอกไม่ถูกแต่ก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติ
‘คนที่จะมาช่วย…หรือว่า? ’
“อย่าบอกนะว่ามึง…”
เสียงกริ่งประตูดังขึ้นขัดคำพูดของจุน ปั้นรีบลุกไปเปิดประตูรับแขกที่กำลังรออยู่ ไม่นานซอลเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใสเหมือนทุกครั้ง
“ไง…” ซอลทักทายด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเหมือนเช่นทุกวัน แต่หัวใจของจุนกลับเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง
“กินข้าวเช้าก่อนสิแล้วค่อยเริ่มกัน” ปั้นขยับเก้าอี้ให้ซอลก่อนจะกลับมานั่งที่ของตัวเอง
“บอกเลยว่าซอลขยันมาก กูให้จัดการเรื่องเอกสารตั้งแต่เช้ายังไม่บ่นสักคำ” ปั้นพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ
“ก็แค่เด็กฝึกงาน จะให้บ่นอะไรวะ?” จุนยักไหล่เบา ๆ เสียงของจุนฟังดูเฉยชา แต่ในใจเขากลับไม่ได้สงบอย่างที่แสดงออก
“เออ เด็กฝึกงานที่มึงจ้องเขม็งใส่มึงทุกวันน่ะนะ?” ปั้นเลิกคิ้วขำ ๆ เหมือนจะจับผิดเพื่อนสนิทของเขา จุนหันมองปั้นด้วยสายตาเรียบเฉย แต่ในใจกลับเริ่มรู้สึกถึงความไม่สบายใจ
จุนเอาแต่นั่งเงียบไม่มีคำพูดใดออกจากปากก้มหน้าก้มตาทานมื้อเช้าให้เสร็จ เขาไม่ได้รู้สึกอึดอัดกับคำพูดของปั้น แต่เป็นเพราะซอลต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกประหม่า…
จากเช้าที่เคยเงียบสงบ วันนี้กลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของปั้นและซอลที่พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน โต๊ะตัวยาวสีขาวกลับดูสดใสกว่าทุกวัน เพราะรอยยิ้มของซอลเหมือนแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างอยู่ฝั่งตรงข้าม จุนไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังแอบมองรอยยิ้มนั้นอยู่ ผมสีน้ำตาลเข้มสะท้อนกับแสงแดดยาวเช้า ดวงตาแวววาวสดใสทำให้ซอลเปล่งประกายมากขึ้นในสายตาของจุน มุมปากยกยิ้มเป็นระยะอย่างที่จุนก็ควบคุมไม่ได้…
‘นี่เรากำลังยิ้มเหรอ’
ปั้นยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์พลางลุกขึ้นเตรียมเก็บชามโจ๊กที่ทานเสร็จแล้ว เขาหันไปหาจุนที่นั่งอยู่ด้านข้างพร้อมพูดแหย่เบา ๆ
“มองหน้าเขาแล้วยิ้มตาม แปลก ๆ นะครับเพื่อน” จุนที่ได้ยินดังนั้นก็หันไปมองหน้าเพื่อนตาขวาง
“ซอลงั้นเดี๋ยวฝากจุนไว้ก่อนนะ ขอไปทำธุระแป๊บเดี๋ยวรีบกลับมา” ปั้นส่งสายตาแซวเพื่อนรักก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้จุนกับซอลอยู่กันสองคนในคอนโด
บรรยากาศที่คึกคักเมื่อครู่พลันเงียบลง จุนเดินมานั่งจิบกาแฟในห้องนั่งเล่นพยายามรักษาท่าทางให้ดูเป็นปกติ แต่ในใจกลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เขาสัมผัสได้ถึงสายตาของซอลที่มองมาเป็นครั้งคราว มันทำให้เขาไม่สบายใจทั้งที่ปกติการทำงานกับคนอื่นก็ไม่เคยมีปัญหา แต่วันนี้...กลับไม่ใช่วันธรรมดาสำหรับเขา
“นี่บท ปรับมาให้บ้างแล้วลองอ่านดูก่อนไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามนะ” ซอลเดินมายื่นบทละครที่ปรับใหม่ให้จุนด้วยรอยยิ้มตามปกติก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ แต่จุนกลับรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นแรงขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสของซอล
จุนรับบทละครมาเปิดดูด้วยความเงียบพยายามไม่สบตา เขาจดจ่อกับกระดาษในมือราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลก ความเงียบระหว่างทั้งคู่ทำให้บรรยากาศดูตึงเครียด แม้จะพยายามทำตัวเป็นปกติมากแค่ไหนแต่จุนกลับรู้สึกได้ว่าอากาศรอบตัวเหมือนหนักอึ้งขึ้น
“มีตรงไหนที่ยังติดอยู่หรือเปล่า?” ซอลมองหน้าจุนแล้วถามขึ้นอย่างเป็นห่วง จุนรู้สึกว่าซอลขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเล็กน้อย กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของแชมพูจากผมซอลลอยมาปะทะจมูก
จุนรีบปรับท่าทาง พยายามทำตัวให้ดูเป็นปกติที่สุด
“อืม...ตรงนี้น่ะ” เขาพูดพลางชี้ไปที่บทที่เปิดค้างอยู่
เมื่อซอลขยับเข้ามาดูใกล้ ๆ แขนของทั้งสองคนแตะกันเล็กน้อย จุนรู้สึกถึงสัมผัสที่ไม่คาดคิดทำให้ใจเขาเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขารีบดึงแขนกลับแล้วลุกขึ้นยืนทันที
“เอ่อ เดี๋ยวขอไปห้องน้ำแป๊บหนึ่งนะ” จุนพูดตัดบทก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องนอน ทิ้งให้ซอลนั่งอยู่คนเดียวที่โซฟา
ซอลมองตามแผ่นหลังนั้นจนลับสายตาด้วยความสงสัยก่อนจะกลับมาดูบทที่จุนชี้ว่ามีปัญหา พระเอกจูบนางเอกด้วยความรักอย่างอบอุ่น
จุนปิดประตูเบา ๆ แล้วพิงประตูห้องเอาไว้ สูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามจะทำให้ใจสงบลง
‘นี่มันอะไรกันวะ ทำไมกูต้องรู้สึกแบบนี้ด้วย’
เขาถามตัวเอง แต่ก็ไม่มีคำตอบ ความรู้สึกว้าวุ่นในใจทำให้เขารู้สึกสับสน
รอยยิ้มของซอลยังคงติดอยู่ในหัว ภาพที่เขามองเห็นซอลในคืนนั้น และตอนนี้ก็ยังทำให้ใจเขาสั่น เขาหันไปมองกระจกในห้องเห็นใบหน้าของตัวเองที่ดูเหมือนกำลังหลบเลี่ยงอะไรบางอย่าง เขาสูดหายใจเข้าลึกอีกครั้งก่อนจะดึงตัวเองกลับมาให้เป็นปกติ
‘ใจเย็น ๆ จุน มึงไม่ได้เป็นอะไร แค่อยู่ด้วยกันสักพักเดี๋ยวก็หาย’
จุนเดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่นแล้วนั่งลงที่เดิม
“โอเค งั้นต่อกันนะ” ซอลพูดเข้าเรื่องงานในทันที
จุนพยายามทำตัวให้ดูเหมือนปกติ แต่ในใจกลับไม่สงบเหมือนเดิม การที่ต้องอยู่ใกล้ซอลทำให้ความรู้สึกสับสนในใจเขายิ่งชัดเจนมากขึ้น
ซอลเองก็ดูเหมือนไม่ได้สังเกตอะไร เขายังคงยิ้มแย้มและทุ่มเทให้กับงานต่อไปเหมือนปกติ จุนจึงพยายามทำงานต่อ แต่ความคิดของเขาก็ยังวนเวียนอยู่กับความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้…
“ไม่เคยจูบเหรอ?” ซอลถามขึ้นขณะที่สายตาจับจ้องไปที่บทละครตรงหน้า
แต่คำถามนี้ทำให้จุนที่กำลังสับสนตกใจขึ้นเล็กน้อย เขาหันไปมองหน้าซอลแล้วเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยในคำถาม
“ก็นี่ไง มีปัญหาตรงนี้ไม่ใช่เหรอ? บทที่ผ่านมาก็เคยมีซีนแบบนี้นี่”
“อ๋อ มันก็ใช่ แต่จูบแบบ…อบอุ่น?” เสียงพูดตอบของจุนค่อย ๆ เบาลง ใบหูเริ่มแดงขึ้นอย่างเขินอาย
ซอลวางบทลงที่โต๊ะและปรับท่านั่งหันมาที่จุน มือสองข้างพลิกตัวจุนหันหน้าเข้าหาตัวเองก่อนจะเลื่อนมือขึ้นมาจับที่ใบหน้า
“นายลองมองตาฉัน ตั้งสมาธินะจุน…ถ้าคนที่นายมองตาอยู่เป็นคนที่นายรักและรู้สึกดีมาก ๆ จนนายอยากจะเก็บเขาไว้เพียงคนเดียว เช่น รักครั้งแรก นายรู้สึกยังไง?” สายตามุ่งมั่นจับจ้องเข้าไปในดวงตาของจุน
จุนมองเข้าไปในแววตาของซอล เขาพยายามตั้งสติและคิดตามที่ซอลพูด ภาพในหัวแทนที่จะเป็นรักครั้งแรกของเขา กลับเป็นภาพในคืนข้างเต็นท์แดง คนที่ยิ้มและหัวเราะกับเขาในคืนวันนั้น รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจราวกับตกอยู่ในภวังค์…ภาพของซอล
ความคิดที่ยังคงติดอยู่ในหัวเขา ใบหน้าของซอลยังคงเด่นชัดโดยเฉพาะรอยยิ้มที่อ่อนโยนและสายตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง แม้เขาจะรู้สึกถึงความอึดอัดบางอย่างแต่แรงดึงดูดมีมากพอที่จะทำให้เขาโน้มตัวเข้าไปหาเธออย่างไม่ทันยั้งคิด
มือเย็นที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยกขึ้นจับที่แก้มของซอลอย่างเบามือ หัวใจที่เต้นแรงคืนราวกับจะหลุดออกจากร่าง เสียงลมหายใจเริ่มเข้าใกล้กันมากขึ้น…
ริมฝีปากร้อนผ่าวแตะกันแผ่วเบา จูบนั้นอ่อนโยนราวกับกลีบกุหลาบแรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิ ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
ซอลไม่ได้ผลักเขาออกในทันที แต่ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ใจของเธอเต้นถี่ หายใจติดขัดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะผงะหน้าออกด้วยความไม่แน่ใจ บรรยากาศรอบตัวทั้งสองเงียบสนิท จุนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ เขาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปเช่นกัน
“ขอโทษ…” จุนพูดขึ้นเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดแล้วดึงใบหน้ากลับมา เขารู้สึกถึงความร้อนวาบบนใบหน้าของตัวเอง แต่ในใจยังคงคิดถึงภาพรอยยิ้มของซอลที่ยังวนเวียนอยู่ในหัว
ทั้งสองคนทำตัวไม่ถูก จุนไม่รู้จะสบตาอย่างไร ส่วนซอลเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรให้สถานการณ์ดีขึ้น ความเงียบระหว่างพวกเขายิ่งทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัดจนซอลตัดสินใจเอ่ยขึ้นก่อน
“จำความรู้สึกแบบนี้ไว้นะจุน” ซอลเอ่ยอย่างพยายามทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง รอยยิ้มเล็ก ๆ บนใบหน้าพอที่จะช่วยทำให้จุนรู้สึกดีขึ้น
“อารมณ์นี้ล่ะ มันเหมาะสำหรับตัวละครของนายมากกว่าตอนที่นายพยายามเข้าถึงอารมณ์แต่แรกเยอะเลย”
จุนสบตาซอลเล็กน้อยก่อนจะหลบสายตา ความจริงใจในคำพูดของซอลทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้น แต่ก็ยังคงมีบางอย่างที่ทำให้เขาหนักใจอยู่เล็กน้อย
“อืม… ขอบคุณนะ” จุนตอบเสียงแผ่ว รู้สึกถึงแรงกดดันที่เริ่มคลายลงแต่ความรู้สึกบางอย่างในใจยังคงไม่อาจมลายหายไปได้
ซอลพยายามพูดคุยต่อเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ในใจของทั้งสองคนก็รู้ว่าการกระทำเมื่อครู่มันมีบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาไปแล้ว
หลังจากที่บรรยากาศเริ่มกลับมาเงียบอีกครั้ง จุนพยายามพูดคุยต่อเพื่อเปลี่ยนเรื่อง สายตาของเขาสะดุดกับมือของซอลที่วางอยู่บนโต๊ะ มือเรียวของซอลมีรอยแดงและรอยเล็บจิกอยู่ตามนิ้วและฝ่ามือ ราวกับเคยจิกเล็บลงไปในเนื้อตัวเองซ้ำ ๆ ด้วยความเครียดหรือความเจ็บปวดบางอย่าง
“ซอล…มือเป็นอะไร?” จุนถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง รู้สึกถึงความผิดปกติที่เขาไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน
ซอลรีบหดมือกลับมา เหมือนพยายามจะซ่อนอะไรบางอย่าง
“อ๋อ… ไม่มีอะไรหรอก คงซุ่มซ่ามไปเองแหละ” ซอลตอบพร้อมหัวเราะเพื่อกลบเกลื่อน จุนรู้ได้ทันทีว่าซอลกำลังปิดบังอะไรบางอย่าง
จุนไม่พูดอะไรต่อ เขามองซอลด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวลไม่ได้เกี่ยวกับแค่รอยแผลที่มือ แต่รวมถึงความรู้สึกที่ซอลพยายามเก็บซ่อนไว้
“คนเราน่ะ ไม่จำเป็นต้องเก็บทุกอย่างไว้คนเดียวก็ได้นะ”
จุนพูดแม้เขาจะไม่รู้ว่าปัญหาของซอลคืออะไรแต่เขาก็สัมผัสได้ว่ามันคงไม่ได้เล็กน้อย
ซอลเงยหน้าขึ้นมองจุนเล็กน้อย เขารู้สึกเหมือนประโยคนี้เคยได้ยินมาก่อน… รอยยิ้มที่เธอเคยใช้ปกปิดความเจ็บปวดค่อย ๆ จางลง ซอลไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้จริงจังมาก่อน รู้สึกว่าตัวเองแค่ “เหนื่อย” หรือ “เครียด” จากปัญหาต่าง ๆ แต่ไม่เคยตระหนักว่าความรู้สึกเหล่านี้มันฝังลึกกว่าที่คิด
“ฉัน…ไม่รู้สิ” ซอลพูดเหมือนพยายามจะเข้าใจตัวเอง
“บางครั้งฉันก็รู้สึกว่ามันเกินกว่าที่จะควบคุมได้ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร…”
จุนมองซอลด้วยความห่วงใยมากขึ้น สายตาของเขาเต็มไปด้วยคำถาม แต่เขาก็รู้ว่าไม่ควรกดดันเธอในตอนนี้
เขาลุกไปหยิบปลาสเตอร์ในกล่องปฐมพยาบาลมาเปลี่ยนแทนอันเก่าที่เริ่มหลุดออกเพราะมือเปียกจากการล้างจานอาหารเช้าให้
“รู้ว่ามือเป็นแผลจะอาสาล้างให้ทำไม”
น้ำเสียงของจุนเหมือนจะบ่นแต่ก็ปนไปด้วยความเป็นห่วง เขาจับมือของซอลอย่างอ่อนโยนมาไว้ที่ต้นขาแล้วแปะปลาสเตอร์อันใหม่ให้อย่างเบามือที่สุด
ซอลได้แต่นั่งมองสิ่งที่จุนกำลังทำ รอยยิ้มหายไปไม่เหลือแม้แต่มุมปาก สายตาเจ็บปวดเริ่มแทรกเข้ามาแทนที่ ซอลรู้อยู่แก่ใจว่าแผลที่มือเกิดจากอะไร แค่ถึงอย่างนั้นเขากลับเลี่ยงที่จะพูดมันออกไป…
ทั้งสองคุยกันเรื่องงานจนเวลาล่วงเลยผ่านไปครึ่งวันจนลืมว่ามีอีกคนที่นัดมาในวันนี้
“กลับมาแล้วครับ ซื้อมื้อเที่ยงมาฝากด้วยนะ” เสียงปั้นเอ่ยขึ้นทันทีที่เปิดประตูเข้ามา เขาไม่มีความรู้สึกผิดใด ๆ ที่หนีงานไปเที่ยวในช่วงเช้า
“มึงไม่ต้องพูดมากเลย ปล่อยกูกับซอลไว้สองคนจนซอลจะตีหัวแล้ว” คนอะไรดุฉิบหายผิดกับคนใจดีที่เคยรู้จักมาก่อนหน้านี้
“ก็ถ้าไม่ดุซะบ้างจะทำได้ไหมล่ะ แล้วไม่ต้องมายืนยิ้มรีบมาต่อบทได้แล้ว” เสียงหมีดุเอ่ยขึ้นทันทีที่เพื่อนรักสองคนเถียงกันไม่หยุด
ทั้งสามคนนั่งคุยงานกันจนไม่ทันได้สังเกตว่าเวลาล่วงเลยมาจนเกือบค่ำ กองเอกสารกระจัดกระจายไปทั่วห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มสองคนนั่งอย่างอ่อนล้าอยู่บนโซฟา ซอลยังคงนั่งอ่านบทให้ทั้งคู่ฟังอย่างตั้งใจ
“นี่ฟังกันอยู่ไหมเนี่ย”
“ซอล…พอเถอะ มืดแล้วนะไม่ไหวแล้วเนี่ย” ปั้นพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อนใจเขาคิดถึงแต่ของอร่อยที่ห่างหายไปนานครึ่งวัน
“วันนี้พอก่อนเถอะไอ้ปั้นมันหิวจนงอแงแล้ว เดี๋ยวเราไปส่ง” จุนอาสาไปส่งซอลที่บ้านตอบแทนที่มาเหนื่อยกับพวกเขาในวันนี้
“ก็ได้ ลืมดูเวลาไปเลย แล้วถ้าอีก 2 วันไปเวิร์กช็อปแล้วไม่ได้ อย่ามาโทรเรียกแต่เช้าอีกนะ” ซอลเอ่ยพลางมองนาฬิกาไปด้วย แม้จะเป็นที่รักของใครหลายคนแต่เมื่อเข้าสู่โหลดการทำงานก็จะกลายร่างเป็นหมีดุทันที
รถหรูสีขาวจอดลงที่หน้าบ้านตึกแถวย่านกรุงเก่า ผู้คนจอแจที่หน้าร้านข้าวมันไก่ขึ้นชื่อ ทั้งสามคนลงจากรถอย่างหิวโหย
“บ้านซอลเปิดร้านข้าวมันไก่เหรอ?” จิ้งจอกแสนหิวเอ่ยถามขึ้น สายตามองตรงไปที่ร้านเหมือนจะบอกว่าพร้อมวิ่งเข้าไปกินไก่ต้มที่แขวนอยู่ตรงนั้น
“อืม…แวะกินกันก่อนสิค่อยกลับ” ซอลพูดชวนด้วยรอยยิ้ม
บรรยากาศภายในร้านค่อนข้างวุ่นวายเล็กน้อย ซอลตรงเข้าไปวางกระเป๋าก่อนจะหยิบผ้ากันเปื้อนมาช่วยงานในทันที ปั้นกับจุนทักทายพ่อและคุณย่าอย่างสดใส ด้วยความใจดีของทั้งสองคนก็อดไม่ได้ที่จะช่วยเหลืองานที่ร้านอย่างขะมักเขม้น
จุนมองซอลจากมุมหนึ่งของร้าน รอยยิ้มอ่อนโยนของซอลเมื่อคุยกับลูกค้าและความขยันขันแข็งของเขาทำให้จุนรู้สึกถึงบางสิ่งที่ลึกซึ้งในใจ
เสียงหัวใจเต้นแรงจนจุนต้องหันหน้าหนี เขายกแก้วน้ำขึ้นจิบพยายามปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ แม้แต่ปั้นที่อยู่ข้าง ๆ ยังสังเกตเห็นการกระทำที่แปลกไปของเพื่อนสนิท
“ไง…เขินเหรอ? ไม่ต้องเก็บอาการขนาดนั้นก็ได้” ปั้นแซวพลางหัวเราะเบา ๆ
จุนหันมาตอบกลับด้วยใบหน้าที่ดูนิ่งเหมือนเคย แต่ในใจกลับรู้สึกว้าวุ่นมากขึ้นทุกที
‘จะทำยังไงต่อไปกับความรู้สึกนี้…’
ลูกค้าหลายคนจำปั้นกับจุนได้แทบจะในทันที ทำให้ร้านดูคึกคักเป็นพิเศษเมื่อมีดาราหนุ่มทั้งสองอยู่ในร้านข้าวมันไก่แห่งนี้ ทุกคนทำงานกันอย่างสนุกสนานในร้านเต็มไปด้วยรอยยิ้มจนถึงช่วงเวลาที่ต้องปิดร้าน
“อ้าวนี่ ขอบคุณมากเลยนะที่มาช่วยงานวันนี้ ว่าแต่ไอ้หนุ่มเป็นใครกันบ้างล่ะ มัวแต่ยุ่งไม่ได้คุยกันเลย” พ่อซอลวางข้าวมันไก่ลงตรงหน้าชายหนุ่มผู้หิวโหยทั้งสอง ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็เอ่ยตอบก่อนที่จะลงมือทาน
“ผมปั้นครับ นี่ชื่อจุน พวกผมเป็นศิลปินในค่ายที่ซอลไปฝึกงานครับ”
“พอดีวันนี้ซอลมาช่วยเรื่องงาน ผมอาสามาส่งเลยว่าจะขอแวะชิมฝีมือคุณพ่อซะหน่อย แต่เห็นลูกค้าเยอะเลยกลายเป็นช่วยงานคุณพ่อแทน” จุนเอ่ยเสริมคำตอบของปั้นด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร
“อ๋อ ที่ซอลไปฝึกงานนั่นน่ะเหรอ... อืม กินกันให้อร่อยนะพ่อขอตัวก่อน” รอยยิ้มรับแขกของพ่อเมื่อสักครู่กับหายไป สีหน้าเปลี่ยนไปเหมือนไม่พอใจเล็กน้อยก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในบ้าน
ซอลรับรู้ได้ในทันทีกับความรู้สึกไม่พอใจของพ่อ เขาเริ่มเปลี่ยนบทสนทนาเป็นเรื่องอื่นก่อนที่จะออกไปส่งทั้งสองคนที่รถ
“กลับบ้านกันดี ๆล่ะถึงแล้วบอกด้วย” หมีขาวส่งทั้งคู่ขึ้นรถด้วยรอยยิ้ม แต่ครั้งนี้รอยยิ้มดูเศร้าเล็กน้อยจนจุนสังเกตได้
“มีอะไรหรือเปล่าซอล?” จุนถามขึ้นอย่างเป็นห่วง สายตาของเขาสงสัยในรอยยิ้มที่เศร้าสร้อยนั้น
“ไม่มีอะไรนะ แค่เหนื่อย ๆ น่ะ รีบกลับไปพักเถอะไว้เจอกัน” ซอลรีบตัดบทและเดินกลับเข้าบ้านในทันที
“แหม ปล่อยไว้ด้วยครึ่งวันดูสนิทกันมากขึ้นนะ มีอะไรที่ลืมบอกกูไหม” ปั้นพูดแซวจุนที่ดูจะสนใจซอลมากขึ้นอย่างออกนอกหน้า
“มึงไม่คิดว่าตอนซอลออกมาส่งเรามันดูเศร้าแปลก ๆ เหรอวะ” สายตาเหม่อมองออกไปที่นอกกระจกรถ ความสงสัยก่อตัวขึ้นในหัวของจุนก่อนที่ภาพแผลบนมือของซอลจะลอยขึ้นมา
“มึงคิดมากเกินไปหรือเปล่า ซอลอาจจะแค่เหนื่อยก็ได้ คนที่แปลกคือมึง”
“กู? แปลกอะไรวะ?”
“มึงเคยเป็นห่วงคนที่รู้จักกันไม่นานขนาดนี้เหรอ?” คำพูดของปั้นทำให้จุนเปลี่ยนความคิดในหัวกลับมาสนใจในความรู้สึกตัวเองมากขึ้นจนมุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
ดูเหมือนวันนี้จะผ่านไปได้ด้วยดี…ในห้องสี่เหลี่ยมกลับเต็มไปด้วยเสียงสะอื้น มือเรียวกำลังจิกเล็บลงที่แผลเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดวงตาแดงก่ำบ่งบอกว่าร้องไห้มาแล้วเกินชั่วโมง
‘มึงก็รู้ว่ากูเกลียดอะไรพวกนี้ มึงยังมีหน้าพาพวกมันมาอีกเหรอ’
‘แล้วเพื่อนซอลผิดอะไรทำไมเขาถึงมาไม่ได้’
การปะทะกับพ่อเริ่มต้นอีกครั้งเมื่อพ่อเริ่มเมาได้ที่ เสียงพ่อลูกดังขึ้นอีกครั้งเหมือนทุกวัน ดังเสียจนย่าและน้องชายของซอลต้องเข้ามาแยกทั้งคู่ เพราะพ่อเริ่มฝากรอยเช้าไว้ที่ใบหน้าของซอลอีกครั้ง
“พี่ซอล…” ซีน้องชายเพียงคนเดียวของซอลเปิดประตูเข้ามาเพื่อเอาน้ำแข็งมาประคบให้
ไม่มีการพูดคุยใด ๆ เกิดขึ้นในค่ำคืนที่เงียบงัน ทิ้งไว้เพียงเสียงร้องไห้แทบขาดใจในห้องนั้น วันที่แสนจะมีความสุขกลับจบลงด้วยน้ำตาที่เจิ่งนองบนใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้มสดใส
ความสุขเพียงชั่วคราว…ไม่สามารถลบล้างบาดแผลที่ฝังลึกในใจ
เช่นเดียวกับรักแรกที่ไม่มีทางลืมได้ลง