"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ
รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ชาย-ชาย,ครอบครัว,พระเอกคลั่งรัก,เพื่อนสนิท,เพื่อนรัก,มิตรภาพ,ปัญหารุมเร้า,ครอบครัว,ความรัก,รัก,รักดราม่า,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ความมืดสุดท้าย : Final Shadow"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ
คุณเคยหลงใหลใครสักคนไหม?
ถ้านั่นเป็นเพียงการแสดง…คุณจะยังคิดแบบนั้นไหม?
วันเวิร์กช็อปซีนสำคัญกลับมาอีกครั้ง วันนั้นเป็นตัวตัดสินว่าจุนจะได้เล่นบทนี้หรือจะโดนเปลี่ยนตัว ทีมงานทั้งหมดเป็นกังวลเกี่ยวกับปัญหาที่จุนไม่สามารถเข้าถึงบทนี้ได้ ตัวเขาเองก็เครียดไม่ต่างกัน
“จุน…” ซอลเรียกจุนก่อนที่จะเข้าไปที่ห้อง
“อย่าลืมนะ ความรู้สึกวันนั้น…ฉันเชื่อว่านายทำได้” ซอลพูดด้วยรอยยิ้ม แววตาบ่งบอกถึงความมั่นใจในตัวของจุน
หมาป่าหน้าตายวันนี้เขากลับมียิ้มบาง ๆ ส่งกลับให้ซอลเป็นคำตอบ ก่อนจะหลับตาลงและเดินเข้าห้องไปด้วยความมุ่งมั่น
‘จะไม่ทำให้ผิดหวังหรอกนะ…’
เมื่อกี้…เขายิ้มเหรอ?ซอลตั้งคำถามกับรอยยิ้มของจุน ตั้งแต่เข้ามาฝึกงานที่นี่ ซอลแทบจะไม่เคยเห็นจุนยิ้มให้ใครเลยในเวลาทำงาน หน้าที่เรียบเฉยจนเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของจุนวันนี้กลับมีรอยยิ้มขึ้นมาเป็นครั้งแรก เมื่อเห็นแบบนั้นซอลก็ยิ้มตามอย่างไม่รู้ตัว
“จุน…ดี ดีมากเลย เกิดอะไรขึ้นกับจุนของพี่!” เสียงพี่ออฟเอ่ยชมไม่หยุดปาก ทีมงานทุกคนปรบมือพร้อมกันด้วยความตกตะลึง
“เพราะผมมีครูดี มั้งครับ” จุนพูดกลับเขิน ๆ ก่อนที่จะเหลือบตามองมาที่ซอลเล็กน้อย แต่ก็ไม่พ้นสายตาของเพื่อนตัวดีที่จับจ้องการกระทำของเขาอยู่ตลอด
“ครูดีหรือคนดีครับ” ปั้นกระซิบแซวอย่างขำขัน สายตาเจ้าเล่ห์บอกเพื่อนสนิทว่า เริ่มแล้วสินะ
จุนเลือกที่จะเงียบให้กับคำพูดของปั้นที่พยายามจะทำให้เขาคายความจริงออกมา หารู้ไม่ว่าเขาเองก็ไม่เข้าใจในความรู้สึกของตัวเองเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่พยายามที่จะหาคำตอบนั้นสักเท่าไหร่ แค่ปล่อยให้ความสับสนมันวนอยู่ในใจไปอย่างนั้นทุกวัน
“พี่ถามหน่อยจุน เราไปทำอะไรมา?” พี่ออฟเดินเข้ามาถามด้วยความสงสัย เพราะเพียงไม่กี่วันที่ไม่ได้เจอกัน การแสดงของเขาในบทอินเลิฟกลับเด่นชัดอย่างน่าแปลกใจ
“ก็แค่นึกถึงสิ่งที่รัก คนที่รักและทำให้ผมสบายใจ คงเหมือน…รักครั้งแรก ละมั้งครับ” เขาตอบกลับแบบหลบสายตา เพราะซอลที่ยืนอยู่ด้านหลังพี่ออฟจับจ้องมาที่ใบหน้าของเขาอย่างไม่วางตา
“คงเป็นรอยยิ้มของคนคนนั้นที่เป็นแรงใจให้ผมมั้ง ผมขอตัวสักครู่นะครับ” เมื่อจบประโยคเขารีบเดินออกไปทันที
ใบหน้าเริ่มเป็นสีแดงอ่อนมาพร้อมกับหัวใจที่สั่นรัว จุนเดินตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำเขาส่องกระจกอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะล้างหน้าอย่างรีบร้อน
‘กูเป็นอะไรอีกวะเนี่ย’
“เพื่อนน่าจะเจอรักแรกจริง ๆ แล้วสินะ” จิ้งจอกเจ้าเล่ห์เดินตามเพื่อนหมาป่าของเขามาอย่างที่จุนเองก็ไม่ทันรู้ตัว
“สรุป ชอบเขา?” คำถามแบบขวานผ่าซากเหมาะกับคนอย่างปั้นที่สุด
“กูว่าไม่ใช่หรอกมั้ง กับคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานจะเป็นไปได้เหรอ เพ้อเจ้ออย่างกับนิยาย” แม้จะยังสับสนแต่จุนก็เลือกที่จะปฏิเสธในความรู้สึกนั้น
“หูแดงหมดแล้วนะจ๊ะ พ่อหมาป่าขี้อาย” ปั้นเขี่ยหูจุนเบา ๆ ก่อนจะเดินหนีออกไปไม่เค้นต่อ เขารู้ดีว่าหากเพื่อนอยากเล่าคงเล่าเอง
จุนยืนมองตัวเองในกระจกสักพัก ในหัวพยายามครุ่นคิดหาคำตอบในความรู้สึกของตัวเอง แม้ว่าจะพยายามคิดเท่าไหร่เขากลับเห็นแต่ภาพของซอลที่กำลังยิ้มอยู่ตลอดเวลา เขาส่ายหัวเบา ๆ อมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับเข้าไปที่ห้องซ้อม
“นี่ไปทำอะไรมาเนี่ยเปียกเป็นหมาตกน้ำเลย” เจ้าเดินเข้ามาพร้อมผ้าเช็ดตัวผืนเล็กซับน้ำที่เปียกชุ่มบนหน้าของจุน
“ง่วงนิดหน่อยเลยไปล้างหน้ามาน่ะ” จุนรับผ้าที่มือเจ้ามาเช็ดเองด้วยหน้าตานิ่งเฉย
“วันนี้เก่งมากนะ เหลืออีกไม่กี่ซีนก็จบแล้ว สู้เขาล่ะ” เสียงเล็กให้กำลังใจจุนก่อนที่จะยกมือมาลูบที่ไหล่เขาอย่างอ่อนโยน
สายตาคู่หนึ่งจับจ้องมาที่การกระทำนั้น แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยในความสัมพันธ์ของจุนและเจ้า ซอลได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้ภายในใจ หรือรักแรกที่จุนนึกถึงคือ…พี่เจ้าเหรอ
“ซอล เดี๋ยวพี่ฝากดูเรื่องสถานที่ที่จะไปถ่ายกันด้วยนะแล้วส่งต่อให้เจ้าติดต่อไปได้เลย” พี่ออฟยื่นเอกสารกองน้อยให้ซอล แต่ละหน้าเป็นข้อมูลของสถานที่ที่ใช้ในการถ่ายทำ
ซอลรับเอกสารมาด้วยรอยยิ้มสายตามุ่งมั่นพร้อมทำงานหนักเสมอ เขาค่อย ๆ เปิดดูเอกสารทีละหน้า พร้อมมือที่คลิกเมาส์หาสถานที่ให้ตรงตามบรีฟมากที่สุด
“เป็นไงบ้าง เจอบ้างไหม” เจ้าเข้ามาดูซอลที่กำลังหาข้อมูลอย่างตั้งใจ
“ใกล้เสร็จแล้ว สบายมากพี่” ซอลเอ่ยตอบขณะที่ตายังมองจอคอม
“อันนี้เป็นส่วนที่เรียบร้อยแล้วพี่เจ้าลองดูก่อนนะ”
“อืม ร้านอาหารที่ดูอบอุ่นน่ะพี่ลองหาดูแล้วยังไม่มีที่ไหนที่เข้าตาเลย” เจ้าพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด
มือของซอลหยุดชะงักลงแล้วหันมาบอกกับเจ้าด้วยรอยยิ้ม
“ซอลว่า…ซอลรู้จักอยู่ที่หนึ่งนะ” เสียงตอบเจื้อยแจ้วสมกับเป็นซอลจริง ๆ แต่สีหน้าของเจ้ากลับแปลกใจในความสามารถของซอลเล็กน้อย
ร้านที่ซอลเสนอก็ไม่พ้นร้านของพี่เตที่ซอลมักไปช่วยอยู่เสมอ ซอลเปิดบรรยากาศภายในร้านให้เจ้าดูเป็นภาพที่ซอลถ่ายด้วยโทรศัพท์เขามักถ่ายบรรยากาศเก็บไว้เพื่อเอามาวาดรูปคลายเครียด
“ดีเลย งั้นพี่รบกวนซอลติดต่อร้านนี้ไว้ให้หน่อยนะ” ร้านพี่เตเข้าตาเจ้าอย่างรวดเร็วและไม่รีรอให้น้องฝึกงานติดต่อให้ในทันที
“เรานี่เก่งนะ ทั้งบรีฟงานทั้งหาสถานที่ให้ตรงตามที่อยากได้อีก”
“บรีฟงานเหรอ?”
“ก็เราไปบรีฟงานให้ปั้นกับจุนมาในวันหยุดไม่ใช่เหรอ เห็นจุนเล่าให้ฟังน่ะ” เจ้าพูดไปปากก็ยกยิ้ม มือพลางเปิดเอกสารไปด้วย
“อ๋อ…” ซอลตอบเบา ๆ ด้วยความสงสัยแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่อยากถามอยู่ดี ทั้งความรู้สึกที่กลัวว่าจะไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขามากไปและคำตอบที่ว่าทั้งสองคนเป็นอะไรกัน
จากการปะทะคารมกับพ่อเมื่อคืนจนนอนแทบไม่หลับ มื้อเที่ยงนี้เขาเลยนัดกับเพื่อนสนิทเพื่อบรรเทาความเครียดที่สั่งสมมา
“จากที่มึงเล่ามากูก็ยังไม่เข้าใจว่าพ่อมึงเขามีปัญหาอะไรนักหนา มึงไม่ใช่แม่มึงซะหน่อย ถ้าพ่อกูเป็นแบบนี้กูหนีไปอยู่กับแม่แล้ว” ปอนด์พูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่หงุดหงิดกับการกระทำของเพื่อนที่ทนกับขุมนรกแห่งนั้น
“ก็กูเป็นห่วงพ่อนี่หว่า กูจะทิ้งเขาได้ไง”
“เออ เอาโล่ลูกดีเด่นไปเลย กูแถมโล่กระสอบทรายให้ด้วย” มือใหญ่กำช้อนแน่นด้วยความโมโห
“เออน่า กูพยายามหาเวลาเกริ่นเรื่องนั้นกับเขาอยู่แต่กลับไม่เคยทันเลย” ซอลพูดแล้วถอนหายใจเบา ๆ แล้วก้มหน้ากินข้าวอย่างท้อใจ
“แล้วเรื่องจุนกับพี่เจ้านี่ยังไง จากเล่าเขาก็ดูมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากกว่าที่เราเห็นนะ” ปอนด์เปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศตึงเครียดไปมากกว่านี้ แต่ไม่รู้เลยว่าเพิ่มความหนักใจให้ซอลไม่น้อยกว่าเดิม
“กูก็ไม่กล้าพูดเต็มปากน่ะมึง กลัวคนนอกได้ยินจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้…จุนจะแย่เอานะ” แม้จะคาใจอยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่สามารถตัดสินความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ได้เพียงเพราะเขาดูสนิทกัน
หมีน้อยกลุ้มใจเพราะมีแต่เรื่องให้คิดมาก เขาย้ายร่างบางไปนั่งรับลมคลายเครียดที่สวนดาดฟ้าของตึก ส่วนกลางที่มีต้นไม้ล้อมรอบเป็นสถานที่ที่ซอลใช้ผ่อนคลายอารมณ์ได้ดี สีเขียวของธรรมชาติช่วยเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำ สายลมบาง ๆ ที่พัดมาเหมือนช่วยหอบเอาเรื่องทุกข์ใจออกไป
‘ทำไมต้องคิดมากเรื่องเขาด้วยนะ’
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ดูจะเหม็นขี้หน้าเขาขนาดนั้น ตอนนี้กลับมานั่งคิดเรื่องเขา…หรือจะคิดไปมากกว่าการเป็นศิลปินคนโปรดเรื่องที่เขาทำที่คอนโดวันนั้นยังคงทำให้ซอลสับสนในความรู้สึกของตัวเอง
‘เขาเป็นคนที่เราชื่นชอบในฐานะศิลปินเท่านั้น…จริงเหรอ?’
“ทำไมมานั่งคนเดียวตรงนี้?” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาแทรกความคิดของซอล
“มือเป็นยังไงบ้าง?” จุนนั่งลงข้าง ๆ พร้อมจับมือของซอลขึ้นมาดูแผลที่เหมือนจะไม่ดีขึ้นเท่าไหร่
ซอลดึงมือกลับในทันที หัวใจที่เต้นแรงจากความคิดเมื่อสักครู่กลับเต้นแรงกว่าเดิมเพราะคนที่ทำให้คิดมากกลับมานั่งอยู่ข้าง ๆ
“เกี่ยวอะไรกับนายด้วย สนใจเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ซอลซ่อนมือจนมิดในเสื้อคาดิแกนของเขา
“เคยบอกแล้วว่าอย่าให้แผลเปียกน้ำ แล้วเมื่อไหร่มันจะหาย” หมาป่าไร้หัวใจคว้ามือของซอลกลับมาพร้อมหยิบปลาสเตอร์ยาจากกระเป๋าเสื้อมาแปะที่แผลให้ซอล
“ดูเหมือนจะมากขึ้นกว่าเดิมด้วยนะ บวกกับรอยช้ำที่ปาก…”
“เลิกมายุ่งเรื่องนี้เถอะ! มันไม่เกี่ยวอะไรกับนายสักหน่อย” ซอลพูดแทรกขึ้นมาทันที ทุกครั้งที่มีคนทักเรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนมีดกรีดซ้ำ ๆ เขาไม่อยากจะพูดถึงมันให้ใครรับรู้ความเจ็บปวดที่ทรมานนี้
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าไปเจออะไรมา แต่ขอได้ไหม…อย่าแบกมันไว้คนเดียว” หมาป่าใจร้ายวันนี้เขาเป็นเพียงแค่หมาน้อยอ่อนโยนเพียงเท่านั้น จุนพูดไล่หลังซอลที่กำลังเดินหันหลังหนีจากความอึดอัดตรงหน้าและหวังว่าช่วงบ่ายจะไม่ต้องพบหน้าจุนอีก
แต่ความหวังนั้นคงจะยากเกินไป เพราะเป็นเวิร์กช็อปสำคัญก่อนจะเริ่มถ่ายทำจริง แน่นอนว่าซอลจะต้องทำงานกับจุนไปจนถึงค่ำเลยก็ว่าได้ สรุปสั้น ๆ ว่าเขาต้องทำงานกับจุนตลอดทั้งวันนั่นเอง
ขณะซ้อมได้มีการถ่ายทำเบื้องหลังไว้เช่นเคย นักแสดงทุกคนเฮฮาเล่นกล้องกันตามปกติ เพียงแต่จุนที่ทำหน้าไม่สบอารมณ์เมื่อกล้องแพนไปทางอื่น เขาก็กลับไปนั่งหน้าตึงอยู่ที่มุมห้อง
ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยคำถามและความสงสัย ไม่ใช่เพียงแค่แผลตามตัวของซอล แต่เพราะอะไรเขาถึงได้รู้สึกกังวลและห่วงซอลมากขนาดนี้ รอยยิ้มบนใบหน้านั้นดูเศร้ากว่าทุกครั้ง ดวงตาสดใสแฝงไปด้วยความเศร้าเต็มไปหมด
“ปั้น มึงว่ามีอะไรที่ทำให้คนเอเนอร์จี้ล้นต้องดูเศร้าลงบ้างวะ” เขาถามจิ้งจอกเพื่อนรักผู้รอบรู้ของเขาอย่างจริงจัง แต่ดูท่าจิ้งจอกตัวนี้จะรู้ทัน
“ซอลคงมีอะไรให้คิดเยอะแหละ เขาคงพูดไม่ได้ทุกเรื่องหรอก”
“เหรอ แล้วการแบกทุกอย่างไว้คนเดียวมันดีตรงไหน?”
“ทีมึงยังมีเรื่องที่ไม่อยากพูดให้ใครรู้เลย ขนาดความรู้สึกตอนนี้มึงยังไม่ยอมรับเลยไอ้จุน ไว้ถ้าซอลพร้อมจะเล่าเขาก็คงเล่าเองแหละ” ปั้นพูดปนยิ้ม สายตาพลางจ้องไปที่บทสลับกับมองสายตาจุนที่จ้องไปยังซอล
“ก็คงงั้นมั้ง…เฮ้ย แล้วกูบอกตอนไหนว่าหมายถึงซอล” ไม่ทันแล้วพ่อหนุ่ม เพื่อนยังรู้ทันแล้วเมื่อไหร่จะรู้หัวใจตัวเอง
สายตาเหม่อลอยมองไปอย่างไม่มีทิศทาง ราวกับวิญญาณได้หลุดออกไปทิ้งไว้เพียงร่างกายที่เหนื่อยอ่อน สมองมีเรื่องให้คิดมากมาย หัวใจปั่นป่วนไม่อยู่กับตัวเหมือนทุกวัน
“ซอลวันนี้เป็นอะไรดูเหม่อไปนะ ไม่สบายหรือเปล่า?” เสียงเล็กของหญิงสาวถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ไหวไหมซอล ไปพักก่อนไหม?” พี่ออฟเสริมคำถามของจันทร์เจ้า
“ไม่เป็นไรพี่ เมื่อคืนนอนไม่หลับนิดหน่อยเดี๋ยวกาแฟออกฤทธิ์ก็ดีขึ้น” ถึงจะพูดไปแบบนั้นแต่กาแฟข้างตัวก็เป็นแก้วที่สามของวันนี้แล้ว
มือกำปากกาไว้จนแน่นแต่กระดาษกลับว่างเปล่า ความคิดเห็นที่ซอลมักจดลงสมุดทุกวันแม้แต่รอยปากกาที่จุดลงไปก็ยังไม่มี
“ซอล พี่ถามจริง ๆ วันนี้เราเป็นอะไรหรือเปล่า เล่าให้พี่ฟังได้นะ” ความเหม่อลอยของซอลในวันนี้ทำให้พี่ออฟเป็นห่วงมากจนต้องเรียกไปคุยส่วนตัว
“อืม ซอลมีเรื่องเครียด ๆ นิดหน่อยน่ะพี่…ปัญหาที่บ้านน่ะ ซอลขอไม่พูดถึงนะ” ซอลตอบกลับพี่ออฟด้วยท่าทีรู้สึกผิดที่วันนี้เขาโฟกัสกับงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร
“พี่เข้าใจนะ ทุกคนก็มีความเครียดส่วนตัวทั้งนั้นเราอย่าให้ความรู้สึกนี้มันมาทำลายความตั้งใจการทำงานของเราล่ะ”
ซอลก้มหน้ารับฟัง เขาพยายามที่จะกดอารมณ์ที่แทรกซึมเข้ามาเอาไว้ภายในจิตใจ
“พี่ไม่ได้ห้ามให้เราเครียด ของแบบนี้มันห้ามกันไม่ได้ที่พูดเพราะเป็นห่วงรู้ใช่ไหม ซอลเป็นคนเก่งนะพี่ไม่อยากให้ทุกอย่างที่ซอลทำมามันพังลง” พี่ออฟจับมือซอลขึ้นมากุมไว้อย่างอ่อนโยน ฝ่ามืออบอุ่นช่วยแบ่งเบาความอึดอัดข้างในให้บรรเทาลง ซอลมองหน้าผู้กำกับคนดีของเขาดวงตาเริ่มมีน้ำตาคลอเบา ๆ เมื่อได้ยินประโยคถัดไป
“แล้วมือนี้อย่าทำให้มันเจ็บอีกเลยนะ” น้ำตาไหลอาบลงที่แก้มอย่างช้า ๆ เสียงสะอื้นดังห้องไปทั่วทั้งชั้นที่เงียบสงบ
จุนหลบอยู่ที่มุมเสาฟังเสียงสะอื้นที่กึกก้อง ใจของเขาเหมือนถูกบีบไปด้วยเมื่อได้ยินเสียงนั้น รอยยิ้มที่สดใสของเขาตอนนี้กำลังร้องไห้อยู่โดยที่เขาไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย
คนที่เหมือนหมาป่าเย็นชากลับเหมือนหมาหงอยที่อยากช่วยคนที่เป็นเหมือนดวงจันทร์ในคืนมืดมิดของเขา จุนรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่ท่วมท้นแม้จะไม่รู้เหตุผลเลยก็ตาม
‘ถ้าแบ่งเบาความเจ็บปวดนี้ได้ เพียง 1% ก็คงจะดี’
ค่ำวันนั้นเมื่อการเวิร์กช็อปเสร็จสิ้นลง ทีมงานและนักแสดงทุกคนเก็บของทยอยกลับบ้านกัน จุนยืนรอใครบางคนอย่างร้อนใจอยู่ที่หน้าห้องซ้อม
เมื่อร่างบางเดินออกมาจากห้อง หมาป่าร่างสูงก็คว้าข้อมือเขาและพาเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
“จะไปไหน แบบนี้มันเจ็บนะ!” แม้ซอลจะพูดออกมาด้วยความเจ็บปวดแต่จุนก็ไม่หยุดลากเขาจนถึงรถ
“ขอโทษที่ทำให้เจ็บ” ใบหน้าเฉยชาตอบกลับแต่ดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด
“ขึ้นรถสิ อยากพาไปที่ที่หนึ่ง” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ตัวเองก็ดันตัวซอลขึ้นรถมากึ่งบังคับอยู่แล้ว
ซอลขึ้นรถมาด้วยท่าทางงง ๆ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เขาก็พาตัวเองขึ้นรถแบบไม่ขัดขืน
ความเงียบก่อตัวขึ้นในรถยนต์สีขาวคันหรู ความรู้สึกที่ทำให้อึดอัดที่ไม่สามารถอธิบายได้ ทั้งสองมีคำถามมากมายภายในจิตใจแต่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีใครยอมเอ่ยถามขึ้น มีเพียงเสียงหัวใจที่ดูเหมือนกำลังเต้นผิดจังหวะเกินกว่าจะควบคุมได้ ทันใดนั้นเสียงนุ่มลึกก็ดังขึ้น
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะ”
“ก็ตกใจแหละ…แล้วนี่จะพาไปไหน?” แม้จะตกใจแต่ก็ทำใจดีสู้เสือเอ่ยคำถามแรกที่เก็บในใจมาครู่ใหญ่
“เดี๋ยวไปถึงก็รู้เอง” เป็นคำตอบที่ไม่ผิดคาดสักเท่าไหร่ ชายคนนี้มักจะมีเรื่องปิดบังเป็นปกติอยู่แล้ว ซอลได้แต่ถอนหายใจและนั่งเงียบต่อไปจนถึงสถานที่แห่งนั้น
สวนสาธารณะที่เงียบสงบ ผู้คนเบาบางแต่เต็มไปด้วยแสงไฟ ต้นไม้สีเขียวสะท้อนแสงไฟจนเป็นสีเหลืองอ่อน สีโทนร้อนแต่กลับทำให้รู้สึกอบอุ่น อากาศค่ำคืนนี้ค่อนข้างปลอดโปร่งลมพัดอ่อน ๆ เหมือนกำลังปลอบโยนดวงใจที่เหนื่อยล้าให้รู้สึกดีขึ้น
ซอลนั่งลงที่ม้านั่งตัวหนึ่ง เขาหลับตาลงช้า ๆ เพื่อสัมผัสสายลมที่พัดโชยมาอย่างใจเย็น ขณะเดียวกันไอศกรีมขนาดกำลังดีก็ถูกแปะลงที่ข้างแก้มที่กำลังอมยิ้มอยู่ ซอลสะดุ้งเล็กน้อยกับความเย็นที่มาสัมผัส
“สบายใจขึ้นไหม?” จุนถามพร้อมยื่นไอศกรีมรสนมให้
“ขอบใจนะ ว่าแต่ทำไม…” หมีขาวรับไอศกรีมแท่งนั้นมาพร้อมถามอย่างสงสัย
“พอดีไปได้ยินเข้า…เรื่องที่คุยกับพี่ออฟน่ะ”
ซอลชะงักเล็กน้อยขณะกำลังแกะซองไอศกรีม มือน้อยค่อย ๆ ลดระดับลงสายตาเริ่มก่อตัวด้วยความกังวล
“เวลามีเรื่องให้คิดฉันชอบมาที่นี่ คนก็น้อยบรรยากาศก็สงบดี” จุนยังคงพูดต่อแม้จะไม่มีการตอบกลับใด ๆ เลยก็ตาม
เขาชำเลืองมองไปที่ซอลแล้วหยิบไอศกรีมออกจากซอง
“ของหวานเย็น ๆ คลายเครียดได้ดีนะ ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่ได้บังคับแต่อย่าทำหน้าบึ้งแบบนี้ได้ไหม…” เห็นแล้วมันรู้สึกเจ็บปวดไปด้วย
“คนอย่างนายมีมุมแบบนี้ด้วยเหรอ?” ซอลเริ่มอมยิ้มได้เล็กน้อย น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นปนหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ มันดูเป็นเรื่องตลกที่คนเย็นชามีมุมที่อ่อนไหวแบบนี้
เวลาผ่านไปไม่นานนัก ซอลเริ่มคลายความอึดอัดลงได้เล็กน้อยจึงเริ่มเล่าเรื่องที่ตัวเองต้องเจอกับพ่อทุกวันให้จุนฟังทั้งหมด รวมถึงการทำร้ายตัวเองที่อยู่เหนือการควบคุมของซอล
“แต่เป็นเพราะนายมาตลอดเลยรู้ไหม ที่ทำให้ฉันยังคงอยู่ตรงนี้” ซอลเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มสดใส ลักยิ้มข้างแก้มบุ๋มลึกเท่าที่มันจะเป็นได้
“เพราะนายเป็นเหมือนแสงสว่างที่เข้ามาในเวลาที่ฉันรู้สึกว่ารอบตัวมันมืดไปหมด”
ซอลเริ่มเอ่ยถึงเหตุผลที่ทำให้เขาตกหลุมรักจุนในฐานะศิลปิน เมื่อหลายปีก่อนซอลไปหาแม่ที่บริษัทเก่าในขณะที่ซอลกำลังร้องไห้เพราะเรื่องระหว่างเขากับพ่อที่ไม่ลงรอยกัน มีเด็กฝึกในค่ายของแม่คนหนึ่งเดินเข้ามาเขาพร้อมไอศกรีมนมแท่งโต
“ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นอะไร…แต่ของหวานเย็น ๆ ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้เสมอนะ” เด็กชายคนนั้นเดินตรงเข้ามาหาซอลที่กำลังก้มหน้าร้องไห้อยู่ตรงทางเดินและนั่งลงข้าง ๆ
ซอลเงยหน้าขึ้นมองเด็กผู้ชายคนนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาสายตาแดงก่ำมองไปที่เขาด้วยความสงสัยก่อนจะรับไอศกรีมมาทาน
“ดีขึ้นใช่ไหมล่ะ? เราเชื่อว่าสักวันมันจะเป็นวันที่ดี เราก็กำลังสู้เหมือนกัน เพราะงั้นเราสู้ไปด้วยกันนะ สัญญาสิว่าจะไม่ถอดใจก่อน” เด็กคนนั้นยื่นนิ้วก้อยมาที่ซอลพร้อมรอยยิ้มไร้เดียงสา ริมฝีปากที่เปรอะเปื้อนทำให้หน้าของเขาดูตลกเล็กน้อย
“นายเป็นเด็กฝึกที่นี่เหรอ?” ซอลเอ่ยถามขึ้นอย่างงุนงงกับเด็กชายแปลกหน้าที่เข้ามาคุยด้วย
“อืม!เราชื่อจุนนะ จำชื่อเราไว้สักวันเราจะดังจนไม่มีทางลืมเราลงแน่นอน” เด็กชายพูดด้วยท่าทางมั่นใจ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและไม่ยอมแพ้
ซอลได้แต่ยิ้มแล้วยกนิ้วก้อยน้อย ๆ ขึ้นมาเกี่ยวแทนคำสัญญาว่า เขาไม่มีวันลืมกำลังใจนี้เด็ดขาด
สามปีต่อมามีการเปิดตัวศิลปินหน้าใหม่ของค่ายดัง เมื่อซอลได้เห็นชื่อและใบหน้าที่ประกาศมานั้นก็จำได้ในทันทีว่า จุน คือเด็กชายในความทรงจำ
“ทำได้แล้วสินะ…” ในเวลานั้นใบหน้าของซอลเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แววตาของเขาเต็มไปด้วยความหวังที่เอ่อล้นออกมา สายตาประทับใจในคำพูดเด็กชายในวันนั้นเปลี่ยนเป็นแรงผลักดันในวันนี้ นับจากวันนั้นซอลก็ยกให้จุนเป็นศิลปินคนโปรดมาตลอด
เป็นดวงดาวที่ส่องสว่างในจิตใจที่มืดมิดของซอลเพียงดวงเดียว
...เสมอมา...