"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ

ความมืดสุดท้าย : Final Shadow - บทที่ 6 ความรู้สึกที่หวนคืน : Feelings That Resurface โดย Seonha @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ชาย-ชาย,ครอบครัว,พระเอกคลั่งรัก,เพื่อนสนิท,เพื่อนรัก,มิตรภาพ,ปัญหารุมเร้า,ครอบครัว,ความรัก,รัก,รักดราม่า,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ความมืดสุดท้าย : Final Shadow

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ชาย-ชาย,ครอบครัว

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พระเอกคลั่งรัก,เพื่อนสนิท,เพื่อนรัก,มิตรภาพ,ปัญหารุมเร้า,ครอบครัว,ความรัก,รัก,รักดราม่า,ดราม่า

รายละเอียด

ความมืดสุดท้าย : Final Shadow โดย Seonha @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ

ผู้แต่ง

Seonha

เรื่องย่อ

สารบัญ

ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-ตอนนำร่อง ก่อนจุดเริ่มต้น,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 1 จุดเริ่มต้น : Begining,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 2 แสงประกาย : Spark,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 3 สัมผัสดาว : Touch of Stardust,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 4 เงาแห่งความค้างคา : Shadows of Uncertainty,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 5 สัญญาแห่งดวงดาว : Promise of the Star,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 6 ความรู้สึกที่หวนคืน : Feelings That Resurface,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 7 ระเบิดเวลาของหัวใจ : The Ticking Heart,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 8 หัวใจไม่ต้องแสดง : The Unscripted Heart,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 9 ขอให้เธอมีควาสุข : To See You Smile Forevermore,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 10 สิ้นสุดเพื่อเริ่มใหม่ : Where Endings Bloom,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทพิเศษ รอยแผลที่หลอกหลอน : Echoes of Scars,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 11 การกลับมา : Shadows Revisited,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 12 แรงดึงดูดที่มองไม่เห็น : Unseen Forces,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 13 คน(เคย)ไว้ใจ : (Un)Forgiven,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 14 ตัดสินใจ : Redefined,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 15 แค่เอื้อม : A Step Closer,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทพิเศษ (2) รักแรก : The First Scar,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทพิเศษ (3) ลอยกระทง...กับเธอ : Moonlit Waters, You and I,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 16 แสงในเงา : Silent Sparks,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 17 ทางที่เลือก : My Way,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 18 คลื่นใต้น้ำ : Twisted Reflection ,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 19 ไม่เอ่ย : Deep Wounds,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 20 ย้ำ : Ripple,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 21 ก่อนคลื่นสงบ : Shadows Ripple,ความมืดสุดท้าย : Final Shadow-บทที่ 22 ปลดล็อก : New Tune

เนื้อหา

บทที่ 6 ความรู้สึกที่หวนคืน : Feelings That Resurface

เมื่อคนในอดีตหวนกลับเข้ามาอีกครั้ง

คุณจะให้เขามีผลกับชีวิตหรือเปล่า?

 

“นี่มึงเล่าไปหมดเลยเหรอซอล!” เสียงปอนด์ดังด้วยความตกใจจนลำโพงโทรศัพท์แทบแตก

“เออ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมกูถึงกล้าเล่าเรื่องแบบนั้นให้เขาฟัง ตอนนี้กูรู้สึกขายหน้าฉิบหาย” หมีน้อยพูดอย่างเขินอายขณะที่มือก็ใช้สำลีเช็ดเครื่องสำอางไปด้วย

 

เสียงคุยโทรศัพท์ระหว่างเพื่อนสนิทในค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยเรื่องพิเศษและแปลกใหม่ในชีวิตของซอล การที่ได้เปิดใจพูดถึงเรื่องในอดีตจุดเริ่มต้นของซอลที่เขาคลั่งไคล้จุนอย่างมากกับบาดแผลที่เขาไม่อยากจะเอ่ยถึงแม้แต่น้อย เป็นสิ่งที่ซอลไม่คิดว่าจะเล่าให้ใครฟังนอกจากเพื่อนสนิทแต่เขากลับเล่าให้จุดฟังจนหมด…จบกันความลับในใจที่ปกปิดมานาน

“แล้วยังไงต่อ? ระหว่างมึงกับจุนคือ?”

“ก็ไม่ยังไงนะมึง…”

  

ช่วงหัวค่ำที่สวนสาธารณะ หลังจากซอลเล่าเรื่องทุกอย่างให้จุนฟังเขากลับอึ้งไปชั่วขณะ ความหลังที่ผ่านไปนานหลายปีหลงเหลืออยู่อย่างเบาบางในความทรงจำของเขา เพราะเป็นช่วงที่เขามุ่งมั่นฝึกฝนอย่างหนักเพื่อที่จะเข้าสู่วงการบันเทิง ทำให้เขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องอื่นนอกจากการฝึกซ้อมและพัฒนาตัวเอง

“นายคงจำเรื่องพวกนั้นไม่ได้หรอก แต่สำหรับฉันมันพิเศษมากเลยนะ” ซอลยังคงพูดต่อด้วยรอยยิ้มที่หวนนึกถึงความทรงจำอันมีค่าของเขา

“ขอโทษนะที่จำไม่ได้เลย” จุนเอ่ยตอบด้วยความรู้สึกผิดเขากลับจำอะไรพวกนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ

“ขอบคุณนะ สัญญาในวันนั้นทำให้ฉันยังไม่ถอดใจ ถึงนายจะจำมันไม่ได้แต่ฉันก็ยังรู้สึกขอบคุณอยู่ดี” หมีขาวค่อย ๆ โน้มตัวลงพร้อมกับเอาศอกเท้าที่ขาแล้วกินไอศกรีมอย่างสบายใจ เหมือนได้ปลดล็อกความลับภายในใจออกมาแม้ว่าคนที่เป็นแรงใจของเขาจะจำอะไรไม่ได้เลยก็ตาม

 

ความเงียบนั้นทำให้จุนตระหนักได้ถึงความรู้สึกบางอย่าง เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเคยเป็นคนแบบนั้นมาก่อน ตลอดเวลาเขามุ่งมั่นเรื่องความฝันของตัวเองจนลืมแบ่งปันรอยยิ้มให้กับคนรอบตัว แต่กลับมีใครบางคนที่ไม่เคยลืมรอยยิ้มของเขา…เช่นเดียวกับความรู้สึกตอนนี้ที่ไม่อาจลืมรอยยิ้มของซอลได้ลง

 

//อืดดดดดดดด//

 

เสียงโทรศัพท์ของจุนดังขึ้น หน้าจอแสดงชื่อจันทร์เจ้า เขาขอปลีกตัวออกมาเพื่อรับโทรศัพท์สายสำคัญนี้ ซอลที่ตาไวก็เห็นชื่อที่โทรเข้ามาเสียได้ สมองสั่งการให้ซอลรู้สึกสงสัยอีกครั้งแต่อีกความคิดก็แทรกขึ้นมาว่า อย่าไปยุ่งเลยดีกว่า 

 

ซอลพยายามเก็บความคิดและกดความรู้สึกดีที่มีต่อจุนเอาไว้ไม่ให้มันเกินไปกว่าคนในความทรงจำที่ชื่นชอบ และหวังเพียงแค่ว่าการที่มีเขาอยู่ในชีวิตแบบนี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ว่าจะฐานะศิลปินที่รักหรือเพื่อนร่วมงานก็ตาม

 

“เราต้องไปแล้ว งั้นเดี๋ยวเราไปส่งที่บ้านก่อนแล้วกัน” จุนกลับมาหาซอลอย่างรีบร้อนพร้อมกับรีบพาซอลไปส่งที่บ้านก่อนที่จะตรงไปที่ใดที่หนึ่ง

 

วันนี้ซอลกลับถึงบ้านเร็วกว่าปกติเล็กน้อย แทบจะนับครั้งได้ที่ซอลกลับมาเจอพ่อในสภาพปกติไม่ใช่ปีศาจร้ายที่คอยเอาแต่จ้องจะร่ายคำสาปใส่เขาในแต่ละวัน

เขาเดินตรงไปหาพ่อที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะพร้อมยื่นใบปลิวบางอย่างให้พ่อดู

“ที่เราสัญญากันไว้พ่อยังไม่ลืมใช่ไหม?” กระดาษที่ยื่นให้พ่อเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการบำบัดอาการติดสุราของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

“คงหาโอกาสเอามาให้อยู่ตลอดเลยสินะ” พ่อมองกระดาษด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่แม้แต่จะสบตาคนเป็นลูก

“กลับมาไม่เคยจะทันสักวัน หาวันว่างแล้วบอกซอลด้วยแล้วกัน” ซอลวางกระดาษแผ่นนั้นไว้ที่โต๊ะกินข้าว มือบางลูบหลังพ่ออย่างอ่อนโยนก่อนจะทิ้งท้ายประโยคสั้น ๆ แล้วขึ้นห้องไป

“ซอลเป็นห่วงพ่อนะ”

  

“แล้วพ่อมึงเขายอมไปเหรอ?” ปอนด์ถามอย่างงุนงงเล็กน้อยและแปลกใจกับการตอบสนองของพ่อ

“เวลาไม่เมาก็อย่างกับเทวดาแหละพ่อกูน่ะ” เขายิ้มยกขึ้นมุมปากนึกถึงความรักของพ่อที่แสนอบอุ่นก่อนที่พ่อจะโดนสุราครอบงำ

“เออ ไปวันไหนบอกกูแล้วกันเดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อน” ไม่ว่าเวลาไหนมือใหญ่คนนี้ก็พร้อมเคียงข้างเพื่อนรักของเขาเสมอ หรืออีกใจเขาแค่กลัวว่าเพื่อนจะกลายเป็นกระสอบทรายอีกครั้งระหว่างการบำบัดเสียมากกว่า

 

เสียงเพื่อนรักคุยกันผ่านโทรศัพท์ตลอดทั้งคืนราวกับไม่ได้พูดคุยกันมาเนิ่นนาน ทั้งคู่แบ่งปันเรื่องราวในแต่ละวันให้กันฟังจนเหมือนพี่น้องร่วมสายเลือดเลยก็ว่าได้

 

//ก๊อก ๆ //

 

เสียงเคาะประตูดังขึ้นกลางดึกที่เงียบงันนี้

“พี่ซอล หยุดยาวนี้ซีกับมีนจะไปหาแม่น่ะ พี่ซอลไปด้วยกันไหม?” ซีน้องชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวของซอลเปิดประตูเข้ามาถามไถ่พี่ด้วยความเป็นห่วง ตั้งแต่เริ่มเข้ามหาลัยฯ การเรียนก็ทำให้ทั้งคู่ไม่มีเวลาให้กันมากเท่าที่ควร

“หยุดยาวนี้เหรอ…เหมือนจะมีไปถ่ายงานที่ต่างจังหวัดนะ เดี๋ยวคอนเฟิร์มตารางงานได้แล้วจะบอกอีกที” ซอลมองไปที่ตารางงานพลางพูดกับน้องชายไปด้วย

“ไปหาแม่บ้างนะ เขาคิดถึง” 

“ทีเวลาฉันไปแกไม่เคยจะว่างไปกับฉันหรอกอย่าทำเป็นพูด!” เสียงที่เหมือนจะเถียงกันแต่ใครจะรู้ว่าพี่น้องสองคนนี้รักกันมากแค่ไหน

แม้จะดูห่างไกลกันบ้างในบางทีแต่พี่น้องคู่นี้ไม่เคยที่จะลืมแสดงความรักให้กันเลยแม้แต่เรื่องเล็กน้อยก็ตาม ความเอาใจใส่ของพี่น้องเป็นความอบอุ่นเดียวที่หลงเหลือภายในบ้านหลังนี้

  

เวลาของการฝึกงานล่วงเลยผ่านมากำลังจะก้าวเข้าสู่เดือนที่สอง เป็นรอยต่อสำคัญเพราะเป็นการออกกองต่างจังหวัดครั้งแรกของซอล ที่ผ่านมานอกจากการเวิร์กช็อปซีรีส์แล้วซอลก็มีโอกาสได้ออกกองต่าง ๆ บ้างเป็นครั้งคราวเพื่อติดตามการทำงานของพี่ออฟซึ่งเป็นผู้ดูแลการฝึกงานของซอล

แต่การไปออกกองครั้งนี้ต่างออกไป ซอลรู้สึกมีความกดดันค่อนข้างสูงเพราะการออกกองต่างจังหวัดไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะเคยผ่านมาบ้างแล้วแต่นั่นเป็นเพียงการถ่ายหนังสั้นส่งประกวดเล็ก ๆ

“ตื่นเต้นไหมซอล ทำใจให้สบายนะมันเหนื่อยกว่าที่คิดเยอะ” ไม่รู้ว่าประโยคที่พี่ออฟพูดจะช่วยให้คลายเครียดหรือกดดันกว่าเดิมกันแน่

“ช่วยได้เยอะเลยพี่!” การหยอกเอิ้นของทั้งสองคนถือเป็นเรื่องปกติไปแล้ว การสร้างเสียงหัวเราะให้กันในแต่ละวันทำให้ทุกคนทำงานได้อย่างสนุกสนาน

 

ซอลรู้สึกเหมือนกำลังท่องสู่โลกกว้าง ประหนึ่งนกน้อยในกรงแคบกำลังจะได้บินออกจากรัง นี่ไม่ใช่กองถ่ายเล็ก ๆ ที่สร้างโดยนักศึกษามหาลัยฯ แต่นี่เป็นงานระดับมืออาชีพ แค่คิดว่าอีกไม่กี่วันจะต้องเจออะไรบ้าง หัวใจของซอลก็เต็มไปด้วยพลังบางอย่างราวกับมีไฟสุมให้เครื่องร้อนอยู่ตลอดเวลา

 

เขากำลังนั่งอ่านเอกสารสรุปทั้งหมดอีกครั้งเพื่อเตรียมตัวสำหรับไปถ่ายทำครั้งนี้ สายตากลับสะดุดลงกับชื่อสถานที่ที่ดูคุ้นเคย 

“Some Stay? เรา…จะไปถ่ายกันที่นี่เหรอ?” ซอลเอ่ยถาม น้ำเสียงของเขาดูแปลกใจไม่ใช่น้อย 

“ใช่จ้ะ เป็นโฮมสเตย์ของผู้กำกับชื่อดังซอลน่าจะรู้จักเขานะคุณปัทน่ะ” จันทร์เจ้าตอบคำถามของซอลโดยที่ไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไป

สายตาซอลสื่อถึงความมีพิรุจไม่ใช่น้อยแต่เขาพยายามปกปิดไว้ไม่ให้ใครได้สังเกตเห็นมัน

“เห็นว่าเป็นธุรกิจที่ทำร่วมกับสามีใหม่นะ เขาเล่ากันว่าตั้งแต่เลิกกับสามีคนเก่ามาชีวิตก็ดีขึ้นแบบก้าวกระโดดเลย แต่ไม่รู้ว่าที่เขาลือกันน่ะเรื่องจริงหรือเปล่า” เสียงทีมงานคนหนึ่งพูดขึ้นต่อจากจันทร์เจ้าในทันทีและก็กลายเป็นการจับกลุ่มซุบซิบนินทาของทีมงานไปโดยปริยาย

“ข่าวลือที่เขาว่าคุณปัทเลิกกับสามีมาเกาะคนในวงการเพื่อไต่เต้าน่ะเหรอ?”

“แกก็พูดไป ถ้าพี่ออฟได้ยินเดี๋ยวก็โดนด่ากันหมดนี่หรอก”

“ถ้าปากมันว่างมากก็หาอะไรกินกันสักหน่อยไหม เผื่อจะหายหิวเรื่องชาวบ้าน” น้ำเสียงของซอลกำลังโกรธจัดพูดขัดขึ้นมากลางวงสนทนาทันที 

 

สายตาของซอลที่มองไปหาทีมงานเหล่านั้นเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวราวกับไม่ใช่ซอลที่ทุกคนรู้จัก เหล่านกกระจิบที่พากันซุบซิบนินทาเมื่อครู่เงียบลงอย่างกะทันหันและพากันหันหน้าหลบสายตาที่ดูพร้อมจะบีบพวกเขาให้ตายทีละคน

“ขอโทษนะ” ซอลเอ่ยปากขอโทษขึ้นก่อนที่จะเดินหนีออกมาจากตรงนั้น เหลือทิ้งไว้เพียงความเงียบที่แสนอึดอัดและสงสัยในห้องประชุมนั้น จันทร์เจ้าและพี่ออฟมองไล่หลังซอลไปด้วยความเป็นห่วง

 

ซอลเดินหนีขึ้นมาที่ที่เข้ารู้สึกปลอดภัยที่สุด สวนบนดาดฟ้าตึกเขาหวังว่าจะให้สายลมช่วยพัดเอาความโมโหให้จางหายไปจากใจที่ร้อนรน

 

‘ข่าวลือที่เขาว่าคุณปัทเลิกกับสามีมาเกาะคนในวงการเพื่อไต่เต้าน่ะเหรอ?’

 

คำพูดเหล่านั้นวนเวียนอยู่ในหัวของซอลจนทำให้เขาหงุดหงิดแบบหาที่ลงไม่ได้

“ใครทำพี่รหัสผมกลายร่างเป็นหมีดำครับเนี่ย” เสียงหวานกวนประสาทของทิวดังขึ้นพร้อมกาแฟในมือสองแก้ว

“เห็นเดินฟึดฟัดออกมาจากห้องประชุมเลยซื้อมาให้ครับ” เขายื่นกาแฟแก้วหนึ่งให้ซอลและหวังว่ามันจะช่วยให้ซอลที่กำลังโกรธเหมือนไปอารมณ์เย็นลงได้บ้าง

“พวกนกกระจิบพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดล่ะสิ”

“เขาไม่ผิดหรอก เขาไม่รู้นี่หน่า แต่ก็ดีแล้วแหละ” ต่อให้เขาไม่พูดกันก็พอรู้อยู่บ้างว่าข่าวลือเรื่องนี้มันแพร่สะพัดแค่ไหน

“อย่าใส่ใจเลยพี่ซอล เรารู้ดีอยู่แก่ใจว่าเรื่องเป็นยังไง” ทิวพยายามปลอบโยนซอลด้วยคำพูดดี ๆ แต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกน้อยลงสักเท่าไหร่

ทิวพยายามพูดคุยกับซอลเรื่องต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนประเด็นที่ทำให้ซอลไม่สบายใจ ทั้งสองสนิทสนมกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้วการหยอกล้อตามประสาพี่น้องจึงเป็นเรื่องปกติของทั้งคู่แต่กลับสร้างความไม่พอใจให้ใครบางคนที่บังเอิญผ่านมา…

 

หมาป่าเย็นชายืนมองมาจากประตูทางเข้าขณะที่กำลังจะเดินมาผ่อนคลายที่สวน ภาพตรงหน้าที่ทิวและซอลกำลังหัวเราะกันอย่างมีความสุขกลับทำให้เขารู้สึกเหมือนอยากกระโดดเข้าไปแทรกกลางระหว่างทั้งคู่ ความร้อนเริ่มแผ่เข้าปกคลุมทั่วใบหูก่อนที่จะลามมาที่ใบหน้าของเขา

 

‘ทำไมต้องยิ้มแบบนี้กับคนอื่นด้วย’

 

ประโยคคำถามที่อยู่ ๆ ก็แทรกเข้ามาในความคิด สายตาไร้อารมณ์แต่ในแววตากำลังฟ้องว่าเขาอิจฉาคนที่ได้รับรอยยิ้มแบบนั้นไป

 

เขาเดินกลับไปที่ห้องซ้อมพร้อมกับความหงุดหงิดนั้น ท่าทางเบื่อโลกที่เป็นปกติจนไม่มีใครรู้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ยกเว้นเพื่อนรักที่จับผิดได้ในทันที

“มึงไปหงุดหงิดอะไรมาอีก” จิ้งจอกหนุ่มเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ อย่างใจเย็นมุมปากยิ้มเยาะนั้นทำให้จุนยิ่งหงุดหงิดมากกว่าเดิม

“ถ้ามึงจำคนคนหนึ่งได้ขึ้นใจแต่เขากลับจำมึงไม่ได้ มึงจะทำยังไง?” หมาป่าถามเพื่อนของเขาทันทีที่ก้นแตะพื้น

“งั้นแปลว่าเราไม่สำคัญพอให้เขาจำ”

“แล้วถ้ากลับกัน มึงเป็นคนที่ลืมเขาซะเองจะทำไง?”

“ก็แปลว่าเขาไม่สำคัญมากพอให้เราจำไง” คำตอบที่แทบจะไม่ต้องผ่านการกลั่นกรองพรั่งพรูออกมาจากปากของคนที่มองทุกอย่างเป็นเรื่องเล่นกลับดูสมเหตุสมผล

“มึงจะไม่พยายามนึกถึงเขาหน่อยเหรอวะ?”

“ถ้าเขาสำคัญจริงก็คงจะไม่ลืม จริงไหมล่ะ?” คนที่ดูไร้สาระอย่างปั้นกลับทำให้จุนสะอึกกับคำตอบนั้น

 

‘สำคัญ…เหรอ’

 

“คนอย่างมึงมาถามเรื่องนี้ทำไม?” ถึงมือจะเล่นเกมแต่ความอยากรู้ก็ไม่อาจหยุดปากที่จะถามได้

“เรื่องของกู” จากที่นั่งถามเพื่อนอย่างจริงจัง จุนหันกลับมานั่งทิ้งตัวพิงกำแพงแล้วจมอยู่กับความคิดบางอย่างที่ยังคงติดค้างในใจ

 

 

ยิ่งใกล้วันออกเดินทางมากเท่าไหร่ความกังวลเริ่มปกคลุมมากขึ้นเท่านั้น ขณะที่กำลังเก็บกระเป๋าความคิดต่าง ๆ เริ่มเข้ามาแทรกในหัวของซอล ห้องที่เงียบงันกับไฟส้มดวงเดิมส่งบรรยากาศให้รู้สึกถึงความเครียด

 

//ก๊อก ๆ //

 

เสียงเคาะประตูดังขึ้นมาหยุดความคิดของซอลไว้ เขาวางผ้าที่กำลังพับไว้ที่กระเป๋าแล้วลุกไปเปิดประตูห้องนอน

“นี่ยาแก้แพ้กับแก้เมารถ แล้วไม่ไปด้วยกันซะเลยล่ะพี่ซอล” น้องชายเอายาที่ซอลต้องใช้ประจำเมื่อต้องเดินทางไกลมาให้เพราะรู้ว่าพี่ตัวเองมักจะลืมของสำคัญพวกนี้ ซีเดินเข้ามาในห้องเพื่อช่วยพี่จัดการเก็บของเพิ่มเติม ทั้งสองคนนั่งลงกับพื้นห้องแล้วช่วยกันพับเสื้อผ้าเข้ากระเป๋า

“ซอลไปทำงานนะ จะให้ไปกับน้องได้ไง ต้องไปเช็กความเรียบร้อยที่ออฟฟิศด้วย” ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวลเด่นชัดจนคนเป็นน้องสังเกตได้

“เครียดเรื่องนั้นเหรอ?” เด็กแว่นถามด้วยความอ่อนโยน

“ก็นิดหน่อย คิดว่าถ้าพวกเขารู้จะเป็นยังไง”

“เรื่องของเขาเถอะ เราไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย แต่ถ้าหากเขาทำอะไรล้ำเส้นก็บอกซีนะ” ซีตอบแบบน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย แม้จะดูเป็นคนใจเย็นหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวเด็กคนนี้ก็พร้อมจะร้อนเป็นไฟได้เสมอ แต่คนที่เย็นเป็นน้ำมักจะเป็นฝ่ายพี่เสียมากกว่า

“แล้วน้องจะไปวันไหน?”

“ก่อนหน้าพวกพี่ซอลหนึ่งวันน่ะ”

 

ความเงียบถูกคั่นกลางบทสนทนาครู่หนึ่ง มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศเท่านั้นที่ดังอยู่เวลานี้

 

“อย่ากังวลให้มันมากเลย คิดซะว่าไปเที่ยวพักผ่อนละกัน แล้ว…ดาราสวย ๆ ไปกันเยอะไหม ฮ่า ๆ” ซีเห็นว่าพี่หมีของเขากำลังคิดมากเกินความจำเป็นจึงเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อทำลายความเครียดนั้น หวังว่าพี่ซอลจะไม่เก็บอะไรมาใส่ใจเพิ่มนะ

 

เสียงหัวเราะเฮฮาของสองพี่น้องดังคึกคักขึ้นในยามดึกที่เต็มไปด้วยความเงียบ น้องชายสุดเนิร์ดของเขารู้ดีว่าเขาควรทำอย่างไรเพื่อเรียกรอยยิ้มของคนเป็นพี่กลับมาและเขาก็ทำได้ดีเสียด้วย แม้จะเพียงเล็กเล็กน้อยหากทำให้พี่อารมณ์ดีขึ้นเขาก็พร้อมที่จะทำ

  

คืนเดียวกันที่คอนโดหรูแทนที่จะเงียบสงบเหมือนที่อื่น ๆ กลับมีเสียงชายหนุ่มสองคนกำลังโต้วาทีกันอย่างเอาตาย ไม่รู้ว่าเป็นการพูดคุยของเพื่อนรักหรือพวกเขากำลังทะเลาะกันอยู่

“มึงก็เอาเสื้อมึงไปสิจะมายุ่งกับของกูทำไม”

“ก็อยากใส่ตัวนี้อย่าขี้งกกับเพื่อนหน่อยเลย”

“แล้วทำไมกูต้องตามใจมึงด้วย!”

“ถ้าเลิกคบกู มึงก็ไม่มีเพื่อนแล้วนะจุน”

 

ปั้นดูแลจุนเสมือนเขาเป็นคนในครอบครัวเสมอ ความอบอุ่นที่ร้อนดั่งไฟเมื่อทั้งคู่อยู่ด้วยกันทีไรจะต้องมีเรื่องให้เถียงกันประจำเป็นสีสันในชีวิตของทั้งคู่ไปเสียแล้ว

“มึงจำเด็กเมื่อสามปีก่อนได้ไหม?” จู่ ๆ จุนก็ถามเรื่องในอดีตขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย 

 

แม้ปากจะเถียงกับเพื่อนเรื่องเสื้อผ้าที่ถูกแย่งไปแต่ในสมองกลับพยายามค้นหาเรื่องราวที่จมลึกอยู่ก้นบึ้งของความทรงจำตลอดเวลา

 

“ที่มึงเจอตรงทางเดินตึกเก่าน่ะเหรอ” ปั้นกลับจำได้ทันทีแม้มันจะไม่ใช่เรื่องของตัวเองก็ตาม

“ทำไมมึงรู้?” หมาป่าละสายตาจากกองเสื้อผ้าตรงหน้า เขาหันกลับมามองหน้าปั้นด้วยความสงสัย

“ถ้าย้อนกลับไปตอนนั้น มึงพูดถึงเด็กคนนี้บ่อยจนกูจำขึ้นใจเลยนะ ตอนนั้นมึงเป็นห่วงคนแปลกหน้าแบบที่กูก็ไม่เข้าใจ” ปั้นตอบกลับแม้มือจะยังคงพับผ้าใส่กระเป๋าต่อ

“มึงห่วงว่าเขาจะหยุดร้องไห้หรือยัง เขาจะโอเคไหม คำพูดของมึงจะเป็นกำลังใจให้เขาได้ไหม สารพัดพูดทั้งวัน ขนาดที่ว่ามึงต้องเดินกลับไปหาเขาอีกครั้งเลยนะ แต่สุดท้ายก็ไม่เจอ”

“เหรอวะ? กูจำไม่เห็นได้” เขายกมือขึ้นเกาที่ใบหน้าเบา ๆ สายตาบ่งบอกว่าเขากำลังงุนงงเล็กน้อยกับเรื่องที่เพื่อนเล่ามา นั่นใช่ตัวเขาจริง ๆ หรือเปล่า

“แล้วทำไมอยู่ดี ๆ พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา หรือเจอเจ้าตัวแล้ว?” จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ทิ้งเสื้อที่กำลังพับแล้วกระโจนเข้าหาเพื่อนหมาป่าด้วยความอยากรู้

 

จุนนั่งลงที่เตียงก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ภายในใจเขารู้สึกผิดที่จำเรื่องราวเหล่านั้นไม่ได้ แต่เขาก็ยังค้างคาใจกับความรู้สึกที่มากมายขนาดนี้

 

แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ที่จุนพยายามหาคำตอบ

“มึงรู้ตัวไหมว่ามึงเปลี่ยนไปเยอะตั้งแต่เกิดเรื่องครั้งนั้น กูไม่แปลกใจหรอกถ้ามึงจะจำเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ในตอนนั้น…เขาคงไม่สำคัญมากพอให้มึงจำก็ได้” ปั้นทิ้งตัวลงนอนแล้วพูดด้วยสีหน้ามีเลศนัย มุมปากยกยิ้มเบา ๆ

 

สายตาของเขาจับจ้องไปยังแผ่นหลังของเพื่อนตัวดีที่กำลังนั่งถอนหายใจอยู่ข้าง ๆ

“แต่ตอนนี้เขาคงสำคัญสำหรับมึงแล้วสินะ” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ฉีกกว้างขึ้น เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

“อะไรทำให้มึงมั่นใจขนาดนั้น” จุนพูดพลางมองด้วยหางตา

คำพูดของปั้นทำให้เขารู้สึกประหม่า แก้มทั้งสองข้างเริ่มเป็นสีแดงก่ำอย่างไร้สาเหตุ หัวใจสั่นไหวราวกับเขากำลังกลัวอะไรบางอย่าง

 

ปั้นลุกขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากได้ยินประโยคนั้นราวกับรอมานาน

“นอกจากงานแล้วมึงเคยรู้เรื่องอะไรบ้าง?”

จุนเบิกตากว้างด้วยความตกใจที่เพื่อนเด้งตัวขึ้นมาอย่างที่เขาไม่ทันตั้งตัว สายตาเปลี่ยนเป็นความงุนงงความคิดของเขาตั้งคำถามว่า 

 

‘มีอะไรที่ยังไม่รู้บ้าง งั้นเหรอ ?’

 

“ทำหน้าแบบนี้แสดงว่ายังไม่รู้ตัว” ปั้นหันมานั่งคุยกับจุนด้วยท่าทางจริงจัง

“ตั้งแต่เด็กมึงเป็นคนอารมณ์ดี อ่อนโยนแล้วก็ยิ้มเยอะกว่านี้”

 

จุนนั่งนึกย้อนกลับไปตามคำพูดของเพื่อนอย่างตั้งใจใบหน้านิ่งเฉยยังคงเป็นเอกลักษณ์เมื่อเขากำลังใช้ความคิด

 

“แล้วพอเราเริ่มเป็นเด็กฝึก มึงก็ยิ้มน้อยลง แต่ถ้ามึงสนใจใครมาก ๆ นะมึงก็จะพูดถึงคนคนนั้นแล้วก็ยิ้มทั้งวันแถมใส่ใจเขาเป็นพิเศษด้วย” ปั้นพูดร่ายยาวเกี่ยวกับตัวของจุนแบบที่เจ้าตัวเองยังตกใจ

“ตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นมามึงก็เปลี่ยนเป็นคนละคน นอกจากกูแล้วมึงก็ไม่เคยทำแบบนั้นกับใครอีกเลย จนกระทั่ง…มึงเจอซอล” 

 

ริมฝีปากพูดไปยิ้มไปเมื่อนึกถึงเพื่อนรักคนดีในอดีต ปั้นรู้สึกว่าพักนี้จุนเริ่มจะกลับไปเป็นจุนคนเดิมแต่เป็นกับใครบางคนเท่านั้น

“มึงยอมรับเถอะว่ามึงกำลังตกหลุมรักเขาอยู่”

 

จุนชะงักเล็กน้อยเมื่อจิ้งจอกพูดมากเอ่ยประโยคสุดท้ายออกมา คำพูดนั้นทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างช้า ๆ เขานั่งนึกถึงตัวเองในอดีตรอยยิ้มบนใบหน้าที่หายไปเริ่มกลับมาทุกครั้งที่เขานึกถึงซอล

“แค่คนที่บังเอิญรู้จักกันหลายปีก่อนนี่นะ กูไม่ใช่มึงที่รักไปทั่ว” แม้จะเป็นอย่างนั้นเขายังคงปฏิเสธความรู้สึกตัวเองทุกครั้ง

“มึงไม่ต้องยอมรับตอนนี้ก็ได้นะ เดี๋ยวถึงเวลามึงจะรู้เอง” ปั้นพูดจบก็ยกมือขึ้นมาตบบ่าเพื่อนเบา ๆ ก่อนจะลุกไปเก็บของที่ที่ค้างไว้จนเสร็จ

 

‘ถึงเวลาจะรู้เอง? ...’

 

ตลอดทั้งคืนนั้นจุนเอาแต่คิดเรื่องที่ปั้นพูดจนไม่สามารถหลับตานอนได้

“คำพูดตอนนั้นทำไมซอลถึงยึดติดกับมันขนาดนี้นะ”

จุนเริ่มหงุดหงิดเพราะหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เสียที เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะเปิดเพลงฟังหวังกล่อมตัวเองให้หลับ ซองจดหมายที่ถูกทับไว้ถูกปัดตกลงมาโดยไม่ตั้งใจ

 

ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียงเพื่อจะมาเก็บมันขึ้นมาแต่สายตาต้องสะดุดกับรอยปากกาเล็ก ๆ ที่อยู่หลังซอง เขาไม่เคยสังเกตเห็นมันมาก่อน

 

จดหมายเก่าฉบับหนึ่งที่ได้รับเมื่อนานมาแล้ว เนื้อความข้างในเต็มไปด้วยกำลังใจและคำพูดที่ทำให้เขารู้สึกดีทุกครั้งเมื่อมีเรื่องไม่สบายใจ จุนมักจะอ่านมันบ่อย ๆ จนต้องเอาไว้ที่หัวนอน

 

‘นี่มัน…กุญแจซอลงั้นเหรอ?’

 

แววตาเริ่มเบิกกว้างขึ้นเมื่อเขานึกเรื่องบางอย่างได้ เรื่องราวในอดีตที่หลงเหลือไว้เพียงร่องรอยจาง ๆ ความทรงจำที่ถูกเก็บซ่อนไว้ภายในจิตใจกำลังชัดเจนขึ้น

หน้าอกเริ่มรู้สึกถึงความอบอุ่นถูกส่งออกมาจากหัวใจราวกับน้ำแข็งที่ถูกปกคลุมค่อย ๆ ละลายลง รอยยิ้มผลิบานบนใบหน้าดั่งดอกไม้แรกแย้ม ดูเหมือนว่าเขากำลังปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดเข้าด้วยกัน

 

อาจจะไม่สำคัญมากพอให้จดจำแต่

ทุกเรื่องราวมักจะทิ้งร่องรอยไว้เสมอ