"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ
รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ชาย-ชาย,ครอบครัว,พระเอกคลั่งรัก,เพื่อนสนิท,เพื่อนรัก,มิตรภาพ,ปัญหารุมเร้า,ครอบครัว,ความรัก,รัก,รักดราม่า,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ความมืดสุดท้าย : Final Shadow"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ
ทุกคนล้วนมีความลับที่ปิดไว้
แต่ความลับ…ไม่มีในโลก
เช้ามืดที่มีเพียงแสงไฟริมทางยังคงสว่างอยู่ ความเงียบปกคลุมทั่วทุกบ้าน ท้องถนนมีรถสัญจรเบาบางเนื่องจากเป็นวันหยุด หลายคนยังคงนอนหลับพักผ่อนอย่างสบายบนเตียงที่แสนอบอุ่น
“ไปแต่เช้าแบบนี้เลยเหรอซอล?” คุณย่าเอ่ยถามเมื่อเห็นหลานคนโตหิ้วกระเป๋าใบค่อย ๆ ลงมาจากบันได
“ต้องไปดูความเรียบร้อยก่อนรถออก…อึ๊บ…เลยว่าจะไปเร็วหน่อยน่ะ” ซอลอึกอักตอบกลับก่อนจะยกสัมภาระก้อนใหญ่วางบนพื้น
“เป็นเด็กฝึกงานต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ” ความเป็นห่วง
ซอลยิ้มพร้อมกอดคุณย่า ความอบอุ่นส่งผ่านอ้อมกอดของทั้งคู่
“คุณย่าก็รู้ว่าซอลทุ่มเทให้กับงานนี้ขนาดไหน” เขาลูบแขนคุณย่าเบา ๆ อย่างอ่อนโยน
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ซอลไม่อยู่หลายวันดูแลตัวเองด้วย” หมีน้อยหอมแก้มฟอดใหญ่ส่งท้ายก่อนออกจากบ้านไป
ทุกคนที่อยู่ใกล้บริษัทเลือกจะมารวมตัวกันที่ตึกเพื่อไปพร้อมกัน ท้องฟ้าเริ่มสว่างสดใส สายลมเย็นพัดเบา ๆ ทำให้บรรยากาศดูสดชื่นมากขึ้น รถตู้สีดำจอดรออยู่หน้าตึกตั้งแต่เช้าตรู่ ทีมงานทุกคนทยอยขึ้นรถเพื่อเตรียมตัวไปยังสนามบิน ครั้งนี้เป็นการเดินทางไกลครั้งแรกของซอลในการฝึกงาน
ทิวเด็กแสบขอเลือกที่ข้างตัวพี่รหัสของเขาบนเครื่องบิน
“เห็นทีมงานคุยกันว่าพี่มาแต่เช้าเลยนี่ ถ้าง่วงซบที่ไหล่ผมได้เลยนะ” เด็กน้อยพูดด้วยรอยยิ้มสดใสสายตาที่ส่งมาให้พลังบวกเต็มเปี่ยมพร้อมเอามือจับหัวพี่หมีมาซบที่ไหล่
“ทำตัวดี ๆ เราเป็นดารานะ หึ” ซอลเอียงหัวออกก่อนจะใช้นิ้วเรียวสวยดันไปที่หน้าผากทิว รอยยิ้มบนใบหน้าฉีกออกเป็นเส้นตรงรังสีความน่ากลัวแผ่ออกจนสัมผัสได้
ความเครียดเริ่มก่อตัวบนใบหน้าอีกครั้ง คิ้วเริ่มผูกปมกันอย่างไม่รู้ตัว ความกังวลและอึดอัดมารวมกันที่คิ้วสวยคู่หนึ่งอย่างเห็นได้ชัด ซอลนั่งเอาหัวเบาะแววตาเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายคล้ายกับความเขากำลังกลัวบางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่อยากจะให้มาถึง
“เดี๋ยวก็แก่ก่อนวัยกันพอดี” นิ้วชี้ของมือหนาทั้งสองข้างลูบคิ้วที่ผูกกันออกแบบเบามือ สัมผัสที่ทำให้ซอลรู้สึกผ่อนคลาย นิ้วหัวแม่มือค่อย ๆ นวดเป็นวงกลมที่ขมับ
“ทำอะไรน่ะ?” ซอลตกใจเล็กน้อยกับสิ่งที่จุนทำแต่เขากลับรู้สึกสบายขึ้นแม้จะไม่มากแต่ทำให้อาการปวดหัวทุเลาลง
“เมาเครื่องใช่ไหม?” จุนเอามือกลับมาหยิบยาแก้เมารถที่ซอลลืมไว้บนโต๊ะหน้าตึกเมื่อเช้านี้มาให้
“ของสำคัญขนาดนี้ยังจะลืมได้…ทีบางเรื่องน่ะจำได้ดีเชียวนะ”
“ยุ่งน่ะ แล้วทำไมต้องเป็นนายที่นั่งตรงนี้ด้วยนะ” ซอลรีบดึงยามาจากมือจุนมากินแล้วพักสายตาไป
“มานั่งริมหน้าต่างนี่ อาการจะได้ดีขึ้น” จุนจับร่างเล็กให้ลุกขึ้นเพื่อที่จะสลับกับที่นั่งของเขาโดยที่ไม่ถามความสมัครใจของคนข้าง ๆ สักคำ
ปลายจมูกเฉียดกับหน้าอกนิ่มคู่ใหญ่ ความตกใจทำให้ดวงตาเบิกกว้าง กลิ่นน้ำหอมที่ให้ความรู้สึกเย็นสบายผ่อนคลายลอยเข้าเต็มปอด ซอลแทบหยุดหายใจในทันที เขาค้างอึ้งอยู่แบบนั้นชั่วครู่ก่อนจะถูกกดบ่าให้นั่งลง สิ่งที่ซอลทำสร้างความประหลาดใจให้เพื่อนร่วมวงที่นั่งอยู่ด้านหลัง
“นอนพักไปก่อนอีกสักพักกว่าจะถึง” จุนทิ้งตัวลงก่อนจะพูดแบบไม่มองหน้าซอล
“อะ…อืม” ซอลถึงกับพูดไม่ออกกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วินาทีที่แล้ว เขารีบใส่ผ้าปิดตาแล้วนอนคลุมผ้ามิดถึงศีรษะ
“พี่ปั้นช่วงนี้พี่จุนดูแปลกไปหรือเปล่าครับ หรือริวคิดไปเองครับ?” คุณหนูริวกระซิบถามปั้นด้วยเสียงเบา
“หึ ๆ ไม่นะก็ปกตินี่” น้ำเสียงสูงขึ้นเล็กน้อยราวกับจะสื่อว่า มันไม่ปกตินั่นแหละ
“น้องริวครับ เดี๋ยวจุนอย่างเล่ามันก็คงเล่าเองแหละครับ” พี่นายเอ่ยเสริมคำตอบของปั้นเป็นการย้ำการกระทำที่เปลี่ยนไปของเพื่อน
ริวพยักหน้าและอมยิ้มอย่างรู้ทัน ทุกคนรับรู้ถึงสิ่งที่ต่างออกไปจากเดิมของเพื่อนร่วมวงคนนี้แม้กระทั่งตัวทิวที่เดินกลับมาจากห้องน้ำ
ทิวมองด้วยความแปลกใจที่เห็นจุนกับซอลสลับที่กันแต่ก็ไม่เอ่ยถามอะไรเพราะเจ้าตัวก็ทราบถึงอาการเมาเครื่องของพี่รหัสตัวเองดี เด็กน้อยร่าเริงตอนนี้เขากลับทำหน้าซึมเล็กน้อยที่ข้าง ๆ ไม่ใช่พี่คนสนิทของตัวเอง
‘ผมอยากดูแลพี่ซอลบ้างนี่หน่า…’
เมื่อเครื่องลงจอดที่สนามบินเชียงใหม่ รถของทีมงานที่ล่วงหน้ามาก่อนก็มารอรับที่ด้านหน้าเรียบร้อยแล้ว ลมพัดโชยมาสัมผัสผิวกาย ทุกคนต่างรู้สึกเย็นสบายราวกับอยู่คนละโลกกับกรุงเทพฯ ท้องฟ้ายามเช้าถูกปกคลุมไปด้วยเมฆ แสงแดดส่องลงมาอ่อน ๆ ราวกับภาพวาดในจินตนาการที่หาดูยาก
อาการเมาเครื่องยังคงไม่หายดีถึงอย่างนั้นซอลก็ยังต้องนั่งรถเพื่อเดินทางต่อแบบที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ ลมที่ตีขึ้นเหมือนทุกอย่างมาจุกอยู่ที่คอจนต้องวิ่งไปหาที่ระบาย ทิวรีบวิ่งตามไปดูแลอย่างใกล้ชิด
การเดินทางไปโฮมสเตย์เป็นไปอย่างเงียบสงบ ทิวดูแลซอลที่กำลังเมารถด้วยความใส่ใจ รถเคลื่อนตัวผ่านทางคดเคี้ยวท่ามกลางภูเขาเขียวขจี ลมเย็นพัดเข้ามาทางหน้าต่าง ทิวมองซอลที่นั่งพิงตัวเอง ใบหน้าซีดเซียวทำให้ทิวต้องช่วยลูบหลังเบา ๆ
“อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว ทนอีกหน่อยนะพี่”
ทิวพูดด้วยเสียงอ่อนโยน ซอลพยักหน้าเล็กน้อย แม้จะพยายามฝืนตัวเองไม่ให้แย่ไปมากกว่านี้
เมื่อรถจอดลงที่โฮมสเตย์ ทุกคนต่างก้าวลงจากรถพร้อมกระเป๋าเดินทาง ซอลค่อย ๆ ออกมาจากรถอย่างระมัดระวัง หวังว่าจะไม่ทำให้ตัวเองดูแย่ไปมากกว่านี้ สถานที่ที่พวกเขามาถึงเต็มไปด้วยความสงบและสวยงาม บ้านพักตั้งอยู่บนเนินเขา มองเห็นวิวทะเลหมอกที่ไกลลิบตา
ทันทีที่ลูกน้องของแม่ซอลเห็นซอลก็จำได้ในทันที
“อ้าว น้องซอล! ไม่เจอกันนานเลยนะ”
เขาทักทายอย่างสนิทสนม แต่ซอลทำเพียงยิ้มบาง ๆ และพยายามหลบเลี่ยงการสนทนาให้เร็วที่สุด
เมื่อรับกุญแจห้องเขาหันหลังเดินไปยังห้องพักของตัวเองโดยไม่รอใคร ทั้งความรู้สึกอึดอัดและความกลัวที่จะถูกจับจ้องเพราะความสัมพันธ์ของเขากับแม่ที่เป็นผู้กำกับใหญ่ทำให้ซอลพยายามทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุด
คืนนั้น ทุกคนต่างแยกย้ายไปพักผ่อนก่อนจะเริ่มงานในวันรุ่งขึ้น แต่พี่ออฟ จันทร์เจ้า และซอลยังคงนั่งพูดคุยกันเรื่องงานที่ต้องเตรียมสำหรับการถ่ายทำในวันพรุ่งนี้
“พี่อยากให้เราเตรียมพร้อมเรื่องโลเคชั่นอีกทีนะซอล พรุ่งนี้เราจะถ่ายซีนสำคัญกัน” พี่ออฟพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ได้พี่ เดี๋ยวซอลตรวจสอบให้อีกครั้งก่อนนอน” ซอลตอบด้วยความมุ่งมั่นเช่นเดิม แต่ในใจก็ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับการที่ต้องเผชิญหน้ากับแม่ในวันถัดไป
หลังจากคุยงานเสร็จ ซอลเดินออกมานั่งที่ชิงช้าหน้าบ้านพัก เขามองออกไปยังทิวทัศน์ที่สวยงามแต่ความคิดภายในกลับปั่นป่วนไม่หยุด ก่อนที่ทิวเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ
“พี่ซอล คิดอะไรอยู่เหรอ?” เขาถามเสียงเรียบ ขณะที่ซอลถอนหายใจเบา ๆ
“ก็แค่คิดเรื่องงานน่ะ…” ซอลตอบกลับอย่างเลี่ยง ๆ เขาไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขากังวลมากแค่ไหน
ไม่นานนัก ซีกับมีนก็เข้ามาสมทบ
“ไงพี่ทิวมาด้วยเหรอ ตามจีบพี่ซอลอีกแล้วนะ” ซีพูดอย่างอารมณ์ดี ท่ามกลางเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นของมีน
“อ้าว มาเที่ยวกันเหรอ?” ทิวแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นน้องชายของซอลที่นี่
“คะครับ…ซีถามพี่ซอลมาน่ะเห็นว่าจะมาที่นี่กันเลยตามมา นาน ๆ จะได้มาเที่ยวกับพี่สักครั้ง ว่างไม่ค่อยตรงกันน่ะครับ” ซีตอบเออออไปกับทิวเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต
“แล้วกองจะอยู่ถึงวันเตียวขึ้นดอยไหมคะ?” มีนถามเปลี่ยนประเด็น ท่าทางยิ้มแย้มสดใส
“อยู่นะ พี่ออฟบอกว่าจะอยู่ทำบุญแล้วเที่ยวต่ออีกวันค่อยกลับน่ะ ถ่ายคิวสุดท้ายพอดีเลยพอมีเวลา”
ทั้งสี่คนนั่งคุยเล่นกันเบา ๆ ท่ามกลางอากาศเย็นสบายของคืนในป่า จุนที่ยืนอยู่ไกล ๆ มองพวกเขาด้วยสายตาที่บอกไม่ถูก ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเขา แต่เขายังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร
ริวที่เดินเข้ามาจากทางข้างหลังจับบ่าจุนเบา ๆ
“ถ้าชอบเขา ก็บอกเขาไปเถอะครับ อย่าปล่อยให้มันสายไปจนต้องมานั่งเสียใจทีหลังนะ” ริวพูดเรียบ ๆ แต่แฝงไปด้วยความเข้าใจในความรู้สึกของพี่ชาย
จุนหันไปมองริว สายตาเต็มไปด้วยความสับสน เขารู้ว่าความรู้สึกนั้นมันแปลกไป แต่เขากลับไม่รู้จะจัดการกับมันยังไง
“พี่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเหมือนกัน…” จุนตอบเบา ๆ ก่อนจะหันกลับไปมองซอลที่ยังคงหัวเราะเล่นกับน้อง ๆ
ยิ่งมองความรู้สึกบางอย่างในใจของจุนก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ แม้จุนจะพยายามหลบเลี่ยงไม่ให้ตัวเองเข้าใกล้ความรู้สึกนี้ แต่เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้
“จะลองคิดดูแล้วกัน” จุนพูดกับริว ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องพักของตัวเอง ทิ้งความรู้สึกค้างคาใจไว้ในใจที่ยังไม่มีคำตอบ
ในขณะที่ซอลนั่งอยู่กับทิว ซี และมีน ความสบายใจที่ได้รับจากการได้อยู่กับคนที่รักและไว้ใจก็ทำให้ซอลรู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่ในใจลึก ๆ เขาก็ยังรู้สึกกังวลเรื่องของแม่ที่ยังค้างคาอยู่
“พรุ่งนี้ถ่ายงานที่นี่จะเป็นยังไงบ้างนะ” ซอลพูดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ
ทิวหันมามองซอล
“พี่ซอลเคยบอกว่าเคยมาที่นี่บ่อยใช่ไหม? ที่นี่สวยมากเลยนะ ดูเหมาะมาก ๆ กับสารภาพรักเลย”
“อืม…เมื่อก่อนมาบ่อยมาก พอเริ่มโตก็ไม่ค่อยมีเวลามาไม่คิดว่าจะได้มาอีกด้วยซ้ำ” ซอลพยักหน้าเบา ๆ น้ำเสียงเศร้าเล็กน้อยเมื่อนึกถึงความหลัง
“แล้วคุณแม่จะมาวันไหนนะ” มีนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกำลังอยากรู้อยากเห็นขณะที่ซีได้แต่เอาศอกกระทุ้งแขนมีนเบา ๆ ให้เลิกถามเรื่องแม่
ซอลเงียบไปครู่หนึ่ง เขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้นัก เพราะรู้ดีว่าการที่เจอแม่จะทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัดมากขึ้น แม้เขาจะไม่ได้มีปัญหากับแม่ในเรื่องส่วนตัว แต่การถูกจ้องจับผิดเรื่องที่เขาได้เข้ามาทำงานในวงการนี้ก็ทำให้เขาไม่สบายใจ
“คุณแม่เหรอ? แม่พี่จะมาเที่ยวด้วยกันเหรอ? แล้วทำไมไม่มาพร้อมกันล่ะ” กระต่ายน้อยอยากรู้อยากเห็นเอ่ยถามไม่เว้นช่องไฟ
“เปล่าน่ะไม่มีอะไรหรอก” ซอลตอบกลับเบา ๆ สายตาที่จ้องมองไปในความมืดทำให้คนอื่นรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ลึก ๆ มีนได้แต่ยกมือขึ้นขอโทษแบบไม่มีเสียง
จุนกลับไปถึงห้องพัก เขานั่งลงที่เตียงและคิดทบทวนเรื่องราวในวันนี้ ภาพของซอลที่นั่งอยู่บนชิงช้ายังวนเวียนอยู่ในหัวของเขา รอยยิ้มและท่าทางสบายใจของซอลทำให้จุนรู้สึกเหมือนเห็นซอลในอีกมุมหนึ่งที่เขาไม่เคยได้เห็นมาก่อน มุมที่อบอุ่นและน่าค้นหา
“กูต้องทำยังไงกับความรู้สึกนี้วะ” จุนพึมพำกับตัวเองเบา ๆ แต่แล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“พี่ยังไม่เลิกคิดอีกเหรอครับ?” ริวเปิดประตูเข้ามาเอาของที่ลืมไว้แล้วถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของพี่ชาย
จุนหันไปมองริวก่อนจะถอนหายใจ
“พี่ยังไม่เข้าใจตัวเองเลยว่ารู้สึกยังไง”
ริวนั่งลงข้าง ๆ จุน มือของเขาวางลงบนไหล่อย่างปลอบโยน
“พี่ต้องเผชิญหน้ากับมันสักวันนะ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกอะไร…ไม่งั้นมันจะยิ่งค้างคาแบบนี้ไปเรื่อย ๆ”
จุนฟังคำพูดของริวแล้วเงียบไป เขารู้ดีว่าที่ริวพูดนั้นเป็นความจริง และยิ่งเขาหนีความรู้สึกนี้นานเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างดูยากขึ้นเท่านั้น
“พรุ่งนี้ลองคุยกับพี่ซอลดูสิ…ไม่ต้องพูดเรื่องความรู้สึก แค่ชวนคุยเรื่องอื่นก็พอ พี่จะได้เริ่มเข้าใจตัวเองบ้าง” ริวพูดเสริมก่อนจะลุกขึ้นเตรียมตัวกลับห้อง
จุนพยักหน้าเบา ๆ เขาหยิบจดหมายฉบับเก่าขึ้นมามองไปที่รอยปากกามุมซอง ในหัวเกิดคำถามที่เขาสงสัยมาหลายวัน
‘หรือว่าเป็นซอลจริง ๆ นะ’
ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนพร้อมกับความคิดมากมายในหัว เขาหลับตาลงช้า ๆ แต่ภาพของซอลยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดนั้น จนเผลอหลับไปด้วยความรู้สึกสับสน
ยามเช้าถูกปกคลุมด้วยหมอกบาง ๆ ลมเย็นพัดเป็นระยะ อากาศบริสุทธิ์ถูกสูดเข้าเต็มปอด ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีสีเขียวของแมกไม้ ตัดกับสีขาวของเมฆและสีฟ้าครามสดใส ภาพตรงหน้าราวกับอยู่ในนิยายรัก พระอาทิตย์เริ่มสาดแสงให้ความอุ่นเล็ก ๆ
ซอลตื่นแต่เช้ามาชมตะวันขึ้นกลางทะเลหมอก มือทั้งสองข้างกุมแก้วกาแฟเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย เขายืนมองวิวตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม ในหัวหวนนึกถึงอดีตที่เคยมาหาแม่ที่นี่
“ซอล…เป็นไงบ้าง? ทำไมจะมาไม่บอกแม่ เมื่อวานจะได้ยกเลิกงานแล้วรีบกลับมา” เสียงหญิงวัยกลางคนดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“แม่…สบายดีนะ” ซอลเดินเข้าไปกอดผู้เป็นแม่อย่างอ่อนโยน
“ซอลสบายดี ยังทำงานหนักเหมือนเดิมเลยนะ” หมีน้อยตอบกลับด้วยรอยยิ้มร่าเริงก่อนจะหุบยิ้มลงเล็กน้อย
“ที่ฝึกงานเลือกที่นี่เป็นโลเคชั่นถ่ายซีนสุดท้ายน่ะ ก็เลยไม่ได้บอกก่อน” สีหน้าเริ่มกังวลขึ้นจนออกชัดทางสายตา
“ทำหน้าแบบนี้ ยังไม่มีใครรู้ใช่ไหม?” ทั้งสองย้ายตัวมานั่งคุยกันที่โต๊ะไม้ข้างบ้าน
บรรยากาศตรงหน้าดีเสียจนไม่อยากพูดเรื่องหนักใจ
“อืม ยังไม่ได้บอกใครน่ะ ฮ่า ๆ คิดถึงแม่จัง” เขามักกลายเป็นเด็กสามขวบเมื่อได้อยู่กับแม่ อ้อมกอดนี้ที่คิดถึง ความอบอุ่นแสนสบายใจ
ทั้งคู่ยังคงคุยกันตามประสาแม่ลูก จนกระทั่งทีมงานเริ่มทยอยออกมาเตรียมตัวทานอาหารเช้าแล้วบังเอิญเห็นซอลนั่งคุยกับแม่เข้า ทีมงานคนหนึ่งเริ่มหัวข้อซุบซิบขึ้น
“แม่เหรอ? …ซอลเป็นลูกคุณปัทหรือนี่?!”
“ไม่น่าล่ะ เวลาทำงานดูอวดเบ่งใช่ย่อย”
“มีแม่คอยดันหลัง ทำอะไรก็เลยไม่กลัวสินะ”
“แล้วมันใช่เรื่องของพวกเธอหรือไง?” พี่ออฟเดินมาได้ยินเรื่องที่ทีมงานคุยกันทำให้มดแตกรังในทันที
“พี่ออฟ เจ้าว่าต้องเป็นเรื่องแน่” จันทร์เจ้าพูดกระซิบ เธอเป็นกังวลว่าเรื่องนี้จะสร้างความอึดอัดภายในกอง
“ไม่หรอก ซอลคงมีวิธีจัดการพวกนกกระจิบพวกนั่นแหละ” พี่ออฟมองไปที่โต๊ะไม้ตัวนั้นเฝ้ามองเด็กปั้นของเขาด้วยสายตาที่เป็นห่วง
ซอลเดินกลับเข้ามาทานอาหารเช้าเหมือนคนอื่น ๆ เขารู้สึกได้ถึงสายตาที่เปลี่ยนไปของทีมงานหลายคนในห้องอาหารนั้น เสียงนินทาที่เข้าหูเบา ๆ ทำให้เขารู้สึกอึดอัด ก่อนจะรีบตักอาหารและไปนั่งร่วมโต๊ะกับพี่ออฟ
ซอลพยายามกลบความกังวลเหล่านั้นไว้ก่อนที่จะไม่มีสมาธิทำงาน แต่สายตาและเสียงนินทาโดยรอบทำให้เขาสติหลุดแทบทนไม่ไหว
“พี่ซอลโอเคไหม?” กระต่ายหนุ่มเดินเข้ามาถามอย่างเป็นห่วง
“แล้วทำไมพี่ต้องไม่โอเคด้วย” ซอลตอบคำถามทิวอย่างสงสัย
“ก็เรื่อง…แม่พี่” ทิวพูดเบา ๆ
“พี่ก็ไม่ได้ทำอะไรผิด มีแต่คนที่ทำให้พี่อึดอัดนี่แหละที่ต้องรู้สึกผิด” ซอลกลับพูดเสียงดังลั่นแม้แต่ทีมงานที่เตรียมโลเคชั่นอยู่ไกล ๆ ก็ยังได้ยินชัดเต็มสองหู
“พูดก็พูดให้ได้ยินสิ กระซิบกันทำไมจะได้ตอบถูก ใช่ ซอลเป็นลูกคุณปัท อยากรู้อะไรอีกไหม?” หมีขาวพูดด้วยความโมโหจนเกินทน เขาพรั่งพรูความในใจตอบทุกคำถามที่ทุกคนอยากได้ยิน
“ถ้ามีคนมาพูดเรื่องครอบครัวของพวกคุณทั้งที่เขาไม่รู้อะไรเลยคุณจะทำยังไงเหรอ? จะเงียบเหมือนที่ซอลทำไหม?” เป็นคำถามที่ทำให้ทุกคนตรงนั้นหยุดนิ่งไม่ไหวติง
บรรยากาศตึงเครียด เสียงรอบข้างเงียบสงบแม้แต่เสียงของโลหะกระทบกันจากการติดตั้งอุปกรณ์ก็ต้องหยุดลง คำพูดของซอลเหมือนคมมีดที่เฉือนแผลในใจ คำพูดแทะโลมที่เขาได้ยินมาตลอดเกี่ยวกับแม่ทำให้ซอลเจ็บปวดตลอดแต่เขาก็เลือกที่จะเงียบไว้จนเป็นระเบิดเวลาในวันนี้
เสียงตะโกนของซอลดังไปจนถึงห้องเตรียมตัวของนักแสดงที่กำลังแต่งหน้ากันอยู่จนทุกคนต้องออกมาดู ซอลเดินหนีออกมาเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเอง เขาเดินออกห่างมาจากตัวบ้านพักเล็กน้อยก่อนจะหยุดพิงที่หินก้อนหนึ่ง
น้ำตาไหลรินลงอาบแก้ม ความรู้สึกในใจเหมือนกำลังพังทลาย หากแต่ไม่ใช่เพราะความเสียใจแต่เพราะเป็นความโกรธ เรื่องของแม่เหมือนถูกเขียนทับซ้ำ ๆ จนบิดเบี้ยว คำพูดปากต่อปากทำให้คุณปัทกลายเป็นภรรยาและแม่ที่ดูแย่ในสายตาใครหลายคน
มือที่เต็มไปด้วยรอยแผลกำลังโอบกอดตัวเองอย่างแผ่วเบา ซอลลูบแขนตัวเองช้า ๆ หวังให้อ้อมกอดนี้ระงับความดุร้ายของตัวเอง
“พี่ซอล ขอโทษนะทิวไม่น่าเข้าไปถามพี่เลย” ทิวที่วิ่งตามออกมาพูดด้วยความรู้สึกผิด
“ทิวไม่ผิดเลย พี่ผิดเองที่ควบคุมตัวเองไม่ได้” เสียงสะอื้นพูดตอบกลับ
ทิวกอดปลอบพี่ที่ร้องไห้ไม่หยุด เสื้อเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาของซอลในอ้อมกอดที่รู้สึกปลอดภัย ดั่งหัวใจดวงน้อยโดนบีบด้วยความทรมาน ชายป่าหน้าบ้านพักที่เงียบสงบตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงสะอื้นของหมีขาวตัวน้อย
หมาป่าที่วิ่งไล่หลังมากลับยืนอยู่ห่าง ๆ เมื่อเห็นทิวโอบกอดซอลที่ร้องไห้จนแทบจะทรุดอยู่ จุนได้ยินและรับรู้ทุกอย่างแต่กลับช่วยแบ่งเบาซอลไม่ได้เลย เขามองคนที่เปรียบเสมือนรอยยิ้มของเขาที่ตอนนี้กำลังร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของน้องคนสนิท
‘ช้าไปอีกแล้วสินะ…’
ไม่ว่าความลับที่ปิดไว้เมื่อถึงเวลาก็จะเผยออกมาเอง
เช่นเดียวกับความรู้สึกในใจ...ที่จะชัดขึ้นสักวันหนึ่ง