"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ
รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ชาย-ชาย,ครอบครัว,พระเอกคลั่งรัก,เพื่อนสนิท,เพื่อนรัก,มิตรภาพ,ปัญหารุมเร้า,ครอบครัว,ความรัก,รัก,รักดราม่า,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ความมืดสุดท้าย : Final Shadow"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ
การแสดง คือเล่าเรื่องสื่อความหมายโดยนักแสดง
แล้วหากบางเรื่องมันไม่ใช่การแสดงล่ะ?
“เป็นไงล่ะ สะใจพอหรือยัง?” น้ำเสียงจริงจังและดุดันของพี่ออฟพูดขึ้นกลางวงทีมงานที่กำลังนั่งหน้าหงอยจากคำพูดของซอล
“ที่ซอลพูดมันก็ไม่ผิด ไม่แปลกใจถ้าซอลจะไม่สนิทกับใครเลย”
ทีมงานนั่งก้มหน้ารับฟังคำพูดของพี่ออฟอย่างรู้สึกผิด
ตาบวมแดงที่เห็นก็รู้ว่าร้องไห้มาอย่างหนักหน่วงไม่กี่นาทีก่อน คุณปัทยืนรอซอลอยู่ที่ประตูทางเข้าก่อนจะถึงประตูหลังที่กองถ่ายกำลังเตรียมสถานที่
ทั้งสองมองหน้ากัน แววตาผู้เป็นแม่สื่อถึงความเข้าใจและเป็นห่วง สาววัยกลางคนเดินเข้ามาสวมกอดลูกอย่างอ่อนโยน เสียงแผ่วเบากระซิบที่ข้างหู
“ไม่เป็นไรนะซอล” แม่ผงะตัวออก มือยังคงจับอยู่ที่ไหล่ของลูกหมีตรงหน้า มือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบหัวซอล ความรู้สึกตอนนี้เหมือนซอลถูกเติมเต็มด้วยพลังความรัก
“แม่เชื่อว่าซอลจะผ่านปัญหาต่าง ๆ ไปได้และเติบโตในทางที่ซอลเลือกอย่างดีนะ ลูกแม่เก่งจะตาย”
แม้ซอลจะรู้ดีอยู่แล้วว่าทางที่เลือกเดินมันไม่ง่าย แต่เขาก็ไม่คิดจะทอดทิ้งความฝันของเขาที่สร้างมา มือสองคู่ประสานเข้าด้วยกัน สัมผัสมือนั้นอบอุ่นไปถึงหัวใจ สายใยของแม่ลูกถูกเชื่อมเข้าหากันด้วยมือคู่นี้จนไม่มีคำพูดใดมาแทนได้
ซอลเพียงยิ้มตอบก่อนโอบกอดแม่อีกครั้ง
“ไม่ว่าอะไรก็ตาม ซอลรักแม่นะ”
ซอลเดินกลับเข้ามาทำงานด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขานั่งลงประจำที่ก่อนจะหยิบบทขึ้นมาทวนรายละเอียดอีกครั้ง
“โอเคแล้วใช่ไหมซอล” พี่ออฟถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“ทำงานต่อเถอะพี่เดี๋ยวจะไม่ทัน” ซอลพยักหน้าเบาก่อนพูดตอบพร้อมรอยยิ้ม
สายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ ซอลทิ้งทุกเรื่องออกจากความคิดและมุ่งมั่นกับงานตรงหน้าอย่างที่เขาเป็นทุกครั้ง
“ซอลเข้าบล็อกกิ้งให้พี่หน่อย อืม…ทิวยังไม่มีซีนนี่ เข้าแทนจุนให้พี่หน่อยนะ” พี่ออฟเริ่มออกคำสั่งในการทำงานทันที
ซอลและทิวยื่นเข้าประจำที่เพื่อเช็กแสงและมุมอีกครั้งก่อนถ่ายจริง
“ทิวยื่นหน้าเข้าใกล้ซอลอีกหน่อย เหมือนเข้าซีนจูบปกติน่ะค่อย ๆ นะ ช้า ๆ”
ทิวทำตามคำสั่งที่รับจากพี่ออฟ แม้จะเป็นนักแสดงอยู่แล้วแต่ทำไมการบล็อกกิ้งครั้งนี้กลับรู้สึกต่างออกไป เมื่อใบหน้าเข้าใกล้พี่รหัสมากเท่าไหร่หัวใจกลับเต้นแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
ลมหายใจรดที่ใบหน้าช้า ๆ จนเขากลั้นหายใจเพื่อซ่อนอาการเขินอายจนแทบสติแตกไว้ ดวงตาบวมแดงจากการร้องไห้เริ่มลดน้อยลง ริมฝีปากบางคู่สวยกำลังดึงดูดให้ทิวเข้าไปใกล้มากขึ้นจนทิวอยากจูบซอลขึ้นมาจริง ๆ
“โอเคคัต” เสียงพี่ออฟดังขึ้นขัดความคิดของทิว
ทิวรีบหันหน้าออกอย่างเขินอาย เขายกมือขึ้นเกาหน้าเล็กน้อยและเม้มปาก
“แกเขินเหรอ?” ซอลจ้องหน้าทิวยิ้ม ๆ คิ้วเลิกขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะทำหน้าตาล้อเลียนเมื่อเห็นน้องเขินจนหูแดงขึ้น
กระต่ายน้อยหน้าแดงประหนึ่งโดนแดดเผา มือกำแน่นก่อนจะเค้นความกล้าแล้วพูดออกไป
“พี่ซอล…ผมชอบพี่นะ”
ความในใจที่เก็บมานาน เพราะความติดตลกของตัวเองจนทำอะไรก็เหมือนเรื่องเล่นไปเสียหมด
เขาหลับตาลงจนหน้ายับ วิญญาณเหมือนลอยหลุดออกจากร่างหลังจากคำพูดที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการคิดหลุดออกจากปากไป
“หะ…” ซอลอึ้งกับคำพูดของทิว สิ่งที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินมาก่อน
ทิวรีบเดินหนีกลับไปที่ห้องแต่งตัวเพื่อรอแต่งหน้าต่อจากนักแสดงคนอื่น เขาเร่งฝีเท้าเข้าไปนั่งที่โซฟาอย่างร้อนใจ มือเปียกชุ่มจนต้องถือทิชชูไว้ตลอด ทิวหายใจเฮือกใหญ่ช้า ๆ เพื่อคุมสติ เขาหุบยิ้มไม่ลงรู้สึกเหมือนยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอก
“ยิ้มไม่หุบแบบนี้มีอะไรดี ๆ เหรอครับเพื่อนทิว” ริวเดินเข้ามานั่งข้างๆ เมื่อเห็นเพื่อนรักยิ้มค้างอยู่อย่างนั้น
“ดีมากเลยครับเพื่อนริว คือ…กูเพิ่งบอกชอบพี่ซอลไปครับ”
คำตอบของทิวทำให้จุนที่กำลังนั่งแต่งหน้าอยู่ต้องหันขวับด้วยความตกใจ ไม่ต่างจากริวที่อึ้งไปเล็กน้อย
“เพื่อนทิว…ว่าไงนะครับ” ริวถามซ้ำเพื่อย้ำคำตอบที่ได้ยิน
“ไม่รู้ว่าคิดอะไรเหมือนกันแต่ที่เข้าบล็อกกิ้งกับพี่ซอลเมื่อกี้ ในใจบอกว่าถ้าไม่ใช่ตอนนี้จะเป็นตอนไหน” ทิวพูดไปยิ้มไปไม่สนท่าทีของเพื่อน
“ที่จริง ก็ชอบมาตั้งแต่รับน้องแล้วคนอะไรทั้งเก่ง ใจดี แถมยังน่ารักขนาดนี้” มือกำทิชชูขึ้นกลางอกสายตาหยดย้อยเต็มไปด้วยความสุข
แต่อีกคนกำมือที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด กำแน่นเสียจนเส้นเลือดหลังมือปูดขึ้นเด่นชัด ขาขยับขึ้นลงอย่างร้อนใจ
‘ทำไม…เราถึงได้เป็นแบบนี้’
เป็นคำถามเดิม ๆ ที่จุนถามตัวเองซ้ำทุกครั้งเมื่อได้ยินเรื่องทิวกับซอล ไม่สิ ไม่ว่าจะเป็นซอลกับใครเขาก็รู้สึกหงุดหงิดใจทุกครั้ง
“เป็นอะไรหรือเปล่า เหมือนมึงจะหงุดหงิดนะ” ปั้นถามจุนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ใบหน้าของจุนยังคงตึงเครียด เขามองเพื่อนที่เพิ่งพูดคุยกันเสร็จด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน
“เปล่า...” จุนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
ปั้นขยับเข้ามาใกล้ พลางใช้สายตามองไปที่ทิวที่เพิ่งสารภาพรักกับซอล เหมือนจะสังเกตได้ว่าอะไรบางอย่างในจุนกำลังขัดแย้งอยู่ในตัวเอง
“แล้วทำไมไม่บอกความรู้สึกของตัวเองออกไปล่ะ” ปั้นเอ่ยขึ้นเบา ๆ เหมือนรู้ทันในสิ่งที่จุนกำลังปิดบัง
จุนหันมามองปั้นทันที ใบหน้าเขายังคงนิ่งเฉย แต่ดวงตากลับแฝงไปด้วยความกังวล
“มึงพูดเรื่องอะไร?”
“ก็เรื่องซอลไง” ปั้นเอ่ยพร้อมยิ้มบาง
“มันไม่ใช่แค่ความหงุดหงิดธรรมดาหรอก ใช่ไหม?”
จุนหลับตาลงแล้วถอนหายใจออกมา เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ แต่ยังปฏิเสธมันมาตลอด เขามักจะหลบเลี่ยงการพูดถึงความรู้สึกนี้ แต่ทุกครั้งที่เห็นซอลอยู่ใกล้คนอื่น หัวใจของเขาก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นทุกที
“กูไม่รู้ว่ะ…” จุนพูดเบา ๆ ขณะมองไปทางซอลที่กำลังคุยงานกับพี่ออฟอยู่ไม่ไกล
“คงไม่ใช่แบบที่มึงคิดมั้ง”
“มึงแน่ใจเหรอ?” ปั้นถามเสียงแผ่วแต่เต็มไปด้วยความเข้าใจ
“ถ้าไม่บอกความรู้สึกออกไป มึงอาจจะต้องเสียใจทีหลัง แล้วก็คงไม่มีโอกาสพูดมันอีก”
จุนเงียบลงอีกครั้ง คำพูดของปั้นทิ่มแทงเข้าไปในใจเขา เขารู้ว่าเพื่อนพูดถูก แต่การยอมรับความรู้สึกนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขา เขากลัวจะสูญเสียความสัมพันธ์ที่มีอยู่ และเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองรู้สึกยังไงแน่
“แต่กูไม่รู้จะเริ่มยังไง” จุนเอ่ยเบา ๆ
“กูไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อน”
ปั้นยิ้มให้จุนอย่างอบอุ่น
“มึงไม่ต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องหรอกจุน แค่ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองก็พอ”
จุนมองหน้าปั้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวลก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
เขายังคงละสายตาจากซอลที่กำลังตั้งใจทำงานอยู่ไม่ได้ แม้จะถึงเวลาที่ต้องเข้าฉากแล้วก็ตาม
“จุน จุน…” เสียงนางเอกสาวเรียกจุนที่กำลังเหม่อลอย
“มีสมาธิหน่อย”
“โทษทีปริม เราพร้อมแล้ว” จุนหันกลับมาหลับตาตั้งสติก่อนจะเริ่มแสดงจริง
“แอ็คชั่น!” เสียงคำสั่งเริ่มถ่ายดังขึ้น
จุนต้องแสดงซีนบอกรักและจูบนางเอกอย่างอ่อนหวาน สองพระนางส่งอารมณ์ถึงกันอย่างลึกซึ้ง แววตาของจุนเริ่มเปลี่ยนจากความรักเป็นความกังวลเล็กน้อยเมื่อเริ่มแสดงฉากจูบกระทั่งถึงเสียงของพี่ออฟดังขึ้น
“คัต! เจ้าเข้าไปดูจุนหน่อยสิ” ผู้กำกับสั่งพักกองครู่หนึ่ง
“เป็นอะไร ตอนซ้อมยังทำได้ดีเลยนี่” จันทร์เจ้าเดินเข้ามาถามความสงสัย
“เปล่า…” จุนตอบแบบหลบสายตา
“รู้สึกไม่อินขึ้นมาน่ะเจ้า”
จันทร์เจ้าเดินกลับมาพูดกับซอลเบา ๆ
“ซอล ตอนซ้อมเป็นคนช่วยจุนนี่ ไปช่วยมันหน่อยสิ”
ซอลที่ขณะนี้อยู่ในโหมดทำงานเต็มตัวพยักหน้ารับและลุกไปหาจุนในทันที เขาพาจุนเดินไปหาที่เงียบข้างกอง ซอลจับมือจุนขึ้นมาจับที่สองข้างแก้มของตัวเอง
“จำที่เคยบอกได้ไหม ดึงความรู้สึกนั้นออกมา”
หมาป่าถอนหายใจก่อนจะหลับตาลงแล้วนึกถึงคำที่ซอลเคยพูดไว้ ความทรงจำกลับมาอีกครั้งภาพรอยยิ้มของเด็กฝึกงานที่สดใส…ภาพซองจดหมายที่หยิบมาอ่านทุกวัน กำลังใจและเนื้อหาด้านในที่ทำให้หายเหนื่อยล้า
“กุญแจซอล…” จุนพูดขึ้นเบา ๆ ก่อนจะลืมตาขึ้น
“นายว่าไงนะ?” ซอลถามกลับด้วยความสงสัยในสิ่งที่ได้ยิน
เขาประคองใบหน้าขึ้นอย่างทะนุถนอมก่อนจะจูบเบา ๆ ที่ริมฝีปาก ใบหน้าแนบชิดจนลมหายใจรินรดกันและกัน หัวใจดวงน้อยของทั้งสองพองโตขึ้น ความรู้สึกราวกับมีหมู่มวลผีเสื้อบินอยู่เต็มท้อง
จุนถอยใบหน้าออกห่างช้า ๆ สายตาที่มองซอลเปลี่ยนเป็นความอบอุ่นลึกซึ้ง นัยน์ตามีความเศร้าสร้อยเจือปนอยู่เล็กน้อย เขาจ้องมองไปที่ดวงตาคู่สวยของซอลก่อนจะพูดทิ้งท้าย
“เลิกกองแล้วขอคุยด้วยหน่อยนะ” เขาก้มหน้าลงเพื่อหลบซ่อนความรู้สึกที่ส่งผ่านสายตาไป
“อืม เรากลับเข้าฉากกันได้แล้ว…แหละ” ซอลตอบกลับแบบอ้ำอึ้งก่อนจะเดินนำหน้ากลับเข้ากอง
ความรู้สึกของจุนชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จนส่งผลให้การถ่ายฉากเลิฟซีนที่มีปัญหาได้ดีกว่าที่คิดไว้ เขาดึงความรู้สึกที่มีต่อซอลออกมาใช้ในการทำงานครั้งนี้
“เลิกกองจ้า” เสียงที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง
ฟ้ามืดสลัวพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า อากาศที่เย็นลงทำให้รู้สึกหนาวเหน็บ ต้นไม้เขียวขจีตอนนี้เป็นเพียงสีดำสนิทที่ปกคลุมทั่วบริเวณป่า แสงไฟรอบบ้านพักเป็นแสงสว่างเดียวในขณะนี้
ซอลนั่งลงที่ชิงช้าตัวเดิมสภาพร่างกายดูเหนื่อยล้าจากการทำงานหนัก หัวใจกลับรู้สึกหน่วงเมื่อคิดถึงเรื่องที่จุนจะคุยด้วย
‘มีอะไรจะคุยนะ?’
จุนเดินเข้ามาพร้อมจดหมายฉบับเก่าในมือ แม้สีหน้าจะเรียบเฉยแต่ใบหน้ากลับมีเลือดฝาดบาง ๆ ใบหูเริ่มร้อนผ่าวเพียงแค่คิดถึงเรื่องที่จะบอกซอล เขาหยุดเดินและเป่าปากเพื่อลดความตื่นเต้น ก่อนจะก้าวขายาวเดินต่อไปนั่งข้างซอล
“วันนี้เหนื่อยเลยล่ะสิ ขอโทษที่ทำให้เหนื่อยนะ”
“ไม่เป็นไร สนุกดีนะ…ว่าแต่มีเรื่องอะไรเหรอ?” ซอลรีบพูดเข้าประเด็น เขาเองก็ร้อนใจที่จะฟังไม่ไหว
จุนยื่นจดหมายซองสีฟ้าอ่อนลวดลายตัวโน้ตที่พกมาด้วยให้ซอลดูแล้วพูดอย่างใจเย็น
“ซอลเป็นคนเขียนใช่ไหม?”
ซอลมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จุนจะพลิกด้านหลังจดหมายเพื่อให้เห็นรอยปากกาที่มุมซอง
“กุญแจซอล…”
“แล้วนายรู้ได้ยังไง?” ซอลเอ่ยถามด้วยหน้าตาฉงน
“ลายบนซอง ตัวกุญแจซอลที่เขียนไว้ เนื้อหาด้านในแล้วก็…เรื่องที่ซอลเป็นแฟนคลับ” จุนจับจดหมายพลิกไปมาขณะที่สายตามองตรงไปในความมืดตรงหน้าก่อนจะหันกลับมาที่ซอล
“ทุกอย่างมันลงตัวมากขึ้นพอรู้เรื่องสัญญาเมื่อสามปีก่อน” จุนเปิดจดหมายแล้วค่อย ๆ อ่านเนื้อความด้านในด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก
‘สวัสดีจุน
คุณอาจจะไม่รู้จักฉัน แต่นี่คือกำลังใจจากคนแปลกหน้า ฉันไม่สามารถรับรู้ได้ว่าแต่ละวันคุณต้องเจออะไรมาบ้าง บางวันอาจจะหนักหน่อยอย่าลืมพักผ่อนให้สบาย บางวันอาจจะเบาจนลืมว่าพรุ่งนี้ยังมีงานให้รออยู่ หากวันไหนเหนื่อยเกินขีดจำกัดก็หาของหวานเย็น ๆ ทานด้วยนะ จะได้รู้สึกดีขึ้น
ในชีวิตจริงเราคือคนแปลกหน้าของกันและกัน ฉันหวังว่ารอยยิ้มของคุณจะไม่หายไปจากใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น
รอยยิ้มของจุนเป็นแรงผลักดันให้คนแปลกหน้าคนนี้เสมอ ขอให้จุนสดใสแบบนี้ตลอดไปนะ’
“ของหวานเย็น ๆ ประโยคมันฟังดูคุ้นใช่ไหม?” จุนพูดยิ้ม ๆ แล้วพับจดหมายเข้าซอง
“รู้ไหม เรายิ้มได้เพราะจดหมายนี่เลยนะ”
“จดหมายจากแฟนคลับได้ตั้งเยอะ ทำไมต้องเจาะจงที่ฉบับนี้?” ซอลเริ่มยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“เพราะเขาเป็นคนเดียวที่มองว่าฉันสดใส ทั้งที่ใครหลายคนมักบอกว่า ฉันเป็นพระเอกเย็นชาเพราะหน้าตาย” เขาพูดขำ ๆ ขณะที่รอยยิ้มใบหน้าไม่ลดน้อยลง
“เหมือนมีแค่คนคนนี้ที่มองเราในมุมที่ต่างออกไป”
“ได้เห็นมุมมองที่ต่างออกไปจริง ๆ นั่นแหละ…” ซอลขำเบาแล้วพูดออกมาแบบไม่ตั้งใจ
“เพราะฉันเคยเห็นนายในแบบที่คนอื่นไม่เคยเห็น” เขาหันมองหน้าจุนแววตาเต็มไปด้วยความเอ็นดู
“ยังไง?” จุนเอียงคอถามอย่างสงสัย
หมีขาวยกยิ้มมุมปาก
“นายเคยฝึกกับค่ายที่แม่เคยทำงาน ช่วงนั้นฉันไปที่นั่นทุกวัน”
เมื่อสามปีก่อน
เด็กน้อยสวมชุดมัธยมปลายผมสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าสีขาวบวกกับแก้มกลมอมชมพูเปื้อนเหงื่อที่ไหลออกมา กำลังเดินถือไอศกรีมรสนมทั่วทั้งอาคารเหมือนเขากำลังหาใครสักคนหนึ่ง แล้วเขาก็หยุดลงตรงหน้าห้องซ้อมที่ภายในมีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่ไม่มาก
สายตาสอดส่องป่านกระจกประตูห้องอย่างตั้งใจเพื่อหาเด็กหนุ่มที่เขาเพิ่งพบกันเมื่อวันก่อน แม้ว่าเดินจนทั่วแล้วซอลก็ไม่เจอกับคนที่เขาตามหา
“มาหาใครเหรอ?” เสียงคนแปลกหน้าดังขึ้นจากด้านหลัง
ซอลหันหลังกลับมาที่ต้นเสียงนั้น
“นายรู้จักจุนไหม? เหมือนเขาจะเป็นเด็กฝึกที่นี่นะ”
“อ๋อ เพื่อนเราเอง” เด็กชายแปลกหน้าตอบด้วยรอยยิ้ม
“อืม…งั้นเราฝากของให้หน่อยได้ไหม อยากขอบคุณน่ะ” ซอลยื่นไอศกรีมที่เริ่มละลายแล้วให้เด็กคนนั้นพร้อมหยิบจดหมายอีกฉบับให้พร้อมกัน
เพื่อนของเด็กชายรับไว้ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่
“ขอบคุณนะ เราต้องไปแล้ว” ซอลจากมาพร้อมรอยยิ้มส่งท้าย
เขามักทำเช่นนี้ทุกครั้งที่ไปหาแม่ที่บริษัท เด็กน้อยเดินเตาะแตะตามหาเด็กชายที่เกี่ยวก้อยสัญญากันในวันที่ใบหน้ามีน้ำตา แต่เมื่อซอลเจอเขากลับหลบมุมแล้วคอยดูอยู่ห่าง ๆ ไม่ให้เขารู้ตัว
จุนที่กำลังตั้งใจพัฒนาตัวเองอย่างหนักรอยยิ้มสดใสที่ได้เดินตามฝัน ความน่ารักและใส่ใจเพื่อนรอบข้าง…ทำให้ซอลอยากมาเจอเขาทุกวันแม้เขาจะไม่เคยรับรู้ก็ตาม
กระทั่งวันที่แม่ต้องออกจากงานแล้วมาเปิดบริษัทของตัวเอง เขาก็ไม่ได้ไปที่นั่นอีกเลย…
จุนฟังเรื่องราวจากปากของซอลอย่างตั้งใจ แววตาเรียบเฉยที่เขาเคยมีอยู่เสมอกลับฉายความอบอุ่นอย่างชัดเจน เด็กชายที่ซอลพูดถึงในความทรงจำนั้นก็คือเขาเอง แต่ในขณะเดียวกัน จุนก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมซอลถึงไม่เคยแสดงตัวเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“แล้วทำไมไม่เข้ามาทักล่ะ?” จุนเอ่ยถามพร้อมกับยิ้มเบา ๆ
ซอลหันมามองเขาแล้วหัวเราะเบา ๆ ด้วยความรู้สึกที่อบอุ่นในใจ
“ไม่รู้เหมือนกัน… บางทีตอนนั้นฉันอาจจะกลัว กลัวว่าถ้าเรารู้จักกันแล้วมันอาจจะไม่ได้ดีเหมือนตอนนี้ก็ได้”
“งั้นเหรอ” จุนพยักหน้าเบา ๆ สายตาของเขาเปลี่ยนไปเป็นจริงจัง เขารู้สึกบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นในใจ เขาไม่เคยรู้ตัวว่าซอลสำคัญกับเขามากขนาดไหนจนกระทั่งตอนนี้
“ตอนนี้นายรู้แล้วว่าฉันเป็นใคร… แล้วนายคิดว่าไง?” ซอลถามพลางยิ้มเล็กน้อย ใบหน้าของเขาดูผ่อนคลายมากขึ้นหลังจากการพูดคุยนี้
“ฉันไม่แน่ใจว่าความรู้สึกนี้เรียกว่าอะไร…”
จุนเงียบไปครู่หนึ่งราวกับกำลังค้นหาคำตอบในใจของตัวเอง สุดท้ายเขาก็หันไปมองหน้าซอลอย่างแน่วแน่
“ความรู้สึกที่เหมือนกำลังแสดงหนังรัก แต่มันคือของจริง”
จุนที่ไม่เคยแสดงอารมณ์ใด ๆ มาก่อน น้ำเสียงของจุนแม้จะเรียบเฉยแต่กลับแฝงไปด้วยความจริงใจและความรู้สึกที่ค่อย ๆ ปรากฏชัดในแววตา
ซอลชะงักไปเล็กน้อยกับคำพูดนั้น หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าไปในความรู้สึกที่จุนส่งผ่านมา ประโยคที่ฟังดูราวกับอยู่ในภาพยนตร์รักกลับออกมาจากปากของจุนที่ดูเย็นชา ความรู้สึกที่แทบจะอธิบายไม่ถูก ร้อนผ่าวที่ใบหูและความสับสนที่ก่อตัวขึ้นในใจ
‘นี่เขา…พูดจริงเหรอ? ’
ซอลสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่เปลี่ยนไป ทุกคำพูดของจุนไม่ได้แฝงความเย็นชาอีกต่อไป ตอนนี้มันไม่ได้เป็นเพียงการแสดงแต่กลับเต็มไปด้วยความจริงใจ ความอบอุ่นเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ราวกับหัวใจถูกโอบล้อมด้วยความรู้สึกแท้จริงของจุน
บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบ เสียงลมที่พัดผ่านและแสงจันทร์อ่อน ๆ ทำให้ทุกอย่างดูนุ่มนวล ชิงช้าที่เคยโยกเบา ๆ ตอนนี้หยุดนิ่ง ทั้งสองนั่งข้างกัน ปล่อยให้ความเงียบและความรู้สึกนำพาให้รู้จักกันในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ความรู้สึกที่เก็บไว้ข้างใน…หากไม่รู้ว่ามันคืออะไร
เพียงแค่แสดงมันออกมา