"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ
รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ชาย-ชาย,ครอบครัว,พระเอกคลั่งรัก,เพื่อนสนิท,เพื่อนรัก,มิตรภาพ,ปัญหารุมเร้า,ครอบครัว,ความรัก,รัก,รักดราม่า,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ความมืดสุดท้าย : Final Shadow"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ
ถ้าวันนี้คือโอกาสสุดท้าย
จะเลือกคว้าเอาไว้หรือปล่อยมันไปแบบนั้น
วันสุดท้ายของการฝึกงานมาถึง การทำงานเป็นปกติเหมือนทุกวันเพียงแต่เสียงเฮฮากลับดูเงียบลง ซอลเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะประจำด้วยใบหน้าสดใส
“แหม วันสุดท้ายแล้วยิ้มร่าเลยนะ” จันทร์เจ้าเอ่ยแซวรอยยิ้มบนใบหน้านั้น
ภายในใจของซอลกลับเต็มไปด้วยความเศร้าที่ต้องจากที่นี่ไป แล้วกลับไปใช้ชีวิตนักศึกษาตามเดิม แววตาบ่งบอกถึงความคิดถึงอย่างชัดเจนก่อนจะเอ่ยตอบจันทร์เจ้าไป
“ไม่มีซอลคอยป่วนอย่าคิดถึงแล้วกันนะ ฮ่า ๆ” แม้จะเป็นวันสุดท้ายเขาก็ไม่ลืมที่จะสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนรอบข้าง
“เจ้า ขอคุยด้วยหน่อย” เสียงเข้มที่คุ้นเคยดังขึ้นทันทีที่ประตูเปิดออก สีหน้าของจุนแม้ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่าเขากำลังหงุดหงิดเต็มที่
จันทร์เจ้าเดินออกไปตามที่จุนเรียก ทั้งคู่คุยกันที่หน้าห้องอย่างจริงจัง ซอลได้แต่นั่งมองด้วยความสงสัยผ่านประตูกระจกห้องทำงาน
‘มีอะไรกันนะ…’
ไม่นานนักพี่เจ้าก็เดินกลับเข้ามาพร้อมใบหน้ายิ้มหัวเราะ ผิดกับจุนที่ยังคงใบหน้าหงุดหงิดอยู่เช่นเดิม เขายืนมองที่จันทร์เจ้าครู่หนึ่งก่อนจะเดินหนีไป
“เรื่องเครียดเหรอพี่เจ้า?” ซอลถามด้วยเสียงเบา
“ไม่มีอะไรหรอกอย่าไปใส่ใจนักเลย” เจ้าตอบไปยิ้มไปแบบมีเลศนัย
คำตอบนั้นไม่ช่วยให้ซอลหายข้องใจสักเท่าไหร่ เขาได้แต่นั่งงุนงงต่อไปแต่ไม่พยายามหาคำตอบต่อ
จุนที่เพิ่งเดินหงุดหงิดออกมาที่สวนดาดฟ้าเพื่อระบายอารมณ์หงุดหงิดนั้น แสงแดดและสายลมก็ไม่อาจช่วยหมาป่าที่กำลังดุร้ายลงได้สักเท่าไหร่
“อ้าว พี่จุน” เด็กแสบเสียงใสเอ่ยมาจากมุมหนึ่งของสวน
“ไม่มีงานการทำหรือไงถึงมาอู้อยู่ตรงนี้” น้ำเสียงของจุนที่ตอบทิวราวกับว่าเขาเจอที่ระบายแล้ว
“ถ้ามีจะมาอยู่ตรงนี้ไหม? พอดีเลย ผมมีเรื่องจะคุยกับพี่อยู่พอดี” ทิวทำหน้านิ่งส่งสัญญาณว่าเรื่องนี้ผมจริงจังมากนะ
“ผมรู้ว่าพี่ชอบพี่ซอล”
ประโยคที่ออกมาจากปากของทิวทำให้อาการหงุดหงิดของจุนลดระดับลงมาในทันที เขาทำหน้านิ่งและมองไปที่ทิวด้วยความสงสัย
“แต่ผมบอกชอบพี่ซอลไปแล้ว และผมไม่มีทางยอมให้พี่หรอกนะ” ทิวลุกขึ้นมาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่มุมปากกลับยกยิ้มอย่างไม่ยอม กระต่ายน้อยเดินมาแตะที่บ่าของจุนเบา ๆ
“ถึงพี่จะเก่งทุกเรื่องแต่เรื่องนี้ผมว่าผมเก่งกว่าแน่นอน” ทิวตบบ่าจุนสองทีก่อนจะเดินจากไป
เด็กน้อยคนนั้นไม่รู้เลยว่าคำพูดของเขาไปกระตุกหนวดเสือในร่างหมาป่าเข้าอย่างจัง แม้ว่าที่ผ่านจุนไม่เคยใช้คำว่าชอบซอลเลยก็ตาม แต่ในใจเขารู้ดีว่าแท้จริงแล้วเขารู้สึกกับซอลอย่างไร
มือกำแน่นด้วยความโมโห แววตาเลื่อนลอย คำพูดของทิวดังก้องในหัวคำดูถูกที่ไม่อาจจะยอมรับได้ จากลมที่พัดเย็นสบายที่ดาดฟ้ากลับพัดไฟในใจของจุนให้โหมกระหน่ำ
‘ถ้าไม่รีบทำอะไรสักอย่างก็คงช้าไปอีกแล้วสินะ’
เมื่อหัวค่ำมาถึง สวนดาดฟ้าถูกจัดเรียงด้วยไฟประดับหลากสีเล็ก ๆ สาดแสงเป็นประกายอบอุ่นท่ามกลางความมืด แสงไฟจากหลอดกลมบนสายไฟห้อยระโยงระยาง เปลี่ยนบรรยากาศของสวนให้กลายเป็นสถานที่จัดงานอำลาที่แสนสบาย
เสียงหัวเราะและพูดคุยดังขึ้นเป็นระยะ ผสมกับเสียงดนตรีที่คลออยู่ในพื้นหลัง กลิ่นอาหารปิ้งย่างหอมกรุ่นลอยมาจากเตาที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ บรรยากาศนั้นเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย ความรู้สึกอบอุ่นใจล่องลอยอยู่ในอากาศ ราวกับทุกคนในที่นี้สามารถลืมเรื่องหนักใจจากการทำงานมาทั้งวันไปได้ชั่วขณะ
“แล้วมึงจะเอาไงต่อหลังเรียนจบ?” ปอนด์ถามขึ้นขณะที่กำลังจิบเครื่องดื่มชมวิวจากมุมสูง
“พี่ออฟชวนกลับมาทำงานที่นี่ กูก็คงปฏิเสธโอกาสดี ๆ แบบนี้ไม่ได้หรอก” ซอลตอบด้วยรอยยิ้ม ความรู้สึกที่แสนพิเศษกับเส้นทางใหม่ของชีวิตกำลังจะเริ่มขึ้น
“จริงปะ พี่โจ้ก็ชวนกูกลับมาทำต่อแต่กูยังลังเลอยู่เลยว่ะ” สีหน้าของปอนด์เริ่มเปลี่ยนเป็นความกังวลเล็กน้อย
“ตลอดฝึกงานรู้สึกว่าตัวเองทำได้ไม่ดีพอที่จะได้โอกาสแบบนี้”
“มึงอย่าดูถูกตัวเอง การที่พี่โจ้ชวนมึงกลับมาทำงานแสดงว่ามึงมีของ” ซอลลูบหลังเพื่อนสนิทด้วยความอ่อนโยน ความอบอุ่นจากฝ่ามือส่งตรงถึงแผ่นหลังที่กำลังสับสนในเส้นทางฝัน
“มึงเก่งนะปอนด์กูเชื่อว่ามึงทำได้อยู่แล้ว” รอยยิ้มมั่นใจของซอลเสมือนเป็นกำลังใจให้ปอนด์อยู่เสมอ
“ขอบใจนะมึง” มือใหญ่เริ่มผ่อนคลายความกังวลทุกครั้งที่ได้พูดคุยกับหมีน้อยเพื่อนรักของเขา เขาจะหันตัวพิงระเบียงด้วยท่าทางสบายก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา
“แล้วเรื่องจุนกับทิวนี่ยังไงต่อ?”
“ทิวก็ตามดูแลอย่างที่มึงเห็นนี่แหละ มันดีนะ…” ซอลเปลี่ยนท่ามายืนที่เดียวกับปอนด์ก่อนจะมองไปที่กระต่ายน้อยที่กำลังย่างเนื้อที่เตาด้วยท่าทางอารมณ์ดี
“แต่ใจมึงไม่ได้อยู่ที่น้องมันใช่ไหม?” ปอนด์มองตามเพื่อนแล้วกลับมามองที่สายตาของซอลอีกครั้ง
“กูแค่อยากลองให้โอกาสกับคนที่เขาชัดเจนกับกูบ้าง กูก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน” แววตาของซอลยังคงมองไปที่ทิวอย่างอบอุ่น ภายในใจของซอลกลับว่างเปล่าเมื่อมองไปที่เด็กคนนั้น
“กับจุนเขาก็ดูไม่ได้ชัดเจนนะมึง แค่คนในอดีตที่บังเอิญกลับมาเจอกันกูก็ไม่รู้ว่าคืนนั้นที่เขาพูดหมายความว่าไงกันแน่”
“ที่มึงพูดก็ถูก แต่กูว่าจุนมองมึงไม่หยุดเลยนะ” ขณะที่ยกแก้วสายตาของปอนด์ก็สะดุดลงที่ชายหนุ่มสีหน้าไร้อารมณ์ยังคงมองมาที่เพื่อนสนิทของเขาเป็นระยะ
ซอลมองตามไปที่ปลายสายตาของปอนด์ เขาเห็นได้ชัดว่าจุนกำลังหลบหน้าซอลราวกับรู้ตัวว่าถูกจับได้อย่างร้อนรน
หมาป่าหนุ่มใบหูเริ่มแดงขึ้นด้วยความเขินอายรีบเดินหนีไปอีกมุมของงาน ภายในใจของเขากระวนกระวายขึ้นเพียงแค่คิดว่าหลังจากนี้การมาทำงานจะไม่ได้เจอซอลอีกแล้วเขาจะทำอย่างไร
พอหันกลับไปภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เขารู้สึกร้อนใจมากยิ่งขึ้น เมื่อทิวเดินเอาอาหารเดินตรงไปให้ซอลแล้วยืนพูดคุยกันอย่างสนิทสนม การกระทำนั้นเขาเองก็อยากทำให้ซอลเช่นกันเพียงแต่ความกล้าของเขานั้นยังไม่มากพอที่จะแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา
“มึงจะรออีกนานไหม?” ปั้นเดินเข้ามาพูดกับจุนโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว พร้อมริวที่เดินมาข้างกัน
“พี่จะให้ทิวทำคะแนนไปเรื่อย ๆ แล้วเก็บความรู้สึกตัวเองต่อไปแบบนี้จริงเหรอครับ”
“แค่คำว่าชอบกูยังบอกเขาไม่ได้เลย…” จุนพูดตอบอย่างเฉยชา แม้ในใจจะเต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์ในตอนนี้แต่การกระทำของเขากลับสวนทางไปหมดทุกอย่าง
กลุ่มรุ่นพี่ต่างเดินเวียนไปมาคอยแซวน้องฝึกงาน และหยิบยื่นอาหารและเครื่องดื่มแก้วแล้วแก้วเล่าให้กับน้อง ๆ อย่างเป็นกันเอง บางคนยิ้มแย้มพลางบอกเล่าความทรงจำสนุก ๆ ระหว่างฝึกงาน ขณะที่คนอื่น ๆ หัวเราะอย่างมีความสุข แม้จะรู้ว่านี่คือคืนสุดท้ายที่ทุกคนจะได้ใช้เวลาร่วมกันในสถานที่แห่งนี้ ก่อนที่พิธีกรของงานเอ่ยขึ้นว่า
“ขอเชิญน้องซอลคนเก่งของเราเป็นตัวแทนขึ้นพูดอะไรสักหน่อยดีกว่า”
ซอลตกใจเล็กน้อยที่เป็นผู้ถูกเลือก เจ้าตัวไม่ลังเลที่จะเดินไปตามคำเชิญด้วยรอยยิ้มสดใสที่ทุกคนคุ้นเคยดี
“ก่อนอื่นเลยซอลต้องขอบคุณพี่ออฟที่ให้โอกาสซอลได้เข้ามาเรียนรู้ที่นี่ สอนให้ซอลเติบโตไปอีกขั้น ขอบคุณพี่ ๆ ที่น่ารักทุกคนที่ต้อนรับเด็กฝึกงานทุกคนเป็นอย่างดี ขอบคุณครอบครัวที่แสนอบอุ่นในบ้านหลังนี้ จะใช้ทุกความรู้ที่พี่ ๆ สอนมาไปพัฒนาตัวเองให้เก่งกว่าเดิม…”
เสียงปรบมือดังขึ้นให้กับคำพูดหวานซึ้งของซอล แววตาของทุกคนเต็มไปด้วยความอิ่มใจ เด็กตรงหน้าที่พร่ำสอนมากับมือวันนี้ดูโตขึ้นมากภายในระยะเวลาไม่นาน
การแสดงจากนักแสดงในค่ายเริ่มขึ้นก่อนจะจบด้วยบทเพลงความหมายดีที่ซอลและเด็กฝึกงานได้มีโอกาสร่วมในการแต่งเนื้อร้องก็เริ่มขึ้น แม้จะเป็นเพลงที่ยังไม่สมบูรณ์แต่เพลงนี้มีความหมายกับทุกคนมากในช่วงเวลาที่ผ่านมา
“เพลงนี้ต้องขอบคุณเด็กฝึกงานทุกคนที่ร่วมกันสร้างมันขึ้นมา พวกผมสัญญาว่ามันจะเป็นเพลงที่อยู่ในอัลบั้มใหม่ของพวกเราครับ” เสียงของจุนพูดเปิดหัวก่อนดนตรีจะบรรเลงขึ้น
บรรยากาศที่อบอุ่นและสงบเงียบชวนให้ทุกคนหยุดฟังเสียงเพลง ด้วยเนื้อร้องที่ซึ้งกินใจ ทำนองเพลงนั้นช้าและนุ่มนวล ราวกับโอบล้อมทุกคนในที่แห่งนี้ให้อยู่ใต้ความรู้สึกเดียวกัน เป็นความรู้สึกซาบซึ้งและปนเศร้าเล็กน้อย คล้ายกับการรู้ว่าวันเวลาดี ๆ นี้จะจบลง แต่ความทรงจำที่มีร่วมกันจะยังคงอยู่เสมอ
ราวกับบทกวีที่เล่าเรื่องราวของการเดินทางที่ทุกคนได้มาร่วมฝ่าฟันและเติบโตไปด้วยกัน เปรียบเสมือนการโอบกอดอันอ่อนโยนจากครอบครัวใหญ่ที่คอยดูแลและสนับสนุนเส้นทางของกันและกัน บทเพลงนี้เป็นเสมือนคำสัญญาที่ไม่มีวันจางหายไป แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะต่างกัน แต่ทุกความทรงจำที่เคยแบ่งปันกันจะยังคงอยู่
ใบหน้าของทุกคนเริ่มแดงก่ำเพราะฤทธิ์ของน้ำเมา บรรยากาศที่ดูสบายตาเมื่อสักครู่เริ่มเปลี่ยนเป็นสนุกสนานกว่าเดิม ผู้คนลุกขึ้นมาเต้นและสนุกไปกับงานเลี้ยงอำลานี้
เสียงดังเสียจนซอลต้องเดินหลบมุมไปหาที่เงียบเพื่อตากลมให้สร่างเมา ความร้อนก่อตัวขึ้นที่ใบหน้าภาพที่เห็นราวกับโลกกำลังหมุนได้ เขาพยายามคุมสติเดินไปนั่งพิงระเบียงก่อนจะหลับตาลงให้ผ่อนคลาย
ขวดน้ำเปล่าเย็น ๆ แนบที่ใบหน้าร้อนผ่าวจนซอลสะดุ้งเล็กน้อย เขาลืมตาขึ้นมาเจอจุนอยู่ตรงหน้า
“ให้ไปส่งไหม ปอนด์เมาได้ที่แล้วนี่” จุนนั่งลงช้า ๆ ที่ข้างซอล เขายังคงใช้ขวดน้ำแนบที่หน้าซอลเรื่อย ๆ ให้รู้สึกดีขึ้น
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวทิวไปส่งน่ะ” ซอลตอบกลับด้วยเสียงเมาเล็กน้อย
หมาป่าหงุดหงิดใจในคำตอบของซอล แต่เขาก็เป็นห่วงซอลที่กำลังเมาอยู่มากกว่า
ลมพัดอย่างแผ่วเบา มุมที่นั่งอยู่ค่อนข้างที่จะเงียบสงบแต่ยังคงพอได้ยินเสียงเพลงในงานคลอเบา ๆ ซอลกำลังพักอย่างสบายผล็อยหลับไปไม่ทันตั้งตัว ศีรษะนั้นค่อย ๆ เอียงลงมาซบที่ไหล่ของจุน
บรรยากาศยามค่ำคืนทำให้ความรู้สึกต่าง ๆ ของจุนที่เคยถูกเก็บไว้เริ่มผุดขึ้นมา เขามองซอลที่เอนศีรษะมาซบไหล่ของเขาด้วยความเงียบสงบ มุมหนึ่งของเขารู้สึกอยากปกป้องและเก็บรักษาความทรงจำที่แสนเปราะบางนี้ไว้ตลอดไป
เสียงหัวใจเต้นดังชัดเจนในความเงียบ เขารู้ดีว่าตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะที่สุดที่จะพูดบางอย่างออกมา
“ฉันชอบเธอ…”
ซอลยังคงหลับมีเพียงความเงียบที่เป็นคำตอบในเวลานี้ แค่ได้อยู่ใกล้แบบนี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับจุน
“ขอโทษที่ไม่กล้าพูดออกไปนะ…”
มือของจุนลูบเก็บไรผมที่ปกคลุมใบหน้าของซอลที่กำลังหลับใหล การสัมผัสนั้นทำให้ซอลรู้สึกตัวตื่นขึ้น
“หลับไปตอนไหนนะ” ซอลยกหัวขึ้นก่อนจะมองไปที่นาฬิกาข้อมือ
“ป่านนี้แล้วเหรอ ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อน ฉันกลับก่อนนะ” เขารีบบอกลาจุนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วรีบลุกไปอย่างลุกลี้ลุกลน
จุนมองแผ่นหลังของซอลที่เดินจากไปด้วยความรู้สึกหลายหลากในใจ ลมหายใจที่หนักหน่วงพ่นออกมาอย่างเบา ๆ เขาไม่รู้ว่าคำพูดเมื่อสักครู่ที่พูดออกมาทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นหรือหนักใจมากกว่าเดิมกันแน่
เขาลุกขึ้นและเดินกลับไปยังมุมงานเลี้ยงที่ยังคงมีเสียงหัวเราะคุยกันอย่างออกรส ผู้คนเริ่มทยอยกลับไปพักผ่อนบ้างแล้ว และกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ประดับในงานยังคงลอยอ้อยอิ่งในอากาศ
“ไปส่งพี่ซอลเถอะ” เสียงริวที่มักปรากฏตัวในจังหวะที่ไม่ทันตั้งตัวดังขึ้น จุนหันไปมองก่อนจะพยักหน้าตอบรับ รอยยิ้มของริวเจือแววความเข้าใจลึกซึ้ง
“ผมรู้ว่าพี่รู้สึกยังไง ทางนี้ผมดูเองครับ”
จุนยิ้มเล็กน้อยกลับไป รอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความสับสน แต่ในใจก็รับรู้ว่าถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องจัดการความรู้สึกนี้ให้ชัดเจนเสียที
เขาเดินตรงไปหาซอลแล้วช่วยพยุงตัวปอนด์ที่กำลังเมาคอพับอยู่
“ฉันช่วย ตัวใหญ่แบบนี้ซอลคนเดียวไม่ไหวหรอก เดี๋ยวฉันไปส่ง” จุนคว้าแขนอีกข้างของปอนด์มาคล้องที่คอตัวเอง ทั้งคู่หิ้วปีกหนุ่มร่างสูงใหญ่ราวกับกระทิงที่เมาหมดสภาพไปที่รถของจุน
“ขอบคุณนะทำให้ลำบากจนวันสุดท้ายเลยจริง ๆ” ซอลเอ่ยขอบคุณแม้ในใจจะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อได้อยู่ใกล้เขา
“ต้องขอบคุณซอลมากกว่า สามเดือนที่ผ่านมาช่วยฉันไว้เยอะเลย” ทั้งคู่ยิ้มให้กันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะขึ้นรถเดินทางกลับบ้าน
ระหว่างทางมีแต่ความเงียบภายในรถคันหรู ท้องฟ้าที่มืดมิดในเมืองใหญ่มีเพียงแสงไฟจากถนนที่ส่องแสงในเวลากลางดึก จุนมองซอลที่กำลังหลับอยู่ที่เบาะด้านข้างเป็นระยะ ภายในใจเขาสงสัยว่าซอลจะได้ยินสิ่งที่เขาบอกไปตอนนั้นหรือเปล่า
จุนเอื้อมมือไปจัดท่านอนให้ซอลเล็กน้อยขณะที่รถจอดติดไฟแดงอยู่ที่กลางสี่แยก เขาเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“ขอบคุณที่ทำให้รู้ว่าการอยากดูแลใครสักคนมันเป็นยังไง”
จุนมองหน้าซอลด้วยแววตาอ่อนโยน ตอนนี้เขาได้พูดความในใจที่เขามีต่อซอลออกมาต่อหน้าแม้ว่าซอลอาจจะไม่ได้ยินก็ตาม ความกล้าที่แสดงออกมาลับหลัง เขารู้ดีว่าการทำแบบนี้ไม่ช่วยให้ซอลรับรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงได้เลยแต่คงดีกว่าที่ไม่พูดมันออกไป
ซอลกลับมาถึงบ้าน ความเหนื่อยล้าสะสมจนเขาอยากจะทิ้งตัวลงบนเตียงในทันที แต่กลับต้องสะดุดลงเมื่อเจอพ่อนั่งดื่มอยู่โซฟา
“ไปฝึกงานหรือไปมั่วผู้ชายมากันแน่กลับดึกจนวันสุดท้าย” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองเช่นเดิม ดวงตาจับจ้องที่ซอลเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“แล้วนี่อะไรเมากลับมาเหรอ?”
“วันนี้เขาเลี้ยงส่งวันสุดท้าย” ซอลตอบเสียงเบา ใจเต้นรัวด้วยความรู้สึกที่อัดอั้น ในขณะที่พยายามควบคุมไม่ให้เสียงของตัวเองสั่น
“เลี้ยงส่งเหรอ? ดีจบเสียทีจะได้กลับมาช่วยกูดูร้าน” ใบหน้าแดงก่ำของพ่อปนกับน้ำเสียงมึนเมาพูดออกมาอย่างแข็งกระด้าง
“หึ สภาพมึงตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากกูหรอกซอล”
“ซอลเหนื่อยแล้ว ไม่มีแรงมาเถียงด้วยหรอกนะ” ซอลพูดตัดบทพ่อและรีบเดินหนีกลับขึ้นห้องก่อนที่พ่อจะคว้าตัวเขาไปซ้อมเหมือนทุกที
ซอลทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ความอ่อนล้าที่สะสมจากการทำงานหนักและความรู้สึกหลากหลายทำให้เขาอยากจะหลับในทันที แต่ในสมองกลับเต็มไปด้วยภาพใบหน้าและคำพูดของจุน ทุกคำพูดที่อีกฝ่ายเผลอพูดออกมาในค่ำคืนนี้ทำให้เขารู้สึกไม่มั่นใจในความรู้สึกของตนเองมากขึ้นกว่าเดิม
‘นี่เขาพูดจริงเหรอ?’
ซอลมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีแสงไฟริบหรี่ส่องเข้ามา ความรู้สึกสับสนในใจเริ่มชัดเจนขึ้น ความคิดถึงที่เขามีต่อจุนไม่ใช่เพียงเพราะสถานะเพื่อนร่วมงานอีกต่อไป แต่เขาไม่กล้าที่จะคิดไปมากกว่านั้น ในขณะเดียวกันคำพูดของพ่อยังคงวนเวียนอยู่เสมอ
สิ้นสุดการฝึกงานแต่วังวนที่ทรมานนี้เมื่อไหร่จะถึงจุดจบ ซอลหลับตาลงแม้ภายในใจจะเต็มไปด้วยหลากหลายความรู้สึก ความสับสนเกี่ยวกับเรื่องของจุน ความโกรธและเสียใจที่พ่อตั้งแง่ในตัวเอง ความรู้สึกอบอุ่นที่ทิวคอยดูแลไม่ห่าง…ฉันควรจัดการสิ่งเหล่านี้ยังไงดี…
รุ่งเช้าสดใสของการกลับเข้ารั้วมหาลัยวันแรก บรรยากาศคึกคักของเพื่อนพ้องที่ไม่เจอหน้ากันตลอดสามเดือน ต่างพูดคุยจอแจแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่าง ๆ ที่แต่ละคนได้พบเจอกันมา
ภาพห้องเรียนที่คุ้นตา เพื่อน ๆ ที่คุ้นเคย ความสนุกสนานของการพบปะกันเป็นสิ่งหนึ่งที่ซอลคิดถึง เขารู้สึกราวกับการเดินทางของชีวิตวัยรุ่นกำลังจะจบลง
“อีกไม่นานก็เรียนจบแล้วสินะ” ซอลบ่นพึมพำเบา ๆ ขณะกำลังเดินไปโรงอาหาร
“ไม่ต้องคิดถึงกูนะเพราะกูจะตามติดมึงไปทุกที่แน่นอน” ปอนด์พูดขัดความคิดของซอลไม่ให้ดำดิ่ง
“เออกูรู้แล้ว ขอบคุณที่แจ้งให้ทราบนะ” แม้จะหงุดหงิดที่เพื่อนขัดอารมณ์ซึ้งใจ แต่ซอลก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มสดใสเสมอ
“ซอล…” เสียงชายหนุ่มที่ฟังดูคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหน้า หน้าตามีเสน่ห์ชวนให้หลงใหล รอยยิ้มที่ดึงดูดหัวใจของใครหลายคน แต่เขากลับเป็นดั่งฝันร้ายของซอลเป็นที่สุด
“ไม่เจอกันนานเลยนะ”
ซอลยืนค้างอึ้งเมื่อเห็นชายคนนั้นยืนอยู่ต่อหน้า รอยยิ้มนั้นเขาจำไม่เคยลืมสำหรับใครหลายคนมันอาจเป็นสิ่งที่ดูดี แต่กับซอลเขาเหมือนกับปีศาจร้ายที่เข้ามาในยามหลับใหล ซอลเอ่ยชื่อของเขาเบา ๆ อย่างตกใจ
“พัด…”
สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเลือกทางไหน
ก็ต้องยอมรับในผลที่จะเกิดขึ้นให้ได้เท่านั้น