"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ
รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ชาย-ชาย,ครอบครัว,พระเอกคลั่งรัก,เพื่อนสนิท,เพื่อนรัก,มิตรภาพ,ปัญหารุมเร้า,ครอบครัว,ความรัก,รัก,รักดราม่า,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ความมืดสุดท้าย : Final Shadow"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ
แผลเป็น เป็นสิ่งที่คอยย้ำเตือนเรื่องราวในอดีต
ไม่ว่าจะนานแค่ไหนมันก็ยังอยู่ตลอดไป
ตั้งแต่ฉันเกิดมาไม่เคยมีสิ่งไหนเลยทำให้ฉันทุกข์ใจ ครอบครัวที่แสนอบอุ่นดูแลฉันให้เติบโตมาเป็นเด็กที่เพียบพร้อม ตื่นเช้ามามีอาหารเช้าฝีมือคุณย่าแสนใจดี ลิปสติกเปื้อนบนแก้มของฉันที่คุณแม่ชอบทิ้งไว้ให้ก่อนออกไปทำงาน รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคุณพ่อบนโต๊ะอาหารดังขึ้นในทุกเช้า
ความสุขที่ฉันสัมผัสมาตั้งแต่จำความได้ราวกับฝันที่ใครหลายคนใฝ่หาแม้แต่เพื่อนสนิทของฉันเองก็ยังอิจฉาในความสมบูรณ์แบบนี้
“บ้านซอลดีจัง คุณพ่อคุณแม่ก็ใจดี แม่เรานี่บ่นด่าพ่อทุกวันเลย” เด็กชายปอนด์มักพูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ เมื่อเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันในตอนเช้า
“ไม่ขนาดนั้นหรอกนะปอนด์คุณพ่อคุณแม่ของปอนด์ท่านก็รักกันดีนี่หน่า” ซอลน้อยปลอบใจเพื่อนตัวใหญ่ของเขา
“วันนี้คุณแม่คลอดน้องแล้วนี่หน่า ตั้งชื่อน้องหรือยัง?” แววตาของปอนด์เป็นประกายยิ่งกว่าคนที่กำลังจะเป็นพี่คนโตเสียเอง
“ซอลจะตั้งชื่อน้องว่า ซี เลิกเรียนเย็นนี้คุณพ่อจะมารับไปรอคุณแม่ที่โรงพยาบาล ตื่นเต้นมากเลยแหละปอนด์” ซอลจับมือเพื่อนสนิทด้วยความดีใจที่จะมีสมาชิกใหม่ลืมตาดูโลกในวันนี้
เขายิ้มอารมณ์ดีทั้งวัน เด็กน้อยอายุสี่ขวบปีกำลังจะกลายเป็นพี่คนโตของครอบครัว ความตั้งใจจะเป็นพี่ที่แสนดีก่อตัวขึ้นตั้งแต่เขารับรู้ว่ากำลังจะมีน้อง
เสียงกริ่งส่งสัญญาณบอกเวลาเลิกเรียน ฉันรีบวิ่งมาที่ประตูโรงเรียนอย่างร้อนใจ แล้วชะเง้อคอรอพ่อแบบใจจดจ่อ คุณพ่อลูกสองวิ่งหน้าตั้งจนเหงื่อท่วมตัวรีบเช็ดหน้าแล้วพาฉันลาคุณครูที่หน้าประตู สองพ่อลูกจูงมือกันเดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่ไม่ไกล
“น้องออกมาหรือยัง?” ฉันจ้องหน้าคุณพ่อ เสียงเล็กถามอย่างตื่นเต้น
“คุณแม่กำลังรอให้น้องออกมาอยู่นะ ซอลไปให้กำลังคุณแม่ถึงหน้าห้องเลยโอเคไหม?” จบประโยคคุณพ่อก็อุ้มฉันขึ้นมาแนบอกแล้วรีบพาขึ้นรถตรงไปที่โรงพยาบาลทันที
เมื่อถึงโรงพยาบาลได้รับแจ้งมาว่าคุณแม่เริ่มปวดท้องและเข้าไปรอในห้องคลอดเรียบร้อยแล้ว คุณพ่อตามคุณแม่เข้าไปอย่างรีบร้อน ฉันอยู่กับคุณย่าที่หน้าห้องเรากอดกันอย่างตื่นเต้น คุณย่าเริ่มชวนคุยเพื่อลดความตื่นเต้นลง
“น้องซอลอยากให้น้องเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“ซอลอยากมีน้องสาว ซอลจะได้ปกป้องน้องได้ แต่จริง ๆ เพศไหนซอลก็รักน้องและจะปกป้องน้องเอง” เด็กตัวน้อยกำหมัดขึ้นอย่างตั้งมั่นน้ำเสียงเอ่ยตอบคุณย่าด้วยความมั่นใจ
คุณย่าลูบหัวของฉันอย่างเอ็นดู แม้จะเป็นเด็กที่ดูแก่นแต่ฉันก็ไม่เคยทำให้คนในครอบครัวผิดหวัง ทั้งเรียนดีกิจกรรมเด่นตั้งแต่อนุบาล ครอบครัวภูมิใจในตัวซอลแน่นอน
เด็กชายตัวน้อยถือกำเนิด เสียงร้องของเด็กแรกเกิดดังก้อง น้ำตาของครอบพร้อมใจกันไหลรินด้วยความปลื้มปริ่ม ฉันดีใจที่สุดเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะเป็นได้ ในความคิดของฉันตั้งมั่นไว้เสมอว่าฉันจะเป็นพี่ที่ดีให้น้องจนกว่าชีวิตตัวเองจะสิ้นสุดลง
วันเวลาผ่านไปนานหลายปี เด็กน้อยสองคนในบ้านเริ่มเติบโตขึ้น ฉันเป็นพี่ที่แสนดีคอยดูแลน้องมาตลอด ทุกวันหยุดหรือมีเวลาว่างสี่คนพ่อแม่ลูกจะพากันไปเปลี่ยนบรรยากาศอยู่เสมอ เพียงแค่นั่งชมแสงยามเย็นของพระอาทิตย์ที่สาดส่องกระทบกับบึงน้ำในสวน ครอบครัวมีแต่รอยยิ้มเปื้อนหน้า ชวนกันปั่นจักรยานเล็กน้อย เป็นการเติมพลังงานความรักให้กันและกันเป็นอย่างดี
แต่ภาพความอบอุ่นตรงหน้าก็เริ่มเปลี่ยนไป ซอลก็ไม่ทันได้สังเกตเห็นความผิดปกตินี้ได้เลย…
คุณแม่ทำงานอย่างหนักจนแทบไม่มีเวลากลับมานอนที่บ้าน คุณพ่อที่เคยเฮฮาทุกเช้าก็กลายเป็นคุณลุงหน้าตึงเครียดตลอดทั้งวัน ฉันไม่เคยสงสัยในความเปลี่ยนแปลงนี้เพราะเข้าใจดีว่าพวกท่านทำงานหนักมาตลอด
กระทั่งวันหนึ่ง…ในเวลากลางดึกที่ทุกคนหลับใหล เสียงข้าวของหล่นดังทั่วบ้านทำลายความเงียบสงบ ตามด้วยเสียงชายหญิงสองคนถกเถียงกันจับใจความไม่ได้ เด็กน้อยสองคนนอนกอดกันร้องไห้บนเตียงนอนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
ไม่นานนักผู้เป็นแม่เปิดประตูเข้ามานอนกอดเด็กทั้งสองอย่างอบอุ่นหากแต่ศีรษะของฉันกลับเต็มไปด้วยน้ำตาที่หลั่งรินออกมาเป็นสายจากดวงตาของแม่
ตามมาด้วยเสียงต่อยประตูไม้ที่ดังสนั่นกว่าเดิม เพิ่มความหวาดกลัวให้ฉันกับซีเป็นอย่างมาก ค่ำคืนนั้นกลับเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ของเราทั้งสองและแม่ของฉันตลอดทั้งคืน
ปัญหาที่เกิดขึ้นฉันไม่เคยรับรู้ว่าสาเหตุนั้นมาจากอะไรกันแน่ ความเป็นเด็กทำให้ไม่สามารถเข้าถึงความรู้สึกของผู้ใหญ่ได้เลยแม้แต่น้อย อิสระที่ฉันเคยได้รับตอนนี้กลับถูกตีกรอบมากขึ้น พ่อที่เคยใจดีตอนนี้เขาเปลี่ยนเป็นคนละคน เมื่อถึงเวลาปิดร้านพ่อมักจะออกไปเที่ยวตามสถานบันเทิงบ่อยครั้งหรือหายตัวไปแบบติดต่อไม่ได้
หากเรื่องการทะเลาะกันของพ่อแม่จบลงเพียงเท่านี้ก็คงจะดี…ภาพครอบครัวพากันไปเที่ยวในวันหยุดค่อย ๆ จางหายไปเช่นเดียวกับเสียงหัวและรอยยิ้มที่เหลือทิ้งไว้เพียงความทรงจำ
ทุกครั้งที่แม่กลับมาหาในคืนนั้นมักจะมีเสียงของพ่อแม่ทะเลาะกันดังขึ้นในยามดึกอยู่เสมอ และจบลงที่แม่มานอนร้องไห้อยู่ข้าง ๆ เสียงเหล่านี้มักจะทำให้ฉันนอนฝันร้ายจนสะดุ้งตื่นเมื่อนอนคนเดียว
ครอบครัวเป็นเช่นนั้นจนฉันเริ่มชินกับมัน เข้าสู่ช่วงมัธยมฯ ฉันเลิกหาคำตอบที่ว่าทำไมแม่ถึงไม่กลับมาอยู่ที่บ้าน ทุกครั้งที่กลับมาพ่อกับแม่จะทะเลาะกันอยู่เสมอ ฉันได้แต่คิดว่าหากเจอกันแล้วเป็นแบบนี้ก็แยกกันอยู่ไปเลยเสียดีกว่า…
ที่ฉันคิดไม่ผิดนัก ขณะที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา พ่อเข้ามาคุยกับฉันด้วยท่าทีใจเย็นและเคร่งขรึม ใบหน้าจริงจังเริ่มเอ่ยปากถาม
“ซอล…ถ้าพ่อกับแม่เลิกกันซอลจะเลือกอยู่กับใคร”
นั่นเป็นคำถามที่ฉันเตรียมใจรับมันมาระยะหนึ่งแล้ว เพียงแต่ไม่ทันตั้งตัวในเวลาเช่นนี้
ฉันค่อย ๆ หันมามองทางพ่อ ในดวงตาคู่นั้นกำลังมีน้ำตาคลออยู่บางเบาราวกับเขากำลังกลั้นมันเอาไว้
“ถ้าซอลอยากสบายซอลก็คงเลือกอยู่กับแม่นะ แต่ซอลเป็นห่วงพ่อ” ใช่ นั่นคือคำตอบของฉัน
เส้นทางที่ฉันเติบโตมาโดยมีพ่ออยู่เคียงข้าง ภาพในวันที่พ่อต้องเผชิญกับสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ในวันที่ไม่มีแม่ ทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดราวกับโลกกำลังจะพังทลาย
ภาพของชายที่กำลังสูญเสียคนรักของเขาจนเสียสติ ความรักครั้งแรกของเขากำลังจากไปอย่างไม่อาจหวนคืน ชายผู้ที่ไม่เคยเมาจนสิ้นสติกลับเป็นคนติดสุราที่ไม่อาจมีใครห้ามได้แม้แต่ตัวของเขาเอง…
หากเป็นไปได้ฉันอยากขอพ่อคนเดิมของฉันกลับคืนมาแต่หากว่าเวลามันไม่อาจย้อนกลับไปได้ ฉันเพียงแค่ต้องยอมรับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้เท่านั้น เป็นทางเดียวที่ฉันทำได้
แล้วฝันร้ายของฉันก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อเช้าวันหนึ่งมีคนมาเรียกที่หน้าบ้าน เสียงของเขาตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
“ซอล…ซอลลูก”
“มาแต่เช้าเลยแจ้ มีอะไร” ฉันที่เมาขี้ตารีบเดินมาเปิดประตูบ้านให้คุณป้ากำลังตะโกนเสียงดัง
“พ่อแกนอนอยู่ปากซอย สภาพเมาไม่ได้สติเลย เหมือนโดนกระทืบมาด้วยแกรีบไปดูพ่อแกก่อน”
ไม่ทันจบประโยคดีนักฉันรีบวิ่งออกไปดูพ่อในทันที สภาพที่เห็นนั้นราวกับคนที่โดนฝ่าเท้านับสิบประทับทั่วทั้งตัว โชคดีที่มีเพียงแผลช้ำดำปูตามแขนและใบหน้า ดวงตาช้ำม่วงบวมจนแทบจะลืมตาไม่ได้
ชาวบ้านช่วยกันพาไปส่งโรงพยาบาลที่อยู่ไม่ไกลแต่เพราะไม่มีหลักฐานหรือกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุทำให้ไม่สามารถหาตัวคนทำผิดได้
ใช่…นับจากวันนั้นมาฉันบอกกับตัวเองว่า ต่อให้มันจะเลวร้ายแค่ไหนฉันจะไม่มีวันทิ้งพ่อไว้ลำพังเด็ดขาด
“แต่ถ้าซอลไปอยู่กับแม่…”
“พ่อไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ซอลอยู่กับพ่อนี่แหละ เซ็นใบหย่ากันเมื่อไหร่ก็เอาซอลไปด้วยแล้วกัน” ฉันรีบตัดบทพูดของพ่อและนั่งดูทีวีต่อ
แม้ภายนอกจะดูไม่สนใจอะไร แต่ภายในใจฉันเหมือนกำลังแตกสลาย ตั้งแต่เล็กจนโตสิ่งเดียวที่ฉันภาวนามาตลอดคือ ขอให้ครอบครัวกลับมาอบอุ่นเหมือนเดิม ตอนนี้มันคงเป็นเพียงได้แค่ความฝันไปเสียแล้ว
แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ตัวฉันเองเปลี่ยนไปเช่นกัน ฉันเริ่มที่จะหมกมุ่นกับการเรียนมากขึ้นเพื่อที่จะลืมเรื่องราวเหล่านั้น บางครั้งความทรงจำในอดีตก็ทำให้ฉันฝันร้ายจนต้องตื่นมาร้องไห้กลางดึก
ฉันเริ่มปิดกั้นตัวเองจากผู้คนรอบข้าง มีเพียงปอนด์และซีเท่านั้นที่สามารถฉุดฉันออกมาจากห้องสี่เหลี่ยมนั้นได้
“พี่ซอล ไปเที่ยวกัน ซีเจอร้านดี ๆ มา ไปด้วยกันหน่อยนะ” เสียงน้องชายดังเจื้อยแจ้วแทนเสียงนกร้องในยามเช้า ตอนนั้นฉันเองยังคงนอนคุดคู้อยู่บนเตียงด้วยซ้ำ
“ไม่ไป…วันนี้จะวาดรูปที่ค้างอยู่ให้เสร็จ” แม้จะตอบแบบงัวเงียแต่ฉันไม่คิดที่จะโผล่หัวออกมาจากผ้าห่มด้วยซ้ำ
“พี่ปอนด์!” น้องชายและเพื่อนสนิทของฉันรวมหัวกันลากตัวที่นอนอืดอยู่บนที่นอนให้ลุกไปอาบน้ำ
ฉันที่ตัวเล็กกว่าจะไปสู้แรงของทั้งสองคนได้ยังไง สุดท้ายฉันก็ต้องยอมออกไปด้วยอยู่ดี แต่ถึงอย่างนั้นฉันต้องขอบคุณทั้งคู่ที่ทำให้ฉันมีรอยยิ้มมากขึ้น การอยู่กับชายหนุ่มทั้งสองคนนี้ทำให้รู้สึกเหมือนฉันคนเดิมกลับมา ความสดใสที่หายไปกลับถูกเติมเต็มอีกครั้ง
ชีวิตมัธยมฯ ปลาย เส้นทางใหม่ของชีวิตที่โตขึ้นอีกขั้น คำถามที่เจอตั้งแต่เด็ก ‘โตขึ้นอยากเป็นอะไร’ ฉันเคยคิดมาตลอดว่าอยากเป็นนักแสดงหรือนักร้อง แต่ยิ่งได้ศึกษาทางนี้มากขึ้นมันทำให้ฉันรู้ว่า ฉันอยากเป็นผู้กำกับเหมือนที่แม่ของฉันเป็น
จินตนาการความฝันของฉันถูกวาดไปไกลเกินกว่าที่จะย้อนกลับ จนเมื่อได้พูดคุยกับพ่อเกี่ยวกับอนาคตที่วางไว้ อาการของพ่อที่แสดงออกมาต่างจากที่ฉันคาดคิด
พ่อดูหงุดหงิดและไม่พอใจมากที่ฉันเลือกจะเดินเส้นทางนี้ เราถึงขั้นมีปากเสียงกันอย่างหนักจนซีต้องเข้ามาแยกเราออกจากกัน ฉันร้องไห้ตลอดทั้งคืนและยังคงไม่เข้าใจเหตุผลที่พ่อไม่เห็นด้วย
แต่ใครจะสนล่ะ ฉันยังคงเลือกที่จะเดินเส้นทางที่ฝันไว้เช่นเดิม นอกเวลาเรียนฉันพยายามศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น นอกจากนี้ยังหางานพิเศษทำอีกด้วย เรียกได้ว่าฉันไม่อยากปล่อยให้ตัวเองว่างจนต้องคิดเรื่องไร้สาระพวกนั้น
เหตุการณ์เริ่มหนักขึ้นเมื่อซีต้องย้ายไปอยู่กับแม่ช่วงหนึ่ง ตอนนั้นยังจำได้ดี... ทุกอย่างมันดูปกติเหมือนทุกวัน ฉันเดินเข้าบ้านมาได้ยินเสียงทีวีดังจากห้องนั่งเล่น และกลิ่นเหล้าที่เริ่มคุ้นเคยก็คลุ้งอยู่ในอากาศ ฉันพยายามเดินเบา ๆ หวังว่าพ่อคงไม่สังเกต... แต่วันนั้นโชคคงไม่เข้าข้างสักเท่าไหร่
ฉันทำตัวให้เงียบที่สุด แต่พ่อก็เรียกเข้าไป ใบหน้าของเขาในเงาสลัวนั้นไม่ได้อบอุ่นเหมือนพ่อที่ฉันเคยรู้จักอีกต่อไป มันเต็มไปด้วยอะไรบางอย่างที่มืดมิดและน่ากลัว… ฉันเดินเข้าไป หัวใจเต้นแรงเหมือนมันกำลังจะระเบิดออกมา ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจหรอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทุกครั้งที่มองเห็นสายตาโกรธเกรี้ยวนั้น ฉันได้แต่หวังว่ามันคงจบเร็ว ๆ
พ่อคว้าข้อมือฉันไว้แน่นจนเจ็บ ไม่เคยเจ็บแบบนี้มาก่อน เหมือนจะดิ้นหลุดก็ไม่ได้ ขยับไปไหนก็ไม่ได้ แค่อยากจะวิ่งหนีไปให้ไกลจากตรงนั้น แต่ทำได้แค่กลั้นน้ำตาไว้ ก่อนที่ฝ่ามือจะกระแทกลงที่หน้าของฉันอย่างสุดแรง
“เด็กอย่างแกไม่มีอะไรดีเลย”
คำพูดนั้นก้องอยู่ในหู เสียงพ่อที่พร่าไปด้วยเหล้าทำให้คำพูดพวกนั้นยิ่งแหลมคมขึ้น ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองเห็นเงาตัวเองในกระจกหน้าต่างที่สะท้อนมา เงานั้นค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไปไม่เหมือนฉันคนเดิมอีกแล้ว เงาที่คุ้นเคยมันกลายเป็นใครบางคนที่น่ากลัวไปด้วยความเจ็บปวด
พอเรื่องทุกอย่างสงบลง ฉันได้แต่นั่งอยู่คนเดียว มันเป็นครั้งแรกที่รู้สึกได้ว่าไม่มีใครเลยจริง ๆ ความเจ็บปวดนั้นทำให้ฉันเริ่มมองหาอะไรสักอย่างที่ควบคุมได้ จนฉันเริ่มทำร้ายตัวเองครั้งแรก มันเจ็บเหมือนกัน... แต่ครั้งนี้ผมรู้สึกว่า ฉันเป็นคนเลือก ฉันคุมความเจ็บนี้ได้
ฉันทำแบบนั้นอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งที่พ่อเริ่มใกล้จะระเบิด ฉันรู้ว่าจะได้เจอกับอะไร แต่ก็ไม่เคยจากไปไหนไกลกว่านั้น เพราะถึงมันจะเจ็บแค่ไหน แม้จะต้องแลกด้วยอะไรหลายอย่างก็ตาม
ทุกครั้งที่หลับตาลง ฉันยังคงเห็นภาพเหล่านั้นซ้ำไปมาในหัว เสียงด่าทอของพ่อยังคงตอกย้ำแม้พยายามลืมเหตุการณ์ที่เจ็บปวดแค่ไหน แต่ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นยังตามมาหลอกหลอนในฝัน
เหมือนแผลที่ไม่มีวันหายไปจากใจ…
ทุกวันนี้ เมื่อมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก ฉันยังคงเห็นเงาของเด็กคนนั้น เด็กที่เจ็บปวดและโดดเดี่ยว…เงาที่ไม่มีวันหายไป เหมือนกับแผลเป็นในใจที่ยังคอยตอกย้ำว่าไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว…