"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ
รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ชาย-ชาย,ครอบครัว,พระเอกคลั่งรัก,เพื่อนสนิท,เพื่อนรัก,มิตรภาพ,ปัญหารุมเร้า,ครอบครัว,ความรัก,รัก,รักดราม่า,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ความมืดสุดท้าย : Final Shadow"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ
บางครั้งอดีตก็เป็นดั่งเงา
มันจะเดินตามมาอย่างช้า ๆ ในวันที่เราคิดว่า…
“มันเลือนรางไปแล้ว”
แสงไฟอ่อน ๆ ในแกลเลอรีทำให้บรรยากาศดูสงบ ซอลเดินเคียงไปกับจุน สายตาทั้งคู่จ้องภาพต่าง ๆ บนผนังราวกับกำลังปล่อยตัวเองหลงเข้าไปในเรื่องราวของภาพเหล่านั้น กลิ่นหอมอ่อน ๆ ไม่ทราบที่มาทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
“ทำไมพามาที่นี่เหรอ?” ซอลถามขึ้นเสียงเบา หลังจากเงียบมาพักใหญ่ เขามองไปรอบ ๆ แกลเลอรีที่มีเพียงคนบางตา
“บางทีที่นี่ก็ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจ” จุนหันมองซอลด้วยแววตาที่อบอุ่น
คำพูดของจุนทำให้ซอลเงียบไปครู่หนึ่ง เขาเริ่มมองภาพวาดแต่ละภาพด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไป ทันใดนั้น จุนหยุดเดินตรงหน้าภาพหนึ่ง ภาพนั้นดูมืดมน มีเพียงแสงสีขาวส่องประกายออกมาตรงกลางรูป ภาพสีขาวดำที่เรียบง่ายและธรรมดาที่น้อยคนจะสนใจ
“ภาพนี้... เหมือนแค่ภาพธรรมดาไหม?” จุนถามขึ้นขณะจ้องมองภาพนั้นนิ่ง ๆ
ซอลมองภาพวาดแสงขาวที่ส่องประกายท่ามกลางความมืด สีขาวนั้นเหมือนถูกกดดันจากความมืดรอบตัว ภาพที่ทำให้รู้สึกอึดอัดแต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้รู้สึกไม่โดดเดี่ยว
“มันดูเหงา แต่ก็มีหวัง... เหมือนแสงที่พยายามส่องผ่านความมืดออกมา” ซอลเอ่ยออกมาโดยไม่ทันคิด เขาเงยหน้ามองจุนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
จุนหันกลับมาพยักหน้าเล็กน้อย
“ตอนแรกเราก็คิดว่ามันแค่ภาพธรรมดา แต่พอรู้ความหมายจริง ๆ ของมัน...” จุนหยุดพูดแค่นั้น ใบหน้าของเขาเงียบสงบราวกับกำลังนึกถึงเรื่องราวบางอย่าง
“แล้วซอลล่ะ มีภาพที่ชอบเป็นพิเศษไหม?” จุนถามพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ
ซอลครุ่นคิดก่อนจะเดินไปรอบ ๆ อีกครั้ง เขาหยุดลงตรงหน้าภาพวาดของมือคู่หนึ่งเต็มไปด้วยบาดแผล มืออีกคู่ยื่นเข้ามาราวกับจะช่วยดึงให้พ้นจากความเจ็บปวด ซอลยืนมองภาพนั้นรู้สึกเหมือนเห็นตัวเองสะท้อนอยู่ในภาพ
“ภาพนี้ล่ะ...” คำตอบสั้น ๆ เอ่ยขึ้น ซอลไม่อยากจะอธิบายไปมากกว่านี้ เขาไม่อยากให้จุนรับรู้ถึงเหตุผลที่เลือกภาพนี้สักเท่าไหร่
“มันเหมือนซอลเลยนะ เธอเป็นคนแบบนั้นใช่ไหมล่ะ คนที่พยายามทำให้คนรอบตัวสบายใจ” จุนมองภาพนั้นก่อนพูดขึ้นอย่างไม่คิดพร้อมยิ้มเล็กน้อย
“ไม่หรอก…” แววตากับน้ำเสียงปนเศร้าซอลตอบกลับจุนเบา ๆ แสร้งยิ้มบางออกมา
ตาของซอลมองที่ภาพนั้นก็จริงแต่สิ่งที่ซอลเพ่งมองคือมือนั้นที่เต็มไปด้วยบาดแผลและรอยฟกช้ำ ซอลสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่สะสมอยู่ข้างในใจของเขาเอง ความรู้สึกเหล่านั้นที่ซ่อนไว้ในแผลเล็ก ๆ กลับปรากฏขึ้นเหมือนเงาที่เขาไม่สามารถปล่อยวางได้อย่างง่ายดาย
‘ฉันน่ะ…คือคนที่มีแต่แผลมากกว่า’
หลังจากเดินดูภาพกันอีกหลายภาพ บทสนทนาพูดคุยแลกเปลี่ยนการตีความของภาพถกกันไปมา ความหมายของภาพเปลี่ยนไปของแต่ละคน ความสุข ความเศร้าผสมกันอย่างลงตัวในแกลเลอรีแห่งนี้ เช่นเดียวกับความรู้สึกของทั้งคู่ รอยยิ้มราวกับดอกไม้แรกแย้มผลิบานขึ้นบนใบหน้า ขณะเดียวกันก็สลับกับความรู้สึกบางอย่างที่ผุดขึ้นมาภายในจิตใจของซอลเป็นระยะราวกับดอกไม้สดใสที่โดดแดดจัดกำลังแผดเผา
“แล้วช่วงนี้เป็นไงบ้าง เรียนจบแล้วจะทำอะไรต่อ?” จุนถามโพล่งขึ้นมาหลังจากพูดคุยเรื่องศิลปะกันมาพอสมควรแล้ว
“อืม…อีกไม่กี่วันก็รับปริญญาแล้วแต่ก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะเอาไงต่อ” ซอลตอบไปตรง ๆ แต่ก็นึกถึงคำชวนจากพี่ออฟที่ให้กลับไปทำงานหลังเรียนจบ เขาเงียบไปครู่หนึ่งไม่รู้ว่าควรบอกเรื่องนี้กับจุนดีไหม
“แล้วที่ออฟฟิศเป็นไงกันบ้าง? พูดไปก็คิดถึงพี่ ๆ เหมือนกันนะ”
“ก็ไม่แย่นะ จริง ๆ ตอนนี้ก็ยุ่งเหมือนเดิม ตั้งแต่ไม่มีซอลช่วยนะพี่ออฟก็บ่นทุกวันว่าคนที่เข้ามาใหม่ไม่เข้าขากันเท่าที่ควร เจ้าเองก็บ่นว่าเหนื่อยบ่อย ๆ อย่างกับเสียงจิ้งหรีดที่น่ารำคาญทุกวัน” จุนพูดแกมหัวเราะ จะว่าบ่นก็ไม่เชิง เหมือนเขาคิดถึงการทำงานที่มีซอลเสียมากกว่า
“พูดถึงพี่เจ้า...” ซอลพูดขึ้นมาด้วยความสงสัย
“นายกับพี่เจ้าดูสนิทกันมากเลยนะ”
“คนพูดแบบนั้นถมไปแต่ก็สนิทกันมากจริง ๆ นั่นแหละ สนิทมานานจนรู้ทันกันเกินไปด้วยซ้ำ” จุนยิ้มบาง ๆ แล้วตอบ
ซอลได้ยินเช่นนั้นก็เงียบลงไป ความรู้สึกที่ซ่อนลึกในใจทำให้เขาครุ่นคิด รู้ตัวอีกทีจุนก็ตอนที่จุนยื่นมือมาจับที่มือของซอลอย่างอ่อนโยน ดวงตาของจุนมองสลับกับภาพวาดบนผนังอีกฝั่งที่เดินผ่านมาไม่ไกล
“เหมือนกันเลยนะ…แผลที่มือนี่กับภาพนั้นน่ะ”
ซอลไม่พูดอะไรแล้วดึงมือกลับแทบจะในทันทีเมื่อฟังคำพูดของจุน ในขณะที่จุนมองกลับมาที่ดวงตาของเขาแล้วพูดต่อ
“หรือที่ชอบมันเพราะ…”
“อย่าคิดไปเองน่ะ หิวแล้วไปกันเถอะ” ซอลหลบสายตาของจุนก่อนจะรีบพูดแทรกขึ้นก่อนที่จุนจะพูดจบแล้วรีบเดินปรี่ไปที่ประตูทางออก
ท่าทีของซอลราวกับกำลังปิดบังอะไรบางอย่างที่ไม่อยากให้ใครรับรู้ที่มาของแผลที่มือนั้น จุนรับรู้ถึงความผิดปกตินี้แต่เขาเลือกที่จะไม่ถามต่อได้เพียงแต่มองซอลด้วยความเป็นห่วงและสงสัยใคร่รู้เท่านั้นก่อนจะรีบเดินตามซอลออกมา
“ไปเดี๋ยวพาไปกินของอร่อย”
จุนพูดด้วยรอยยิ้มขี้เล่นแบบที่หาดูได้ยาก แต่เขากลับรู้สึกผิดอยู่ลึก ๆ เหมือนกับว่าเขาเป็นต้นเหตุของแผลนั้นเสียเอง
ทั้งคู่เดินมาที่ห้างใกล้ ๆ หวังฝากท้องที่กำลังหิวโซกับร้านอร่อยที่นี่ ผู้คนเดินขวักไขว่ต่างกับแกลเลอรีที่พวกเขาเพิ่งออกมา กลับสู่ความวุ่นวายในโลกความจริง
ซอลเดินนิ่งเงียบไม่พูดอะไรความคิดยังคงติดอยู่กับสิ่งที่จุนพูดถึง หากจุนรับรู้ที่มาของแผลนี่อาจจะทำให้เขารู้สึกไม่ดีไปด้วยอีกคน ไม่ใช่แค่จุน…เขาไม่อยากให้ใครก็ตามรับรู้ถึงเหตุผลนี้เลยด้วยซ้ำ ถ้าทำได้เขาอยากจะลบมันออกไปแต่สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้คือการยอมรับในรอยแผลเหล่านั้นเพื่อที่จะก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้
ไม่ว่าจะคิดเรื่องนี้เท่าไหร่เขากลับยิ่งเดินเหม่อลอยมากขึ้นจนเกือบจะเดินชนผู้คนที่เดินสวนทางมา จุนรีบดึงตัวซอลเข้าหาตัวของเขาและโอบกอดอย่างไม่ตั้งใจ
“เดินดูทางหน่อยสิ ตั้งแต่เดินออกมาก็เอาแต่เดินเหม่อไม่หยุดเลยนะ คิดอะไรอยู่?”
“เปล่า…แค่เพลีย ๆ นิดหน่อยเมื่อคืนนอนน้อยน่ะ” ซอลตอบเลี่ยงไม่ให้จุนสงสัย
ทั้งคู่เดินเข้าร้านอาหารอิตาเลียนขึ้นชื่อ บรรยากาศภายในร้านค่อนข้างเงียบสงบ ผู้คนบางเบา แม้จะเป็นร้านดังแต่การจะเข้ามาที่นี่ได้ต้องจองล่วงหน้าไว้ก่อนเท่านั้น ซอลตกใจอย่างออกนอกหน้า ภายในร้านประดับด้วยสีดำทองตัดกับสีขาว เฟอร์นิเจอร์จากแบรนด์ดังมากมายรวมถึงวัตถุดิบนำเข้าคุณภาพดี บ่งบอกถึงราคาอาหารที่ต้องแพงเกินกว่าที่เขาจะเอื้อมถึงได้
“ที่นี่ต้องจองเท่านั้นถึงจะมาได้นี่ แล้วทำไมนาย…” ซอลถามอย่างตื่นเต้น
“ก็จองไว้ก่อนน่ะสิถึงได้พามา ว่าจะชวนแต่เห็นปอนด์บอกว่าซอลออกไปที่ร้านพี่เตเลยตามไปเจอนั่นแหละ” จุนตอบหน้านิ่ง
“ที่นี่มันเป็นส่วนตัว ฉันเป็นดารานะก็อยากมีที่ส่วนตัวไว้กินข้าวเงียบ ๆ บ้าง ไม่อยากเห็นคลิปตัวเองว่อนโซเชียลว่าไปกินข้าวกับคนแปลกหน้าจนเป็นข่าวซุบซิบ ไม่อยากตอบคำถาม”
“จ้า พ่อดาราท่านหนึ่งแต่ตามไปลากตัวถึงที่แทนการส่งข้อความหรือโทรมาชวน นี่เหรอที่ดาราเขาทำกัน” ซอลพูดพลางพลิกเมนูไปมาอย่างน่าหมั่นไส้
“ไปรับที่หน้าบ้านพอดีแล้วเจอปอนด์ถึงได้รู้ต่างหาก ไม่ได้แอบตามไปซะหน่อย” จุนตอบกลับด้วยท่าทีที่เขินเล็กน้อย ทั้งที่จะโทรชวนก่อนก็ได้แต่กลับไปดักรอที่หน้าบ้านแบบนั้นเสียได้
“จะถามตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ทำไมถึงชอบภาพมืดนั้นเหรอนายยังพูดไม่จบเลยนี่” ซอลถามขึ้นหลังจากเลือกเมนูอาหารเรียบร้อยแล้ว
ท่าทีของจุนเปลี่ยนไปจนซอลสังเกตได้ เขารู้สึกว่าจุนกำลังนึกถึงอะไรบางอย่างที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะพูดออกมา
“แต่ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรนะ” ซอลเอ่ยพูดเมื่อเห็นท่าทีไม่สบายใจนั้น
จุนเงียบไปชั่วครู่ ราวกับกำลังครุ่นคิดว่าควรเปิดใจแค่ไหน
“มันเป็นตอนที่ฉันเป็นเด็กฝึกใหม่ ๆ ในค่ายเก่า… ตอนนั้นฉันก็ไม่ได้เป็นแบบนี้หรอกนะ ทุกคนบอกว่าฉันร่าเริง อารมณ์ดีตลอดเวลา ไม่ระแวงใครเลย คิดแค่ว่าทุกคนในที่นั่นคือคนที่ฉันจะก้าวไปด้วยกัน”
“แล้วเกิดอะไรขึ้น?” ซอลมองจุนด้วยความสนใจ
“ก็แค่…เรียนรู้ว่าบางคนที่เราคิดว่าเขาจะอยู่เคียงข้าง อาจไม่ใช่คนที่เป็นอย่างที่เราเห็น” จุนถอนหายใจเบา ๆ แล้วพยายามเก็บอารมณ์ไว้
“ความไว้ใจที่เคยมีมันถูกทำลาย” จุนพูดเสียงเบา แววตาหม่นลงขณะมองโต๊ะอาหารที่ว่างเปล่าตรงหน้า เขานึกถึงภาพวาดนั้นราวกับมันเป็นประตูที่เชื่อมกลับไปยังความทรงจำเหล่านั้น เขายิ้มจาง ๆ
“อาจจะฟังดูงี่เง่า แต่เพราะเรื่องนี้แหละที่ทำให้ฉันกลายเป็นคนที่ไม่เปิดใจให้ใครง่าย ๆ และดูเย็นชาจนถึงตอนนี้” จุนเริ่มเล่าถึงเรื่องราวสมัยที่เป็นเด็กฝึกให้ซอลฟัง
“อย่างที่ซอลเคยเห็น ฉันมีเพื่อนที่เป็นเด็กฝึกด้วยกันหลายคนและยังสนิทกับพี่ ๆ ที่คอยดูแลอีกด้วย ฉันรู้ดีว่าการแข่งขันมันสูงแต่ฉันก็ไม่เคยท้อถึงมันจะกดดันมากแค่ไหน” จุนเปลี่ยนท่านั่งให้สบายขึ้น ปากเขายิ้มบาง ๆ เมื่อนึกถึงความหลังที่สนุกสนานนั่น
“แต่วันหนึ่ง…ฉันโดนกลั่นแกล้งและใส่ร้ายว่าทำผิดพลาดในระหว่างการฝึก การอธิบายกลับถูกมองว่าเป็นคนพยายามเลี่ยงความผิด นับวันมันเริ่มแรงขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาใส่ร้ายว่าฉันขโมยของ สิ่งที่เจ็บปวดที่สุด…คือเพื่อนร่วมฝึกที่ไว้ใจมาตลอด กลับเลือกที่จะเข้าข้างกลุ่มคนที่ใส่ร้าย บางคนเลือกนิ่งเฉยเพื่อปกป้องตัวเองจากการถูกพวกนั้นเล่นงานไปด้วย” ขณะที่จุนกำลังพูดเขาก็ค่อย ๆ หุบยิ้มนั้นลง ความเชื่อมั่นและความไว้ใจที่เคยมีต่อคนรอบข้างเริ่มสลายและเปลี่ยนไปในตอนนั้น
“มีแค่ปั้นเท่านั้นที่ออกตัวมาช่วยฉัน เราเลยออกจากที่นั่นและได้มาเดบิวต์ที่นี่แทน สีขาวกลางภาพนั้นคือโอกาสและความหวังครั้งใหม่ในชีวิตที่มืดมนในช่วงนั้นสำหรับฉัน นี่คือเหตุผลที่ฉันชอบมัน เหมือนฉันได้เห็นตัวเอง” จุนพูดจนจบและยิ้มออกมาอีกครั้งราวกับเขาพร้อมทิ้งเบื้องหลังอันเจ็บปวดไว้ข้างหลังเพื่อสิ่งใหม่
“เหมือนกับปั้นและบริษัทนี้เป็นแสงสีขาวนำทางในชีวิตนายเลยนะ แต่ที่สำเร็จมาได้ก็เพราะตัวนายเองด้วย ถ้าในวันนั้นนายไม่ตั้งใจฝึกมากพอ ต่อให้จะฝึกอีกกี่ที่ แคสอีกกี่งาน ออดิชันจนข้อเข่าเสื่อม นายก็คงไม่ได้มาอยู่จุดนี้หรอก จริงไหมล่ะ” ซอลพูดไปยิ้มไปน้ำเสียงขบขันหวังจะเปลี่ยนอารมณ์ที่ดูหดหู่เมื่อสักครู่ให้สดใสขึ้น
“ต้องรวมซอลเข้าไปในสีขาวนั้นด้วยนะ…” จุนเอ่ยต่อคำพูดของซอล แต่ประโยคนั้นถูกขัดจังหวะด้วยอาหาที่เข้ามาเสิร์ฟชั่วครู่
“หมายความว่าไง?” ซอลถามพลางรับจานจากพนักงานเสิร์ฟ
“จดหมายนั่นไง เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฉันกลับมาตั้งใจฝึกหนักอีกครั้งเลยนะ ต้องขอบคุณซอลด้วยสิถึงจะถูก”
คำตอบของจุนทำให้ซอลผงะไปชั่วครู่
“หมายความว่า…จดหมายจากคนแปลกหน้ามีผลกับนายขนาดนั้นเลย?” ซอลเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลายอย่าง ทั้งแปลกใจและดีใจ ราวกับไม่คิดว่าคำพูดเพียงไม่กี่คำของเขาจะสามารถเป็นแรงผลักดันอะไรในชีวิตของคนคนหนึ่งได้ขนาดนี้
จุนยิ้มบางๆ มองตอบกลับมา แววตาเขานุ่มลึกและจริงใจราวกับจะส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดนั้นไปยังซอล
“ใช่ ตอนนั้นฉันรู้สึกเหมือนไม่มีทางไปเลย…ทุกวันเหมือนมีแค่ความมืดอยู่รอบตัว แต่จดหมายของซอลทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันไม่ได้อยู่คนเดียว มีใครบางคนที่เข้าใจและเป็นกำลังใจให้ แม้จะเป็นคนที่ฉันไม่เคยเจอ”
ซอลยิ้มรับ เขาพยักหน้าเล็กน้อยขณะกำลังทานพาสต้า ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าภาพวาดนั้นมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่าเดิม เขาเริ่มเข้าใจว่าทำไมจุนถึงชอบภาพนี้ และทำไมจุนถึงสามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยความเข้มแข็งขนาดนี้
แต่เมื่อจุนหันมามองเขาอีกครั้ง ซอลรู้สึกว่าคำพูดของจุนทำให้หัวใจเขาร้อนผ่าว เขายกมือขึ้นลูบที่ต้นคออย่างเก้อเขิน หวังจะคลายความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“อย่าคิดมากน่า ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่เห็นคุณค่าในคำพูดตัวเองนะ” จุนเอ่ยแซวเบา ๆ น้ำเสียงแฝงความอบอุ่น ซอลหัวเราะออกมานิด ๆ
“อืม…งั้นต้องเก็บจดหมายฉันไว้ดี ๆ เลยนะเผื่อจะได้มีกำลังใจตอนเหนื่อยขึ้นอีก” ซอลพูดกลั้วหัวเราะ ขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงความซาบซึ้งที่ยังค้างอยู่ในใจ
คำพูดของจุนทำให้เขานึกถึงการที่ตัวเองพยายามจะให้กำลังใจคนอื่นอยู่เสมอ แต่ก็ไม่เคยคิดว่ามันจะสร้างผลกระทบต่อใครได้จริง ๆ จนกระทั่งวันนี้ ในใจของเขารู้สึกว่า อาจเป็นเพราะจุนเคยผ่านความเจ็บปวดที่คล้ายกัน ทำให้เขาเข้าใจถึงความหวังที่ซ่อนอยู่ในความมืดดำนั้นได้ดี
“นายเองก็เป็นแสงให้คนอื่นเหมือนกันนะ ฉันว่านายคงไม่รู้ตัว” ซอลพูดเบา ๆ ขณะก้มหน้าใช้ส้อมจิ้มอาหาร
“จะบอกฉันว่า ขอบคุณนะที่ลากฉันออกจากร้านพี่เต งั้นเหรอ?” จุนยิ้มแซว จงใจแกล้งทำเสียงขี้เล่น ซอลหัวเราะเสียงเบา ดวงตาของเขายิ้มออกมาอย่างสบายใจขึ้น
“เออ เรื่องนั้นก็ใช่ ขอบใจที่มาดักรอ… ถึงจะเหมือนสะกดรอยตามก็เถอะ” ซอลหัวเราะอีกครั้ง
ในบรรยากาศที่ดูผ่อนคลายลงนี้ ทั้งคู่ยังคงใช้เวลาร่วมกันอย่างไม่รีบเร่ง การที่จุนได้เปิดใจให้ซอลฟังเรื่องราวของตัวเอง ทำให้เขารู้สึกเหมือนเข้าใจกันมากขึ้น ความรู้สึกหนักหน่วงและความหวังที่ค่อย ๆ แทรกตัวขึ้นจากความมืดในชีวิตของทั้งคู่ ทำให้การอยู่ร่วมกันในตอนนี้มีความหมายกว่าครั้งไหน ๆ แม้ซอลจะยังคงปิดบังความมืดในจิตใจของเขาไว้ลึกสุดของก้นบึ้งก็ตาม
ซอลกลับถึงห้องในค่ำวันนั้นหลังจากได้ใช้เวลาที่ผ่อนคลายร่วมกับจุน เขาทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียง ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ชื่อ “พัด” ปรากฏบนหน้าจอ ความรู้สึกอึดอัดจากการเจอพัดที่ร้านพี่เตวูบกลับเข้ามาในใจของซอลอีกครั้ง เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะกดรับสาย
“ว่าไง” ซอลเอ่ยเสียงเบา น้ำเสียงฟังดูระมัดระวัง
“วันนี้เราทำให้ซอลไม่สบายใจเหรอ…ขอโทษนะ” พัดพูดขึ้น เสียงนั้นราวกับกำลังพยายามแสดงความจริงใจ แต่ซอลสัมผัสได้ถึงความหนักแน่นที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น
“ไม่เป็นไร แค่… มันเร็วไปหน่อย” ซอลตอบ ตัดสินใจพูดตามตรง เขารู้สึกถึงแรงกดดันที่คุ้นเคยขึ้นมาอีกครั้ง
พัดเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูนุ่มนวล
“งั้นเอาไว้ค่อยเจอกันใหม่นะ เรารอซอลได้อยู่แล้ว”
“อืม แล้วเจอกัน” ซอลพยักหน้าให้ตัวเองเงียบ ๆ พลางตอบรับสั้น ๆ
หลังจากวางสาย ซอลวางโทรศัพท์ไว้ข้างตัวหวังว่าการคุยครั้งนี้จะช่วยลดความอึดอัดที่ติดอยู่ในใจได้บ้าง
แต่ในอีกด้านหนึ่ง…ขณะเดียวกัน ภายในห้องหรูในคอนโดของพัด เพื่อน ๆ สองสามคนกำลังนั่งดื่มอยู่รอบโต๊ะ ทั้งหมดหัวเราะเฮฮา พูดคุยกันด้วยเสียงดัง สภาพบรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยกลิ่นบุหรี่และเครื่องดื่ม หนึ่งในเพื่อนของพัดพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“เป็นไงว่ะพัด คุยแค่ไม่กี่ครั้ง ซอลก็ดูเหมือนใจอ่อนเลยนะ”
“ก็แหงล่ะ กูเด็ดขนาดนี้ใครจะลืมลง จริงไหม? ฮ่า ๆ” พัดยิ้มเยาะในขณะที่กำลังจิบเครื่องดื่ม เขาพยักหน้าอย่างมั่นใจ ก่อนจะเอนตัวพิงพนักโซฟา สายตาแฝงด้วยความเย่อหยิ่ง
“แล้วแฟนมึงไม่ว่าอะไรเหรอวะ?” อีกคนหนึ่งพูดเสริมพร้อมหัวเราะเยาะ
พัดไหวไหล่จิบวิสกี้ในมือ ก่อนจะตอบเสียงเรียบแฝงแววตาชั่วร้าย
“สนุกไปกับกูน่ะสิ เดือนเดียวกูว่ามันหมูสำหรับกูเกินไปว่ะเพื่อน”
เพื่อน ๆ รอบโต๊ะหัวเราะกันอย่างเห็นเป็นเรื่องขำขัน พัดเริ่มจิบแก้วต่อ ขณะเดียวกันเขาก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
“คนแบบซอลน่ะ รักกูหัวปักหัวปำมาตั้งแต่แรก ถึงตอนนี้จะปฏิเสธยังไง แต่สุดท้าย… ก็หมอบเหมือนหมากลับมาหากูอยู่ดีไม่ว่ากูจะทำอะไรซอลก็ยอมหมดนั่นแหละ”
การสนทนากับเพื่อน ๆ ของพัดยังคงดำเนินไปอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะของพวกเขาผสมผสานกับบรรยากาศอึมครึมอย่างไม่มีความรู้สึกผิดแม้แต่น้อย ภายในแววตาเยียบเย็นของพัดดูสงบนิ่งแฝงความมั่นใจลึก ๆ ที่บอกว่าครั้งนี้เขาตั้งใจสนุกไปกับสิ่งที่วางแผนไว้
หลังจากซอลวางสายของพัด เขาหวังว่าการพูดคุยครั้งนี้จะช่วยคลายความอึดอัดที่ค้างคาอยู่ในใจ ทว่าเมื่อมองโทรศัพท์ในมือ เขากลับรู้สึกหนักใจบางอย่าง ราวกับว่ามีบางสิ่งที่ยังซ่อนอยู่ในคำพูดของพัดที่เขายังไม่เข้าใจ
แสงและเงาสลับกันชิงพื้นที่ในหัวใจ
ความแข็งแกร่งที่เหลืออยู่นั้นจะพาให้ผ่านพ้นไปได้จริงหรือ?